Thanachart
นาย ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ

รวันดา บทเรียนของโลก บทเรียนของไทย ตอนที่ 2


 รวันดา : การเมืองกับวิกฤตมนุษยธรรม :บทเรียนของโลก  บทเรียนของไทย* (2)

                                                                     โดยธนชาติ  แสงประดับ  ธรรมโชติ

                                                                     นักวิชาการอิสระเศรษฐศาสตร์การเมือง

                                                                     เครือข่ายเสริมสร้างสังคมสันติสุข

 สงครามกลางเมือง

จุดกำเนิดของความขัดแย้งระหว่างสองชาติพันธุ์ ได้ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์รวันดามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน  ในช่วงระหว่างปี 1959 ถึง 1973  ชาวตุ๊ดซี่หลายพันคนถูกเนรเทศออกจากประเทศโดยรัฐบาลที่มีชาวฮูตูเป็นผู้นำ 
ประชาชนที่ถูกเนรเทศออกนอกประเทศนี้รู้จักในชื่อว่า
Banyarwanda ซึ่งแปลว่า “ประชาชนชาวรวันดา” 
(ภาษาเคินยารวันดา) คนเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อูกันดา เบอรันดีและแทนเซเนีย  การเนรเทศชาวตุ๊ดซี่นับเป็นสาเหตุหลักของสงครามกลางเมืองได้ถือกำเนิดในปี
1990 

ในยุค 1980 ชาวตุ๊ดซี่ที่ถูกเนรเทศออกนอกประเทศได้ก่อตั้งกลุ่มแนวหน้ารักชาติรวันดา(RPF) โดยมีวัตถุประสงค์ในการแทรกแซงและรุกรานรวันดาเพื่อให้ชาวตุ๊ดซี่ที่ถูกเนรเทศได้กลับเข้าไปอยู่ในประเทศเพื่อให้รัฐบาลยกเลิกการเลือกปฏิบัติต่อชาวตุ๊ดซี่อย่างไม่เป็นธรรมและที่สำคัญเพื่อเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลได้ปฏิรูประบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่สามารถทำให้ทั้งสองชาติพันธุ์ได้มีโอกาสปกครองประเทศร่วมกัน

ก่อนหน้าที่จะมีข้อตกลงสงบศึกปี 1993 ประธานาธิบดีจูเวินนอล ฮาเบียริมานา (Juvenal Habyarimana)  และพรรคปฏิรูปเพื่อการพัฒนา (MRND) ได้ต่อต้านการกลับเข้าประเทศของชาวตุ๊ดซี่  ที่ถูกเนรเทศ และต้องการอำนาจการปกครองให้คงอยู่กับชาวฮูตูต่อไป ชาวฮูตูหัวรุนแรงในรัฐบาล พรรค MRNDและพรรคการเมืองอื่นๆได้ก่อตั้งกลุ่มทหารกองหนุนเพื่อที่จะสอบสวนความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากชาวตุ๊ดซี่และประนีประนอมกับชาวฮูตูบางส่วนที่ต่อต้านรัฐบาลกลุ่มทหารกองหนุนนี้รู้จักในนามของ TheInterahamwe หมายถึง บุคคลซึ่งอยู่เคียงข้างกัน (ภาษาเคินยารวันดา)และมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้สงครามกลางเมืองซึ่งเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1994

ผู้นำทางการเมืองและการทหารสมาชิกของกลุ่มหัวรุนแรงและประชนในรวันดาต่างก็มีความคิดในการปกครองประเทศไม่เหมือนกันชาวฮูตูหัวรุนแรงต้องการที่จะกำจัดชาวตุ๊ดซี่ออกจากประเทศ  และรักษาอำนาจเหนือที่ดินและรัฐบาลชาวฮูตูทั่วไปซึ่งเหยียดเชื้อชาติน้อยกว่าพวกหัวรุนแรงต้องการที่จะมีส่วนในการปกครองประเทศร่วมกับชาวตุ๊ดซี่เช่นเดียวกันกับชาวตุ๊ดซี่ซึ่งชื่นชอบความคิดให้มีรัฐบาลพรรคร่วมที่ทำให้ชาวตุ๊ดซี่และฮูตูมีส่วนในรัฐบาลและในการปกครองประเทศด้วยกันแต่ยังมีชาวตุ๊ดซี่บางส่วนกลับเห็นตรงกันข้ามว่าชาวตุ๊ดซี่ควรจะเป็นชนเผ่าที่ปกครองประเทศแต่ผู้เดียวแต่โดยทั่วไปแล้วชาวฮูตูและตุ๊ดซี่เชื่อกันว่าหลังจากที่อาศัยอยู่ในรวันดาร่วมกันเป็นเวลา
1,000 ปีทั้งสองชนเผ่าจะต้องแบ่งที่ดินให้กันและกันเพื่ออยู่ร่วมกัน

