ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี
ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์
มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ธรรมศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าเพื่อเป็นหลักฐานทางวิชาการทางพระพุทธศาสนา
ตามหลักสูตรวิจัยคัมภีร์พระพุทธศาสนา มูลนิธิเบญจนิกาย พุทธศักราช ๒๕๕๐พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๕๐๐ เล่ม
เพื่อเป็นธรรมทานไม่สงวนลิขสิทธิ์
บทที่ ๑
๑. คน
ปจฺเจกจิตฺตาปุถูสพฺพสตฺตา
ประดาสัตว์ต่างคนก็แต่ละจิตแต่ละใจ[๐๑.๐๑] (๒๗/๑๘๒๗∗)
๑.
คน
ปจฺเจกจิตฺตาปุถูสพฺพสตฺตา
ประดาสัตว์ต่างคนก็แต่ละจิตแต่ละใจ[๐๑.๐๑] (๒๗/๑๘๒๗∗)
นานาทิฏฺฐิเกนานยิสฺสสิเต
มนุษย์ทั้งหลายต่างความคิดต่างความเห็นกันท่านจะ
กำหนดให้คิดเห็นเหมือนกันหมดเป็นไปไม่ได้
ตัวเลขในวงเล็บคือ [หมวดที่. ภาษิตที่]คือที่มาในพระไตรปิฎก (เล่ม/ข้อ) [๐๑.๐๒] (๒๗/๗๓๐)
ยถานสกฺกาปฐวีสมายํ
กาตุมนุสฺเสนตถามนุสฺสา
แผ่นดินนี้ไม่อาจทำให้เรียบเสมอกันทั้งหมดได้ฉันใดมนุษย์ทั้งหลายจะทำให้เหมือนกันหมดทุกคนก็ไม่ได้ฉันนั้น[๐๑.๐๓] (๒๗/๗๓๑)
เยเนวเอโกลภเตปสํสํ
เตเนวอญฺโญลภเตนินฺทิตารํ
เหตุอย่างหนึ่งทำให้คนหนึ่งได้รับการสรรเสริญเหตุอย่างเดียวกันนั้นทำให้อีกคนหนึ่งได้รับการนินทา[๐๑.๐๔] (๒๗/๑๘๓๖)
ตเถเวกสฺสกลฺยาณํตเถเวกสฺสปาปกํ
ตสฺมาสพฺพํนกลฺยาณํสพฺพํวาปินปาปกํ
สิ่งเดียวกันนั่นแหละดีสำหรับคนหนึ่งแต่เสียสำหรับอีกคนหนึ่งเพราะฉะนั้นสิ่งใดๆมิใช่ว่าจะดีไปทั้งหมดและก็มิใช่จะเสียไปทั้งหมด[๐๑.๐๕] (๒๗/๑๒๖)
อุกฺกฏฺเฐสูรมิจฺฉนฺติมนฺตีสุอกุตูหลํ
ปิยญฺจอนฺนปานมฺหิอตฺเถชาเตจปณฺฑิตํ
เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงย่อมต้องการคนกล้าหาญ
เมื่อเกิดข่าวตื่นเต้นย่อมต้องการคนหนักแน่น
เมื่อมีข้าวน้ำบริบูรณ์ย่อมต้องการคนที่รัก
เมื่อเกิดเรื่องราวลึกซึ้งย่อมต้องการบัณฑิต
อลโสคิหีกามโภคีนสาธุ
อสญฺญโตปพฺพชิโตนสาธุ
ราชานสาธุอนิสมฺมการี
โยปญฺฑิโตโกธโนตํนสาธุ
คฤหัสถ์ชาวบ้านเกียจคร้านไม่ดี
บรรพชิตไม่สำรวมไม่ดีผู้ครองแผ่นดินไม่ใคร่ครวญก่อนทำไม่ดีบัณฑิตมักโกรธไม่ดี[๐๑.๐๗](๒๗/๒๑๗๕)
ทกฺขํคหปตํสาธุสํวิภชฺชญฺจโภชนํ
อหาโสอตฺถลาเภสุอตฺถพฺยาปตฺติอพฺยโถ
ผู้ครองเรือนขยันดีข้อหนึ่งมีโภคทรัพย์แล้วแบ่งปันดีข้อสองถึงทีได้ผลสมหมายไม่เหลิงลอยดีข้อสามถึงคราวสูญเสียประโยชน์ไม่หมดกำลังใจดีครบสี่[๐๑.๐๘] (๒๗/๑๑๗๕)
นมชฺเชถยสํปตฺโต
ข้อหนึ่งได้ยศแล้วไม่พึงเมา
นพฺยาเธปตฺตสํสยํ
ข้อสองถึงมีเหตุอาจถึงแก่ชีวิตไม่พึงใจเสีย
วายเมเถวกิจฺเจสุ
ข้อสามพึงพยายามทำกิจทั้งหลายเรื่อยไป
สํวเรวิวรานิจ
ข้อสี่พึงระวังตนมิให้มีช่องเสีย[๐๑.๐๙] (๒๘/๒๒๖)
ทุลฺลโภองฺคสมฺปนฺโน
คนที่มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่างหาได้ยาก
สนนฺตายนฺติกุสุพฺภาตุณฺหียนฺติมโหทธิ
ห้วยน้ำน้อยไหลดังสนั่นห้วงน้ำใหญ่ไหลนิ่งสงบ
ยทูนกํตํสนติยํปูรํสนฺตเมวตํ
สิ่งใดพร่องสิ่งนั้นดังสิ่งใดเต็มสิ่งนั้นเงียบ
อฑฺฒกุมฺภูปโมพาโลรหโทปูโรวปณฺฑิโต
คนพาลเหมือนหม้อมีน้ำครึ่งเดียวบัณฑิตเหมือนห้วงน้ำที่เต็ม
โยจวสฺสสตํชีเวกุสีโตหีนวีริโย
เอกาหํชีวิตํเสยฺโยวิริยํอารภโตทฬฺหํ
ผู้ใดเกียจคร้านหย่อนความเพียรถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีก็ไม่ดีอะไรชีวิตของผู้เพียรพยายามจริงจังมั่นคงเพียงวันเดียวยังประเสริฐกว่า[๐๑.๑๒](๒๕/๑๘)
มาเสมาเสสหสฺเสนโยยเชถสตํสมํ
เอกญฺจภาวิตตฺตานํมุหุตฺตมปิปูชเย
สาเยวปูชนาเสยฺโยยญฺเจวสฺสสตํหุตํ
ผู้ใดใช้ทรัพย์จำนวนพันประกอบพิธีบูชาทุกเดือนสม่ำเสมอตลอดเวลาร้อยปีการบูชานั้นจะมีค่ามากมายอะไรการยกย่องบูชาบุคคลที่อบรมตนแล้วคนหนึ่งแม้เพียงครู่เดียวประเสริฐกว่า[๐๑.๑๓](๒๕/๑๘)
นชจฺจาวสโลโหติ
ใครๆจะเป็นคนเลวเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่
นชจฺจาโหติพฺราหฺมโณ
ใครๆจะเป็นคนประเสริฐเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่
กมฺมุนาวสโลโหติ
คนจะเลวก็เพราะการกระทำความประพฤติ
กมฺมุนาโหติพฺราหฺมโณ
คนจะประเสริฐก็เพราะการกระทำความประพฤติ[๐๑.๑๔] (๑๓/๗๐๗)
เนสาสภายตฺถนสนฺติสนฺโต
สัตบุรุษไม่มีในชุมชนใดชุมนุมนั้นไม่ชื่อว่าสภา[๐๑.๑๕](๑๕/๗๒๕)
นกามกามาลปยนฺติสนฺโต
สัตบุรุษไม่ปราศรัยเพราะอยากได้กาม[๐๑.๑๖](๒๕/๑๗)
สนฺโตนเตเยนวทนฺติธมฺมํ
ผู้ใดไม่พูดเป็นธรรมผู้นั้นไม่ใช่สัตบุรุษ[๐๑.๑๗](๑๕/๗๒๕)
สุเขนผุฏฺฐาอถวาทุกฺเขน
นอุจฺจาวจํปณฺฑิตาทสฺสยนฺติ
บัณฑิตได้สุขหรือถูกทุกข์กระทบก็ไม่แสดงอาการขึ้นๆลง[๐๑.๑๘](๒๕/๑๗)
เอวเมวมนุสฺเสสุทหโรเจปิปญฺญวา
โสหิตตฺถมหาโหติเนวพาโลสรีรวา
ในหมู่มนุษย์นั้นถึงแม้เป็นเด็กถ้ามีปัญญาก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่แต่ถ้าโง่ถึงร่างกายจะใหญ่โตก็หาเป็นผู้ใหญ่ไม่[๐๑.๑๙](๒๗/๒๕๔)
นเตนโสเถโรโหติเยนสฺสปลิตํสิโร
ปริปกฺโกวโยตสฺสโมฆชิณฺโณติวุจฺจติ
คนจะชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่เพียงเพราะมีผมหงอกก็หาไม่
ถึงวัยของเขาจะหง่อมก็เรียกว่าแก่เปล่า[๐๑.๒๐](๒๕/๒๙)
ยมฺหิสจฺจญฺจธมฺโมจอหึสาสญฺญโมทโม
สเววนฺตมโลธีโรโสเถโรติปวุจฺจติ
ส่วนผู้ใดมีสัจจะมีธรรมมีอหิงสามีสัญญมะมีทมะผู้นั้นแลเป็นปราชญ์สลัดมลทินได้แล้วเรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่
นนคฺคจริยานชฏานปงฺกา
นานาสกาตณฺฑิลสายิกาวา
รโชชลฺลํอุกฺกุฏิกปฺปธานํ
โสเธนฺติมจฺจํอวิติณฺณกงฺขํ
มิใช่การประพฤติตนเป็นชีเปลือยมิใช่การเกล้าผมทรงชฎามิใช่การบำเพ็ญตบะนอนในโคลนตมมิใช่การอดอาหารมิใช่การนอนกับดินมิใช่การเอาฝุ่นทาตัวมิใช่การตั้งท่านั่งดอกที่จะทำให้คนบริสุทธิ์ได้ในเมื่อความสงสัยยังไม่สิ้น[๐๑.๒๒](๒๕/๒๐)
อลงฺกโตเจปิสมํจเรยฺย
สนฺโตทนฺโตนิยโตพฺรหฺมจารี
สพฺเพสุภูเตสุนิธายทณฺฑํ
โสพฺราหฺมโณโสสมโณสภิกฺขุ
ส่วนผู้ใดถึงจะตกแต่งกายสวมใส่อาภรณ์แต่หากประพฤติชอบเป็นผู้สงบฝึกอบรมตนแน่วแน่เป็นผู้ประพฤติธรรมอันประเสริฐเลิกละการเบียดเบียนปวงสัตว์ทั้งหมดแล้วผู้นั้นแลจะเรียกว่าเป็นพราหมณ์เป็นสมณะหรือเป็นพระภิกษุก็ได้ทั้งสิ้น[๐๑.๒๓](๒๕/๒๐)
โยพาโลมญฺญติพาลฺยํ
ปณฺฑิโตวาปิเตนโส
พาโลจปณฺฑิตมานี
สเวพาโลติวุจฺจติ
ผู้ใดเป็นพาลรู้ตัวว่าเป็นพาลก็ยังนับว่าเป็นบัณฑิตได้บ้างส่วนผู้ใดเป็นพาลแต่สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิตผู้นั้นแลเรียกว่าเป็นพาลแท้ๆ[๐๑.๒๔](๒๕/๑๕)
สาธุโขปณฺฑิโตนามนเตฺววอติปณฺฑิโต
อันว่าบัณฑิตนั้นดีแน่แต่ว่าบัณฑิตเลยเถิดไปก็ไม่ดี[๐๑.๒๕](๒๗/๙๘)
นหิสพฺเพสุฐาเนสุปุริโสโหติปณฺฑิโต
อิตฺถีปิปณฺฑิตาโหติตตฺถตตฺถวิจกฺขณา
บุรุษจะเป็นบัณฑิตในทุกสถานก็หาไม่สตรีมีปัญญาหยั่งเห็นในการณ์นั้นๆก็เป็นบัณฑิต[๐๑.๒๖](๒๗/๑๑๔๑)
นหิสพฺเพสุฐาเนสุปุริโสโหติปณฺฑิโต
อิตฺถีปิปณฺฑิตาโหติลหุมตฺถํวิจินฺติกา
บุรุษจะเป็นบัณฑิตในทุกสถานก็หาไม่สตรีคิดการได้ฉับไวก็เป็นบัณฑิต[๐๑.๒๗](๒๗/๑๑๔๒)
ยสํลทฺธานทุมฺเมโธอนตฺถํจรติอตฺตโน
อตฺตโนจปเรสญฺจหึสายปฏิปชฺชติ
คนทรามปัญญาได้ยศแล้วย่อมประพฤติแต่การอันไม่เกิดคุณค่าแก่ตนปฏิบัติแต่ในทางที่เบียดเบียนทั้งตนและคนอื่น[๐๑.๒๘](๒๗/๑๒๒)
อุชฺฌตฺติพลาพาลา
ขุมกำลังของคนพาลคือการจ้องหาโทษของคนอื่น
นิชฺฌตฺติพลาปณฺฑิตา
ขุมกำลังของบัณฑิตคือการไตร่ตรองโดยพินิจ[๐๑.๒๙](๒๓/๑๑๗)
นินฺทนฺติตุณฺหิมาสินํ
คนนั่งนิ่งเขาก็นินทา
นินฺทนฺติพหุภาสินํ
คนพูดมากเขาก็นินทา
มิตภาณิมฺปินินฺทนฺติ
แม้แต่คนพูดพอประมาณเขาก็นินทา
นตฺถิโลเกอนินฺทิโต
คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก[๐๑.๓๐](๒๕/๒๗)
นจาหุนจภวิสฺสตินเจตรหิวิชฺชติ
เอกนฺตํนินฺทิโตโปโสเอกนฺตํวาปสํสิโต
คนที่ถูกนินทาอย่างเดียวหรือได้รับการสรรเสริญอย่างเดียวไม่เคยมีมาแล้วจักไม่มีต่อไปถึงในขณะนี้ก็ไม่มี[๐๑.๓๑](๒๕/๒๗)
ยญฺเจวิญฺญูปสํสนฺติอนุวิจฺจสุเวสุเว
โกตํนินฺทิตุมรหติ
แต่ผู้ใดวิญญูชนพิจารณาดูอยู่ทุกวันๆแล้วกล่าวสรรเสริญ … ผู้นั้นใครเล่าจะควรติเตียนเขาได้[๐๑.๓๒](๒๕/๒๗)
ครหาวเสยฺโยวิญฺญูหิยญฺเจพาลปฺปสํสนา
วิญญูชนตำหนิดีกว่าคนพาลสรรเสริญ[๐๑.๓๓](๒๖/๓๘๒)
ปริภูโตมุทุโหติอติติกฺโขจเวรวา
อ่อนไปก็ถูกเขาดูหมิ่นแข็งไปก็มีภัยเวร[๐๑.๓๔](๒๗/๑๗๐๓)
อนุมชฺฌํสมาจเร
พึงประพฤติให้พอเหมาะพอดี[๐๑.๓๕](๒๗/๑๗๐๓)
๒. ฝึกตน-รับผิดชอบตน
สนาถาวิหรถมาอนาถา
จงอยู่อย่างมีหลักยึดเหนี่ยวใจอย่าเป็นคนไร้ที่พึ่ง[๐๒.๐๑](๒๔/๑๗)
อตฺตาหิอตฺตโนนาโถ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน[๐๒.๐๒](๒๕/๒๒)
อตฺตนาหิสุทนฺเตนนาถํลภติทุลฺลภํ
มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละคือได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก[๐๒.๐๓](๒๕/๒๒)
อตฺตาหิกิรทุทฺทโม
เป็นที่รู้กันว่าตนนี่แหละฝึกได้ยาก[๐๒.๐๔](๒๕/๒๒)
อตฺตานํทมยนฺติปณฺฑิตา
บัณฑิตย่อมฝึกตน[๐๒.๐๕](๒๕/๑๖)
ฝึกตน-รับผิดชอบตน
อตฺตาสุทนฺโตปุริสสฺสโชติ
ตนที่ฝึกดีแล้วเป็นเครื่องรุ่งเรืองของคน[๐๒.๐๖](๑๕/๖๖๕)
นตฺถิอตฺตสมํเปมํ
รักอื่นเสมอด้วยรักตนไม่มี[๐๒.๐๗](๑๕/๒๙)
อตฺตาหิปรมํปิโย
ตนแลเป็นที่รักอย่างยิ่ง
ฝึกตน-รับผิดชอบตน[๐๒.๐๘](๒๓/๖๑)
อตฺตานญฺเจปิยํชญฺญานนํปาเปนสํยุเช
ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รักก็ไม่ควรเอาตนนั้นไปพัวพันกับความชั่ว[๐๒.๐๙](๑๕/๓๓๖)
รกฺเขยฺยนํสุรกฺขิตํ
ควรรักษาตนนั้นไว้ให้ดี[๐๒.๑๐] (๒๕/๒๒)
อตฺตานํอุปหตฺวานปจฺฉาอญฺญํวิหึสติ
คนทำร้ายตนเองก่อนแล้วจึงทำร้ายผู้อื่นภายหลัง[๐๒.๑๑] (๒๒/๓๒๕)
โยจรกฺขติอตฺตานํรกฺขิโตตสฺสพาหิโร
ผู้ใดรักษาตนได้ภายนอกของผู้นั้นก็เป็นอันได้รับการรักษาด้วย[๐๒.๑๒] (๒๒/๓๒๕)
