เรื่องวิกฤตพลังงานที่ต้องพึ่งก๊าซจากต่างประเทศด้วยทำให้เห็นความวิตกและวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยเห็นมาแล้วหลายครั้งโดยหลายๆรัฐบาล นั่นคือ ส.ส.และครม.ถอดเสื้อนอกและปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศสูงขึ้นเป็น ๒๖ องศา (เซลเซียส) แล้วเชิญชวนพี่น้องปชาชนทำตาม วิธีนี้ถึงจะเก่าๆ เดิมๆ จนชินแล้ว ก็ยังนับได้ว่าเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวงของท่านที่ทำงานในรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลเพราะท่านเสียสละถึงสองต่อ คือ ๑) ยอมถอดสูท ซึ่งท่านเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่ง ต่อตำแหน่งของท่าน และของประเทศในภูมิภาคนี้
และ ๒) ยอมอยู่ในห้องที่อุ่นกว่าปกติถึง ๒ หรือ ๓ องศา การเสียสละสองต่อเช่นนี้ท่านบอกเองว่าทำให้ประหยัดงบประมาณได้วันละมากโขอยู่
คนไทยทั้งประเทศรู้ดีว่า ทั้งปีทั้งชาติต่อเนื่องกันมานานแล้ว เราต้องใช้พลังงานมากขึ้นอย่างมหาศาล
เพราะส่วนหนึ่งมากับเทคโนโลยีที่มิอาจปฎิเสธได้ แต่อีกส่วนหนึ่งเราช่วยกันทำเอง คือสร้างบ้านและที่ทำงานให้มืดกว่าและร้อนกว่าอาคารบ้านเรือนของคนรุ่นก่อนๆทำให้ต้องเปิดไฟกับเครื่องปรับอากาศทั้งวัน เท่านี้ยังไม่พอ เวลาไปทำงาน ยังพากันแต่งตัวให้ร้อนมากๆ (สวมเสื้อแขนยาวยังไม่พอ ยังผูกเนคไทปิดคอ แล้วสวมเสื้อนอกหนาๆ ทับอีก)เพื่อให้ประเทศชาติมีเกียรติยศว่าคนใหญ่ๆโตๆแต่งตัวเหมือนชาวยุโรปเปี๊ยบ แล้วโยนให้เครื่องปรับอากาศแก้ร้อนให้ด้วยอุณหภูมิต่ำๆ(แต่เสียค่าไฟฟ้าสูง) เสร็จแล้วพอถึงเวลาที่จำเป็นต้องแก้ปัญหาค่าใช้จ่าย ก็ให้เครื่องปรับอากาศกับเสื้อนอกรับผิดชอบอีก ง่ายจังเลยนิ
ผมอยากถามต่ออีกว่า ทำไมท่านไม่ทำเรื่องเสื้อนอกกับเครื่องปรับอากาศนี้ให้เป็นเรื่องจริงจังและเป็นภาระปกติเสียเลย โดยกลับฤดูเสีย ให้แต่งสูทในวันที่อากาศหนาว(ปีละไม่กี่วันเอง) วันที่เหลือแต่งอย่างอื่นที่เหมาะกับภูมิภาคและกลมกลืนกับพี่น้องปชาชน (ที่ท่านอ้างบ่อยๆ ว่าเป็นเจ้านายของท่าน) ทำแล้วลองคำนวณดูก็จะทราบว่าประหยัดได้เท่าไร
หรือว่าแต่งตัวแบบอื่นทำให้ชาติต่ำต้อยด้อยเกียรติ ถ้าคิดอย่างนี้นอกจากดูถูกพี่น้องปชาชนค่อนประเทศแล้ว ยังดูถูกเพื่อนบ้านในอาเซียนหลายประเทศที่เขาแต่งสูทน้อยกว่าแต่งอย่างอื่นกันจนเป็นปกติด้วยนะขอรับ
นี่คือตัวอย่างเก่าๆซ้ำๆซากๆของการทำอะไรให้เสียเงินมากๆอวดโก้ไว้ก่อน ต่อเมื่อเห็นเขาเอาโลงศพมาวางตรงหน้าน้ำตาค่อยไหล
หายไปนานเลยครับ
ถ้าท่านๆในรัฐสภาคิดแบบสล่ากวามก็ดีนะซิครับ