ชาวรวันดาที่ต้องการความสงบไม่เห็นด้วยกับกลุ่มทหารหรือกลุ่มการเมืองไหนที่สร้างความขัดแย้งแตกแยก
พวกเขาเชื่อว่าความขัดแย้งของประเทศนั้นเกิดขึ้นเนื่องมาจากการเมืองมากกว่าความแตกต่างของชาติพันธุ์  เพราะเมื่อสงครามได้ถือกำเนิดขึ้นชาวฮูตูและตุ๊ดซี่บางส่วนเพิกเฉยต่อคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกหัวรุนแรงและหันมาช่วยชีวิตซึ่งกันและกันในสงครามกลางเมือง  มีเพียงบางส่วนที่หลงผิดตามคำโฆษณาชวนเชื่อได้รุกฆาตฆ่าฟันเพื่อนของตนและคนใกล้ชิดรวมทั้งเพื่อนบ้านเพียงแค่เพราะคนเหล่านี้ต่างกันทางชาติพันธุ์เท่านั้น

ในปี1990 สภาพปัญหาทางชนเผ่าได้ขยายตัวเติบโตกลายเป็นสงครามกลางเมืองผู้เข้าร่วมสงครามประกอบด้วย กลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวฮูตู หรือมีชื่อย่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่าFAR และกลุ่มกองกำลังชาวตุ๊ดซี่ ที่เคยถูกเนรเทศจากรวันดาซึ่งรู้จักในนามของกลุ่มแนวหน้ารักชาติรวันดา หรือRPF ความขัดแย้งนี้ยังคงรุนแรงต่อเนื่องจนกระทั่งปี 1993ซึ่งเป็นปีที่ทั้งสองกลุ่มได้ลงนามในข้อตกลงสงบศึก แต่เมื่อเดือนเมษายน1994 หลังจากเกิดความสงบสุขได้เพียง 8 เดือนสงครามกลางเมืองกลับประทุรุนแรงขึ้นอีกครั้งซึ่งรุนแรงจนเป็นที่จับตามองของประชาคมโลกอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด

การรุกฆาตต่อสู้และฆ่าฟันต่อกันใช้เวลายาวนานถึง14 สัปดาห์ได้คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 500,000 คน ความขัดแย้งเหล่านี้ทำให้ชาวรวันดาถูกกดดันให้ต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด  ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่คิดว่าปลอดภัยแต่สุดท้ายประชาชนกลุ่มนี้ลงเอยด้วยการไปอยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัย  ซึ่งตั้งอยู่นอกรวันดาหรือไม่ก็ไปรวมในแคมป์ผู้ไม่มีถิ่นฐาน  ในสถานที่พักชั่วคราวแห่งนี้ได้รวมผู้ลี้ภัยจำนวนมากทุกกลุ่มทุกวัยบางกลุ่มได้สร้างที่พักขึ้นมาใหม่มีลักษณะคล้ายเต๊นท์  ได้รับบริจาคอาหาร น้ำยารักษาโรคและเครื่องใช้อื่นๆ เท่าที่จำเป็นในการดำรงชีพเท่านั้น  การใช้ชีวิตในแคมป์ผู้ลี้ภัยต้องประสบกับภาวะอดยากเนื่องจากการขาดแคลนทั้งอาหาร ยารักษาโรคส่วนใหญ่จึงมีสุขอนามัยที่เลวร้ายส่งผลให้ชาวรวันดาในหลายๆแคมป์เสียชีวิตลงจำนวนมากอย่างต่อเนื่องแม้ภายหลังที่สงครามได้สิ้นสุดลงไปแล้วหลายเดือนแต่ผู้อพยพในแคมป์ก็ยังเสียเสียชีวิตลงอย่างต่อเนื่องตลอดมา

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

ที่เมือง Goma– Zaire ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของรวันดา มีร่างของผู้เสียชีวิตและร่างที่กำลังเน่าเปื่อย  ได้ทับถมกันแนวยาวตลอดช่วงถนน  เพื่อรอรถบรรทุกขนลำเลียงไปยังสุสาน  ขนาดใหญ่และหากมองไปยังกลางถนนอีกหลายเส้นยังคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนชาวรวันดาที่รอดชีวิตจากโรคภัยและสงครามกลางเมือง 
แต่ต้องพบกับสภาพเป็นผู้หิวโหยและอ่อนล้าอีกหลายพันคน  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮูตู  ที่เดินทางไกลร่วม
150 ไมล์เพื่อหลบหนีกองกำลังของชาวตุ๊ดซี่  ที่ต่อสู้เพื่อจะได้ปกครองรวันดากองกำลังชาวตุ๊ดซี่ รู้จักในนามของ RPF ได้ตระเวนไปทั่วรวันดาเพื่อค้นหากลุ่มบุคคลที่รุกฆาตเข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่ที่ได้เกิดขึ้นในเดือนเมษายน ปี 1994 ซึ่งได้ทำให้ชาวตุ๊ดซี่ไม่ต่ำกว่า5 แสนคนและชาวฮูตูจำนวนหนึ่งเสียชีวิต

การหลบหนีของชาวรวันดาได้รวมประชาชนทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพบางคนแต่งกายด้วยชุดสูทและกระโปรงราคาแพง  บางคนสวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งลิ่งเพราะถูกฉีกกระชาก หลายคนเปื้อนดินจากการทำงานในทุ่งนา หลายๆคนเดินเท้าเปล่าจนบวมและเจ็บปวดอันเนื่องมาจากจากการเดินทางไกลอย่างยาวนาน ด้วยความยากลำบาก บางคนถือของส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่มีอะไรเหลือนอกจากเสื้อผ้าที่อยู่บนหลังบ่อยครั้งที่บางคนเหนื่อยอ่อนจากการแบกของส่วนตัวและต้องยอมทิ้งระหว่างทาง  และบางครั้งก็ละทิ้งลูกหลาน ผลที่ตามมาคือนำไปสู่การจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า

สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งอยู่ที่ใจกลางรวันดารับเลี้ยงเด็กประมาณ250 คน ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวตุ๊ดซี่ต้องพบกับสภาวะอดอยาก มื้อเย็นมีแต่ข้าวต้มแข็งๆสีเขียวหลังจากทานมื้อเย็นและอาบน้ำเสร็จ หมออาสาสมัครจะเข้าไปตรวจเด็ก  ซึ่งเด็กบางคนต้องทุกข์ทรมานจากการติดโรคทั้งเอดส์ วัณโรค และมาเลเรีย นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กกำพร้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหนึ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอื่นๆอีกประมาณ100 แห่งในรวันดา ส่วนในประเทศเพื่อนบ้านสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหล่านี้ก็เช่นเดียวกับแคมป์ผู้ลี้ภัยที่มีอยู่รายรอบรวันดากลายเป็นบ้านของเด็กๆราว 1 ล้านคน  ในช่วงวิกฤตสงครามกลางเมืองเด็กกำพร้าหลายคนที่หนีจากรวันดา  ไปพร้อมๆกับญาติพี่น้อง  แต่ก็มีหลายร้อยคนจากหลายพันคน ที่กลายเป็นเด็กกำพร้าหรือถูกแยกจากพ่อแม่ของตนในช่วงสงครามเด็กบางคนเห็นพ่อแม่ของตนถูกฆ่าในขณะที่เด็กบางคนถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเนื่องจากไม่สามารถเลี้ยงหรือดูแลเด็กเหล่านี้ได้อีก

ความสงบสุขพังทลายลง

เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ ประธานาธิบดี Juvenal Habyarimana มีอำนาจปกครองเหนือรวันดาในฐานะพรรคการเมืองพรรคเดียวรัฐบาลนี้ได้เลือกปฏิบัติต่อชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูที่ไม่ได้มาจากบ้านเกิดของตนและยังกีดกันไม่ให้ชาวตุ๊ดซี่ที่ถูกเนรเทศจากประเทศเบอรันดี อูกันดา และแทนเซเนียกลับเข้ามาในรวันดา ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 1990 RPF (กองกำลังชาวตุ๊ดซี่)ได้ต่อสู้กับรัฐบาลของประธานาธิบดี Juvenal Habyarimanaไม่เพียงแต่มุ่งให้ประชาชนที่ถูกเนรเทศได้กลับมาประเทศเท่านั้นแต่ยังมุ่งหมายที่จะก่อตั้งรัฐบาลผสมที่นำมาซึ่งการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อสมาชิกของทั้งสองชนเผ่า

สามปีผ่านไปหลังจากการต่อสู้ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในภูมิภาคห่างไกลทำให้สมาชิกของ RPF(กองกำลังชาวตุ๊ดซี่) และฝ่ายรัฐบาลของประธานาธิบดี Habyarimanaได้ลงนามสัญญาสงบศึก เรียกว่า “ข้อตกลงความสงบอรูชา”
(Arusha Peace Agreement) ข้อตกลงนี้มีผลบังคับ  เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 1993กำหนดการวางแผนอนุญาตให้ชาวตุ๊ดซี่ที่เคยถูกเนรเทศให้กลับมาบ้านและให้รวมกองกำลังRPF ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวตุ๊ดซี่กับกองกำลังรวันดา (FAR) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮูตูเป็นกองกำลังเดียวกัน นอกเหนือจากนั้น ข้อตกลงได้สร้างแผนซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งหลายพรรคการเมืองในปี1995 หรือจะพูดอีกอย่างก็คือประชาชนชาวรวันดาสามารถเลือกรัฐบาลซึ่งประกอบไปด้วยชาวฮูตูและตุ๊ดซี่ ได้เพื่อให้ปกครองประเทศร่วมกัน

ชาวรวันดาบางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกหัวรุนแรงชาวฮูตูภายในรัฐบาลHabyarimana และ พรรคการเมืองMRND ไม่พอใจกับข้อตกลงสงบศึกนี้กลุ่มหัวรุนแรงชาวฮูตูนั้นต่อต้านที่จะแบ่งอำนาจให้ประชาชนรวันดาที่เป็นชาวตุ๊ดซี่หรือพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งๆที่ประชาชนรวันดาส่วนใหญ่จากทั้งสองชนเผ่าหวังว่าข้อตกลงความสงบนี้  จะยุติความขัดแย้งที่รุนแรง  ระหว่างชาวตุ๊ดซี่และฮูตูลงได้ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ในครั้งนี้  FaustinTwagiramungu นักการเมืองชาวฮูตูซึ่งไม่ได้เป็นพวกหัวรุนแรงได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวในช่วงเวลา 18 เดือน  ซึ่งเป็นระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมือง  เพื่อเดินเข้าสู่การเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองผสมจะเกิดขึ้นผู้คนหวังว่า Faustin Twagiramungu จะเป็นผู้นำรัฐบาลที่สามารถนำพาประเทศไปสู่สันติสุข  และยุติความขัดแย้งของชนเผ่าลงได้  การลงนามในข้อตกลงความสงบอรูชาดูเหมือนว่ารวันดาเกือบจะแก้ปัญหาความขัดแย้งทางชนเผ่าได้สำเร็จแต่ด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะเมื่อเดือนเมษายน 1994 ประธานาธิบดี Habyarimana
เสียชีวิตลงเพราะเครื่องบินตกอย่างปริศนา ซึ่งมองกันว่าเป็นการปองร้ายของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยเหตุดังกล่าวส่งผลทำให้สงครามกลางเมืองปะทุกลับมาอีกครั้งความรุนแรงครั้งใหม่นี้ได้ขยายไปทั่ว ประเทศ ทั้งพลเรือน ทั้งกองกำลัง และทหารจำนวนมากมีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่รุนแรงครั้งนี้ด้วย