ตสฺมารกฺเขยฺยอตฺตานํอกฺขโตปณฺฑิโตสทา
ฉะนั้นบัณฑิตไม่ควรขุดโค่นความดีของตนเสียพึง
รักษาตนไว้ให้ได้ทุกเมื่อ[๐๒.๑๓] (๒๒/๓๒๕)
อตฺตนาวกตํปาปํอตฺตนาสงฺกิลิสฺสติ
ตนทำชั่วตัวก็เศร้าหมองเอง
อตฺตนาอกตํปาปํอตฺตนาววิสุชฺฌติ
ตนไม่ทำชั่วตัวก็บริสุทธิ์เอง[๐๒.๑๔] (๒๕/๒๒)
สุทฺธิอสุทฺธิปจฺจตฺตํ
ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตัว
นาญฺโญอญฺญํวิโสธเย
คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้[๐๒.๑๕] (๒๕/๒๒)
นตฺถิโลเกรโหนาม
ชื่อว่าที่ลับไม่มีในโลก[๐๒.๑๖] (๒๐/๔๗๙)
อตฺตาเตปุริสชานาติสจฺจํวายทิวามุสา
แน่ะบุรุษ! จริงหรือเท็จตัวท่านเองย่อมรู้[๐๒.๑๗] (๒๐/๔๗๙)
สุกรานิอสาธูนิอตฺตโนอหิตานิจ
ยํเวหิตญฺจสาธุญฺจตํเวปรมทุกฺกรํ
กรรมไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตนทำได้ง่าย
ส่วนกรรมใดดีและเป็นประโยชน์กรรมนั้นแลทำได้ยากอย่างยิ่ง[๐๒.๑๘] (๒๕/๒๒)
กลฺยาณํวตโภสกฺขิอตฺตานํอติมญฺญสิ
ท่านเอ๋ย! ท่านก็สามารถทำดีได้ไยจึงมาดูหมิ่นตนเองเสีย[๐๒.๑๙] (๒๐/๔๗๙)
นเวปิยํเมติชนินฺทตาทิโส
อตฺตํนิรงฺกจฺจปิยานิเสวติ
มัวพะวงอยู่ว่านี่ของเราชอบนี่ของเรารักแล้วปล่อยปละละเลยตนเองเสียคนอย่างนี้จะไม่ได้ประสบสิ่งที่ชอบสิ่งที่รัก[๐๒.๒๐] (๒๘/๓๗๕)
อตฺตาวเสยฺโยปรมาวเสยฺโย
ตนเองนี่แหละสำคัญกว่าสำคัญกว่าเป็นไหนๆ
ลพฺภาปิยาโอจิตตฺเตนปจฺฉา
ตระเตรียมตนไว้ให้ดีก่อนแล้วต่อไปก็จะได้สิ่งที่รัก[๐๒.๒๑] (๒๘/๓๗๕)
นตํชิตํสาธุชิตํยํชิตํอวชิยฺยติ
ชัยชนะใดกลับแพ้ได้ชัยชนะนั้นไม่ดี
ตํโขชิตํสาธุชิตํยํชิตํนาวชิยฺยติ
ชัยชนะใดไม่กลับแพ้ชัยชนะนั้นแลเป็นชัยชนะที่ดี[๐๒.๒๒] (๒๗/๗๐)
อตฺตาหเวชิตํเสยฺโย
ชนะตนนี่แลดีกว่า[๐๒.๒๓] (๒๕/๑๘)
โยสหสฺสํสหสฺเสนสงฺคาเมมานุเสชิเน
เอกญฺจเชยฺยมตฺตานํสเวสงฺคามชุตฺตโม
ถึงผู้ใดจะชนะเหล่าชนได้พันคนพันครั้งในสงครามก็หาชื่อว่าเป็นผู้ชนะยอดเยี่ยมไม่ส่วนผู้ใดชนะตนคนเดียวได้ผู้นั้นแลชื่อว่าผู้ชนะยอดเยี่ยมในสงคราม[๐๒.๒๔] (๒๕/๑๘)
อตฺตนาโจทยตฺตานํ
จงเตือนตนด้วยตนเอง[๐๒.๒๕] (๒๕/๓๕)
ปฏิมํเสตมตฺตนา
จงพิจารณา(ตรวจสอบ) ตนด้วยตนเอง[๐๒.๒๖] (๒๕/๓๕)
ยทตฺตครหีตทกุพฺพมาโน
ติตนได้ด้วยข้อใดอย่าทำข้อนั้น[๐๒.๒๗] (๒๕/๔๐๙)
อตฺตานญฺเจตถากยิรายถญฺญมนุสาสติ
ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใดก็ควรทำตนฉันนั้น[๐๒.๒๘] (๒๕/๒๒)
สุทสฺสํวชฺชมญฺเญสํ
โทษคนอื่นเห็นง่าย
อตฺตโนปนทุทฺทสํ
แต่โทษตนเห็นยาก[๐๒.๒๙] (๒๕/๒๘)
ปเรสํหิโสวชฺชานิโอปุนาติยถาภุสํ
โทษคนอื่นเที่ยวกระจายเหมือนโปรยแกลบ
อตฺตโนปนฉาเทติกลึวกิตวาสโฐ
แต่โทษตนปิดไว้เหมือนพรานนกเจ้าเล่ห์แฝงตัวบังกิ่งไม้[๐๒.๓๐] (๒๕/๒๘)
อตฺตานเมวปฐมํปฏิรูเปนิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺยนกิลิสฺเสยฺยปณฺฑิโต
ทำตนนี่แหละให้ตั้งอยู่ในความดีอันสมควรก่อนจากนั้นจึงค่อยพร่ำสอนผู้อื่นบัณฑิตไม่ควรมีข้อมัวหมอง[๐๒.๓๑] (๒๕/๒๒)
อตฺตานํนาติวตฺเตยฺย
ไม่ควรลืมตน[๐๒.๓๒] (๒๗/๒๓๖๙)
นาญฺญํนิสฺสายชีเวยฺย
ไม่พึงอาศัยผู้อื่นยังชีพ[๐๒.๓๓] (๒๕/๑๓๔)
อตฺตตฺถปญฺญาอสุจีมนุสฺสา
พวกคนสกปรกคิดเอาแต่ประโยชน์ของตัว[๐๒.๓๔] (๒๕/๒๙๖)
นปเรสํวิโลมานินปเรสํกตากตํ
ไม่ควรใส่ใจคำแสลงหูของผู้อื่นไม่ควรแส่มองธุระที่เขาทำและยังไม่ทำ
อตฺตโนวอเวกฺเขยฺยกตานิอกตานิจ
ควรตั้งใจตรวจตราหน้าที่ของตนนี่แหละทั้งที่ทำแล้วและยังไม่ทำ[๐๒.๓๕] (๒๕/๑๔)
อตฺตทตฺถํปรตฺเถนพหุนาปินหาปเย
การทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถึงจะมากก็ไม่ควรให้เป็นเหตุทำลายประโยชน์ที่เป็นจุดหมายของตน
อตฺตทตฺถมภิญฺญายสทตฺถปสุโตสิยา
กำหนดประโยชน์ที่หมายของตนให้แน่ชัดแล้วพึงขวนขวายแน่วในจุดหมายของตน[๐๒.๓๖] (๒๕/๒๒)
บทที่ ๓
๓. จิตใจ
มโนปุพฺพงฺคมาธมฺมา
ธรรมทั้งหลายมีใจนำหน้า[๐๓.๐๑] (๒๕/๑๑)
จิตฺเตนนียติโลโก
โลกอันจิตย่อมนำไป[๐๓.๐๒] (๑๕/๑๘๑)
ผนฺทนํจปลํจิตฺตํทุรกฺขํทุนฺนิวารยํ
จิตมีธรรมชาติดิ้นรนกวัดแกว่งรักษายากห้ามยาก[๐๓.๐๓] (๒๕/๑๓)
สุทุทฺทสํสุนิปุณํยตฺถกามนิปาตินํ
จิตนั้นเห็นได้แสนยากละเอียดอ่อนยิ่งนักมักตกไปหาอารมณ์ที่ใคร่[๐๓.๐๔] (๒๕/๑๓)
วิหญฺญติจิตฺตวสานุวตฺตี
ผู้ประพฤติตามอำนาจจิตย่อมเดือดร้อน[๐๓.๐๕] (๒๘/๓๑๖)
จิตฺตสฺสทมโถสาธุ
การฝึกจิตให้เกิดผลดี[๐๓.๐๖] (๒๕/๑๓)
จิตฺตํทนฺตํสุขาวหํ
จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้[๐๓.๐๗] (๒๕/๑๓)
จิตฺตํรกฺเขถเมธาวี
ผู้มีปัญญาพึงรักษาจิต[๐๓.๐๘] (๒๕/๑๓)
สจิตฺตมนุรกฺขถ
จงตามรักษาจิตของตน[๐๓.๐๙] (๒๕/๓๓)
จิตฺเตสงฺกิลิฏฺเฐทุคฺคติปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นอันต้องหวัง[๐๓.๑๐] (๑๒/๙๒)
จิตฺเตอสงฺกิลิฏฺเฐสุคติปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติเป็นอันหวังได้[๐๓.๑๑] (๑๒/๙๒)
เยจิตฺตํสญฺญเมสฺสนฺติโมกฺขนฺติมารพนฺธนา
ผู้รู้จักควบคุมจิตใจจะพ้นไปได้จากบ่วงของมาร[๐๓.๑๒] (๒๕/๑๓)
ทิโสทิสํยนฺตํกยิราเวรีวาปนเวรินํ
มิจฺฉาปณิหิตํจิตฺตํปาปิโยนํตโตกเร
โจรกับโจรคนคู่เวรกันพบกันเข้าพึงทำความพินาศและความทุกข์ใดแก่กันจิตที่ตั้งไว้ผิดทำแก่คนเลวร้ายยิ่งกว่านั้น[๐๓.๑๓] (๒๕/๑๓)
นตํมาตาปิตากยิราอญฺเญวาปิจญาตกา
สมฺมาปณิหิตํจิตฺตํเสยฺยโสนํตโตกเร
จิตที่ตั้งไว้ถูกต้องทำคนให้ประเสริฐประสบผลดียิ่งกว่าที่มารดาบิดาหรือญาติทั้งหลายใดๆจะทำให้ได้[๐๓.๑๔] (๒๕/๑๓)
บทที่๔
๔. การศึกษา
อวิชฺชาปรมํมลํ
ความไม่รู้เป็นมลทินที่สุดร้าย[๐๔.๐๑] (๒๓/๑๐๕)
วิชฺชาอุปฺปตตํเสฏฺฐา
บรรดาสิ่งที่งอกงามขึ้นมาวิชชาประเสริฐสุด[๐๔.๐๒] (๑๕/๒๐๖)
อวิชฺชานิปตตํวรา
บรรดาสิ่งที่โรยราร่วงหายอวิชชาหมดไปได้เป็นดีที่สุด[๐๔.๐๓] (๑๕/๒๐๖)
วรมสฺสตราทนฺตาอาชานียาจสินฺธวา
กุญฺชราจมหานาคาอตฺตทนฺโตตโตวรํ
อัสดรอาชาไนยสินธพกุญชรและช้างหลวงฝึกแล้วล้วนดีเลิศแต่คนที่ฝึกตนแล้วประเสริฐยิ่งกว่านั้น[๐๔.๐๔] (๒๕/๓๓)
ทนฺโตเสฏฺโฐมนุสฺเสสุ
ในหมู่มนุษย์คนประเสริฐคือคนที่ฝึกแล้ว[๐๔.๐๕] (๒๕/๓๓)
โนเจอสฺสสกาพุทฺธิวินโยวาสุสิกฺขิโต
วเนอนฺธมหึโสวจเรยฺยพหุโกชโน
ถ้าไม่มีพุทธิปัญญาแลมิได้ศึกษาระเบียบวินัยคนทั้งหลายก็จะดำเนินชีวิตเหมือนดังกระบือบอดในกลางป่า[๐๔.๐๖] (๒๗/๑๐๔๘)
อปฺปสฺสุตายํปุริโสพลิวทฺโทวชีรติ
มํสานิตสฺสวฑฺฒนฺติปญฺญาตสฺสนวฑฺฒติ
คนที่เล่าเรียนน้อยย่อมแก่เหมือนโคถึกเนื้อหนังของเขาพัฒนาแต่ปัญญาหาพัฒนาไม่[๐๔.๐๗] (๒๕/๒๑)
ตสฺสสํหีรปญฺญสฺสวิวโรชายเตมหา
เมื่ออ่อนปัญญาช่องทางวิบัติก็เกิดได้มหันต์[๐๔.๐๘] (๒๗/๒๑๔๑)
กิจฺฉาวุตฺติอสิปฺปสฺส
คนไม่มีศิลปวิทยาเป็นอยู่ยาก[๐๔.๐๙] (๒๗/๑๖๕๑)
ปุตฺเตวิชฺชาสุฐาปย
จงให้บุตรเรียนรู้วิทยา[๐๔.๑๐] (๒๗/๒๑๔๑)
สํวิรุฬฺเหถเมธาวีเขตฺเตพีชํววุฏฺฐิยา
คนมีปัญญาย่อมงอกงามดังพืชในนางอกงามด้วยน้ำฝน[๐๔.๑๑] (๒๗/๒๑๔๑)
ภเวยฺยปริปุจฺฉโก
พึงเป็นนักสอบถามชอบค้นหาความรู้[๐๔.๑๒] (๒๘/๙๔๙)
สิกฺเขยฺยสิกฺขิตพฺพานิ
อะไรควรศึกษาก็พึงศึกษาเถิด[๐๔.๑๓] (๒๗/๑๐๘)
สาธุโขสิปฺปกํนามอปิยาทิสิกีทิสํ
ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยาไม่ว่าอย่างไหนๆให้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น[๐๔.๑๔] (๒๗/๑๐๗)
สพฺพํสุตมธีเยถหีนมุกฺกฏฺฐมชฺฌิมํ
สพฺพสฺสอตฺถํชาเนยฺยนจสพฺพํปโยชเย
โหติตาทิสโกกาโลยตฺถอตฺถาวหํสุตํ
อันความรู้ควรเรียนทุกอย่างไม่ว่าต่ำสูงหรือปานกลางควรรู้ความหมายเข้าใจทั้งหมดแต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่างวันหนึ่งจะถึงเวลาที่ความรู้นั้นนำมาซึ่งประโยชน์[๐๔.๑๕] (๒๗/๘๑๗)
ลาภกมฺยานสิกฺขติ
นักปราชญ์ไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ[๐๔.๑๖] (๒๕/๔๑๗)
กิตฺติญฺจปปฺโปติอธิจฺจเวเท สนฺตึปุเณติจรเณนทนฺโต
เล่าเรียนสำเร็จวิทยาก็ย่อมได้เกียรติแต่ฝึกอบรมด้วยิ จริยาต่างหากจึงจะสบสันติ[๐๔.๑๗] (๒๗/๘๔๒)
หีนชจฺโจปิเจโหติอุฏฺฐาตาธิติมานโร
อาจารสีลสมฺปนฺโนนิเสอคฺคีวภาสติ
คนเราถึงมีชาติกำเนิดต่ำแต่หากขยันหมั่นเพียรมีปัญญาประกอบด้วยอาจาระและศีลก็รุ่งเรืองได้เหมือนอยู่ในคืนมืดก็สว่างไสว[๐๔.๑๘] (๒๗/๒๑๔๑)
สุสฺสูสาสุตวฑฺฒนีสุตํปญฺญายวฑฺฒนํ
ปญฺญายอตฺถํชานาติญาโตอตฺโถสุขาวโห
ความใฝ่เรียนสดับเป็นเครื่องพัฒนาความรู้ความรู้จากการเรียนสดับนั้นเป็นเครื่องพัฒนาปัญญาด้วยปัญญาก็รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ประโยชน์ที่รู้จักแล้วก็นำสุขมาให้[๐๔.๑๙] (๒๖/๒๖๘)
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโนโสเสฏฺโฐเทวมานุเส
คนที่สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติเป็นผู้ประเสริฐสุดทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา
[๐๔.๒๐] (๑๑/๗๒)
บทที่๕
๕. ปัญญา
ปญฺญาโลกสฺมิปชฺโชโต
ปัญญาเป็นดวงชวาลาในโลก[๐๕.๐๑] (๑๕/๒๑๗)
นตฺถิปญฺญาสมาอาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี[๐๕.๐๒] (๑๕/๒๙)
ปญฺญานรานํรตนํ
ปัญญาเป็นดวงแก้วของคน[๐๕.๐๓] (๑๕/๑๕๙)
ปญฺญาชีวึชีวิตมาหุเสฏฺฐํ
ปราชญ์ว่าชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญาประเสริฐสุด[๐๕.๐๔] (๑๕/๘๔๑)
ปญฺญาวธเนนเสยฺโย
ปัญญาแลประเสริฐกว่าทรัพย์[๐๕.๐๕] (๑๓/๔๕๑)
ปญฺญาหิเสฏฺฐากุสลาวทนฺติ
คนฉลาดกล่าวว่าปัญญาแลประเสริฐสุด[๐๕.๐๖] (๒๗/๒๔๖๘)
ปญฺญาเจนํปสาสติ
ปัญญาเป็นเครื่องปกครองตัว
ราโคโทโสมโทโมโหยตฺถปญฺญานคาธติ
ราคะโทสะความมัวเมาและโมหะเข้าที่ไหนปัญญาย่อมเข้าไม่ถึงที่นั้น[๐๕.๐๘] (๒๗/๑๒๔๙)
เอวํอนาวิลมฺหิจิตฺเต
โสปสฺสติอตฺตทตฺถํปรตฺถํ
เมื่อน้ำใสกระจ่างแจ๋วก็จะมองเห็นหอยกาบหอยโข่งกรวดทรายและฝูงปลาได้ชัดเจนฉันใด
เมื่อจิตไม่ขุ่นมัวจึงจะมองเห็นประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นได้ชัดเจนฉันนั้น[๐๕.๐๙] (๒๗/๒๒๐)
ปญฺญาสุตวินิจฺฉินี
ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ได้เล่าเรียน[๐๕.๑๐] (๒๗/๒๔๔๔)
ปญฺญาสหิโตนโรอิธทุกฺเขสุขานิวินฺทติ
คนมีปัญญาถึงแม้ตกทุกข์ก็ยังหาสุขพบ[๐๕.๑๑] (๒๗/๒๔๔๔)
ยํปณฺฑิโตนิปุณํสํวิเธติ
สมฺโมหมาปชฺชติตตฺถพาโล
บัณฑิตจัดการเรื่องใดอันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนคนโง่ย่อมถึงความหลงใหลในเรื่องนั้นข้าพเจ้ามองเห็นเหตุผลนี้
ปญฺโญวเสยฺโยนยสสฺสิพาโล
คนมีปัญญาประเสริฐกว่าคนโง่ถึงจะมียศก็หาประเสริฐไม่[๐๕.๑๒] (๒๗/๒๑๐๑)
อนฺโธยถาโชติมธิฏฺฐเหยฺย
ขาดตาปัญญาเสียแล้วก็เหมือนคนตาบอดเหยียบลงไปได้แม้กระทั่งไฟที่ส่องทาง[๐๕.๑๓] (๒๗/๑๗๓๔)
ปญฺญายติตฺตีนํเสฏฺฐํ
อิ่มด้วยปัญญาประเสริฐกว่าความอิ่มทั้งหลาย[๐๕.๑๔] (๒๗/๑๖๔๓)
ปญฺญายติตฺตํปุริสํตณฺหานกุรุเตวสํ
คนที่อิ่มด้วยปัญญาตัณหาเอาไว้ในอำนาจไม่ได้[๐๕.๑๕] (๒๗/๑๖๔๓)
สากจฺฉายปญฺญาเวทิตพฺพา
ปัญญารู้ได้ด้วยการสนทนา[๐๕.๑๖] (๒๕/๑๓๔)
สุสฺสูสํลภเตปญฺญํ
รู้จักฟังย่อมได้ปัญญา[๐๕.๑๗] (๑๕/๘๔๕)
อุฏฺฐานกาลมฺหิอนุฏฺฐหาโน
ยุวาพลีอาลสิยํอุเปโต
สํสนฺนสงฺกปฺปมโนกุสีโต
ปญฺญายมคฺคํอลโสนวินฺทติ
ในเวลาที่ควรลุกขึ้นทำงานไม่ลุกขึ้นทำทั้งที่ยังหนุ่มแน่นมีกำลังกลับเฉื่อยชาปล่อยความคิดให้จมปลักเกียจคร้านมัวซึมเซาอยู่ย่อมไม่ประสบทางแห่งปัญญา[๐๕.๑๘] (๒๕/๓๐)
โยคาเวชายเตภูริ
ปัญญาย่อมเกิดเพราะใช้การ[๐๕.๑๙] (๒๕/๓๐)
ชีวเตวาปิสปฺปญฺโญอปิวิตฺตปริกฺขยา
คนมีปัญญาถึงสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้[๐๕.๒๐] (๒๖/๓๗๒)
ปญฺญายจอลาเภนวิตฺตวาปินชีวติ
แต่เมื่อขาดปัญญาถึงจะมีทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้[๐๕.๒๑] (๒๖/๓๗๒)
นตฺถิปญฺญาอฌายิโน
ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ[๐๕.๒๒] (๒๕/๓๕)
นตฺถิฌานํอปญฺญสฺส
ความพินิจไม่มีแก่คนไร้ปัญญา[๐๕.๒๓] (๒๕/๓๕)
โยนิโสวิจิเนธมฺมํ
พึงวิจัยเรื่องราวตลอดสายให้ถึงต้นตอ[๐๕.๒๔] (๒๓/๓)
ปญฺญายตฺถํวิปสฺสติ
จะมองเห็นอรรถชัดแจ้งด้วยปัญญา[๐๕.๒๕] (๒๓/๓)
ปญฺญํนปฺปมชฺเชยฺย
ไม่พึงละเลยการใช้ปัญญา[๐๕.๒๖] (๑๔/๖๘๓)
ปญฺญายปริสุชฺฌติ
คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา[๐๕.๒๗] (๒๕/๓๑๑)
ปโรสหสฺสมฺปิสมาคตานํ
กนฺเทยฺยุเตวสฺสสตํอปญฺญา
เอโกวเสยฺโยปุริโสสปญฺโญ
โยภาสิตสฺสวิชานาติอตฺถํ
คนโง่เขลามาประชุมกันแม้ตั้งกว่าพันคนพวกเขาไม่มีปัญญาถึงจะพร่ำคร่ำครวญอยู่ตลอดร้อยปีก็หามีประโยชน์ไม่คนมีปัญญารู้ความแห่งภาษิตคนเดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า[๐๕.๒๘] (๒๗/๙๙)
๖. เลี้ยงชีพ-สร้างตัว
ปฏิรูปการีธุรวาอุฏฺฐาตาวินฺทเตธนํ
ขยันเอาธุระทำเหมาะจังหวะย่อมหาทรัพย์ได้[๐๖.๐๑] (๑๕/๘๔๕)
สมุฏฺฐาเปติอตฺตานํอณุอคฺคึวสนฺธมํ
ตั้งตัวให้ได้เหมือนก่อไฟจากกองน้อย[๐๖.๐๒] (๒๗/๔)
โภเคสํหรมานสฺสภมรสฺสอิรียโต
เก็บรวบรวมทรัพย์สินเหมือนผึ้งเที่ยวรวมน้ำหวานสร้างรัง[๐๖.๐๓] (๑๑/๑๙๗)
โภคาสนฺนิจยํยนฺติวมฺมิโกวูปจียติ
ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้เหมือนดังก่อจอมปลวก[๐๖.๐๔] (๑๑/๑๙๗)
อุฏฺฐาตากมฺมเธยฺเยสุอปฺปมตฺโตวิธานวา สมํกปฺเปติชีวิตํสมฺภตํอนุรกฺขติ
ขยันทำงานไม่ประมาทฉลาดในวิธีจัดการเลี้ยงชีพแต่พอดีย่อมรักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่และเพิ่มทวี[๐๖.๐๕] (๒๓/๑๔๕)
นนิกตฺยาธนํหเร
ไม่พึงหาทรัพย์ด้วยการคดโกง[๐๖.๐๖] (๒๗/๖๐๓)
ธมฺเมนวิตฺตเมเสยฺย
พึงหาเลี้ยงชีพโดยทางชอบธรรม[๐๖.๐๗] (๒๗/๖๐๓)
ปโยชเยธมฺมิกํโสวณิชฺชํ
พึงประกอบการค้าที่ชอบธรรม[๐๖.๐๘] (๒๕/๓๕๓)
ธิรตฺถุตํยสลาภํธนลาภญฺจพรฺาหฺมณ
ยาวุตฺติวินิปาเตนอธมฺมจรเณนวา
น่ารังเกียจการได้ยศการได้ลาภการเลี้ยงชีพด้วยการยอมลดคุณค่าของชีวิตหรือด้วยการประพฤติอธรรม[๐๖.๐๙] (๒๗/๕๓๗)
อลาโภธมฺมิโกเสยฺโยยญฺเจลาโภอธมฺมิโก
ถึงไม่ได้แต่ชอบธรรมยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม
ยถาภุตฺตญฺจพฺยาหร
จงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค[๐๖.๑๑] (๒๗/๑๓๐)
ยหึชีเวตหึคจฺเฉนนิเกตหโตสิยา
ชีวิตจะอยู่ได้ที่ไหนพึงไปที่นั้นไม่พึงให้ที่อยู่ฆ่าตนเสีย
[๐๖.๑๒] (๒๗/๒๐๖)
เทฺววตาตปทกานิยตฺถสพฺพํปติฏฺฐิตํ
อลทฺธสฺสจโยลาโภลทฺธสฺสจานุรกฺขนา
ผลประโยชน์ทั้งปวงตั้งอยู่ที่หลัก๒ประการคือการได้สิ่งที่ยังไม่ได้และการรักษาสิ่งที่ได้แล้ว[๐๖.๑๓] (๒๘/๒๔๔๒)
นหิจินฺตามยาโภคาอิตฺถิยาปุริสสฺสวา
โภคะของใครไม่ว่าสตรีหรือบุรุษที่จะสำเร็จเพียงด้วยคิดเอาย่อมไม่มี
[๐๖.๑๔] (๒๘/๔๕๐)
สกมฺมุนาโหติผลูปปตฺติ
ความอุบัติแห่งผลย่อมมีได้ด้วยการกระทำของตน[๐๖.๑๕]
(๒๗/๒๒๔๗)
นิทฺทาสีลีสภาสีลีอนุฏฺฐาตาจโยนโร
อลโสโกธปญฺญาโณตํปราภวโตมุขํ
คนใดชอบนอนชอบมั่วสุมไม่เอางานเกียจคร้านเอาแต่โกรธงุ่นง่านนั่นคือปากทางของความเสื่อม[๐๖.๑๖] (๒๕/๓๐๔)
เลี้ยงชีพ-สร้างตัว
ปญฺญวาพุทฺธิสมฺปนฺโนวิธานวิธิโกวิโท
กาลญฺญูสมยญฺญูจสราชวตึวเส
คนมีปัญญาประกอบด้วยความรู้ฉลาดในวิธีจัดงานรู้จักกาลรู้จักสมัยจึงควรเข้ารับราชการ[๐๖.๑๗] (๒๘/๙๖๙)
อุฏฺฐาตากมฺมเธยฺเยสุอปฺปมตฺโตวิจกฺขโณ
สุสํวิหิตกมฺมนฺโตสราชวตึวเส
คนที่ขยันในหน้าที่ไม่ประมาทเอาใจใส่สอดส่องตรวจตราจัดการงานให้เรียบร้อยเป็นอันดีจึงควรเข้ารับราชการ[๐๖.๑๘] (๒๘/๙๖๙)
อนากุลาจกมฺมนฺตาเอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
การงานไม่คั่งค้างสับสนเป็นมงคลอย่างสูงสุด[๐๖.๑๙] (๒๕/๓๑๘)
บทที่๗
๗. เพียรพยายาม-ทำหน้าที่
วายเมเถวปุริโสยาวอตฺถสฺสนิปฺปทา
เป็นคนควรพยายามเรื่อยไปจนกว่าผลที่หมายจะสำเร็จ
[๐๗.๐๑] (๑๕/๘๙๑)
อนิพฺพินฺทิยการิสฺสสมฺมทตฺโถวิปจฺจติ
ทำเรื่อยไปไม่ท้อถอยผลที่ประสงค์จะสำเร็จสมหมาย
[๐๗.๐๒] (๒๗/๒๔๔๔)
อาสึเสเถวปุริโสนนิพฺพินฺเทยฺยปณฺฑิโต
ปสฺสามิโวหํอตฺตานํยถาอิจฺฉึตถาอหุ
เป็นคนควรหวังเรื่อยไปบัณฑิตไม่ควรท้อแท้เราเห็นประจักษ์มากับตนเองเราปรารถนาอย่างใดก็ได้สมตามนั้น[๐๗.๐๓] (๒๘/๔๕๐)
ทุกฺขูปนีโตปินโรสปญฺโญ
อาสํนฉินฺเทยฺยสุขาคมาย
คนมีปัญญาถึงเผชิญอยู่กับความทุกข์ก็ไม่ยอมสิ้นหวังที่จะได้ประสบความสุข[๐๗.๐๔] (๒๘/๔๕๐)
นาลโสวินฺทเตสุขํ
คนเกียจคร้านย่อมไม่ได้ประสบสุข[๐๗.๐๕] (๒๗/๒๔๔๐)
๗. เพียรพยายาม
ยงฺกิญฺจิสิถิลํกมฺมํนตํโหติมหปฺผลํ
การงานใดๆที่ย่อหย่อนย่อมไม่มีผลมาก[๐๗.๐๖] (๑๕/๒๔๐)
ปฏิกจฺเจวกยิรายํชญฺญาหิตมตฺตโน
รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แก่ชีวิตตนก็ควรรีบลงมือทำ
[๐๗.๐๗] (๑๕/๒๘๑)
วิริเยนทุกฺขมจฺเจติ
คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร[๐๗.๐๘] (๒๕/๓๑๑)
กยิราเจกยิราเถนํ
ถ้าจะทำก็ควรทำให้จริง[๐๗.๐๙] (๑๕/๒๓๙)
ทฬฺหเมนํปรกฺกเม
พึงบากบั่นทำการให้มั่นคง[๐๗.๑๐] (๑๕/๒๓๙)
เทวานอิสฺสนฺติปุริสปรกฺกมสฺส
ความเพียรของคนไม่ลดละถึงเทวดาก็เกียดกันไม่ได้
[๐๗.๑๑] (๒๗/๕๐๕)
วายมสฺสุสกิจฺเจสุ
จงพยายามในหน้าที่ของตน[๐๗.๑๒] (๒๗/๒๔๔๐)
อกิลาสุวินฺเทหทยสฺสสนฺตึ
คนขยันวุ่นกับงานจะได้ความสงบใจ[๐๗.๑๓] (๒๗/๒)
สงฺเกยฺยสงฺกิตพฺพานิ
พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง[๐๗.๑๔] (๒๗/๕๔๕)
รกฺเขยฺยานาคตํภยํ
พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึง[๐๗.๑๕] (๒๗/๕๔๕)
อปฺปมาโทอมตํปทํ
ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย[๐๗.๑๖] (๒๕/๑๒)
ปมาโทมจฺจุโนปทํ
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย[๐๗.๑๗] (๒๕/๑๒)
อปฺปมตฺตานมียนฺติ
ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย[๐๗.๑๘] (๒๕/๑๒)
เยปมตฺตายถามตา
คนประมาทเหมือนคนตายแล้ว[๐๗.๑๙] (๒๕/๑๒)
มาปมาทมนุยุญฺเชถ
อย่ามัวประกอบความประมาท[๐๗.๒๐] (๒๕/๑๒)
อปฺปมาเทนสมฺปาเทถ
จงทำประโยชน์ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท[๐๗.๒๑] (๑๐/๑๔๓)
อตีตํนานฺวาคเมยฺยนปฺปฏิกงฺเขอนาคตํ
อย่าละห้อยความหลังอย่ามัวหวังอนาคต[๐๗.๒๒] (๑๔/๕๒๗)
หิยฺโยติหิยฺยติโปโสปเรติปริหายติ
อนาคตํเนตมตฺถีติญตฺวา
อุปฺปนฺนจฺฉนฺทํโกปนุเทยฺยธีโร
มัวรำพึงหลังก็มีแต่จะหดหาย
มัวหวังหน้าก็มีแต่จะละลาย
อันใดยังมาไม่ถึงอันนั้นก็ยังไม่มี
รู้อย่างนี้แล้วเมื่อมีฉันทะเกิดขึ้น
คนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้หายไปเปล่า[๐๗.๒๓] (๒๗/๒๒๕๒)
อนาคตํปฏิกยิราถกิจฺจํ
มามํกิจฺจํกิจฺจกาเลพฺยเธสิ
เตรียมกิจสำหรับอนาคตให้พร้อมไว้ก่อนอย่าให้กิจนั้นบีบคั้นตัวเมื่อถึงเวลาต้องทำเฉพาะหน้า[๐๗.๒๔] (๒๗/๑๖๓๖)
อชฺเชวกิจฺจมาตปฺปํ
รีบทำความเพียรเสียแต่วันนี้[๐๗.๒๕] (๑๔/๕๒๗)
โกชญฺญามรณํสุเว
ใครเล่ารู้ว่าจะตายวันพรุ่ง[๐๗.๒๖] (๑๔/๕๒๗)
ขโณโวมาอุปจฺจคา
อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไปเสีย[๐๗.๒๗] (๒๕/๓๒๗)
อโมฆํทิวสํกยิราอปฺเปนพหุเกนวา
เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่าจะน้อยหรือมากก็ให้ได้อะไรบ้าง[๐๗.๒๘] (๒๖/๓๕๙)
อโหรตฺตมตนฺทิตํตํเวภทฺเทกรตฺโตติ
คนขยันทั้งคืนวันไม่ซึมเซาเรียกว่ามีแต่ละวันนำโชค
[๐๗.๒๙] (๑๔/๕๒๗)
กถมฺภูตสฺสเมรตฺตินฺทิวาวีติปตนฺติ
วันคืนล่วงไปๆบัดนี้เราทำอะไรอยู่[๐๗.๓๐] (๒๔/๔๘)
สุนกฺขตฺตํสุมงฺคลํสุปภาตํสุหุฏฺฐิตํ
ประพฤติชอบเวลาใดเวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดีมงคลดีเช้าดีรุ่งอรุณดี
[๐๗.๓๑] (๒๐/๕๙๕)
อตฺโถอตฺถสฺสนกฺขตฺตํกึกริสฺสนฺติตารกา
ประโยชน์คือตัวฤกษ์ของประโยชน์ดวงดาวจักทำอะไรได้
[๐๗.๓๒] (๒๗/๔๙)
นเวอนตฺถกุสเลนอตฺถจริยาสุขาวหา
คนฉลาดไม่ถูกเรื่องถึงจะพยายามทำประโยชน์ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลให้เกิดสุข[๐๗.๓๓] (๒๗/๔๖)
อนุปาเยนโยอตฺถํอิจฺฉติโสวิหญฺญติ
ผู้ปรารถนาผลที่หมายด้วยวิธีการอันผิดจะต้องเดือดร้อน
[๐๗.๓๔] (๒๗/๔๘)
อปิอตรมานานํผลาสาวสมิชฺฌติ
อันความหวังในผลย่อมสำเร็จแก่ผู้ไม่ใจเร็วด่วนได้
[๐๗.๓๕] (๒๗/๘)
เวคสาหิกตํกมฺมํมนฺโทปจฺฉานุตปฺปติ
การงานที่ทำโดยผลีผลามทำให้คนอ่อนปัญญาต้องเดือดร้อนภายหลัง[๐๗.๓๖] (๒๗/๒๔๔๒)
นิสมฺมกรณํเสยฺโย
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำดีกว่า[๐๗.๓๗] (น.๒๗/๒๑๗๕)
อสเมกฺขิตกมฺมนฺตํตุริตาภินิปาตินํ
ตานิกมฺมานิตปฺเปนฺติอุณฺหํวชฺโฌหิตํมุเข
ผู้ที่ทำการงานลวกๆโดยมิได้พิจารณาใคร่ครวญให้ดีเอาแต่รีบร้อนพรวดพราดจะให้เสร็จการงานเหล่านั้นจะก่อความเดือดร้อนให้เหมือนตักอาหารที่ยังร้อนใส่ปาก[๐๗.๓๘] (๒๗/๑๕๓)
อถปจฺฉากุรุเตโยคํกิจฺเจอาวาสุสีทติ
ถ้ามัวล่าช้าเพียรทำกิจล้าหลังไปจะจมลงในห้วงอันตราย[๐๗.๓๙] (๒๗/๒๑๔๑)
โยทนฺธกาเลทนฺเธติตรณีเยจตีรเย
ที่ควรช้าก็ช้าที่ควรเร่งก็เร่งผลที่หมายจึงจะสำเร็จบริบูรณ์
[๐๗.๔๐] (๒๗/๖๘๑)
โยนิโสสํวิธาเนนสุขํปปฺโปติปณฺฑิโต
ด้วยการจัดการอย่างแยบคายบัณฑิตก็ลุสุขสมหมาย
[๐๗.๔๑] (๒๖/๓๒๙)
นิปฺผนฺนโสภิโนอตฺถา
ประโยชน์งามตรงที่สำเร็จ[๐๗.๔๒] (๑๕/๘๙๔)
อนตฺเถนยุตฺโตสิยา
ไม่พึงขวนขวายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์[๐๗.๔๓] (๒๗/๒๓๖๙)
ยญฺหิกิจฺจํตทปวิทฺธํอกิจฺจํปนกยิรติ
อุนฺนฬานํปมตฺตานํเตสํวฑฺฒนฺติอาสวา
สิ่งใดเป็นหน้าที่กลับทอดทิ้งเสียไพล่ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่คนเหล่านั้นมัวชูตัวพองประมาทอยู่ความหมักหมมภายในตัวเขาก็พอกพูนยิ่งขึ้น[๐๗.๔๔] (๒๕/๓๑)
กรํปุริสกิจฺจานินจปจฺฉานุตปฺปติ
เมื่อทำหน้าที่ของลูกผู้ชายแล้วไม่ต้องเดือดร้อนใจภายหลัง[๐๗.๔๕] (๒๘/๔๔๕)
อนโณญาตีนํโหติเทวานํปิตุนญฺจโส
เมื่อได้เพียรพยายามแล้วถึงจะตายก็ชื่อว่าตายอย่างไม่เป็นหนี้ใคร (คือไม่มีข้อติดค้างให้ใครติเตียนได้) ไม่ว่าในหมู่ญาติหมู่เทวดาหรือว่าพระพรหมทั้งหลาย[๐๗.๔๖] (๒๘/๔๔๕)
โยจีธกมฺมํกุรุเตปมาย
ถามพลํอตฺตนิสํวิทิตฺวา
ชปฺเปนมนฺเตนสุภาสิเตน
ปริกฺขวาโสวิปุลํชินาติ
ผู้ใดทำการโดยรู้ประมาณทราบชัดถึงกำลังของตนแล้วคิดการเตรียมไว้รอบคอบทั้งโดยแบบแผนทางตำราโดยการปรึกษาหารือและโดยถ้อยคำที่ใช้พูดอย่างดีผู้นั้นย่อมทำการสำเร็จมีชัยอย่างไพบูลย์[๐๗.๔๗] (๒๗/๖๔๑)
อชฺชสุเวติปุริโสสทตฺถํนาวพุชฺฌติ
โอวชฺชมาโนกุปฺปติเสยฺยโสอติมญฺญติ
คนที่ไม่รู้จักประโยชน์ตนว่าอะไรควรทำวันนี้อะไรควรทำพรุ่งนี้ใครตักเตือนก็โกรธเย่อหยิ่งถือดีว่าฉันเก่งฉันดีคนอย่างนี้เป็นที่ชอบใจของกาฬกิณี[๐๗.๔๘] (๒๗/๘๗๔)
โยจาปิสีเตอถวาปิอุณฺเห
วาตาตเปฑํสสิรึสเปจ
ขุทฺทํปิปาสํอภิภุยฺยสพฺพํ
รตฺตินฺทิวํโยสตตํนิยุตฺโต
กาลาคตญฺจนหาเปติอตฺถํ
โสเมมนาโปนิวิเสวตมฺหิ
คนใดไม่ว่าจะหนาวหรือร้อนมีลมแดดเหลือบยุงก็ไม่พรั่นทนหิวทนกระหายได้ทั้งนั้นทำงานต่อเนื่องไปไม่ขาดทั้งคืนวันสิ่งที่เป็นประโยชน์มาถึงตามกาลก็ไม่ปล่อยให้สูญเสียไปคนนั้นย่อมเป็นที่ชอบใจของสิริโชคสิริโชคขอพักพิงอยู่กับเขา[๐๗.๔๙] (๒๗/๘๘๑)
๘. ครอบครัว-ญาติมิตร
พฺรหฺมาติมาตาปิตโร
มารดาบิดาท่านเรียกว่าเป็นพระพรหม[๐๘.๐๑] (๒๕/๒๘๖)
ปุพฺพาจริยาติวุจฺจเร
มารดาบิดาท่านเรียกว่าเป็นบูรพาจารย์ (ครูคนแรก)[๐๘.๐๒] (๒๕/๒๘๖)
อาหุเนยฺยาจปุตฺตานํ
และเรียกมารดาบิดาว่าเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร[๐๘.๐๓] (๒๕/๒๘๖)
สุขามตฺเตยฺยตาโลเก
ความเคารพรักบำรุงมารดานำมาซึ่งความสุขในโลก
[๐๘.๐๔] (๒๕/๓๓)
อโถเปตฺเตยฺยตาสุขา
การเคารพรักบำรุงบิดาก็นำมาซึ่งความสุขในโลก[๐๘.๐๕] (๒๕/๓๓)
นเตปุตฺตาเยนภรนฺติชิณฺณํ
ลูกที่ไม่เลี้ยงพ่อแม่เมื่อแก่เฒ่าไม่นับว่าเป็นลูก[๐๘.๐๖] (๒๘/๓๙๓)
ปุตฺตาวตฺถุมนุสฺสานํ
ลูกเป็นหลักที่ฝากฝังของหมู่มนุษย์(เด็กทั้งหลายเป็นฐานรองรับไว้ซึ่งมนุษยชาติ)[๐๘.๐๗] (๑๕/๑๖๕)
อติชาตํอนุชาตํปุตฺตมิจฺฉนฺติปณฺฑิตา
อวชาตํนอิจฺฉนฺติโยโหติกุลคนฺธโน
บัณฑิตย่อมปรารถนาบุตรที่เป็นอภิชาตหรืออนุชาตย่อมไม่ปรารถนาอวชาตบุตรซึ่งเป็นผู้ทำลายตระกูล[๐๘.๐๘] (๒๕/๒๕๒)
ภริยาปรมาสขา
ภรรยาเป็นยอดสหาย[๐๘.๐๙] (๑๕/๑๖๕)
มาตามิตฺตํสเกฆเร
มารดาเป็นมิตรประจำบ้าน(แม่คือมิตรแท้คู่บ้าน[๐๘.๑๐] (๑๕/๑๖๓)
วิสฺสาสปรมาญาติ
คนคุ้นเคยไว้ใจกันได้เป็นญาติอย่างยิ่ง[๐๘.๑๑] (๒๕/๒๕)
สหาโยอตฺถชาตสฺสโหติมิตฺตํปุนปฺปุนํ
สหายเป็นมิตรสำหรับผู้มีธุระเกิดขึ้นเนืองๆ[๐๘.๑๒] (๑๕/๑๖๓)
สยํกตานิปุญฺญานิตํมิตฺตํสมฺปรายิกํ
ความดีที่ทำไว้เองเป็นมิตรตามตัวไปเบื้องหน้า[๐๘.๑๓] (๑๕/๑๕๙)
มิตฺโตหเวสตฺตปเทนโหติ
สหาโยปนทฺวาทสเกนโหติ
มาสฑฺฒมาเสนจญาติโหติ
ตทุตฺตรึอตฺตสโมปิโหติ
เดินร่วมกัน๗ก้าวก็นับว่าเป็นมิตรเดินร่วมทางกัน๑๒ก้าวก็นับว่าเป็นสหายอยู่ร่วมกันสักเดือนหรือกึ่งเดือนก็นับว่าเป็นญาติถ้านานเกินกว่านั้นไปก็แม้นเหมือนเป็นตัวเราเอง[๐๘.๑๔] (๒๗/๘๓)
โสหํกถํอตฺตสุขสฺสเหตุ
จิรสนฺถุตํกาฬกณฺณึชเหยฺยํ
คนที่คบคุ้นกันมานานถึงจะเป็นกาฬกิณีจะให้เราละทิ้งเขาไปเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัวได้อย่างไร[๐๘.๑๕] (๒๗/๘๓)
อทฺธาเอโสสตํธมฺโมโยมิตฺโตมิตฺตมาปเท
นจเชชีวิตสฺสาปิเหตุธมฺมมนุสฺสรํ
การที่มิตรเมื่อระลึกถึงธรรมแล้วไม่ยอมทอดทิ้งมิตรในยามมีทุกข์ภัยถึงชีวิตข้อนี้เป็นธรรมของสัตบุรุษโดยแท้[๐๘.๑๖] (๒๘/๑๖๖)
เอวํมิตฺตวตํอตฺถาสพฺเพโหนฺติปทกฺขิณา
ประโยชน์ที่มุ่งหมายทุกอย่างของผู้มีมิตรพรั่งพร้อม
ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลเหมือนโชคช่วย[๐๘.๑๗] (๒๘/๑๙๘,๒๔๘)
สาธุสมฺพหุลาญาตีอปิรุกฺขาอรญฺญชา
วาโตวหติเอกฏฺฐํพฺรหนฺตมฺปิวนปฺปตึ
มีญาติพวกพ้องมากย่อมเป็นการดีเช่นเดียวกับต้นไม้ในป่าที่มีจำนวนมากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวถึงจะงอกงามใหญ่โตสักเท่าใดลมก็พัดให้โค่นลงได้[๐๘.๑๘] (๒๗/๗๔)
๙. การคบหา
นยํนยติเมธาวีอธุรายํนยุญฺชติ
สุนโยเสยฺยโสโหติสมฺมาวุตฺโตนกุปฺปติ
วินยํโสปชานาติสาธุเตนสมาคโม
ปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำไม่ชวนทำสิ่งที่มิใช่ธุระการแนะนำดีเป็นความดีของปราชญ์ปราชญ์ถูกว่ากล่าวโดยชอบก็ไม่โกรธปราชญ์ย่อมรู้วินัยการสมาคมกับปราชญ์จึงเป็นการดี
[๐๙.๐๑] (๒๗/๑๘๑๙)
นวิสฺสเสอิตฺตรทสฺสเนน
ไม่ควรไว้วางใจเพียงด้วยพบเห็นกันนิดหน่อย[๐๙.๐๒] (๑๕/๓๕๘)
มิตฺตรูเปนพหโวฉนฺนาเสวนฺติสตฺตโว
มีคนเป็นอันมากที่คบหาอย่างเป็นศัตรูผู้แฝงมาในรูปมิตร
[๐๙.๐๓] (๒๗/๑๔๒๙)
จรนฺติโลเกปริวารฉนฺนา
อนฺโตอสุทฺธาพหิโสภมานา
คนจำพวกที่งามแต่ภายนอกภายในไม่สะอาดมีบริวารกำบังตัวไว้ก็แสดงบทบาทอยู่ในโลก[๐๙.๐๔] (๑๕/๓๕๘)
อกโรนฺโตปิเจปาปํกโรนฺตมุปเสวติ
สงฺกิโยโหติปาปสฺมึอวณฺโณจสฺสรูหติ
ผู้ใดแม้หากมิได้กระทำความชั่วแต่คบหาเกลือกกลั้วกับผู้กระทำบาปผู้นั้นย่อมพลอยถูกระแวงในกรรมชั่วอีกทั้งชื่อเสียงเสื่อมเสียย่อมเพิ่มพูนแก่เขา[๐๙.๐๕] (๒๕/๒๕๔)
โสปิตาทิสโกโหติยาทิสญฺจูปเสวติ
คบคนเช่นใดก็เป็นเช่นคนนั้น[๐๙.๐๖] (๒๗/๒๑๕๒)
ปูติมจฺฉํกุสคฺเคนโยนโรอุปนยฺหติ
กุสาปิปูติวายนฺติเอวํพาลูปเสวนา
คนใดห่อปลาเน่าด้วยใบคาใบคาย่อมเหม็นกลิ่นปลา
คละคลุ้งการเกลือกกลั้วคบหาคนพาลย่อมมีผลเช่น
อย่างนั้น[๐๙.๐๗] (๒๕/๒๕๔)
ตครญฺจปลาเสนโยนโรอุปนยฺหติ
ปตฺตาปิสุรภิวายนฺติเอวํธีรูปเสวนา
ส่วนคนใดห่อกฤษณาด้วยใบไม้ใบนั้นย่อมพลอยมี
กลิ่นหอมฟุ้งการคบหาเสวนานักปราชญ์ย่อมมีผล
เช่นอย่างนั้น[๐๙.๐๘] (๒๕/๒๕๔)
ทุกฺโขพาเลหิสํวาโส
การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นทุกข์
อมิตฺเตเนวสพฺพทา
เหมือนอยู่ร่วมกับศัตรูตลอดเวลา[๐๙.๐๙] (๒๕/๒๕)
ธีโรจสุขสํวาโ
ปราชญ์มีการอยู่ร่วมเป็นสุข
ญาตีนํวสมาคโม
เหมือนสมาคมแห่งญาติ[๐๙.๑๐] (๒๕/๒๕)
ยสฺมึมโนนิวิสติอวิทูเรสหาปิโส
สนฺติเกปิหิโสทูเรยสฺมาวิวสเตมโน
จิตจอดอยู่กับใครถึงไกลกันก็เหมือนอยู่ชิดใกล้
ใจหมางเมินใครถึงใกล้กันก็เหมือนอยู่แสนไกล[๐๙.๑๑] (๒๗/๑๗๕๘)
อนฺโตปิเจโหติปสนฺนจิตฺโต
ปารํสมุทฺทสฺสปสนฺนจิตฺโต
อนฺโตปิโสโหติปทุฏฺฐจิตฺโต
ปารํสมุทฺทสฺสปทุฏฺฐจิตฺโต
ถ้าใจรักแล้วถึงอยู่ห่างคนละฝั่งฟากมหาสมุทรก็
เหมือนอยู่สุดแสนใกล้ถ้าใจชังแล้วถึงอยู่สุดแสน
ใกล้ก็เหมือนอยู่ไกลคนละฟากมหาสมุทร[๐๙.๑๒] (๒๗/๑๗๕๙)
ยาวชีวมฺปิเจพาโลปณฺฑิตํปยิรุปาสติ
นโสธมฺมํวิชานาติทพฺพีสูปรสํยถา
คนพาลถึงอยู่ใกล้บัณฑิตจนตลอดชีวิตก็ไม่รู้แจ้ง
ธรรมเสมือนทัพพีที่ไม่รู้รสแกง[๐๙.๑๓] (๒๕/๑๕)
มุหุตฺตมปิเจวิญฺญูปณฺฑิตํปยิรุปาสติ
ขิปฺปํธมฺมํวิชานาติชิวฺหาสูปรสํยถา
ส่วนวิญญูชนหากเข้าใกล้บัณฑิตแม้เพียงครู่เดียวก็รู้
ธรรมได้ฉับพลันเสมือนลิ้นที่รู้รสแกง[๐๙.๑๔] (๒๕/๑๕)
นิธีนํวปวตฺตารํยํปสฺเสวชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึเมธาวึตาทิสํปณฺฑิตํภเช
ตาทิสํภชมานสฺสเสยฺโยโหตินปาปิโย
พึงมองเห็นคนมีปัญญาที่ชอบชี้โทษพูดจาข่มขี่เสมือนเป็นผู้บอกขุมทรัพย์พึงคบคนที่เป็นบัณฑิตเช่นนั้นแหละเมื่อคบคนเช่นนั้นย่อมมีแต่ดีไม่มีเสียเลย[๐๙.๑๕] (๒๕/๑๖)
โอวเทยฺยานุสาเสยฺยอสพฺภาจนิวารเย
สตํหิโสปิโยโหติอสตํโหติอปฺปิโย
พึงแนะนำตักเตือนเถิดพึงพร่ำสอนเถิดพึงห้ามปรามจากความชั่วเถิดคนที่ทำเช่นนั้นย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษและไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษ[๐๙.๑๖] (๒๕/๑๖)
๙. การคบหา
นภเชปาปเกมิตฺเต
ไม่ควรคบมิตรชั่ว[๐๙.๑๗] (๒๕/๑๖)
ภเชถมิตฺเตกลฺยาเณ
ควรคบมิตรดี[๐๙.๑๘] (๒๕/๑๖)
โหติปานสขานามโหติสมฺมิยสมฺมิโย
