สาบานได้เลยว่า นี่คือประวัติศาสตร์ชีวิตในรอบสี่ห้าเดืนของผมเลยทีเดียว. เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมมีเวลาเสาร์-อาทิตย์อยู่ติดบ้าน
เวลาส่วนใหญ่ ผมอุทิศให้กับการนอนและดูทีวีสลับกันไป
ครั้นถึงช่วงเย็นของวันอาทิตย์ ผมก็รับอาสาพาสองหนุ่มมาเตะฟุตบอล.
ผมถือหนังสือติดมือมาอ่าน. ขณะสองหนุ่มขนอุปกรณ์การเตะมาครบครัน
สนามที่สองหนุ่มมาเตะบอลเป็นสนามกีฬาในบ้านท่าขอนยาง. ห่างจากมหาวิทยาลัยในราวเกือบสามกิโลเมตร
ทั้งผมและสองหนุ่มมาก่อนเวลาพอสมควร เราคุยกันในรถว่าเราต้องซื่อสัตย์ต่อการนัดหมาย
เพื่อนๆ. ของพวกเขาเป็นเด็กในชุมชนแห่งนี้ทั้งหมด ผมชอบบรรยากาศเช่นนี้มาก. ชอบเพราะเห็นโลกอีกใบของลูกๆ. พวกเขาพูดภาษาไทยกลางกับเพื่อนๆ ชอบที่เห็นว่าเจ้าน้องดินรู้ว่าบ้านหลังไหนคือบ้านเพื่อน และทุกครั้งที่จะไปชวนเพื่อน เขาจะมาบอกกล่าวและขออนุญาตผมเสมอ
รวมถึงการชอบและมีความสุขกับการได้ยินเพื่อนของเจ้าดิน เรียกเจ้าแดนด้วยชื่อเดียวกันคือ "เจ้าจุก"
การมาเตะบอลครั้งนี้เสมือนส่งลูกมาเรียนพิเศษในอีกมิติหนึ่ง.
เราคุยกันถึงตำนานท่าขอนยางที่เกี่ยวกับจระเข้ ซึ่งเจ้าจุกยังชิงบอกว่าในวัดใกล้ๆ. มีรูปปั้นจระเข้อยู่ด้วย
ครับ. เขารู้ดีว่าชุมชนแห่งนี้ผู้คนอพยพข้ามมาจากอีกฟากของแม่น้ำโขง. และมีตำนานเล่าอันเลื่องชื่อเกี่ยวกับจระเข้ที่ก5ลืนกินลูกสาวเจ้าเมืองเมื่อบรรพกาล. ซึ่งเขารู้เพราะผมเล่าให้ฟัง. รวมถึงการรู้ เพราะเพื่อนในชุมชนแห่งนี้บอกเล่านั่นเอง
การพาสองหนุ่มมาเตะบอลเช่นนี้คือการหลีกหลบออกมาจากบริบทสังคมของความเป็นมหาวิทยาลัย. ที่แทบจะมองหาพื้นที่ชีวิตเช่นนี้ให้กับลูกๆ ได้แสนยาก. - สนามหญ้าอันจำกัด เครื่องเล่นที่ไร้ชีวิต. ล้วนบีบบังคับให้ท่องเล่นอยู่แต่ในห้อง. หรือไม่ก็จ้องเขม็งอยู่แต่กับจอทีวี หรือดีสุดก็คือการวิ่งเล่นตามซอกซอยในชั้นต่างๆ. ของแฟลต หรือคอนโดอันเป็นที่พัก
การได้พาสองหนุ่มมาเตะบอลเช่นนี้ ชวนให้ผมหวนคิดกลับสู่วัยเด็กของผมเอง
ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสแบบนี้ เลิกเรียนต้องตักน้ำ. ล้างจาน. รดน้ำผัก ถูบ้าน. นึ่งข้าว. ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน หลังเปลี่ยนชุดนักเรียนแล้วกลับมีเสรีภาพที่จะมาเตะบอล เตะตะกร้ฉย่างสนุก. มีบางวันถึงขั้นประชันฝีเท้าข้ามหมู่บ้านเลยก็มี ส่วนเสาร์อาทิตย์ ผมก็สวมบทบาทเด็กเลี้ยงวัวอย่างภาคภูมิ หากตะวันไม่ร่ำลาแผ่นฟ้า ก็อย่าคิดว่าจะกลับถึงบ้าน
ครับ วันนี้ทั้งวันอากาศดีมาก แดดไม่ร้อนจัดจ้า. เป็นครั้งแรกที่สายลมหนาวแสดงตัวตนอย่างไม่เขินอายทั่วทั้งวัน
และเป็นวันที่ผมได้พักผ่อนทั้งกายและจิตวิญญาณ...
ผมมีความสุข สัมผัสได้กับพลังชีวิต.
ผมมีความสุขกับการได้เห็นคนต่างวัยเตะบอลลูกเดียวกันอย่างเป็นมิตร. รู้หนักรู้เบา. รู้เด็ก รู้ผู้ใหญ่ ...
สุขใจกับการแว่วยินเสียงสวดมนต์เย็นกังวานผ่านทะลุกำแพงวัด ผ่านสนามฟุตบอลและมุ่งสู่ครัวเรือนต่างๆ.
รวมถึงสุขใจกับภาพเจ้าดินวิ่งไล่บอลไม่หยุด. ได้บอลบ้าง ไม่ได้บอลบ้าง
และสุขใจกับภาพที่เจ้าจุก เดินบ้าง หยุดบ้าง...และกว่าจะได้สัมผัสบอลแต่ละที ก็รอเวลาอันนานโข
ครับ. ผมมีความสุขอย่างมหาศาล.
และเชื่อว่าสองหนุ่ม. จะรู้สึกไม่ต่างจากผม
สุขใดไหนเล่า จะสุขเท่าความสุขในครอบครัว
เด็กๆคงดีใจมากมาย..
เห็นด้วยกับคุณมะเดื่อค่ะ สุขในครอบครัว
อ่ะ ถ่ายตัวเองด้วยตัวเองเหรอครับนั่น ;)...
มีความสุขอย่างมหาศาลไปด้วยค่ะ
ภาพถ่ายสวยยิ่ง ทุกภาพค่ะ
happy ba ค่ะท่านแผ่นดิน
สวัสดีครับคุณ มะเดื่อ
เห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับว่าความสุขจากคนในครอบครัว คือพลังอันยิ่งใหญ่ เหมือนเมล็ดพันธ์ชีวิตได้แตกใบและหยั่งรากในตัวตนของเรา หรือแม้แต่คนของความรักของเรานั่นเอง. สิ่งเหล่านี้ถือเป็นทุนชีวิตที่ทรงพลังน่าดูเลยทีเดียว
ได้ความสุขกันมากมาย ดีมากๆนะคะ อ่าน นึกภาพตาม ชมภาพบันทึกนี้ก็มีความสุขไปด้วยค่ะ
มีความสุขที่น่าจดจำสำหรับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง
สองหนุ่มจะเดินตามรอยคุณพ่อไหมน๊า....
น่ารักมากค่ะทั้งสามหนุ่ม
ขอบคุณความอ่อนโยนค่ะ