ความรุนแรงและการแก้แค้น

หลังจากการเสียชีวิตของประธานาธิบดีHabyarimana กลุ่มหัวรุนแรงชาวฮูตูได้ยึดอำนาจรัฐบาลและได้กล่าวหาในทันทีทันใดว่าเหตุการณ์เครื่องบินตกนั้นมีสาเหตุมาจากการกระทำของ RPF(กองกำลังชาวตุ๊ดซี่) และอาศัยการเสียชีวิตของประธานาธิบดีเป็นข้ออ้างในการก่อสงครามกลางเมืองและยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวตุ๊ดซี่และศัตรูทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตก กลุ่มคนหัวรุนแรง Interahamwe ได้ก่อตั้งและตั้งตนเป็นผู้นำการรณรงค์ให้ใช้ความรุนแรง เพื่อต่อชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูที่มีความคิดประนีประนอมและกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุนข้อตกลงอรูชา  หลังจากนั้นเป็นเวลากว่า 14สัปดาห์ที่กองกำลังที่มีสมาชิก FAR พลเรือนผู้มีอำนาจและพลเรือนชาวฮูตูได้เข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูไม่ต่ำกว่าห้าแสนคน

การสังหารอย่างรุนแรงนี้ได้มุ่งเป้าไปที่บุรุษสตรี และเด็ก หลายๆคนที่หนีการสังหารนี้เข้าไปในโบสถ์ สนามกีฬา โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ในบางกรณีกองกำลังฮูตูจงใจที่จะไล่ต้อนให้ประชาชนเข้าไปรวมกันอยู่ในสถานที่เหล่านี้เพื่อที่จะสังหารในคราวเดียวไม่ละเว้นแม้แต่ศาสนสถานตัวอย่างเช่น ใน Kibuye กลุ่มทหารชาวฮูตูและกองกำลังได้บอกกล่าวให้ชาวตุ๊ดซี่หลายพันคนว่าพวกเขาจะปลอดภัยหากหลบอยู่ในสนามกีฬาของเมืองเมื่อสนามกีฬาเต็มไปด้วยผู้คน ทหารเหล่านั้นกลับกราดยิงชาวตุ๊ดซี่ราว 7,000คนที่อยู่ในนั้นแม้บางคนที่ไม่เสียชีวิตเพียงได้รับบาดเจ็บจากการยิงทหารก็จะมาฆ่าด้วยมีดในเวลาต่อมาในโบสถ์ห่างจากเมือง Kigali ไปประมาณ25 ไมล์ทางตะวันออก กองกำลังชาวฮูตูได้สังหารหมู่ชาวตุ๊ดซี่ 1,200 คน ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก โดยใช้อาวุธกึ่งอัตโนมัติ มีด กระบองและหอก
ชาวตุ๊ดซี่หลายคนได้สร้างสถานที่หลบภัยในบ้านหรือใกล้ๆบ้านและอาศัยอยู่ในนั้นหลายเดือนซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่มีน้ำหรืออาหารที่เพียงพอในการดำรงชีวิตบางครั้งถูกค้นพบและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

กลุ่มคนหัวรุนแรงชาวฮูตูทั่วประเทศใช้คำโฆษณาชวนเชื่อเพื่อยั่วยุให้ชาวฮูตูฆ่าเพื่อนบ้านของตนที่เป็นชาวตุ๊ดซี่ 
วิทยุของรัฐบาลและกลุ่มคนหัวรุนแรงชาวฮูตูประกาศเตือนอย่างต่อเนื่องว่าพวก
RPF ต้องการสร้างอำนาจปกครองของชาวตุ๊ดซี่ขึ้นมาใหม่และใครก็ตามที่น่าสงสัยว่าเป็นพวกสนับสนุนRPF

ต้องจัดการให้หมด บ่อยครั้งที่กองกำลังชาวฮูตูชี้แนะและบังคับผู้นำชุมชนและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจัดการสั่งฆ่าชาวตุ๊ดซี่ในพื้นที่ของตน โดยใช้ทั้งมีดยาว มีดสั้นและไม้พลอง บางครั้งคนที่กำลังจะถูกฆ่ามีทางเลือกวิธีการตาย  นั่นคือพวกเขาสามารถจ่ายค่ากระสุนเพื่อที่ตนจะได้ถูกยิงโดยไม่ทรมานเพราะมิฉะนั้นจะถูกฆ่าโดยมีดยาวหรืออาวุธที่ทำขึ้นมาเองเนื่องจากว่ากระสุนมีราคาแพงนอกจากนั้นทหารชาวฮูตูและสมาชิกกองกำลังยังข่มขืนผู้หญิงชาวตุ๊ดซี่อีกหลายพันคน

ในช่วงเวลาของความขัดแย้งนี้ชาวรวันดาทั้งหมดจำต้องพกบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งระบุว่าพวกเขาเป็นชาวฮูตูหรือชาวตุ๊ดซี่เพราะสมาชิกกองกำลังจะตรวจบัตรประจำตัวของบุคคลที่พยายามหนีประชาชนที่มีบัตรประจำตัวระบุว่าเป็นชาวตุ๊ดซี่จะถูกดึงตัวออกจากรถและถูกฆ่า

สมาชิกกองกำลังและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจบังคับและในบางกรณีขู่เข็ญพลเรือนให้มีส่วนร่วมในการสังหารชาวตุ๊ดซี่
ดังนั้นชาวฮูตูบางคนฆ่าชาวตุ๊ดซี่ซึ่งเคยเป็นเพื่อนหรือเพื่อนบ้านมายาวนานแต่ก็มีบางคนกลับเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อช่วยชีวิตชาวตุ๊ดซี่โดยให้ที่หลบซ่อนในบ้านของตนทั้งๆที่การกระทำเช่นนั้นเสี่ยงต่อชีวิตประชาชนชาวรวันดาบางคนเชื่อว่าความขัดแย้งระหว่างชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่เป็นเรื่องปัญหาทางการเมืองมากกว่าเป็นผลมาจากความเกลียดชังทางด้านชาติพันธุ์ความกังวลหลักๆของประชาชนคือห่วงเรื่องการดูแลที่ดินและครอบครัวของตน ในช่วงเวลาแห่งความกลัวและหวาดผวา  หลายคนต้องยอมจำนนต่อความรุนแรง

เวลาไม่นานหลังจากการเริ่มเข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูผู้ประนีประนอมฝ่ายกองกำลังRPF แก้แค้นโดยโจมตีจากทางตอนเหนือของประเทศ ทหาร RPFไล่ตามกองกำลังชาวฮูตูและทหาร FAR ไปที่ทางตอนใต้และทางตะวันตกของรวันดาในการโจมตีนี้ RPF ได้ใช้ AK-47 และปืนใหญ่ภายในไม่กี่สัปดาห์ทหาร RPF ได้ต่อสู้ตั้งแต่ทางตอนใต้ของรวันดาและจากฐานที่ตั้งภายในประเทศจนเอาชนะได้ในเมืองKigali กระทั่งกรกฎาคม ปี 1994 RPF ก็สามารถควบคุมส่วนใหญ่ของประเทศไว้ได้และในกลางเดือนกรกฎาคมสงครามกลางเมืองได้ยุติลง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า RPF จะได้ยุติความรุนแรงลงไปแล้วแต่พลเรือนชาวฮูตูบางส่วนที่กลัวการแก้แค้นของทหารได้ละทิ้งบ้านเรือนถิ่นที่อยู่และประเทศของตนไปเป็นจำนวนมาก

วิกฤติของผู้ลี้ภัย

เนื่องจากรัฐบาลรวันดาและชาวรวันดาเกือบ 1 ล้านคนในจำนวนนี้มีชาวตุ๊ดซี่มากกว่า 5 แสนคนและชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงซึ่งถูกสังหารโดยกองกำลังชาวฮูตูได้เสียชีวิตไปภายในระยะเวลาเพียง14 สัปดาห์ระหว่างการต่อสู้
ซึ่งองค์กรช่วยเหลือหลายองค์กรคาดว่าตัวเลขของยอดผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นทางการน่าจะสูงถึง2.7 ล้านคน จริงๆแล้วนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่ายอดผู้เสียชีวิตแท้จริงแล้วมีจำนวนเท่าใดเพราะการเข่นฆ่าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือก็มักจะฝังศพผู้เสียชีวิตครั้งละมากๆโดยไม่ได้นับจำนวนในบางกรณีผู้ที่สังหารได้ปิดบังและทิ้งศพไว้เพื่ออำพรางจำนวนที่ตนได้ฆ่า

นอกเหนือจากนั้นแล้วกองกำลัง RPF บังคับผลักใสให้ชาวฮูตูจำนวนประมาณ 2.3 ล้านคนให้หนีไปแซร์ เบอรันดี และแทนเซเนีย ส่วนชาวฮูตูคนอื่นๆอีกประมาณ 2.1ล้านคนกลับตั้งรกรากในอีกพื้นที่หนึ่งของประเทศที่ไม่ใช่พื้นที่ขัดแย้งซึ่งพวกเขาก็หวังว่าจะปลอดภัยเนื่องจากว่า RPF ได้โจมตีจากทางเหนือของประเทศและได้ใช้เส้นทางไปจนถึงทางตะวันตกเฉียงใต้ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จึงลงเอยหลบภัยอยู่ที่เบอรันดีในแซร์หรือทางตอนใต้หรือทางตะวันตกของประเทศ