การคบหาคนเป็นเพื่อนแต่เวลาดื่มเหล้าก็มีเป็นเพื่อนแต่ปากว่าก็มี[๐๙.๑๙] (๑๑/๑๘๕)
โยจอตฺเถสุชาเตสุสหาโยโหติโสสขา
ส่วนผู้ใดเป็นสหายในเมื่อเกิดเรื่องต้องการผู้นั้นแลคือเพื่อนแท้[๐๙.๒๐] (๑๑/๑๘๕)
นตฺถิพาเลสหายตา
ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล[๐๙.๒๑] (๒๕/๓๓)
ทุกฺโขพาเลหิสงฺคโม
สมาคมกับคนพาลนำทุกข์มาให้[๐๙.๒๒] (๒๗/๑๒๙๑)
นิหียติปุริโสนิหีนเสวี
ผู้คบคนเลวย่อมพลอยเลวลง[๐๙.๒๓] (๒๐/๔๖๕)
เสยฺยํโสเสยฺยโสโหติโยเสยฺยมุปเสวติ
คบคนดีก็พลอยมีส่วนดีด้วย[๐๙.๒๔] (๒๗/๔๔๕)
เสฏฺฐมุปนมํอุเทติขิปฺปํ
เมื่อคบคนที่ดีกว่าตัวเองก็ดีขึ้นมาในฉับพลัน
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) [๐๙.๒๕] (๒๐/๔๖๕)
ตสฺมาอตฺตโนอุตฺตรึภเชถ
ฉะนั้นควรคบหาคนที่ดีกว่าตน[๐๙.๒๖] (๒๐/๔๖๕)
หีโนนเสวิตพฺโพวอญฺญตฺรจอนุทฺทยา
ไม่ควรคบคนเลวทรามนอกจากเพื่อให้ความช่วยเหลือ[๐๙.๒๗] (นัย๒๐/๔๖๕)
นสนฺถวํกาปุริเสนกยิรา
ไม่ควรทำความสนิทสนมกับคนชั่ว[๐๙.๒๘] (๒๗/๑๗๑)
อติจิรํนิวาเสนปิโยภวติอปฺปิโย
เพราะอยู่ด้วยกันนานเกินไปที่รักก็กลายเป็นหน่าย[๐๙.๒๙] (๒๗/๑๗๖๑)
อเปตจิตฺเตนนสมฺภเชยฺย
ไม่พึงอยู่กินกับคนไม่มีใจไยดี[๐๙.๓๐] (๒๗/๒๙๖)
นวิสฺสเสอวิสฺสตฺเถ
ไม่ควรไว้ใจในคนไม่คุ้นเคย[๐๙.๓๑] (๒๗/๙๓)
วิสฺสตฺเถปินวิสฺสเส
ถึงคนคุ้นเคยก็ไม่ควรวางใจ[๐๙.๓๒] (๒๗/๙๓)
นาสฺมเสกตปาปมฺหินาสฺมเสอลิกวาทิเน
นาสฺมเสอตฺตตฺถปญฺญมฺหิอติสนฺเตปินาสฺมเส
ไม่ควรไว้ใจคนที่ทำชั่วมาแล้วไม่ควรไว้ใจคนที่พูดพล่อยๆไม่ควรไว้ใจคนที่เห็นแก่ตัวถึงคนที่ทำทีสงบเสงี่ยมเกินไปก็ไม่ควรไว้ใจ[๐๙.๓๓] (๒๗/๑๔๒๒)
วิสฺสาสาภยมนฺเวติ
เพราะไว้วางใจภัยจะตามมา[๐๙.๓๔] (๒๗/๙๓)
มิตฺตทุพฺโภหิปาปโก
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลว[๐๙.๓๕] (๒๗/๑๔๖๙)
อตฺถมฺหิชาตมฺหิสุขาสหายา
สหายช่วยให้เกิดสุขในเมื่อเกิดมีเรื่องราว[๐๙.๓๖] (๒๕/๓๓)
สเจลเภถนิปกํสหายํ
จเรยฺยเตนตฺตมโนสติมา
ถ้าได้สหายผู้มีปัญญาปกครองตนพึงพอใจมีสติเที่ยวไปกับเขา[๐๙.๓๗] (๒๕/๓๓)
โนเจลเภถนิปกํสหายํ
เอโกจเรนจปาปานิกยิรา
ถ้าไม่ได้สหายที่มีปัญญาปกครองตนพึงเที่ยวไปคนเดียวและไม่พึงทำความชั่ว[๐๙.๓๘] (๒๕/๓๓)
เสยฺโยอมิตฺโตเมธาวียญฺเจพาลานุกมฺปโก
มีศัตรูเป็นบัณฑิตดีกว่ามีมิตรเป็นพาล[๐๙.๓๙] (๒๗/๔๕)
๑๐. การเบียดเบียน-การช่วยเหลือกัน
สพฺพาทิสาอนุปริคมฺมเจตสา
เนวชฺฌคาปิยตรตฺตนากฺวจิ
เอวมฺปิโสปุถุอตฺตาปเรสํ
ตรวจดูด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้วไม่พบใครที่ไหนเป็นที่รักยิ่งกว่าตนเองเลยคนอื่นก็รักตนมากเช่นเดียวกัน
ตสฺมานหึเสปรํอตฺตกาโม
ฉะนั้นผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนคนอื่น[๑๐.๐๑] (๒๕/๑๑๐)
สพฺเพตสนฺติทณฺฑสฺสสพฺเพภายนฺติมจฺจุโน
สัตว์ทั้งปวงย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญาสัตว์ทั้งปวงย่อมกลัวความตาย
สพฺเพตสนฺติทณฺฑสฺสสพฺเพสํชีวิตํปิยํ
สัตว์ทั้งปวงย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญาชีวิตเป็นที่รักของทุกคน
ยถาอหํตถาเอเตยถาเอเตตถาอหํ
เราฉันใดสัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้นสัตว์เหล่านี้ฉันใดเราก็ฉันนั้น
อตฺตานํอุปมํกตฺวานหเนยฺยนฆาตเย
นึกถึงเขาเอาตัวเราเข้าเทียบแล้วไม่ควรเข่นฆ่าไม่ควรให้สังหารกัน[๑๐.๐๒] (๒๕/๒๐,๓๘๙)
ทุกฺขิตสฺสสกฺกจฺจกโรติกิจฺจํ
ช่วยเหลือคนเดือดร้อนด้วยความตั้งใจ[๑๐.๐๓] (๒๗/๒๔๖๖)
สนฺโตสตฺตหิเตรตา
คนดีชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น[๑๐.๐๔] (ชา.อ.๑/๒๓๐)
สพฺเพสํสหิโตโหติ
คนดีบำเพ็ญประโยชน์แก่ปวงชน[๑๐.๐๕] (๒๓/๑๒๘)
พหูนํวตอตฺถายปณฺฑิโตฆรมาวสํ
คนมีปัญญาอยู่ครองเรือนก็เป็นประโยชน์แก่คนจำนวนมาก[๑๐.๐๖] (๒๓/๑๒๘)
๑๐. การเบียดเบียนฯ
นหิเวเรนเวรานิสมฺมนฺตีธกุทาจนํ
ในโลกนี้เวรระงับด้วยเวรไม่เคยมี[๑๐.๐๗] (๒๕/๑๑)
ปูชโกลภเตปูชํ
ผู้บูชาย่อมได้บูชาตอบ[๑๐.๐๘] (๒๘/๔๐๑)
วนฺทโกปฏิวนฺทนํ
ผู้ไหว้ย่อมได้การไหว้ตอบ[๑๐.๐๙] (๒๘/๔๐๑)
สุขสฺสทาตาเมธาวีสุขํโสอธิคจฺฉติ
คนฉลาดให้ความสุขย่อมได้ความสุข[๑๐.๑๐] (๒๒/๓๗)
ททํมิตฺตานิคนฺถติ
เมื่อให้ไปย่อมผูกไมตรีไว้[๑๐.๑๑] (๑๕/๘๔๕)
ททมาโนปิโยโหติ
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก[๑๐.๑๒] (๒๒/๓๕)
ทีปํหิเอตํปรมํนรานํ
ยํปณฺฑิตาโสกนุทาภวนฺติ
บัณฑิตสามารถปัดเป่าความเศร้าโศกของคนอื่นได้จึงจัดว่าเป็นที่พึ่งยอดเยี่ยมของคนทั้งหลาย[๑๐.๑๓] (๒๘/๓๓๓)
บทที่๑๐
๑๐. การเบียดเบียนฯ
สกุโณมยฺหโกนามคิริสานุทรีจโร
ปกฺกํปิปฺผลิมารุยฺหมยฺหํมยฺหนฺติกนฺทติ
นกชนิดหนึ่งเที่ยวบินอยู่ตามช่องเขาและไหล่เขามีชื่อว่านกมัยหกะมันบินไปสู่ต้นเลียบอันมีผลสุกแล้วร้องว่า “ของข้าๆ” เมื่อนกมัยหกะร้องอยู่อย่างนั้นฝูงนกทั้งหลายก็พากันบินมาจิกกินผลเลียบแล้วก็พากันบินไปนกมัยหกะก็ยังร้องพร่ำอยู่อย่างเดิมนั่นเอง
เอวมิเธวเอกจฺโจสงฺฆริตฺวาพหุธนํ
เนวตฺตโนนญาตีนํยโถธึปฏิปชฺชติ
คนบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเก็บทรัพย์สะสมไว้มากมายแล้วตนเองก็ไม่ได้ใช้ทั้งไม่เผื่อแผ่เจือจานแก่ญาติทั้งหลายตามส่วนเมื่อเขาหวงแหนทรัพย์ไว้รำพึงว่า “ของข้าๆ” ราชการหรือโจรหรือทายาทก็มาเอาทรัพย์นั้นไปตัวเขาก็ได้แต่รำพันอยู่อย่างนั้นนั่นเอง
[๑๐.๑๔] (๒๗/๙๓๑)
นิวตฺตยนฺติโสกมฺหา
คนใจการุณย์ช่วยแก้ไขคนให้หายโศกเศร้า[๑๐.๑๕] (๒๗/๑๔๙๒)
เนกาสีลภเตสุขํ
กินคนเดียวไม่ได้ความสุข[๑๐.๑๖] (๒๗/๑๖๗๔)
นภุญฺเชสาธุเมกโก
ไม่พึงบริโภคของอร่อยผู้เดียว[๑๐.๑๗] (๒๘/๙๔๙)
นหิทานาปรํอตฺถิปติฏฺฐาสพฺพปาณินํ
นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้วสัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่[๑๐.๑๘] (๒๘/๑๐๗๓)
โยมาตรํปิตรํวาชิณฺณกํคตโยพฺพนํ
ปหุสนฺโตนภรติตํปราภวโตมุขํ
คนใดมารดาบิดาแก่เฒ่าล่วงพ้นวัยหนุ่มวัยสาวไปแล้วตนเองสามารถก็ไม่เลี้ยงดูนั้นคือปากทางของความเสื่อม[๑๐.๑๙] (๒๕/๓๐๔)
ปหุตวิตฺโตปุริโสสหิรญฺโญสโภชโน
เอโกภุญฺชติสาทูนิตํปราภวโตมุขํ
คนใดมั่งมีทรัพย์สินเงินทองมีของกินของใช้มากแต่บริโภคของอร่อยคนเดียวนั้นเป็นปากทางแห่งความเสื่อม[๑๐.๒๐] (๒๕/๓๐๔)
ทเทยฺยปุริโสทานํอปฺปํวายทิวาพหุ
เกิดมาเป็นคนจะมากหรือน้อยก็ควรให้ปันบ้าง[๑๐.๒๑] (๒๗/๑๐๑๒)
อนฺนโทพลโทโหติ
ผู้ให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง
วตฺถโทโหติวณฺณโท
ผู้ให้ผ้านุ่งห่มชื่อว่าให้ผิวพรรณ
ยานโทสุขโทโหติ
ผู้ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสะดวก
โสจสพฺพทโทโหติโยททาติอุปสฺสยํ
ผู้ใดให้ที่พำนักอาศัยผู้นั้นชื่อว่าให้ทั้งหมด[๑๐.๒๒] (๑๕/๑๓๘)
อมตนฺทโทจโสโหติโยธมฺมมนุสาสติ
ผู้ใดสั่งสอนธรรมผู้นั้นชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย[๑๐.๒๓] (๑๕/๑๓๘)
วิเจยฺยทานํสุคตปฺปสตฺถํ
ให้ด้วยพิจารณาพระศาสดาทรงสรรเสริญ[๑๐.๒๔] (๑๕/๙๙)
อารามโรปาวนโรปาเยชนาเสตุการกา
ปปญฺจอุทปานญฺจเยททนฺติอุปสฺสยํ
เตสํทิวาจรตฺโตจสทาปุญฺญํปวฑฺฒติ
ชนเหล่าใดปลูกสวนปลูกป่าสร้างสะพานให้แหล่งน้ำบ่อน้ำและที่พักอาศัยบุญของชนเหล่านั้นย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อทั้งคืนทั้งวัน
[๑๐.๒๕] (๑๕/๑๔๖)
หิโตพหุนฺนํปฏิปชฺชโภเค
คนดีจัดการโภคทรัพย์บำเพ็ญประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก[๑๐.๒๖] (๒๒/๔๒)
ทินฺนํโหติสุนิพฺภตํ
ของที่ให้แล้วชื่อว่านำออกไปอย่างดีแล้ว[๑๐.๒๗] (๑๕/๑๓๖)
ทินฺนํสุขผลํโหตินาทินฺนํโหติตํยถา
ของที่ให้แล้วชื่อว่าออกผลเป็นความสุขแล้วส่วนของที่ยังไม่ได้ให้ยังไม่มีผลเช่นนั้น[๑๐.๒๘] (๑๕/๑๓๖)
อทฺธาหิทานํพหุธาปสตฺถํ
ทานาจโขธมฺมปทํวเสยฺโย
ทานนั้นปราชญ์สรรเสริญกันโดยมากอย่างแน่นอนแต่กระนั้นบทธรรมก็ยังประเสริฐกว่าทาน[๑๐.๒๙] (๑๕/๑๐๑)
เอตทคฺคํภิกฺขเวทานานํยทิทํธมฺมทานํ
ภิกษุทั้งหลายการให้ธรรมเป็นยอดแห่งทาน[๑๐.๓๐] (๒๓/๒๐๙)
สพฺพทานํธมฺมทานํชินาติ
การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง[๑๐.๓๑] (๒๕/๓๔)
๑๑. สามัคคี
สมคฺคานํตโปสุโข
ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกันให้เกิดสุข[๑๑.๐๑] (๒๕/๒๕)
สุขาสงฺฆสฺสสามคฺคี
สามัคคีของหมู่ให้เกิดสุข[๑๑.๐๒] (๒๕/๑๙๔)
สูกเรหิสมคฺเคหิพฺยคฺโฆเอกายเนหโต
สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันยังฆ่าเสือโคร่งได้เพราะใจรวมเป็นอันเดียว[๑๑.๐๓] (๒๗/๑๙๘๗)
เอเตภิยฺโยสมายนฺติสนฺธิเตสํนชีรติ
โยจาธิปนฺนํชานาติโยจชานาติเทสนํ
ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงละเมิด๑ผู้ใดยอมรับรู้โทษที่เขามาสารภาพ๑คนทั้งสองนี้ย่อมพร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้นมิตรภาพของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย[๑๑.๐๔] (๒๗/๕๔๘)
เอโสหิอุตฺตริตโรภาราวโหธุรนฺธโร
โยปเรสาธิปนฺนานํสยํสนฺธาตุมรหติ
ผู้ใดเมื่อคนอื่นล่วงเกินกันอยู่ตนเองกลับหาทางเชื่อมเขาให้คืนดีกันได้ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นคนเอาภาระเป็นผู้จัดธุระที่ดียอดเยี่ยม[๑๑.๐๕] (๒๗/๕๔๙)
สเจปิสนฺโตวิวทนฺติขิปฺปํสนฺธียเรปุน
พาลาปตฺตาวภิชฺชนฺตินเตสมถมชฺฌคู
ถ้าแม้สัตบุรุษวิวาทกันก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็วส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกันเหมือนภาชนะดินเขาย่อมไม่ได้ความสงบเวรกันเลย[๑๑.๐๖] (๒๗/๕๔๗)
สมคฺคาสขิลาโหถ
จงสามัคคีมีน้ำใจต่อกัน[๑๑.๐๗] (๓๓/๓๕)
๑๒. การปกครอง
วโสอิสฺสริยํโลเก
อำนาจเป็นใหญ่ในโลก(อิสรภาพคือความมีอำนาจในตัวเอง)
[๑๒.๐๑] (๑๕/๒๑๒)
