ตั้งมั่นในสัมมาสมาธิ


สัมมาสมาธินี้จำเป็นที่เราจะต้องนำมาใช้มาก ไม่ใช่เราเป็นคนจิตใจตายด้าน ว่าไม่รับรู้รับทราบอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น เรารับรู้รับทราบ แต่เราต้องปล่อยต้องวาง ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนอมทุกข์ เป็นคนแบกโลก เป็นคนสั่งสมบาปกรรม “พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นคนแบกของหนักพาไป...”


การประพฤติการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นมาที่ตัวของเราเอง อย่าออกไปข้างนอก เพราะปัญหาต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่ที่กายของเราอยู่ที่ใจของเรา เรื่องภายนอกมันเป็นส่วนประกอบ 

มนุษย์เราน่ะมันติดสุขติดสะดวกติดสบายในเรื่องของกาย จึงได้พากันแสวงหา โหยหาในสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นของที่ไม่จีรังยั่งยืนมันเป็นของใช้ชั่วคราว มันไม่จากเราไปเราก็จากมันไป เพราะร่างกายที่เราใช้งานอยู่ทุกวันนี้มันก็ไม่ใช่ของเรา ถึงจะบริโภคอาหาร พักผ่อน ทะนุบำรุง เขาก็แก่เขาก็เจ็บเขาก็ตายไปในที่สุด 


พระพุทธเจ้าท่านให้เอาร่างกายของเรานี้มาสร้างความดีมาสร้างบารมี 

พยายามมาเดินตามอริยมรรค คือ หนทางที่พระพุทธเจ้าท่านพาเราเดิน เราทำทุกอย่างเพื่อเป็นความดีเพื่อเป็นบารมี เพื่อไม่ตามจิตตามใจตามอารมณ์ของตนเอง เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องเอาตามความอยากของเราเอาตามความเห็นของเรา เพราะจิตใจของเรามันไม่เป็นธรรม จิตใจของเรามันไม่ยุติธรรม จิตใจของเรามันไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์เราถึงมีความจำเป็นที่จะต้องเดินตามอริยมรรคคือหนทางอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มาถือศีล ถือวินัย ถือศีล ข้อวัตรปฏิบัติ ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว แน่นอนเป็นอมตะ เพียงแต่เราพึงปฏิบัติตามทุกอย่างก็จะได้ดีเอง ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ใหม่ ๆ เราอาจจะไม่รู้ แต่นาน ๆ ไปเราถึงจะรู้ว่าสิ่งนี้มันดี สิ่งนี้มันประเสริฐถูกต้องแน่นอน 

มนุษย์เราทุกคนใจอ่อน อ่อนแอ จิตใจไม่หนักแน่นแข็งแรง พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้ตั้งมั่นในสัมมาสมาธิ ตาเรามันก็ส่งออกไปข้างนอก หูเรามันก็ส่งออกไปข้างนอก ทุกอย่างมันก็ส่งออกไปข้างนอกหมด เมื่อส่งออกไปแล้วมันก็ไปรับเอาอารมณ์ที่หูตาจมูกลิ้นกายใจที่เราไปสัมผัสรับเอามา ถ้าไปเจอรูปสวยเสียงเพราะ ๆ มันก็รับเอามา ไปเจอเค้าว่า เค้าด่า เค้าสรรเสริญมันก็รับเอามา มันเจอคนแก่คนเฒ่าคนป่วย คนพิกลพิการมันก็รับเอามา             เมื่อรับเอามาแล้วมันก็มาเป็นทุกข์ กลายเป็นคนใจอ่อน อ่อนแอ ไม่มีจิตใจหนักแน่นจิตใจเข้มแข็ง อยู่กับตั้งแต่อดีต อยู่กับสิ่งแวดล้อม ไม่มีพุทโธ ไม่มีผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ว่าเราเกิดมา ในโลกนี้เราต้องรู้ต้องเห็นสิ่งเหล่านี้แหละ เพราะโลกเรานี้มันประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ 

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราอย่าเป็นคนใจอ่อน อย่าไปรับเอาอะไรมาหลายชั่วโมง หลายนาที หลายวัน

ให้เรารู้เราเห็นให้เราปล่อยเราวาง ให้เราเข้าถึงปัจจุบันเป็นตัวของตัวเอง จิตใจของเราจะได้ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเปาะ ๆ ไปในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะหัวเราะ ร้องไห้ พิลัยรำพันสลับกันไป 