แซร์เป็นภูมิภาคที่รองรับกลุ่มผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลไว้เมืองบูคาวูซึ่งตั้งอยู่ที่ทะเลสาบคิวูทางตอนใต้ของแซร์ได้รับผู้ลี้ภัยจำนวน 3 แสน 6 หมื่นคนเอาไว้เมื่อเจ้าหน้าที่ของแซร์ได้ปิดเขตแดนที่บูคาวูเพียงหนึ่งวันผู้ลี้ภัยซึ่งสิ้นหวังกับการหนีออกนอกรวันดาถึงกับกระโดดลงทะเลสาบและว่ายน้ำข้ามมาที่แซร์ในขณะที่บางส่วนข้ามมาโดยใช้เรือแคนู 
ในขณะเดียวกันชาวรวันดาประมาณ
1 แสน 8 หมื่นคนหนีไปที่เบอรันดีและผู้ลี้ภัยจำนวน 6แสนคนได้หนีไปที่แทนเซเนีย ในครั้งนี้ในเดือนเมษายน มีผู้ลี้ภัยเกือบ 2 แสน 5หมื่นคนหนีไปที่เมืองงารา แทนเซเนียเมืองเล็กที่เขตชายแดนรวันดาภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง เหตุการณ์นี้เป็นการอพยพของประชาชนจำนวนมหาศาลที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกหลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา แซร์ได้รับผู้ลี้ภัยจำนวน 8 แสนคนในเวลาไม่กี่วันการอพยพของประชาชนจำนวนมากล้นหลามนี้ได้กลายเป็นวิกฤตทางด้านมนุษยธรรมตามมา

ภายในแคมป์ผู้ลี้ภัยผู้คนจำนวนมากที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะอยู่รอด นอกเหนือจากก่อสร้างที่พักพิงแล้วผู้ลี้ภัยได้สร้างโรงอาหาร โบสถ์และร้านค้าเล็กๆที่สามารถขายทุกอย่างตั้งแต่ผลผลิตจากพืช บุหรี่ ไม้ขีดไฟ ไปจนถึงโซดาบางคนปลูกข้าวโพดเป็นหย่อมๆในพื้นที่เล็กๆ ในขณะที่คนอื่นๆเก็บไม้ ไม้ไผ่ และของอื่นๆเพื่อขาย แม้ธุรกิจผิดกฎหมายยังคงอยู่รอดในแคมป์ผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัยในบูคาวู และแซร์ มักจะเดินทางไปไคยานกูซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรวันดาเพื่อจะปล้นทรัพย์สินตามท้องถนนตามร้านค้าหรือบ้านเรือนแถบนั้น หลังจากที่รวบรวมทรัพย์สิน  เช่นยางรถ เบาะนั่งรถ ชิ้นส่วนยนต์ชิ้นส่วนห้องน้ำ  และประตูได้แล้วก็จะเอาทรัพย์สินเหล่านั้นจำหน่ายภายในแคมป์คนกลุ่มนี้ใช้เงินจากธุรกิจผิดกฎหมายเพื่อซื้ออาหารและสิ่งของอื่นในการอยู่รอดในขณะที่ผู้ลี้ภัยที่ใช้ชีวิตปกติและพยายามอยู่รอดจากการช่วยเหลือขององค์กรการกุศล  องค์กรช่วยเหลือเอกชนได้สร้างห้องน้ำ  หลุมฝังศพ และจัดหาเสื้อผ้า อาหารน้ำและยาให้ผู้อพยพแต่ก็ไม่เพียงพอ

น้ำสะอาดเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะหามาได้ในช่วงวิกฤตของผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ในแซร์ได้ตั้งถิ่นที่อยู่ชั่วคราวของตนริมทะเลสาบคิวู อย่างไรก็ตามทะเลสาบเป็นพิษเนื่องจากก๊าซมีเทนจำนวนมากและได้คร่าชีวิตสัตว์ป่าทั้งหมดที่อยู่แถบนั้นก๊าซพิษถูกสร้างขึ้นจากการเน่าเปื่อยของอินทรีย์วัตถุในท้องทะเลสาบนอกจากนั้นทะเลสาบคิวูก็ยังปนเปื้อนด้วยซากศพและอุจจาระของมนุษย์ซึ่งก่อให้เกิดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และสัตว์
องค์กรที่ดูแลแคมป์ที่พักพิงของผู้ลี้ภัยไม่สามารถสรรหาน้ำสะอาดให้ได้จำนวนเพียงพอกับการอุปโภคและบริโภคของทุกคนดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ลี้ภัยจะรับรู้ถึงอันตรายของน้ำในทะเลสาบแต่ความสิ้นหวังดังกล่าวจากทำให้ผู้ลี้ภัยจำนวนมากก็ยังคงดื่มน้ำจากทะเลลาบต่อไปโดยไม่มีทางเลือก