สพฺพํปรวสํทุกฺขํ
การอยู่ในอำนาจของผู้อื่นเป็นทุกข์ทั้งสิ้น[๑๒.๐๒] (๒๕/๖๓)
สพฺพํอิสฺสริยํสุขํ
อิสรภาพเป็นสุขทั้งสิ้น[๑๒.๐๓] (๒๕/๖๓)
ราชารฏฺฐสฺสปญฺญาณํ
ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น(ผู้ปกครองเป็นเครื่องส่องถึงรัฐ)
[๑๒.๐๔] (๑๕/๒๐๑)
ตํมํนตปฺปตีพนฺโธวโธเมนตเปสฺสติ
สุขมาหริตํเตสํเยสํรชฺชมการยึ
ถึงจะถูกจองจำข้าฯก็ไม่เดือดร้อนถึงจะถูกฆ่าก็ไม่ครั่นคร้ามเพราะข้าฯได้นำความสุขมาให้แล้วแก่เหล่าชนที่ข้าฯปกครอง
[๑๒.๐๕] (๒๗/๑๐๕๕)
สพฺเพสํสุขเมตพฺพํขตฺติเยนปชานตา
ผู้ปกครองแผ่นดินมีปัญญาพึงแสวงสุขเพื่อปวงประชา
[๑๒.๐๖] (๒๗/๑๐๕๖)
ธมฺมํปมชฺชขตฺติโยรฏฺฐาจวติอิสฺสโร
ผู้ครองแผ่นดินถึงจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ประมาทธรรมเสียแล้วก็ร่วงจากรัฐ (สูญเสียอำนาจ)[๑๒.๐๗] (๒๘/๕๑)
สาธุธมฺมรุจีราชา
ราชาชอบธรรมจึงจะดี(จะเป็นการดีต่อเมื่อมีผู้ปกครองที่นิยมธรรม)[๑๒.๐๘] (๒๘/๕๐)
อกฺโกธนสฺสวิชิเตฐิตธมฺมสฺสราชิโน
สุขํมนุสฺสาอาเสถสีตจฺฉายายสํฆเร
ในแว่นแคว้นของราชาผู้มีเมตตามีธรรมมั่นคงประชาชนจะนั่งนอนเป็นสุขเหมือนมีร่มเงาที่เย็นสบายอยู่ในบ้านของตัวเอง[๑๒.๐๙] (๒๘/๕๐)
ควญฺเจตรมานานํชิมฺหํคจฺฉนฺติปุงฺคโวฯเปฯ
สพฺพํรฏฺฐํทุกฺขํเสติราชาเจโหติอธมฺมิโก
เมื่อฝูงโคว่ายข้ามฟากอยู่ถ้าโคนำฝูงไปคดโคทั้งหมดก็ว่ายคดไปตามฉันใดในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้นผู้ใดได้รับแต่งตั้งเป็นใหญ่ถ้าผู้นั้นประพฤติอธรรมจะป่วยกล่าวไปไยถึงประชาชนที่เหลือถ้าราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรมรัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นทุกข์
ควญฺเจตรมานานํอุชุคจฺฉติปุงฺคโวฯเปฯ
สพฺพํรฏฺฐํสุขํเสติราชาเจโหติธมฺมิโก
เมื่อฝูงโคว่ายข้ามฟากอยู่ถ้าโคนำฝูงไปตรงโคทั้งหมดย่อมว่ายตรงไปตามฉันใดในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้นผู้ใดได้รับแต่งตั้งเป็นใหญ่ถ้าผู้นั้นประพฤติธรรมประชาชนที่เหลือก็เป็นอันไม่ต้องกล่าวถึงถ้าราชาตั้งอยู่ในธรรมรัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นสุข[๑๒.๑๐_] (๒๑/๗๐)
อริโยอนริยํกุพฺพํโยทณฺเฑนนิเสเธติ
สาสนํตํนตํเวรํอิตินํปณฺฑิตาวิทู
เมื่ออนารยชนก่อกรรมชั่วอารยชนใช้อาญาหักห้ามการกระทำนั้นเป็นการสั่งสอนหาใช่เป็นเวรไม่บัณฑิตทั้งหลายเข้าใจกันอย่างนี้[๑๒.๑๑] (๒๗/๓๕๗)
นิสมฺมทณฺฑํปณเยยฺยอิสฺสโร
คนที่เป็นใหญ่จะต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนจึงลงโทษ[๑๒.๑๒] (๒๗/๒๑๗๕)
เวคากตํตปฺปติภูมิปาล
ท่านผู้ครองแผ่นดิน! การที่ทำโดยผลีผลามจะแผดเผาตัวได้[๑๒.๑๓] (๒๗/๒๑๗๕)
โยอิสฺสโรมฺหีติกโรติปาปํ
กตฺวาจโสนุตฺตปเตปเรสํ
นเตนโสชีวติทีฆมายุ
เทวาปิปาเปนสเมกฺขเรนํ
ผู้ใดทำความชั่วด้วยสำคัญตัวว่า “เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่”ครั้นทำแล้วก็ไม่หวั่นเกรงต่อคนทั้งหลายอื่นผู้นั้นจะดำรงชีพอยู่ยืนยาวด้วยความชั่วนั้นก็หาไม่แม้เทพทั้งหลายก็มองดูเขาด้วยนัยน์ตาอันเหยียดหยาม[๑๒.๑๔] (๒๘/๓๑)
มาตาตอิสฺสโรมฺหีติอนตฺถายปตารยิ
อย่าสำคัญตนว่าเรามีอำนาจยิ่งใหญ่แล้วทำให้ประชาชนพลอยพินาศ
[๑๒.๑๕] (๒๗/๒๔๔๒)
สยํอายํวยํชญฺญาสยํชญฺญากตากตํ
ผู้ปกครองต้องทราบรายได้รายจ่ายด้วยตนเองต้องทราบกิจการที่ทำแล้วและยังมิได้ทำด้วยตนเอง[๑๒.๑๖] (๒๗/๒๔๔๒)
นิคฺคณฺเหนิคฺคหารหํปคฺคณฺเหปคฺคหารหํ
พึงข่มคนที่ควรข่มพึงยกย่องคนที่ควรยกย่อง[๑๒.๑๗] (๒๗/๒๔๔๒)
อเปตโลมหํสสฺสรญฺโญกามานุสาริโน
สพฺเพโภคาวินสฺสนฺติรญฺโญตํวุจฺจเตอฆํ
ผู้ครองแผ่นดินที่เจ้าสำราญแส่หาแต่กามารมณ์โภคทรัพย์จะพินาศหมดนี่แลที่เรียกว่าทุกข์ภัยของผู้ครองแผ่นดิน[๑๒.๑๘] (๒๗/๒๔๔๒)
มหตฺตปตฺโตปินิวาตวุตฺติ
ตสฺมึหโปเสวิปุลาภวามิ
อุมฺมีสมุทฺทสฺสยถาปิวณฺณํ
ถึงจะขึ้นสู่สถานะที่ยิ่งใหญ่ก็ถ่อมตัวใฝ่ฟังบัณฑิต
ท่านผู้เช่นนั้นจะเป็นที่ชื่นชมยำเกรงเหมือนคนเห็นบรรยากาศแห่งมหาสมุทรแล้วขามเกรงต่อศักยะแห่งคลื่นใหญ่[๑๒.๑๙] (๒๗/๘๘๒)
ปฐเมเนววิตถํโกธํหาสํนิวารเย
ตโตกิจฺจานิกาเรยฺยตํวตํอาหุขตฺติย
เริ่มแรกแก้ไขข้อที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนให้เสร็จระงับความโกรธกริ้วและความบันเทิงไว้ก่อนจากนั้นจึงสั่งงานข้อนี้นักปราชญ์กล่าวว่าเป็นวัตร(ระเบียบปฏิบัติ) ของผู้ปกครอง
[๑๒.๒๐] (๒๗/๒๔๔๐)
มทาปมาโทชาเยถ
จากความมัวเมาก็เกิดความประมาท[๑๒.๒๑] (๒๗/๒๔๑๙)
ปมาทาชายเตขโย
จากความประมาทก็เกิดความเสื่อม[๑๒.๒๒] (๒๗/๒๔๑๙)
ขยาปโทสาชายนฺติ
จากความเสื่อมก็เกิดโทษประดัง[๑๒.๒๓] (๒๗/๒๔๑๙)
มามโทภรตูสภ
ผู้มีภาระปกครองรัฐจงอย่าได้ประมาทเลย[๑๒.๒๔] (๒๗/๒๔๑๙)
ขตฺติยสฺสปมตฺตสฺสรฏฺฐสฺมึรฏฺฐวฑฺฒน
สพฺเพโภคาวินสฺสนฺติรญฺโญตํวุจฺจเตอฆํ
เมื่อผู้ครองแผ่นดินประมาทโภคทรัพย์ในรัฐทั้งหมดย่อมพินาศนี่แลเรียกว่าทุกข์ภัยของผู้ครองแผ่นดิน[๑๒.๒๕] (๒๗/๒๔๔๐)
อุปสฺสุตึมหาราชรฏฺเฐชนปเทจร
ตตฺถทิสฺวาสุตฺวาจตโตตํปฏิปชฺชสิ
ดูกรมหาราชพระองค์จงเสด็จเที่ยวสดับดูความเป็นอยู่ความเป็นไปในแว่นแคว้นแดนชนบทครั้นได้เห็นได้ฟังแล้วจึงปฏิบัติราชกิจนั้นๆ[๑๒.๒๖] (๒๗/๒๔๑๙)
อรกฺขิตาชานปทาอธมฺมพลินาหตา
รตฺติญฺหิโจราขาทนฺติทิวาขาทนฺติตุณฑิยา
รฏฺฐสฺมึกูฏราชสฺสพหุอธมฺมิโกชโน
ชาวชนบทไม่ได้รับการพิทักษ์รักษาถูกกดขี่ด้วยค่าธรรมเนียมไม่ชอบธรรมกลางคืนโจรปล้นกลางวันข้าราชการข่มเหงในแว่นแคว้นของผู้ปกครองชั่วร้ายย่อมมีคนอาธรรม์มากมาย[๑๒.๒๗] (๒๗/๒๔๒๒)
รกฺเขยฺยานาคตํภยํ
พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึง[๑๒.๒๘] (๒๗/๕๔๕)
สงฺเกยฺยสงฺกิตพฺพานิ
พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง[๑๒.๒๙] (๒๗/๕๔๕)
สกฺกาโรกาปุริสํหนฺติ
สักการะฆ่าคนชั่วได้[๑๒.๓๐] (๑๕/๖๑๐)
โยจอุปฺปติตํอตฺถิขิปฺปเมวนพุชฺฌติ
อมิตฺตวสมนฺเวติปจฺฉาวอนุตปฺปติ
ผู้ใดไม่รู้เท่าทันเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้โดยฉับพลันผู้นั้นจะหลงเข้าไปในอำนาจของศัตรูและจะเดือดร้อนภายหลัง[๑๒.๓๑] (๒๗/๑๔๓๐)
อปฺปเสโนปิเจมนฺตีมหาเสนํอมนฺตินํ
ถึงแม้จะมีกำลังพลน้อยแต่มีความคิดก็เอาชนะกองทัพใหญ่ที่ไร้ความคิดได้[๑๒.๓๒] (๒๘/๖๕๕)
พาโลอปริณายโก
คนพาลเป็นผู้นำไม่ได้[๑๒.๓๓] (๒๗/๓๑๓)
นสาธุพลวาพาโลยูถสฺสปริหารโก
ผู้บริหารหมู่คณะถึงจะมีกำลังอำนาจแต่เป็นคนพาลย่อมไม่เป็นผลดี[๑๒.๓๔] (๒๗/๑๐๓๑)
ธีโรจพลวาสาธุยูถสฺสปริหารโก
ผู้บริหารหมู่ชนเป็นปราชญ์และมีกำลังเข้มแข็งจึงจะเป็นผลดี[๑๒.๓๕] (๒๗/๑๐๓๒)
๑๓. บุญ-บาป, ธรรม-อธรรม, ความดี-ชั่ว
ปุญฺญํโจเรหิทูหรํ
ความดีโจรลักไม่ได้[๑๓.๐๑] (๑๕/๑๕๙)
สยํกตานิปุญฺญานิตํมิตฺตํสมฺปรายิกํ
ความดีที่ทำไว้เองเป็นมิตรติดตามตัวไปเบื้องหน้า[๑๓.๐๒] (๑๕/๑๖๓)
มาวมญฺเญถปาปสฺสนมตฺตํอาคมิสฺสติ
อย่าดูหมิ่นความชั่วว่าเล็กน้อยคงจักไม่มีผลมาถึงตัว
อุทพินฺทุนิปาเตนอุทกุมฺโภปิปูรติ
เพราะน้ำหยดทีละน้อยหม้อน้ำยังเต็มได้
อาปูรติพาโลปาปสฺสโถกํโถกํปิอาจินํ
พาลชนสร้างสมความชั่วทีละน้อยก็เต็มเพียบไปด้วยความชั่ว[๑๓.๐๓] (๒๕/๑๙)
ปาปญฺเจปุริโสกยิรานนํกยิราปุนปฺปุนํ
คนเรานี้ถ้ามีอันทำชั่วลงไปก็อย่าพึงทำความชั่วนั้นซ้ำเข้าอีก
นตมฺหิฉนฺทํกยิราถทุกฺโขปาปสฺสอุจฺจโย
อย่าพึงสร้างความพอใจในความชั่วนั้นการสั่งสมความชั่วเป็นการก่อความทุกข์[๑๓.๐๔] (๒๕/๑๙)
โยจปุพฺเพปมชฺชิตฺวาปจฺฉาโสนปฺปมชฺชติ
โสมํโลกํปภาเสติอพฺภามุตฺโตวจนฺทิมา
บุคคลใดในกาลก่อนเคยผิดพลาดครั้นภายหลังเขากลับตัวได้ไม่ประมาทบุคคลนั้นย่อมทำโลกให้แจ่มใสเหมือนดังดวงจันทร์อันพ้นจากเมฆหมอก[๑๓.๐๕] (๒๕/๒๓)
ยสฺสปาปํกตํกมฺมํกุสเลนปิถียติ
โสมํโลกํปภาเสติอพฺภามุตฺโตวจนฺทิมา
บุคคลใดเคยทำกรรมชั่วไว้แล้ว (กลับตัวได้) หันมาทำดีปิดกั้นบุคคลนั้นย่อมทำให้โลกแจ่มใสเหมือนดังดวงจันทร์อันพ้นจากเมฆหมอก[๑๓.๐๖] (๒๕/๒๓)
ยถาปิปุปฺผราสิมฺหากยิรามาลาคุเฬพหู
เอวํชาเตนมจฺเจนกตฺตพฺพํกุสลํพหุ
ช่างดอกไม้ร้อยพวงมาลัยได้มากมายจากกองดอกไม้กองหนึ่งฉันใดคนเราเกิดมาแล้วก็ควร (ใช้ชีวิตชาติหนึ่งนี้) สร้างความดีงามให้มาฉันนั้น[๑๓.๐๗] (๒๕/๑๔)
อาปูรติธีโรปุญฺญสฺสโถกํโถกํปิอาจินํ
ธีรชนสร้างความดีทีละน้อยก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดี[๑๓.๐๘] (๒๕/๑๙)
สุโขปุญฺญสฺสอุจฺจโย
การสร้างสมความดีนำสุขมาให้[๑๓.๐๙] (๒๕/๑๙)
สุขสฺเสตํภิกฺขเวอธิวจนํฯเปฯยทิทํปุญฺญานิ
คำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข[๑๓.๑๐] (๒๕/๒๐๐)
สยํกตานิปุญฺญานิตํเวอาเวณิยํธนํ
ความดีที่ทำไว้เองนี่แหละเป็นทรัพย์ส่วนเฉพาะของตัวแท้ๆ[๑๓.๑๑] (๒๗/๑๙๙๘)
ปุญฺญํสุขํชีวิตสงฺขยมฺหิ
กระทั่งถึงคราวสิ้นชีพบุญก็ช่วยให้สุขได้[๑๓.๑๒] (๒๕/๓๓)
นฆาสเหตูปิกเรยฺยปาปํ
ไม่ควรทำบาปแม้เพราะเห็นแก่กิน[๑๓.๑๓] (น.๒๗/๑๒๗๕)
สกมฺมุนาหญฺญติปาปธมฺโม
คนมีความชั่วย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน[๑๓.๑๔] (๑๓/๔๕๑)
ปาปํปาเปนสุกรํ
ความชั่วคนชั่วทำง่าย[๑๓.๑๕] (๒๕/๑๒๔)
นตฺถิปาปํอกุพฺพโต
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ[๑๓.๑๖] (๒๕/๑๙)
นตํกมฺมํกตํสาธุยํกตฺวาอนุตปฺปติ
ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลังกรรมที่ทำนั้นไม่ดี[๑๓.๑๗] (๑๕/๒๘๑)
ตญฺจกมฺมํกตํสาธุยํกตฺวานานุตปฺปติ
ทำกรรมใดแล้วไม่ร้อนใจภายหลังกรรมที่ทำนั้นแลดี[๑๓.๑๘] (๑๕/๒๘๑)
สุกรานิอสาธูนิอตฺตโนอหิตานิจ
การที่ไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตนทำง่าย[๑๓.๑๙] (๒๕/๒๒)
ยํเวหิตญฺจสาธุญฺจตํเวปรมทุกฺกรํ
การใดเป็นประโยชน์ด้วยดีด้วยการนั้นแลทำได้ยากอย่างยิ่ง[๑๓.๒๐] (๒๕/๒๒)
สุกรํสาธุนาสาธุ
ความดีคนดีทำง่าย[๑๓.๒๑] (๒๕/๑๒๔)
สาธุปาเปนทุกฺกรํ
ความดีคนชั่วทำยาก[๑๓.๒๒] (๒๕/๑๒๔)
กมฺมุนาวตฺตตีโลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม[๑๓.๒๓] (๑๓/๗๐๗)
กมฺมํสตฺเตวิภชติยทิทํหีนปฺปณีตตาย
กรรมย่อมจำแนกสัตว์คือให้ทรามและประณีต[๑๓.๒๔] (๑๔/๕๙๖)
กลฺยาณการีกลฺยาณํปาปการีจปาปกํ
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว[๑๓.๒๕] (๑๕/๙๐๓)
ปจฺฉาตปฺปติทุกฺกฏํ
กรรมไม่ดีย่อมเผาผลาญในภายหลัง[๑๓.๒๖] (๑๕/๒๔๐)
อกตํทุกฺกฏํเสยฺโย
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า[๑๓.๒๗] (๑๕/๒๔๐)
ปาปานํอกรณํสุขํ
การไม่ทำความชั่วให้เกิดความสุข[๑๓.๒๘] (๒๕/๓๓)
กตญฺจสุกตํเสยฺโย
ความดีทำไว้แลดีกว่า[๑๓.๒๙] (๑๕/๒๔๐)
สพฺพปาปสฺสอกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํพุทฺธานสาสนํ
การไม่ทำความชั่วทั้งปวง๑การบำเพ็ญความดีให้เพียบพร้อม๑การชำระจิตใจให้ผ่องใส๑สามข้อนี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า[๑๓.๓๐] (๒๕/๒๔)
ธมฺโมหเวรกฺขติธมฺมจารึ
ธรรมนั่นแหละรักษาผู้ประพฤติธรรม[๑๓.๓๑] (๒๖/๓๓๒)
ธมฺโมสุจิณฺโณสุขมาวหาติ
ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำมาซึ่งความสุข[๑๓.๓๒] (๒๖/๓๓๒)
ธมฺมจารีสุขํเสติ
ผู้ประพฤติธรรมย่อมนอนเป็นสุข[๑๓.๓๓] (๒๕/๒๓)
ธมฺมปีติสุขํเสติ
ผู้อิ่มใจในธรรมย่อมนอนเป็นสุข[๑๓.๓๔] (๒๕/๑๖)
นปณฺฑิตาอตฺตสุขสฺสเหตุ
ปาปานิกมฺมานิสมาจรนฺติ
บัณฑิตไม่ประกอบความชั่วเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว[๑๓.๓๕] (๒๗/๑๔๖๗)
ทุกฺเขนผุฏฺฐาขลิตาปิสนฺตา
ฉนฺทาจโทสานชหนฺติธมฺมํ
บัณฑิตนั้นถึงถูกทุกข์กระทบถึงพลาดพลั้งลงก็คงสงบอยู่ได้และไม่ละทิ้งธรรมเพราะชอบหรือชัง[๑๓.๓๖] (๒๗/๑๔๖๗)
นอิจฺเฉยฺยอธมฺเมนสมิทฺธิมตฺตโน
ไม่พึงปรารถนาความสำเร็จแก่ตนโดยทางไม่ชอบธรรม[๑๓.๓๗] (๒๕/๑๖)
จเชธนํองฺควรสฺสเหตุ
องฺคํจเชชีวิตํรกฺขมาโน
องฺคํธนํชีวิตญฺจาปิสพฺพํ
จเชนโรธมฺมมนุสฺสรนฺโต
พึงสละทรัพย์เพื่อเห็นแก่อวัยวะ
พึงสละอวัยวะในเมื่อจะรักษาชีวิต
พึงสละได้หมดทั้งอวัยวะทรัพย์และชีวิตในเมื่อคำนึงถึงธรรม[๑๓.๓๘] (๒๖/๓๘๒)
อลาโภธมฺมิโกเสยฺโยยญฺเจลาโภอธมฺมิโก
ไม่ได้แต่ชอบธรรมดีกว่าถึงได้แต่ไม่ชอบธรรมจะดีอะไร[๑๓.๓๙] (๒๖/๓๘๒)
มรณํธมฺมิกํเสยฺโยยญฺเจชีเวอธมฺมิกํ
ตายอย่างชอบธรรมดีกว่าอยู่อย่างไม่ชอบธรรมจะมีค่าอะไร[๑๓.๔๐] (๒๖/๓๘๐)
ธมฺเมฐิตํนวิชหาติกิตฺติ
เกียรติไม่ทิ้งผู้ตั้งอยู่ในธรรม[๑๓.๔๑] (๒๒/๔๒)
๑๔. กรรม
ยานิกโรติปุริโสตานิอตฺตนิปสฺสติ
คนทำกรรมใดไว้ย่อมเห็นกรรมนั้นในตนเอง[๑๔.๐๑] (๒๗/๒๙๔)
จรนฺติพาลาทุมฺเมธาอมิตฺเตเนวอตฺตนา
คนพาลทรามปัญญาย่อมดำเนินชีวิตโดยมีตนเองนั่นแหละเป็นศัตรู[๑๔.๐๒] (๑๕/๒๘๑)
๑๔. กรรม
ธญฺญํธนํรชตํชาตรูปํ
ปริคฺคหํวาปิยทตฺถิกิญฺจิ
ทาสากมฺมกราเปสฺสาเยจสฺสอนุชีวิโน
สพฺพนฺนาทายคนฺตพฺพํสพฺพํนิกฺขีปคามินํ
ธัญญาหารทรัพย์สินเงินทองหรือสมบัติที่ครอบครองไม่ว่าอย่างใดที่มีอยู่คนรับใช้คนงานคนอาศัยทั้งหลายทุกอย่างล้วนพาเอาไปไม่ได้ต้องทิ้งไว้ทั้งหมด[๑๔.๐๓] (๑๕/๓๙๒)
ยญฺจกโรติกาเยนวาจายอุทเจตสา
ตํหิตสฺสสกํโหติตญฺจอาทายคจฺฉติ
กรรมใดทำไว้ด้วยกายด้วยวาจาหรือด้วยใจกรรมนั่นแหละเป็นสมบัติของเขาซึ่งเขาจะพาเอาไป[๑๔.๐๔] (๑๕/๓๙๒)
มาชาตึปุจฺฉจรณญฺจปุจฺฉ
อย่าถามถึงชาติกำเนิดจงถามถึงความประพฤติ[๑๔.๐๕] (๑๕/๖๖๐)
กมฺมํวิชฺชาจธมฺโมจสีลํชีวิตมุตฺตมํ
เอเตนมจฺจาสุชฺฌนฺตินโคตฺเตนธเนนวา
การงาน๑วิชา๑ธรรม๑ศีล๑ชีวิตอันอุดม๑คนบริสุทธิ์ด้วยสิ่งทั้ง๕นี้หาใช่ด้วยตระกูลหรือด้วยทรัพย์ไม[๑๔.๐๖] (๑๕/๑๔๗)
๑๕. กิเลส
อิจฺฉาหิอนนฺตโคจรา
ความอยากได้ไม่มีที่จบสิ้นเลย[๑๕.๐๑] (๒๓/๓๓๙)
วิคติจฺฉานํนโมกโรมเส
ท่านที่ตัดความอยากเสียได้ข้าพเจ้าขอกราบไหว้เลยทีเดียว[๑๕.๐๒] (๒๗/๓๓๙)
ลทฺโธธมฺมํนปสฺสติ
โลภเข้าแล้วมองไม่เห็นธรรม
อนฺธตมํตทาโหติยํโลโภสหเตนรํ
เมื่อความโลภเข้าครอบงำคนเวลานั้นมีแต่ความมืดตื้อ[๑๕.๐๓] (๒๕/๒๖๘)
อิจฺฉานรํปริกสฺสติ
ความอยากย่อมชักพาคนไปต่างๆ[๑๕.๐๔] (๑๕/๒๑๖)
กาเมหิโลกมฺหินหตฺถิติตฺติ
ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายไม่มีในโลก[๑๕.๐๕] (๑๓/๔๕๑)
ภยมนฺตรโตชาตํตํชโนนาวพุชฺฌติ
คนโกรธไม่รู้ทันว่าความโกรธนั้นเป็นภัยที่เกิดขึ้นภายใน[๑๕.๐๖] (๒๕/๒๖๘)
กุทฺโธธมฺมํนปสฺสติ
โกรธเข้าแล้วมองไม่เห็นธรรม[๑๕.๐๗] (๒๕/๒๖๘)
ยํกุทฺโธอุปโรเธติสุกรํวิยทุกฺกรํ
คนโกรธจะผลาญสิ่งใดสิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย[๑๕.๐๘] (๒๓/๖๑)
หนฺติกุทฺโธสมาตรํ
คนโกรธฆ่าได้แม้แต่มารดาของตน[๑๕.๐๙] (๒๓/๖๑)
ปจฺฉาโสวิคเตโกเธอคฺคิทฑฺโฒวตปฺปติ
ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้วเขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้[๑๕.๑๐] (๒๓/๖๑)
โกธโนทุพฺพณฺโณโหติ
คนมักโกรธย่อมมีผิวพรรณไม่งาม[๑๕.๑๑] (๒๓/๖๑)
โกธํฆตฺวาสุขํเสติ
ฆ่าความโกรธได้ย่อมนอนเป็นสุข[๑๕.๑๒] (๑๕/๑๙๙)
ยถาปิรุจิรํปุปฺผํวณฺณวนฺตํอคนฺธกํ
เอวํสุภาสิตาวาจาอผลาโหติอกุพฺพโต
วาจาสุภาษิตไม่มีผลแก่ผู้ไม่ปฏิบัติเหมือนดอกไม้งามที่มีแต่สีไม่มีกลิ่น[๑๕.๑๓] (๒๕/๑๔)
ยถาปิรุจิรํปุปฺผํวณฺณวนฺตํสคนฺธกํ
เอวํสุภาสิตาวาจาสผลาโหติสุกุพฺพโต
วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่ผู้ปฏิบัติเหมือนดังดอกไม้งามที่มีทั้งสีสวยและกลิ่นอันหอม[๑๕.๑๔] (๒๕/๑๔)
สุภาสิตาจยาวาจาเอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
พูดดีเป็นมงคลอันอุดม[๑๕.๑๕] (๒๕/๖)
กุทฺธํอปฺปฏิกุชฺฌนฺโตสงฺคามํเชติทุชฺชยํ
ผู้ไม่โกรธตอบคนโกรธชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก[๑๕.๑๖] (๒๖/๓๕๘)
อุภินฺนมตฺถํจรติอตฺตโนจปรสฺสจ
ปรํสงฺกุปิตํญตฺวาโยสโตอุปสมฺมติ
ผู้ใดรู้ว่าคนอื่นโกรธแล้วมีสติระงับได้ผู้นั้นชื่อว่าบำเพ็ญประโยชน์แก่คนถึง๒คนคือทั้งแก่ตนเองและแก่คนอื่นนั้น[๑๕.๑๗] (๒๖/๓๕๘)
๑๖. คุณธรรม
สจฺจํเวอมตาวาจา
คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย[๑๖.๐๑] (๑๕/๗๔๐)
สจฺจํหเวสาธุตรํรสานํ
สัจจะเป็นรสดียิ่งกว่าประดารส[๑๖.๐๒] (๒๕/๓๑๑)
สทฺธาทุติยาปุริสสฺสโหติ
ศรัทธาเป็นมิตรคู่ใจของคน[๑๖.๐๓] (๑๕/๑๗๕)
สุขาสทฺธาปติฏฺฐิตา
ศรัทธาตั้งมั่นแล้วนำสุขมาให้[๑๖.๐๔] (๒๕/๓๓)
สติโลกสฺมิชาคโร
สติทำให้ตื่นอยู่ในโลก(ในโลกนี้มีสติจึงจะนับว่าตื่น)[๑๖.๐๕] (๑๕/๒๑๗)
สติมโตสทาภทฺทํ
คนมีสติเท่ากับมีสิ่งนำโชคตลอดเวลา[๑๖.๐๖] (๑๕/๘๑๒)
๑๖. คุณธรรม
สติมโตสุเวเสยฺโย
คนมีสติย่อมดีขึ้นทุกวัน[๑๖.๐๗] (๑๕/๘๑๒)
อาทิสีลํปติฏฺฐาจกลฺยาณานญฺจมาตุกํ
ปมุขํสพฺพธมฺมานํตสฺมาสีลํวิโสธเย
ศีลเป็นเบื้องต้นเป็นที่ตั้งอาศัยเป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลายเป็นประมุขของธรรมทั่วไปฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์[๑๖.๐๘] (๒๖/๓๗๘)
สีลํอาภรณํเสฏฺฐํ
ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ[๑๖.๐๙] (๒๖/๓๗๘)
สีลํกวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์[๑๖.๑๐] (๒๖/๓๗๘)
นปรํนาปิอตฺตานํวิหึสติสมาหิโต
ผู้มีจิตใจตั้งมั่นย่อมไม่เบียดเบียนคนอื่นและแม้ตนเอง[๑๖.๑๑] (๒๗/๖๒๑)
๑๗. วาจา
ยํหิกยิราตํหิวเทยํนกยิรานตํวเท
อกโรนฺตํภาสมานํปริชานนฺติปณฺฑิตา
จะทำสิ่งใดพึงพูดสิ่งนั้นสิ่งใดไม่ทำไม่พึงพูดถึง
บัณฑิตย่อมหมายเอาได้ว่าคนไม่ทำดีแต่พูด[๑๗.๐๑] (๒๗/๘๖๐)
ยถาวาทีตถาการี
พูดอย่างใดทำอย่างนั้น[๑๗.๐๒] (๒๗/๖๐๕)
หทยสฺสสทิสีวาจา
วาจาเช่นเดียวกับใจ[๑๗.๐๓] (๒๗/๕๖๐)
ปุริสสฺสหิชาตสฺสกุธารีชายเตมุเข
ยายฉินฺทติอตฺตานํพาโลทุพฺภาสิตํภณํ
คนเกิดมาชื่อว่ามีขวานเกิดติดปากมาด้วยสำหรับให้คนพาลใช้ฟันตัวเองในเวลาที่พูดคำชั่ว[๑๗.๐๔] (๒๕/๓๘๗)
โยนินฺทิยํปสํสติตํวานินฺทติโยปสํสิโย
วิจินาติมุเขนโสกลิกลินาเตนสุขํนวินฺทติ
ผู้ใดสรรเสริญคนควรนินทาหรือนินทาคนควรสรรเสริญผู้นั้นเอาปากเก็บกาลีไว้จะไม่ได้พบสุขเพราะกาลีนั้น[๑๗.๐๕] (๒๑/๓)
เอกํธมฺมํอตีตสฺสมุสาวาทิสฺสชนฺตุโน
วิติณฺณปรโลกสฺสนตฺถิปาปํอการิยํ
คนที่ก้าวล่วงสัจธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวเสียแล้วพูดจามีแต่คำเท็จไม่คำนึงถึงปรโลกความชั่วที่เขาจะไม่ทำเป็นไม่มี[๑๗.๐๖] (๒๕/๒๓)
สํโวหาเรนโสเจยฺยํเวทิตพฺพํ
ความสะอาดพึงทราบด้วยถ้อยคำสำนวน[๑๗.๐๗] (น.๒๕/๑๓๔)
สณฺหํคิรํอตฺถวตึปมุญฺเจ
ควรเปล่งวาจาไพเราะที่มีประโยชน์[๑๗.๐๘] (๒๗/๑๓๘๓)
วาจํปมุญฺเจกุสลํนาติเวลํ
ถึงวาจาดีก็ไม่ควรกล่าวให้เกินกาล[๑๗.๐๙] (๒๕/๔๒๓)
นาติเวลํปภาเสยฺยนตุณฺหีสพฺพทาสิยา
อวิกิณฺณํมิตํวาจํปตฺเตกาเลอุทีรเย
ไม่ควรพูดจนเกินกาลไม่ควรนิ่งเสมอไปควรกล่าววาจาที่ไม่ฟั่นเฝือพอดีๆในเมื่อถึงเวลา[๑๗.๑๐] (๒๘/๙๖๖)
อพทฺธาตตฺถพชฺฌนฺติยตฺถพาลาปภาสเร
คนพาลยังไม่ถูกผูกแต่พอพูดในเรื่องใดก็ถูกมัดตัวในเรื่องนั้น
พทฺธาปิตตฺถมุจฺจนฺติยตฺถธีราปภาสเร
คนมีปัญญาแม้ถูกผูกมัดอยู่พอพูดในเรื่องใดก็หลุดได้ในเรื่องนั้น[๑๗.๑๑] (๒๗/๑๒๐)
๑๘. ชีวิต-ความตาย
วโยรตฺตินฺทิวกฺขโย
วัยสิ้นไปตามคืนและวัน[๑๘.๐๑] (๑๕/๑๗๓)
ยํยํวิวหเตรตฺติตทูนนฺตสฺสชีวิตํ
วันคืนล่วงไปชีวิตของคนก็พร่องลงไปจากประโยชน์ที่จะทำ[๑๘.๐๒] (๒๖/๓๕๙)
รตฺโยอโมฆาคจฺฉนฺติ
คืนวันไม่ผ่านไปเปล่า[๑๘.๐๓] (๒๘/๔๓๙)
อจฺเจนฺติกาลาตรยนฺติรตฺติโย
วโยคุณาอนุปุพฺพํชหนฺติ
กาลเวลาล่วงไปวันคืนผ่านพ้นไปวัยก็หมดไปทีละตอนๆตามลำดับ[๑๘.๐๔] (๑๕/๓๐๐)
รูปํชีรติมจฺจานํนามโคตฺตํนชีรติ
รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไปแต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย[๑๘.๐๕] (๑๕/๒๑๐)
ทหราปิจเยวุฑฺฒาเยพาลาเยจปณฺฑิตา
อฑฺฒาเจวทลิทฺทาจสพฺเพมจฺจุปรายนา
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทั้งคนพาลทั้งบัณฑิตทั้งคนมีทั้งคนจนล้วนเดินหน้าไปหาความตายทั้งหมด[๑๘.๐๖] (๑๐/๑๐๘)
นมิยฺยมานํธนมนฺเวติกิญฺจิ
เมื่อตายทรัพย์สักนิดก็ติดตามไปไม่ได้[๑๘.๐๗] (๑๓/๔๕๑)
กาโลฆสติภูตานิสพฺพาเนวสหตฺตนา
กาลเวลาย่อมกลืนกินสัตว์ทั้งหลายพร้อมกันไปกับตัวมันเอง[๑๘.๐๘] (๗/๓๔๐)
ตํตญฺเจอนุโสเจยฺยยํยํตสฺสนวิชฺชติ
อตฺตานมนุโสเจยฺยสทามจฺจุวสํปตฺตํ
ถ้าบุคคลจะเศร้าโศกถึงคนที่ไม่มีอยู่แก่ตนคือผู้ที่ตายไปแล้วไซร้ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเองซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพญามัจจุราชตลอดเวลา[๑๘.๐๙] (๒๗/๖๑๑)
นเหวติฏฺฐํนาสีนํนสยานํนปตฺถคุ
อายุสังขารใช่จะประมาทไปตามสัตว์ผู้ยืนนั่งนอนหรือเดินอยู่ก็หาไม่[๑๘.๑๐] (๗/๖๑๒)
ยาวุปฺปตฺตินิมิสฺสติตตฺราปิสรตีวโย
วัยย่อมเสื่อมลงเรื่อยไปทุกหลับตาทุกลืมตา[๑๘.๑๑] (๒๗/๖๑๒)
๑๘. ชีวิต-ความตาย
ตตฺถตฺตนิวตปฺปนฺเถวินาภาเวอสํสเย
ภูตํเสสํทยิตพฺพํจวิตํอนนุโสจิยํ
เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ความพลัดพรากจากกันก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัยหมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ควรเมตตาเอื้อเอ็นดูกันไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว[๑๘.๑๒] (๒๗/๖๑๓)
ยถาปิทารโกจนฺทํคจฺฉนฺตํอนุโรทติ
เอวํสมฺปทเมเวตํโยเปตมนุโสจติ
ทยฺหมาโนนชานาติญาตีนํปริเทวิตํ
ตสฺมาเอตํนโสจามิคโตโสตสฺสยาคติ
ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตายก็เหมือนเด็กร้องไห้ขอพระจันทร์ที่โคจรไปในอากาศคนตายถูกเผาอยู่ย่อมไม่รู้ว่าญาติคร่ำครวญถึงเพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกเขาไปแล้วตามวิถีทางของเขา[๑๘.๑๓] (๒๗/๗๒๐)
ผลานมิวปกฺกานํนิจฺจํปตนโตภยํ
เอวํชาตานมจฺจานํนิจฺจํมรณโตภยํ
ผลไม้สุกแล้วก็หวั่นแต่จะต้องร่วงหล่นไปตลอดเวลาฉันใดสัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วก็หวั่นแต่จะตายอยู่ตลอดเวลาฉันนั้น[๑๘.๑๔] (๒๗/๑๕๖๘)
สายเมเกนทิสฺสนฺติปาโตทิฏฺฐาพหูชนา
ปาโตเอเกนทิสฺสนฺติสายํทิฏฺฐาพหูชนา
ตอนเช้ายังเห็นกันอยู่มากคนพอตกเย็นบางคนก็ไม่เห็นเมื่อเย็นยังเห็นกันอยู่มากคนตกถึงเช้าบางคนก็ไม่เห็น[๑๘.๑๕] (๒๗/๑๕๖๙)
เอโกวมจฺโจอจฺเจติเอโกวชายเตกุเล
สํโยคปรมาเตฺววสมฺโภคาสพฺพปาณินํ
จะตายก็ไปคนเดียวจะเกิดก็มาคนเดียวความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งหลายก็เพียงแค่ได้มาพบปะเกี่ยวข้องกันเท่านั้น
[๑๘.๑๖] (๒๗/๑๕๗๓)
นสนฺติปุตฺตาตาณายนปิตานปิพนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺสนตฺถิญาตีสุตาณตา
เมื่อถูกพญามัจจุราชครอบงำไม่ว่าบุตรไม่ว่าบิดาไม่ว่าญาติพวกพ้องถึงจะมีก็ช่วยต้านทานไม่ได้จะหาที่ปกป้องในหมู่ญาติเป็นอันไม่มี[๑๘.๑๗] (๒๕/๓๐)
นหิรุณฺณํวาโสโกวายาวญฺญาปริเทวนา
นตํเปตานมตฺถายเอวํติฏฺฐนฺติญาตโย
การร้องไห้ความเศร้าโศกหรือการคร่ำครวญร่ำไรใดๆย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วผู้ที่ตายแล้วก็คงอยู่อย่างเดิมนั่นเอง[๑๘.๑๘] (๒๕/๘)
นหิรุณฺเณนโสเกนสนฺตึปปฺโปติเจตโส
ภิยฺยสฺสุปฺปชฺชเตทุกฺขํสรีรํจุปหญฺญติ
การร้องไห้หรือเศร้าโศกจะช่วยให้จิตใจสงบสบายก็หาไม่ทุกข์ยิ่งเกิดเพิ่มพูนทับทวีทั้งร่างกายก็พลอยทรุดโทรม[๑๘.๑๙] (๒๕/๓๘๐)
กีโสวิวณฺโณภวติหึสมตฺตานมตฺตนา
นเตนเปตาปาเลนฺตินิรตฺถาปริเทวนา
เมื่อโศกเศร้าไปก็เท่ากับทำร้ายตัวเองร่างกายจะผ่ายผอมผิวพรรณจะซูบซีดหม่นหมองส่วนผู้ที่ตายไปแล้วก็เอาความโศกเศร้านั้นไปช่วยอะไรตัวไม่ได้ความร่ำไรรำพันย่อมไร้ประโยชน์[๑๘.๒๐] (๒๕/๓๘๐)
โสกมปฺปชหํชนฺตุภิยฺโยทุกฺขํนิคจฺฉติ
อนุตฺถุนนฺโตกาลกตํโสกสฺสวสมนฺวคู
คนที่สลัดความเศร้าโศกไม่ได้มัวทอดถอนถึงคนที่จากไปแล้วตกอยู่ในอำนาจของความโศกย่อมประสบความทุกข์หนักยิ่งขึ้น[๑๘.๒๑] (๒๕/๓๘๐)
อญฺเญปิปสฺสคมิเนยถากมฺมูปเคนเร
มจฺจุโนวสมาคมฺมผนฺทนฺเตวิธปาณิโน
ดูสิ! ถึงคนอื่นๆก็กำลังเตรียมตัวเดินทางไปตามยถากรรมที่นี่สัตว์ทั้งหลายเผชิญกับอำนาจของพญามัจจุราชเข้าแล้วกำลังดิ้นรนกันอยู่ทั้งนั้น[๑๘.๒๒] (๒๕/๓๘๐)
ตสฺมาอรหโตสุตฺวาวิเนยฺยปริเทวิตํ
เปตํกาลกตํทิสฺวาเนโสลพฺภามยาอิติ
เพราะฉะนั้นสาธุชนสดับคำสอนของท่านผู้ไกลกิเลสแล้วพึงกำจัดความร่ำไรรำพันเสียเห็นคนล่วงลับจากไปก็ทำใจได้ว่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเราจะขอให้เป็นอยู่อีกย่อมไม่ได้[๑๘.๒๓] (๒๕/๓๘๐)
สุปิเนนยถาปิสงฺคตํปฏิพุทฺโธปุริโสนปสฺสติ
เอวมฺปิปิยายิกํชนํเปตํกาลกตํนปสฺสติ
คนที่รักใคร่ตายจากไปแล้วย่อมไม่ได้พบเห็นอีกเหมือนคนตื่นขึ้นไม่เห็นสิ่งที่ได้พบในฝัน[๑๘.๒๔] (๒๕/๔๑๓)
ยสฺสรตฺยาวิวสาเนอายุอปฺปตรํสิยา
วันคืนเคลื่อนคล้อยอายุเหลือน้อยเข้าทุกที[๑๘.๒๕] (๒๘/๔๓๗)
มจฺจุนาพฺภหโตโลโกชรายปริวาริโต
สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่นถูกชราปิดล้อม[๑๘.๒๖] (๒๘/๔๓๙)
ยถาวาริวโหปูโรคจฺฉํนปริวตฺตติ
เอวมายุมนุสฺสานํคจฺฉํนปริวตฺตติ
แม่น้ำเต็มฝั่งไม่ไหลทวนขึ้นที่สูงฉันใดอายุของมนุษย์ทั้งหลายย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กอีกฉันนั้น[๑๘.๒๗] (๒๘/๔๓๙)
ตสฺมาอิธชีวิตเสเส
กิจฺจกโรสิยานโรนจมชฺเช
เพราะฉะนั้นในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่และไม่พึงประมาท[๑๘.๒๘] (๒๕/๓๘๗)
ปาปญฺจเมนตฺถิกตํกุหิญฺจิ
ตสฺมานสงฺเกมรณาคมาย
ข้าพเจ้าไม่มีความชั่วซึ่งทำไว้ณที่ไหนๆเลยฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นเกรงความตายที่จะมาถึง[๑๘.๒๙] (๒๘/๑๐๐๐)
ธมฺเมฐิโตปรโลกํนภาเย
ตั้งอยู่ในธรรมแล้วไม่ต้องกลัวปรโลก[๑๘.๓๐] (๑๕/๒๐๘)
๑๙. พ้นทุกข์-พบสุข
ลาโภอลาโภยโสอยโสจ
นินฺทาปสํสาจสุขํจทุกฺขํ
เอเตอนิจฺจามนุเชสุธมฺมา
มาโสจิกึโสจสิโปฏฺฐปาท
ได้ลาภเสื่อมลาภได้ยศเสื่อมยศนินทาสรรเสริญสุขและทุกข์สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนอย่าเศร้าโศกเลยท่านจะโศกเศร้าไปทำไม[๑๙.๐๑](๒๗/๖๑๕)
อสาตํสาตรูเปนปิยรูเปนอปฺปิยํ
ทุกฺขํสุขสฺสรูเปนปมตฺตมติวตฺตติ
ผู้ที่มัวเพลินประมาทอยู่กับสิ่งที่ชอบใจสิ่งที่รักและสิ่งที่เป็นสุขจะถูกสิ่งที่ไม่ชอบไม่รักและความทุกข์เข้าครอบงำ[๑๙.๐๒] (๒๓/๑๐๐)
หิรญฺญํเมสุวณฺณํเมเอสารตฺตินฺทิวากถา
ทุมฺเมธานํมนุสฺสานํอริยธมฺมํอปสฺสตํ
พวกมนุษย์ผู้อ่อนปัญญาไม่เห็นอารยธรรมสนทนาถกเถียงกันทั้งวันทั้งคืนแต่ในเรื่องว่าเงินของเราทองของเรา[๑๙.๐๓] (๒๗/๒๘๗)
ยาวเทวสฺสหูกิญฺจิตาวเทวอขาทิสุ
ตราบใดยังมีชิ้นเนื้อคาบไว้นิดหน่อยตราบนั้นก็ยังถูกกลุ้มรุมยื้อแย่ง[๑๙.๐๔] (๒๗/๖๑๙)
นหึสนฺติอกิญฺจนํ
ไม่มีอะไรเลยไม่มีใครเบียดเบียน[๑๙.๐๕] (๒๗/๖๑๙)
นาพฺภตีตหโรโสโกนานาคตสุขาวโห
ความโศกนำสิ่งล่วงแล้วคืนมาไม่ได้ความโศกไม่อาจนำมาซึ่งความสุขในอนาคต[๑๙.๐๖] (๒๗/๗๒๓)
๑๘. ชีวิต-ความตาย
โสจํปณฺฑุกิโสโหติภตฺตญฺจสฺสนรุจฺจติ
อมิตฺตาสุมนาโหนฺติสลฺลวิทฺธสฺสรุปฺปโต
มัวเศร้าโศกอยู่ก็ซูบผอมลงอาหารก็ไม่อยากรับประทานศัตรูก็พลอยดีใจในเมื่อเขาถูกลูกศรแห่งความโศกเสียบแทงย่ำแย่อยู่[๑๙.๐๗] (๒๗/๗๒๔)
โยอตฺตโนทุกฺขมนานุปุฏฺโฐ
ปเวทเยชนฺตุอกาลรูเป
อานนฺทิโนตสฺสภวนฺติมิตฺตา
หิเตสิโนตสฺสทุกฺขีภวนฺติ
ผู้ใดพอใครถามถึงทุกข์ของตนก็บอกเขาเรื่อยไปทั้งที่มิใช่กาลอันควรผู้นั้นจะมีแต่มิตรชนิดเจ้าสำราญส่วนผู้หวังดีต่อเขาก็มีแต่ทุกข์[๑๙.๐๘] (๒๗/๑๗๘๒)
๑๘. ชีวิต-ความตาย
กาลญฺจญตฺวานตถาวิธสฺส
เมธาวินํเอกมนํวิทิตฺวา
อกฺเขยฺยติปฺปานิปรสฺสธีโร
สณฺหํคิรํอตฺถวตึปมุญฺเจ
คนฉลาดพึงรู้จักกาลอันควรกำหนดเอาคนมีความคิดที่ร่วมใจกันได้แล้วจึงบอกทุกข์ร้อนโดยกล่าววาจาสละสลวยได้ถ้อยได้ความ[๑๙.๐๙] (๒๗/๑๓๘๓)
อนาคตปฺปชปฺปายอตีตสฺสานุโสจนา
เอเตนพาลาสุสฺสนฺตินโฬวหริโตลุโต
ชนทั้งหลายผู้ยังอ่อนปัญญาเฝ้าแต่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึงและหวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงแล้วจึงซูบซีดหม่นหมองเสมือนต้นอ้อสดที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไว้ที่ในกลางแดด[๑๙.๑๐](๑๕/๒๒)
๑๘. ชีวิต-ความตาย
ชคฺคํนสงฺเกมินปิเภมิโสตฺตุ
รตฺตินฺทิวานานุปตนฺติมามํ
หานึนปสฺสามิกุหิญฺจิโลเก
ตสฺมาสุเปสพฺพภูตานุกมฺปี
เราเดินทางไปในแดนสัตว์ร้ายก็ไม่หวาดหวั่นถึงจะนอนหลับในที่เช่นนั้นก็ไม่กลัวเกรงคืนวันผ่านไปไม่มีอะไรให้เราเดือดร้อนเรามองไม่เห็นว่ามีอะไรที่เราจะเสียณที่ไหนในโลกเพราะฉะนั้นเราจึงนอนสบายใจก็คิดแต่จะช่วยเหลือปวงสัตว์[๑๙.๑๑] (๑๕/๔๕๔)
สุขํวตตสฺสนโหติกิญฺจิ
ผู้ไม่มีอะไรค้างใจกังวลย่อมมีแต่ความสุขหนอ[๑๙.๑๒] (๒๕/๕๕)
สกิญฺจนํปสฺสวิหญฺญมานํ
ดูสิ! คนมีห่วงกังวลวุ่นวายอยู่[๑๙.๑๓] (๒๕/๕๕)
อตีตํนานุโสจนฺตินปฺปชปฺปนฺตินาคตํ
ปจฺจุปฺปนฺเนนยาเปนฺติเตนวณฺโณปสีทติ
ผู้ถึงธรรมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึงดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบันฉะนั้นผิวพรรณจึงผ่องใส[๑๙.๑๔] (๑๕/๒๒)
สุขิโนวตารหนฺโต
ท่านผู้ไกลกิเลสมีความสุขจริงหนอ[๑๙.๑๕] (๑๗/๑๕๓)
ยถาปิอุทเกชาตํปุณฺฑรีกํปวฑฺฒติ
โนปลิปฺปติโตเยนสุจิคนฺธํมโนรมํ
ตเถวจโลเกชาโตพุทฺโธโลเกวิหรติ
โนปลิปฺปติโลเกนโตเยนปทุมํยถา
ดอกบัวเกิดและเจริญงอกงามในน้ำแต่ไม่ติดน้ำทั้งส่งกลิ่นหอมชื่นชูใจให้รื่นรมย์ฉันใดพระพุทธเจ้าทรงเกิดในโลกและอยู่ในโลกแต่ไม่ติดโลกเหมือนบัวไม่ติดน้ำฉันนั้น[๑๙.๑๖] (๒๖/๓๘๔)