ให้ถือว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นบทเรียนเป็นบททดสอบให้เราไม่ตามอารมณ์ ไม่ตามตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้เราเพียงสัมผัส รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง ให้จิตใจของเราแข็งแรงเป็นสัมมาสมาธิ 

สัมมาสมาธินี้จำเป็นที่เราจะต้องนำมาใช้มาก ไม่ใช่เราเป็นคนจิตใจตายด้าน ว่าไม่รับรู้รับทราบอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น เรารับรู้รับทราบ แต่เราต้องปล่อยต้องวาง ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนอมทุกข์ เป็นคนแบกโลก เป็นคนสั่งสมบาปกรรม “พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นคนแบกของหนักพาไป...”

ต้องเก่ง ต้องฉลาด ต้องฝึกปล่อยฝึกวาง คนเค้าจะทำไม่ดีไม่งาม แกล้งเราอะไรต่าง ๆ อิจฉาพยาบาท พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราไปรับเอาแบกเอาการกระทำอาการกิริยาสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะอยู่กับโลกแต่เราไม่รู้จักโลก โลกมันจะทำร้ายเราด้วยการที่เราไปติดเชื้อโรค เพราะภูมิป้องกันของเราไม่แข็งแรง สมาธิของเราไม่แข็งแรง 

เราพยายามมาแก้จิตแก้ใจของเรา เรามาแก้คำพูดของเราให้มันดี ๆ เรามาแก้การกระทำของเราให้มันกระทำแต่สิ่งที่ดี ๆ สิ่งไหนไม่ดีพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิดเราพูด เราทำ เพราะไม่ใช่อริยมรรคทางเดินของพระพุทธเจ้า 

เราไม่ต้องหวง ไม่ต้องห่วงอาลัยอาวรณ์ในอารมณ์ที่เราได้สัมผัสในชีวิตประจำวัน มันหวง มันห่วง มันอาลัยอาวรณ์ มันหมกมุ่น เราต้องหยุด เราต้องปล่อย เราต้องทิ้ง 

ร่างกายของเรานี้มันเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันก็เจ็บอย่างนี้แหละ มันก็แก่อย่างนี้แหละ มันก็ป่วยอย่างนี้แหละ มันก็ตายอย่างนี้แหละ เรามันแก้ไขไม่ได้ เพียงแต่เยียวยาใช้การใช้งานไปเท่านั้น 

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทุกข์กับร่างกายไม่ให้เราหวั่นไหวกับร่างกาย ร่างกายมันเจ็บมันป่วยมันไม่สบาย ใจของเราก็อย่าไปวุ่นวาย กลัวตาย กลัวเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้  เดี๋ยวมันจะตายเพราะคิดมากไม่ใช่ตายเพราะเราเจ็บไข้ไม่สบาย เพราะว่ามันเป็นทุกข์ ทั้งทางกายเป็นทุกข์ทั้งทางใจ 

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุกข์ทางกายก็ให้มันเป็นเรื่องของกายอย่าให้ใจของเราเป็นทุกข์มันเป็นคนละอย่าง เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนต่าง ๆ นานา มันเป็นเรื่องของกาย แต่ใจของเรานั้นมันไม่ได้เป็นอะไร เราไปหลง ไปยึด ไปถือในสมมุติว่าเป็นเราเป็นของเรามันถึงยุ่งมันถึงมีปัญหา มันถึงมีถึงเป็น  มันทุกข์จริงๆ เพราะเราจิตใจอ่อนแอ เราไปแบกความคิดแบกอารมณ์ ไปแบกตัวแบกตน 

ที่แล้ว ๆ ก็แล้วไปนะ พระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านสอน ท่านเมตตาเรา เรามาเดินตามอริยมรรคมีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นที่ดี แล้วมีสติสัมปชัญญะให้มันสมบูรณ์ 


เรามาทำความเพียรไป ปฏิบัติไป สร้างความดีสร้างบารมีอย่างนี้แหละ ความดีบารมีนี้แหละเป็นหนทางเดินแห่งการปฏิบัติของเรา อย่าเอาความดีไปทิ้ง มัวแต่เพลิดเพลินในการทำมาหากินกับลูกกับหลานกับเพื่อนกับฝูง ไม่ได้...!

อย่าไปหลงหลักหลงทาง อย่าไปหลงหน้าที่ เสียเวลาทำความดีไปเป็นวัน ๆ 

เรามันเจ็บมาหลายรอบหลายครั้งหลายคราวทางจิตใจเราก็ยังไม่จำ เราต้องจำเสียบ้างว่าเราเป็นคนใจอ่อนมันละบาปละอกุศลไม่ได้ ละกิเลส ละภพละชาติไม่ได้ เพราะว่าภพชาติมันเหนียวยิ่งกว่าตังเม ต้องหนักแน่นเข้มแข็ง

ความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นมันอยู่ที่ใจของเราสงบนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นไม่ใช่อยู่กับความร่ำความรวยอยู่กับความมีความจนไม่ใช่อย่างนั้น…

คนเราถ้าใจไม่สงบมันไม่มีความสุข เพราะสุขในเรื่องข้างของเงินทองลาภยศสรรเสริญมันเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน  คนรวยมันก็ตาย คนจนมันก็ต้องตาย เมื่อมันตายมันเกิดมันจะมีความสุขมีความดับทุกข์ที่แท้จริงได้อย่างไร  

พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาสอนเราให้มีจิตใจเนกขัมมะ จิตใจทิ้งความสุข ทิ้งที่เรารัก เราชอบ เราหวง เราห่วง เราพิลัยรำพัน มาอยู่กับการเสียสละการปล่อยการวาง มาอยู่กับ การไม่มี ไม่เป็น ไม่เอา... 

เราทำไว้เราปฏิบัติไว้นะ รอให้มันแก่แล้วมาปฏิบัติมันไม่ได้ เวลามันไม่ทัน 

คนเรามัวแต่ทำมาหากิน หากินอย่างไรมันก็ไม่รวย อายุหกสิบปีเจ็ดสิบปีแล้วเวลาไม่ทัน ชีวิตมันจะดับลงเสียแล้ว มันก็เป็นทุกข์ตั้งแต่เด็ก ๆ จนไปถึงแก่มันก็ยิ่งทุกข์ เพราะเราปล่อยโอกาสปล่อยเวลา เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมะควบคู่กับชีวิตในชีวิตประจำวันไป

พระพุทธเจ้าท่านให้เราพยายามทำจิตทำใจให้มันสบาย เพื่อเราจะได้ทำที่สุดแห่งกองทุกข์ ไม่ใช่อะไรเกิดมาก็ไปรับเอาเป็นความสุขความทุกข์ตลอด ท่านสอนเราให้เรา รับมาแล้วก็เอามาปล่อยมาวาง ให้จิตใจของเรามีสมาธิมีปัญญาควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน 

ต้องเชื่อมั่นในความดีเชื่อมั่นในการกระทำของเรา 

ทุกวันนี้เรามันมีความรู้แค่งู ๆ ปลา ๆ จะเป็นงูก็ไม่ใช่จะเป็นปลาก็ไม่ใช่ มันไม่รู้จริง รู้อย่างมั่ว ๆ เมื่อรู้อย่างมั่ว ๆ แล้วมันก็งงไปหมด เพราะเราวิ่งหาความสุขความดับทุกข์ในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง 

พระพุทธเจ้าท่านให้เรากลับมาหาตัวเรากลับมาหาจิตหาใจของเรา ไม่ต้องไปวุ่นวายตามสิ่งแวดล้อมตามอารมณ์ มันจะเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มีแต่ความทุกข์ ความยากลำบากเผาเราทั้งเป็น ยังไม่ตายก็เผาอยู่อย่างนั้นแหละ 

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์มันเผาเรา เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกสบายมันเผาเรา เราไปให้มันเผา เราไม่รู้จักทำใจให้สงบใจเป็นอิสระ ไม่ตามสิ่งเหล่านั้นไป เราไม่รู้จักทำใจอย่างนั้น เราจะไปโทษใครเพราะเป็นการกระทำของเราเอง ที่เราไม่เอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม เอาพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง 

เราเป็นคนฉลาด เราเป็นคนสติปัญญาดี เมื่อเราเอาสมองของเราดี ๆ นี้ ไปวิตกไปกังวลหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก ๆ ระบบสมองของเราเค้าไม่มีโอกาสได้พักผ่อนได้ปล่อยได้วาง สมองของเรามันก็เสียไปทุกวัน เพราะความวิตกกังวลมันทำลายศักยภาพของร่างกายของระบบสมองสติปัญญา 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกนะ ฝึกทำใจให้เบิกให้บานให้ปล่อยให้วาง สลัดทิ้งอดีตให้มันหมด ให้มันสดชื่นเบิกบานมีความสุขกับการทำงานด้วยการเสียสละ ด้วยการไม่เอา ไม่มี ไม่เป็น เราทำอะไรก็ให้ตั้งอยู่ในความเสียสละทั้งหมด งานเสียสละ งานไม่เอาไม่มีไม่เป็นถือว่าเป็นงานใหญ่ เป็นงานที่ไม่ใช่ของคนขี้เกียจของคนเห็นแก่ตัว คนขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัวมันจะไม่ยอมทำงานที่เสียสละ 

ต้องเสียสละ สิ่งที่ดีไม่อยากทำก็ต้องทำ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเรื่องดีเรื่องชั่ว ที่มันเป็นอดีตแล้วก็ต้องทิ้งให้หมด จิตใจของเราก็จะได้ไม่มีภพไม่มีชาติ ถ้าเราไม่ทิ้งสมองเรามันก็ไม่มีตารางนิ้วที่จะให้เราเก็บข้อมูล เพราะเราไปเก็บเอาไว้ 

พระพุทธเจ้าท่านว่าเราเป็นโง่นะ เป็นคนไม่ฉลาดนะที่เราไม่ทิ้งไม่ปล่อยไม่วาง  เราทานอาหารไป เราไม่ระบายถ่ายเทไม่กี่วันร่างกายของเรายังแย่ จิตใจของเราก็เหมือนกันเราได้รู้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันเราไม่ปล่อยไม่วางจิตใจของเรามันก็แย่เหมือนกัน 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราปล่อยเราวางอย่างนี้ เราก็ทำตาม เห็นมั๊ยพระพุทธเจ้าท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตรัสรู้จนถึงปรินิพพานมันมีความสุขขนาดไหน ภพชาติต่าง ๆ มันก็สิ้นไป มันดีมากมันมีประโยชน์มาก ไม่ใช่เรื่องพูดให้ฟังอย่างเพราะ ๆ โก้ ๆ นะ  อันนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐเป็นสิ่งที่ดีที่พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสั่งสอนเรา แม้แต่ท่านจะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วท่านก็ยังบอกว่าพวกเราอย่าพากันหลง อย่าพากันเพลิดเพลิน อย่าพากันประมาท

ต้องพากันประพฤติปฏิบัติทุก ๆ เวลานาทีที่เกี่ยวข้องสัมผัส อย่าให้สิ่งที่มันดีหรือไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงมาติดมาค้างที่ใจของเรา นั่นแหละเราจะได้เดินตามทางของพระตถาคตเจ้า ของเราผู้ประเสริฐ เป็นผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง 

การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมุติยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความเจริญงอกงามจงมีแก่ท่านผู้ฟังทั้งหลายทุกท่านทุกคนเทอญ



พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

เช้าวันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 516053เขียนเมื่อ 13 มกราคม 2013 08:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มกราคม 2013 08:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ร่างกายเจ็บ  ก็ปล่อยให้เจ็บไป  รักษากันไป

แต่ใจเราเป็นสุขไม่รู้จักเจ็บ  ขอบพระคุณท่านมากๆๆค่ะ

เห็นภาพแล้วรู้สึกใจเป็นสุข สงบค่ะ

" พระพุทธเจ้าสอนเราให้มีจิตใจเนกขัมมะ  ทิ้งสิ่งอันเป็นที่รัก เราชอบ เราหวง เราห่วง เราพิลัยรำพัน มาอยู่กับการเสียสละการปล่อยการวาง"  อ่านตรงนี้แล้วรู้สึกเบาสบาย ทำให้กลับมาระลึกรู้สึกตัวได้อีกครั้ง หากแต่ว่ายังละ.....ไม่หมดใจเสียที ก็ปากดีไปงั้น...อิอิ ถึงว่า ทุกวันนี้ถึงได้หัวเราะ ร้องไห้ พิลัยรำพันสลับกันไป  เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้       แล้วจะเพียรพยายาม ทำให้ได้ ในสิ่งที่สอน ชอบทุกๆบันทึก ทุกอนุทิน เหมือนได้ยินพระเทศน์เลย  

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท