ปีใหม่ไทย กับ การอวยพร


ปีหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นแค่สมมุติโลก ผมเองไม่เห็นวันนี้มันจะสมควรจะฉลองอย่างไร (เพราะเวลาปลงกัมมัฏฐานผมก็มักจะคิดว่า ตัวเราเองก็ใกล้วันตายเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ผมยังนึกถึงวันคล้ายวันนี้เมื่อสองปีก่อนละมัง นั่งสมาธิอยู่ตอนราวเที่ยงคืนวันปีใหม่ ได้ยินเสียงหวอรถดับเพลิงดังลั่น คงไม่ต้องบอกว่าเกิดอุบัติเหตุน่าสลดใจอะไรขึ้น) เอาละ อาจจะมียกเว้นหน่อย ตามปฏิทันชาวมายา เขาว่า ตั้งแต่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มาแล้ว ตอนนี้โลกเราผ่านเข้าสู่วัฏฏจักรวงรอบใหม่ ผ่านระนาบกาแลกซี่ ปีนี้ก็น่าจะถือว่าสำคัญ แต่ก็เป็นไปตามสมมุติโลกอีกแหละ


สมัยก่อนเมืองไทยไม่ได้ถือปีใหม่อย่างนี้ ไม่งั้นจะมีเดือนอ้ายของไทยเอาไว้ทำไม จำได้ว่าเคยอ่านเจอว่า วันแรม ๑ ค่ำเดือนอ้าย เคยเป็นปีใหม่ไทยดั้งเดิมก่อนใช้สงกรานต์เป็นปีใหม่ตามแขกด้วย ส่วนวันขึ้นปีใหม่แบบสากลนี่เพิ่งมาใช้สมัย ร.๘ นี่เอง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องเวลา สมัยก่อนก็ถือว่าวันใหม่เริ่มเอาเมื่อตะวันขึ้น ไม่ใช่สองยาม หรือเที่ยงคืนแบบฝรั่ง ญาติผมคนหนึ่งเกิดวันพุธหลังเที่ยงคืน เวลาไปผูกดวง ทางโหรต้องถือว่าเป็นคืนของวันก่อนหน้าวันตามปฏิทิน คือวันพุธ แต่ทางการในใบเกิดถือว่าเกิดวันพฤหัส หรืออย่างกรณีพระภิกษุ ถ้าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น รับประเคนไปนั่งฉันโจ๊กที่โยมเจตนาดีถวายแต่เช้ามืดก็อาบัติ ฉันอาหารในยามวิกาลหลังเที่ยงไปแล้ว เพราะถือว่า ยังเป็นเมื่อวาน ไม่ใช่เช้าวันใหม่ (บางทีอาจจะเจอผิดอาบัติยกวัด เลยก็ได้นะ สมัยก่อน ผมเคยฉันไปแล้วคำแล้วถึงนึกเรื่องนี้ได้)


เห็นคนรุ่นใหม่ "ทวีต"อวยพรกัน ก็อดใจเขียนความเห็นไว้ไม่ได้ ประการแรกคือ คนสมัยก่อนเขาจิตใจละเอียดอ่อน เวลาไปหาผู้ใหญ่เขาใช้คำว่าไปขอพร ไม่ได้ไปอวยพรผู้ใหญ่ เพราะว่าคนสมัยก่อนจะมองตัวเองว่า ยังทำบุญและทำความดีมาน้อยกว่าผู้ใหญ่ ครั้งเมื่อถึงเวลาจะกล่าวคำอวยพรผู้ใหญ่ ก็ต้องกล่าวอ้างอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอวยพรแทนการอวยพรตรงๆ ก็อีกนั่นแหละ เพราะว่า คนสมัยก่อนจะมองแบบถ่อมตัวเองว่า ความดีของตนยังมีไม่พอ อายุยังน้อยกว่า ไม่มีบุญหรือความดีของตัวเองมากพอจะไปให้ใครได้ แต่คนยุคนี้คงจะขี้เกียจ หรือไม่ก็ใช้ตามสำนวนฝรั่ง ในยุคโลกาภิวัตน์ ก็เลยตัดสำนวนเยิ่นเย้อแบบเดิมลงไป ใช้คำว่า"ไปอวยพรผู้ใหญ่"กันเลยตรงๆ และอีกอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะในยุคนี้ คนที่อายุมากบางส่วน ก็อาจจะไม่มีคุณความดีเท่ากับคนอายุน้อยกว่าอีกมากก็มี


ความเห็นนี้พูดในแง่ของข้อเท็จจริง ในเรื่องที่สิ่งที่คนรุ่นก่อนรู้กันดี แต่คนรุ่นหลังอาจจะเผลอๆ ลืมไปแล้ว ไม่ได้เจตนาจะตำหนิใคร


หมายเลขบันทึก: 514653เขียนเมื่อ 31 ธันวาคม 2012 21:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 ธันวาคม 2012 21:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สุข.. สงบเย็น เป็นประโยชน์

สวัสดีปีใหม่ครับอาจารย์

ขอบพระคุณครับ เพิ่งออกจากกัมมัฏฐานข้ามปีมาพอดี

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ดีที่ท่านปราถนาจงทุกท่านครับ

ครูบาอาจารย์ผมสอนว่า ในยุคนี้ (ช่วงเวลากว้างหลายสิบปี) จะมีผู้บรรลุธรรมในไทยถึง ๗ แสนคน ในสายครูบาอาจารย์ต่างๆ ขอให้ทุกท่านที่มีความจำนงค์ในเรื่องนี้ จงอยู่ในบรรดาท่านเหล่านั้นด้วย เทอญ

ขอบคุณอาจารย์มากๆค่ะที่เขียนบันทึกนี้ไว้เตือนให้คนรุ่นหลังๆได้คิด สำหรับตัวเองระวังมากๆที่จะไม่ทำอย่างที่อาจารย์ทักไว้เพราะคิดเหมือนกันค่ะ แม้ตอนนี้อายุจะถึงวัยที่น่าจะอวยพรคนได้หลายรุ่นอยู่ก็ยังระวังค่ะ และพยายามใช้คุณความดีเป็นเครื่องอวยพรคน แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็พยายามไม่อ้างถึงเพราะคิดว่าอาจจะไม่ใช่ความเชื่อของทุกคน บุญรักษานะคะอาจารย์

ขอบคุณมากครับ คุณเป็นแฟนตามอ่านจริงๆ นะเนี่ย

 

สวัสดีปีใหม่..สุขสดใสด้วยความคิดดีงามค่ะ

ขอบพระคุณมากครับที่กรุณามาเยี่ยม สวัสดีปีใหม่ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท