เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีความจำเป็นต้องไปธนาคารแห่งหนึ่งที่ใช้สีเหลืองเป็นอัตลักษณ์(ใช้คำทันสมัยด้วยนะเรา อิอิ.)
ก่อนหน้านี้มีเพื่อนทำงานที่นี่เลยจำใจต้องทำบัตรเครดิตช่วยเพื่อน นานๆจะใช้สักครั้งตามโปรโมชั่นของธนาคาร
เมื่อต้นปีไปซื้อของกับครอบครัวแต่ที่ร้านไม่รับบัตรเครดิตประเภท platinum จำเป็นต้องใช้บัตร visa. ของธนาคารนี้ ยอดเงินที่ต้องชำระหลังหักส่วนลดจะมีเศษสตางค์ ปกติเวลาไปชำระเงินที่ธนาคารหากมีเศษสตางค์จะเตรียมไปให้พอดีเพราะปกติไม่ค่อยได้ใช้เหรียญห้าสิบสตางค์ ยี่สิบห้าสตางค์เท่าไรนัก
เมื่อไม่กี่วันต้องไปชำระบัตรเครดิต ยอดเงินลงด้วย...หนึ่งร้อยยี่สิบแปดบาทห้าสิบสตางค์พอดี มัวแต่รีบไปธนาคารและกังวลเรื่องไม่มีใบแจ้งยอดเงิน ทราบยอดเงินจาก SMS เพราะไปรษณีย์ยังไม่มาส่งจดหมายที่บ้าน ก็นับเงินส่งให้..ลงด้วยสองร้อย...
เจ้าหน้าที่ ทอนเงินมาให้ 71 บาท ระหว่างรอใบเสร็จก็ถามไปว่า "น้องคะยอดเงินมีเศษ 50 สตางค์ ไม่ใช่หรือคะ"
เจ้าหน้าที่ทำหน้าแบบงุนงง ก่อนตอบมาว่า "งั้นผมให้พี่อีก 1 บาทแล้วกัน คราวต่อไปพี่จ่ายให้พอดีนะครับ ยอดเงินที่เกินจะหักในรอบบิลถัดไป". พร้อมส่งเงินให้อีกหนึ่งบาท
คนถามอย่างเรา งง เล็กน้อย แอบคิดว่า "ผิดด้วยหรือที่จะจ่ายพอดีนะ อืมมมม". @__@
จากนั้นเลยรีบหาเหรียญห้าสิบสตางค์ที่มีติดกระเป๋าไว้เสมอส่งให้น้องเจ้าหน้าที่พร้อมรับใบเสร็จและบอกน้องไปว่า
" ไม่ต้องทอนเกินคะ พี่มีห้าสิบสตางค์จะได้เก็บไว้ทอนคนอื่น เพิ่งทราบว่าเดี๋ยวนี้ธนาคารยังไม่มีเหรียญห้าสิบสตางค์ไว้ทอนลูกค้า ไม่เป็นไรคะต่อไปจะเตรียมมาให้พอดี"
...หากลูกค้าไม่ได้เงินทอนคนละห้าสิบสตางค์ วันละสิบคน รวมแล้ว ห้าบาทต่อวัน....ปีหนึ่งเป็นเงินเท่าไร??
ขาดห้าสิบสตางค์ก็มีเงินไม่ครบบาทสิคะ ไม่งกแต่อย่าเอาเปรียบกันค๊า..
ผมเองก็เป็นพ่อค้า เรื่องเงินถือเป็นเรื่องใหญ่ คนเราหากไม่รักเงิน ไม่เก็บรักษา ได้เท่าไหร่ก็ไม่เหลือ คาถาหัวใจเศรษฐี อุ.อา.กะ.สะ อาคือ การเก็บรักษา ถ้าเราไม่เก็บ ไม่รักษา(ออม) ก็จะไม่มีทางรวย หรือมีเงินเหมือนอย่างคนอื่นเขา ใช่ไหมครับ
เห็นด้วยค่ะ เศรษฐีรวยก็เพราะกำไรเป็นสตางค์นี่แหละค่ะ
ขอบคุณทุกท่านสำหรับดอกไม้กำลังใจดีๆคะ
เห็นด้วยกับพี่หนานคะ