การขาดแคลนน้ำสะอาดในแคมป์ผู้ลี้ภัยทำให้เกิดโรคระบาดทั้งอหิวาตกโรคและโรคบิดอหวิตกโรคซึ่งเป็นโรคเกิดจากแบคทีเรียส่งผลให้ร่างกายมนุษย์เกิดการสูญเสียน้ำอย่างรุนแรงและหากไม่ได้รับการรักษาในทันท่วงทีส่วนใหญ่จะถึงแก่ชีวิต  อหิวาตกโรคได้รับการรักษาในแคมป์นี้โดยใช้วิธีแบบง่ายๆกล่าวคือโดยการใช้น้ำและเกลือเท่านั้นส่วนโรคบิดเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงและต้องการการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างน้อยห้าวันติดกันแต่เนื่องจากแคมป์ไม่สามารถรักษาทั้งสองโรคดังกล่าวนี้ได้ผู้ลี้ภัยหลายพันคนจึงเสียชีวิตลงเมื่อถึงช่วงฤดูฝนซึ่งมีระยะเวลาอันยาวนานโรคภัยต่างๆลุกลามในหมู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว เพราะมีการเบียดเสียดยัดเยียดอย่างแออัดจึงทำให้มีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นการระบาดของอหิวาตกโรคและโรคบิดได้คร่าชีวิตประชากรประมาณ 2,000 คนต่อวันโดยรวมแล้วโรคภัยทั้งหลายได้คร่าชีวิตผู้ลี้ภัยไปประมาณไม่ต่ำกว่า  5 หมื่นคนในปี 1994

ความหิวโหย  ร่างกายขาดน้ำ ความอ่อนล้าของร่างกายและโรคภัยเช่น อหิวาตกโรค โรคบิด ได้ก่อให้เกิดความสิ้นหวังภายในแคมป์เพราะได้คร่าชีวิตผู้ลี้ภัยไปแล้วหลายหมื่นคนมีการฝังศพอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค  การที่ผู้ลี้ภัยเสียชีวิตจำนวนมากทำให้องค์กรช่วยเหลือได้แต่รวมและกองศพไว้ในหลุมศพขนาดใหญ่
โดยไม่มีเวลาที่จะกลบฝังให้มิดชิด แต่เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงจนเหลือจำนวนน้อยกว่า
200 คนต่อวัน ศพจะถูกห่อในเสื่อและใช้ดินและปูนขาวทับปกคลุม หลุมศพขนาดใหญ่ยักษ์นี้มีขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลตั้งอยู่กึ่งกลางแคมป์มูกันกา อันเป็นสถานที่ฝังศพเหยื่อจากโรคภัย โดยมีธงสีขาวปักอยู่ใกล้กับหลุมศพเป็นสิ่งระลึกผู้ลี้ภัยและสมาชิกองค์กรช่วยเหลือ  และที่สำคัญเพื่อระลึกถึงหายนะที่โหมกระหน่ำและการรุกฆาตชีวิตมนุษย์ในภูมิภาคนี้

ตั้งแต่สงครามสิ้นสุดลงรวันดาพยายามที่จะกลับมาอยู่ได้ด้วยตัวเอง  รัฐบาลได้กระตุ้นให้ผู้ลี้ภัยกลับเข้าประเทศ  ในเดือนสิงหาคม และในปลายปีของปี 1994รถประจำทางได้วิ่งระหว่างโกมา และคิกาลีเพื่อขนส่งผู้ลี้ภัยกลับบ้าน ภายในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1995 ประชาชนจำนวน 3 แสนคนได้กลับสู่ถิ่นฐาน  แต่การดำเนินการยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ
จนกระทั่งปลายปี
1996 ผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลได้กลับประเทศจากแซร์และแทนเซเนีย รัฐบาลหวังว่าการกลับมาของผู้ลี้ภัยจะทำให้ปิดที่พักพิงผู้ลี้ภัย(แคมป์)ลงได้ ซึ่งแคมป์เหล่านี้เป็นที่หลบภัยของกองกำลังชาวฮูตูที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่การยุติของสงครามกลางเมืองสมาชิกกองกำลังได้ใช้แคมป์ในการรวมกลุ่มและวางแผนการโจมตีครั้งใหม่ต่อรัฐบาลการปิดแคมป์จะทำให้การวางแผนโจมตีนี้หมดสิ้นไป

รัฐบาลรวันดาได้ต้อนรับการกลับมาของผู้ลี้ภัยแต่ก็ยังคงมีความรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างการอพยพคืนถิ่นฐานชาวรวันดาบางคนเชื่อว่าการกลับมาของชาวฮูตูที่หนีไปก็ เพราะว่าพวกเขารู้สึกผิดที่มีส่วนร่วมในการสังหารชาวตุ๊ดซี่  และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงชาวเมืองได้จู่โจมการกลับมาของชาวฮูตูก็เพราะด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตามนอกเหนือจากปัญหาของประเทศที่มีอยู่แล้วการไหลทะลักของชาวตุ๊ดซี่กลับเข้ามาประเทศจากอูกันดาและเบอรันดีหลังจากชัยชนะของRPF ก็เป็นปัญหาสำคัญประชาชนเหล่านี้ได้เข้าครอบครองบ้าน ธุรกิจและที่ดินที่ถูกทอดทิ้งและไม่คิดจะคืนแก่เจ้าของที่แท้จริงผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่กลับเข้าประเทศหวาดกลัวเกินกว่าจะกลับบ้านเพราะพวกเขากลัวว่าหากพวกเขาพยายามที่จะอ้างสิทธิในทรัพย์สินของตนกลับคืนมาแล้วพวกเขาจะถูกทำร้ายขณะนั้นประชาชนหลายคนยังคงถูกพลัดพรากจากที่อยู่ของตนภายในประเทศ

ปัญหาที่ยังโต้เถียงกันอีกเรื่องคือความยุติธรรมรัฐบาลรวันดาต้องการให้บุคคลที่รับผิดชอบต่อความรุนแรงถูกลงโทษและได้จับกุมชาวฮูตูหลายพันคนเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว และเมื่อปี 1998 รัฐบาลได้จับกุมประชาชนเกือบ1แสน 2 หมื่นคน  ในการมีส่วนร่วมการใช้ความรุนแรงต่อชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรง  เมื่อปี 1994 หลายคนที่ถูกจับยังไม่ได้ถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการว่ากระทำผิดในขณะที่คนอื่นๆต้องรอเป็นเวลาหลายปีเพื่อตัดสินคดี
นอกเหนือจากนั้นการจับกุมจำนวนมากได้ก่อให้เกิดปัญหาอีกอย่างตามมานั่นคือนักโทษล้นคุกซึ่งนักโทษที่อยู่ในนั้นต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่ถูกสุขลักษณะกลุ่มนักส่งเสริมสิทธิมนุษยชนก็เริ่มมีความกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้

สงครามกลางเมืองนั้นยุติอย่างเป็นทางการแล้วแต่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไประหว่างกองกำลังของรัฐบาลรวันดาชุดใหม่กับกองกำลังชาวฮูตูที่เหลือการโจมตีอย่างทันควัน การลุกขึ้นก่อจลาจลและการซุ่มโจมตีเป็นสิ่งที่รัฐบาลทหารและพลเรือนผู้ที่ต้องการแก้แค้นหรือไม่ก็พยายามทวงสิทธิในทรัพย์สินของตนคืนพยายามปลุกปั่นขึ้นความรุนแรงต่อเนื่องนี้ได้คุกคามความคาดหวังต่างๆของขบวนการการเจรจาประนีประนอมระหว่างชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่เช่นกัน

รวันดานั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกมานานแล้ว  โดยเมื่อปี 1997 รวันดาได้รับการพิจารณาให้เป็นประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดอันดับที่ 2ของโลก ด้วยอาณาเขตบางส่วนถูกทิ้งรกร้างถนนและทุ่งหญ้านั้นก็ปกคลุมด้วยหญ้ารก จำเป็นจะต้องใช้กำลังแรงงานสำคัญเพื่อที่จะทำให้ใช้งานได้อีกครั้งในขณะที่ประชาชนกลับมาตั้งรกรากอีกครั้งก็ต้องเผชิญกับปัญหาในการเตรียมผืนดินจากทุ่งหญ้ารกและต้องรอคอยเป็นเวลาหลายฤดูกาลเพื่อที่จะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิต  ในบางพื้นที่เกิดการขาดแคลนอาหารและความอดอยาก  โดยเฉพาะเด็กต้องทุกข์ทรมานอย่างที่สุดหลายคนที่ถูกพบในใจกลางทุ่งสังหารได้รับบาดเจ็บสาหัส เด็กเหล่านั้นจึงเป็นประจักษ์พยานได้พบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งการเข่นฆ่าเพื่อนและสมาชิกของครอบครัวตนเด็กบางคนที่หนีไปได้แต่ต้องดำรงชีวิตอยู่กับภาพความทรงจำเลวร้ายมาหลอกหลอน องค์กรช่วยเหลือองค์กรหนึ่งได้รายงานว่าจนถึงปี 1998 เด็กชาวรวันดาประมาณ3 แสนคนกลายเป็นเด็กกำพร้าหรือถูกทอดทิ้งโดยไม่มีผู้ใหญ่ปกครอง
เหตุการณ์เมื่อปี1994 ได้ทำลายรวันดาลงอย่างย่อยยับผู้สังเกตการณ์นานาชาติได้ประเมินว่าสงครามกลางเมืองและวิกฤตผู้ลี้ภัยได้ทำให้ประชาชนในรวันดาเหลือเพียง 5 ล้านคน จากที่มีอยู่ 8ล้านคน
ยิ่งกว่านั้นความขัดแย้งได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและเหลือไว้เพียงแต่ซากแห่งความหายนะทางสังคมและเศรษฐกิจตามมา  ปัญหาของชนชั้นและชาติพันธุ์ได้กลายเป็นเงื่อนไขที่ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างกัน  เพื่อแสวงหาอำนาจให้กับฝ่ายตนอำนาจจึงเป็นเมฆหมอกอุปสรรคปกคลุมบดบังความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติพันธุ์ลงหมดสิ้น  กระทั่งได้นำไปสู่การเลือกปฏิบัติและการใช้ความรุนแรงตลอดศตวรรษที่ยี่สิบ     ดังนั้นการที่จะเข้าใจรากเหง้าของการใช้ความรุนแรงได้ดียิ่งขึ้น
จึงมีความจำเป็นที่จะค้นหาจุดเริ่มต้นของตำนานและการตีความผิดๆของชาวรวันดาซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์ในระยะเวลาที่ผ่านมา...............

หมายเลขบันทึก: 513857เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2012 18:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 ธันวาคม 2012 22:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท