มหาธี
อาจารย์ ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี

นรก


 

โลกนรก

ธีรวัส  บำเพ็ญบุญบารมี

ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์

มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

ธรรมศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าเพื่อเป็นหลักฐานทางวิชาการทางพระพุทธศาสนา

ตามหลักสูตรวิจัยคัมภีร์พระพุทธศาสนา มูลนิธิเบญจนิกาย พุทธศักราช  ๒๕๕๐พิมพ์ครั้งที่ ๑  ๕๐๐ เล่ม

เพื่อเป็นธรรมทานไม่สงวนลิขสิทธิ์

สารบัญ

บทที่ ๑    ทุคติภูมิ

บทที่ ๒    ภูมิของสัตว์เดียรัจฉาน

บทที่ ๓    ภูมิของเปรต

บทที่    ภูมิของสัตว์นรก

บทที่ ๕    บาปที่ทำให้ตกนรก

บทที่ ๑

ทุคติภูมิ


 โลกนรก แบ่งออกอีกเป็น ๔โลกด้วยกัน
 ๑. โลกนรก ได้แก่ ที่อยู่ของสัตว์ทั้งที่ตายไปแล้วเสวยแต่ผลกรรมชั่วของตนฝ่ายเดียว โดยไม่มีความสุขเลยส่วนมากทนทุกข์ทรมานด้วยความร้อน อันเกิดแต่โทสะ ในขณะเป็นมนุษย์
 ๒.โลกเปรต ได้แก่ ที่อยู่ของสัตว์ผู้ตายไปแล้ว เสวยแต่ความทุกข์ไม่มีสถานที่อยู่โดยจำเพาะ ทรมานด้วยการอดอยากอาหารอันเนื่องมาแต่กรรมที่ประกอบด้วยโลภะในเมื่อมีชีวิตอยู่สัตว์ในโลกเปรตนี้มีรูปร่างพิกลพิการน่ากลัวน่าเกลียดมาก
 ๓. โลกอสุรกายเป็นโลกที่ไม่มีความสนุกสนานสัตว์จำพวกนี้มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวในโลกอสุรกายนี้มีแต่สัตว์ผู้ประกอบกรรมอันเนื่องมาจากโลภะเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
 ๔.โลกเดรัจฉาน คือ ที่อยู่อาศัยของสัตว์ชั้นต่ำทั่วไปแบ่งออกเป็น
 ๑ อปทติรัจฉาน เป็นสัตว์ประเภทไม่มีเท้าไม่มีขา ได้แก่ สัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู ไส้เดือนปลาบางชนิด
 ๒ ทวิปทติรัจฉาน ได้แก่ สัตว์ประเภทมี่สองขาเช่น นก ไก่ เป็ด
  ๓ จตุปปทติรัจฉาน ได้แก่สัตว์ประเภทมีสี่ขา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย กระต่าย สุนัข แมวเป็นต้น
 ๔ พหุปปทติรัจฉาน ได้แก่ สัตว์ประเภทมีมากกว่าสี่ขาเช่น ตะขาบ ตะเข็บ กิ้งกือ เหล่านี้ เป็นต้น
 ในโลกสัตว์เดรัจฉานมีความเป็นอยู่ดังสัตว์ทั้งหลายที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งไม่เหมือนกับสัตว์ในโลกนรก โลกเปรต หรืออสุรกายอันเป็นโลกที่ไม่มีกายปรากฏให้เห็น มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้จำพวกสัตว์เดรัจฉานนี้เกิดจากอำนาจกรรมเมื่อครั้งเป็นมนุษย์อันมีโมหะอันแรงกล้า
 ความสงสัยว่าตายแล้วไปไหนซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์นี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดามิใช่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์หรือแปลกประหลาดอะไรนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าตามธรรมดาปุถุชนคนที่ยังมีกิเลสหนาแน่นอยู่นั้นนอกจากจะมีกิเลสชนิดอื่นอย่างมากมายแล้วก็ยังมีวิจิกิจฉากิเลสติดอยู่ในขันธสันดานอีกด้วยเมื่อมีวิจิกิจฉากิเลสติดอยู่ในขันธสันดาน ก็ย่อมจักไม่ผ่านพ้นกังขาไปได้มีใจเต็มไปด้วยความสงสัยนานาประการ คือ นอกจากจะมีความสงสัยในเรื่องอื่น ๆอันนอกเหนือวิสัยแห่งคนเช่นเรื่อง มรรค ผล นิพพานแล้วความสงสัยในปัญหาที่ว่าตายแล้วไปไหน ก็ย่อมมีประจำอยู่ในใจด้วยข้อหนึ่งซึ่งท่านจำแนกความสงสัยในข้อนี้ไว้ว่า มีอยู่ ๕ ประการ คือ
 ๑.ตายไปแล้ว จะได้เกิดหรือไม่ ?
 ๒. ตายไปแล้ว จะสูญหายไปหรืออย่างไร ?
 ๓. ตายไปแล้ว ถ้าเกิดอีก จะเกิดเป็นอะไร ?
 ๔. ตายไปแล้วถ้าเกิดอีก จะมีรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร ?
 ๕. ตายไปแล้วถ้าเกิดอีกจะเป็นอย่างไรและจะเป็นอย่างไรต่อไปอีก
 บรรดามนุษย์ปุถุชนคนที่ยังตัดวิจิกิจฉากิเลสไม่ขาดย่อมจะไม่สิ้นกังขาทุก ประการดังกล่าวมานี้อย่างแน่นอนถึงแม้จักเป็นผู้ที่ได้รับฟังคำสอนจากศาสดาใด ๆ ก็ดี หรือว่าเป็นผู้มีปัญญาวิเศษพยายามตั้งตนเป็นศาสดาเจ้าลัทธิเสียเองก็ดี หากว่ายังเป็นปุถุชนแล้วก็อย่าหวังเลยว่าเขาเหล่านั้นจะตัดความสงสัยเหล่านี้ออกไปจากจิตใจได้แต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่พระโสดาบันอริยเจ้าเป็นต้นไปจนกระทั้งถึงพระอรหันตอริยเจ้าเป็นที่สุด ท่านเหล่านี้เป็นพระพุทธบุตรประหานกิเลสได้ตามลำดับชั้น วิจิกิจฉากิเลสพระโสดาบันอริยเจ้าประหานได้ท่านพระอริยเจ้าเหล่านี้แล จึงจะสามารถตัดความสงสัยให้ออกไปจากจิตใจได้อย่างเด็ดขาดแต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความเข้าใจดีในเรื่องนี้จักขอยกเอาถ้อยคำของพระอรหันตอริยเจ้ารูปหนึ่งซึ่งปรากฏในปายาสิราชัญญสูตร
 ในอดีตสมัยครั้งศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ในภัทรกัปนี้นั้น มีพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าองค์หนึ่งเข้าไปเที่ยวบิณฑบาตในบ้านพอได้อาหารตามความต้องการแล้ว ก็ออกมานั่งฉันภัตตาหาร ณสถานที่อันเหมาะแก่อัธยาศัยภายนอกบ้านเป็นนิตย์ทุกวันครั้งนั้นยังมีนายโคบาลอยู่หนึ่ง ซึ่งต้อนโคไปเลี้ยงผ่านไปทางนั้นและได้เห็นพระมหาขีณาสพเจ้าทำภัตกิจอยู่เสมอ ๆ จึงในวันหนึ่งเขาเห็นแสงแดดส่องไปต้องกายพระเถระแล้ว เกิดศรัทธามหากุศลจิตคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าคงจะลำบากด้วยแสงแดด จึงไปตัดเอาไม้ซึกมาทำเสา ๔ ต้นแล้วมุงด้วยกิ่งไม้ที่จะพึงหาได้ในที่ใกล้ ๆ นั้นแล้วก็กราบกรานพระมหาขีณาสพเจ้าด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่งบังเกิดความอิ่มอกอิ่มใจนักหนา ที่ได้เห็นพระมหาเถระได้รับความผาสุกอันเนื่องมาจากการกระทำของตนในครั้งนี้
 ด้วยเดชแห่งกุศลที่ตนกระทำแก่พระอรหันต์ขีณาสพเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในครั้งนั้นครั้นนายโคบาลผู้ยากจนกระทำกาลกิริยาตายแล้ว ก็ได้ไปอุบัติบังเกิดเป็นเทพบุตร ณสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ด้วยอานุภาพแห่งกุศลจิตแต่ปางก่อนแทบประตูแห่งวิมานของเทพบุตรนั้น จึงปรากฏมีป่าไม้ซึกแลดูงามไปด้วยดอกอันประกอบไปด้วยความสวยแห่งสี และมีกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจฟุ้งขจรไปไกลตลบอบอวลชวนให้น่าอภิรมย์ยิ่งนัก ฉะนั้นวิมานนั้น จึงปรากฏชื่อว่าเสรีสกวิมาน
 เทพบุตรเจ้าของวิมานผู้เคยเป็นโคบาลคนยากมาก่อนนั้นครั้นท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลกด้วยอำนาจแห่งวัฏสงสารสิ้นกาลช้านานแล้วเมื่อตกมาถึงสมัยที่สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราเสด็จมาตรัสรู้พระสัมโพธิญาณในมนุษย์โลกนี้แล้วเทพบุตรนั้น จึงได้มาอุบัติบังเกิดเป็นมนุษย์ได้มีโอกาสอันประเสริฐสุดพบพระพุทธศาสดาบรรพชาอุปสมบทแล้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ปรากฏนามว่า พระมหากัจจายนเถระเป็นผู้ทรงพระคุณอันวิเศษในศาสนาแห่งพระโลกเชษฐสัมพุทธเจ้าเมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว โดยปรกติในเพลากลางวัน พระผู้เป็นเจ้าย่อมเหาะขึ้นไปพักผ่อนกาย อยู่ในเสรีสกวิมานนั้นด้วยอิทธิฤทธิ์ทั้งนี้ก็เพราะเห็นว่า วิมานนั้นยังว่างเปล่าไม่มีเทพบุตรผู้ใดอุบัติบังเกิดและวิมานนั้นก็เคยเป็นที่อยู่แห่งตนแต่ครั้งเป็นเทพบุตรในอดีตกาลโพ้น
 อยู่มาวันหนึ่งหลังจากเสร็จภารกิจตามหน้าที่แห่งพุทธสาวกแล้วพระมหากัจจายนเถรเจ้าผู้มีอัธยาศัยชอบไปพักผ่อนอยู่สบายในเพลาทิวาบนกาลวิมานก็เหาะไปด้วยอิทธิฤทธิ์บ่ายหน้าต่อเสรีสกวิมาน ครั้นถึงแล้วพอย่างเท้าเข้าไปสู่วิมานก็ได้พบเทพบุตรองค์หนึ่ง ซึ่งเพิ่งไปอุบัติเกิดอยู่ ณ วิมานนั้นองค์อรหันต์เถระเจ้าจึงถามว่า
"ดูกรเทพบุตร ! ท่านชื่อไรและมาอุบัติเกิดอยู่ในที่นี้ นานแล้วหรือ"
 เทพบุตรผู้อุบัติใหม่จึงตอบเถระว่า
 "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ! ข้าพเจ้านี้คือ พระยาปายาสิราชตายแล้วได้มาอุบัติบังเกิด ณ ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้เอง"
 "เป็นไปได้อย่างไรกัน" ท่านอุทานด้วยความฉงน "ก็ท่านเป็นคนมิจฉาทิฐิ มีปรกติเห็นผิด ไม่เข้าทำนองคลองธรรม เหตุใดตายแล้วจึงไม่เกิดเป็นสัตว์นรกหรือสัตว์เดียรัจฉานเป็นอบายภูมิเหตุไฉนจึงได้มาเกิดเป็นเทพบุตร ณ วิมานนี้เล่า"
 "จริงเจ้าข้า"ปายาสิเทพบุตรรับคำพระมหาเถระด้วยคารวะ "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า !ข้าพเจ้านี้เป็นคนมีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิจริงแต่ภายหลังได้อาศัยพระกุมารกัสสปะเถระผู้เป็นเจ้า ท่านมีใจอนุเคราะห์สั่งสอนเปลื้องเสียจากความเห็นผิดนั้นแล้ว แต่ใจก็ยังเต็มไปด้วยกังขากระทำซึ่งกองการกุศลมิได้คารวะตายแล้วจึงได้มาเกิดเป็นเพียงแต่เทพบุตรในสวรรค์ชั้นต่ำจาตุมหาราชิกานี้แลเจ้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐแม้นว่าพระผู้เป็นเจ้า กลับลงสู่โลกมนุษย์แล้วขอพระคุณจงอนุเคราะห์ช่วยบอกแก่เหล่าบริวารของข้าพเจ้าด้วยว่า พระยาปายาสิราชกระทำทานมิได้คารวะ ตายแล้วได้ไปเกิดในเสรีสกวิมาน ณ สวรรค์ชั้นต่ำจาตุมหาราชิกาให้ญาติสาโลหิตมิตรสหายและบริวารชนทั้งหลายเมื่อจักให้ทานจงตั้งใจให้ด้วยคารวะเถิด"
 "เอาเถิด เราจะบอกให้"พระเถระรับคำแล้วก็กล่าวอำลาเทพบุตรนั้นกลับมายังมนุษย์โลกเรานี้เพื่อจะอนุเคราะห์แก่เทพบุตร ก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังเสตัพยนครบอกแก่ประชานิกรซึ่งเป็นญาติสาโลหิตมิตรสหายและบริวารชนของเทพบุตรนั้นตามคำขอร้องทุกประการ
 ต่อมาไม่นานท้าวเวสสุวัณมหาราช ซึ่งเป็นเทพยบดีปกครองสรวงสวงรรค์ด้านทิศเหนือ แห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาได้มีเทวโองการแต่งตั้งให้ปายาสิเทพบุตรนั้น เป็นใหญ่ในมรุภูมิกันดารซึ่งเป็นแดนปราศจากน้ำท่าและร่มเงาไม้ทั้งหลายมีหน้าที่รักษามรรคาเพื่อคอยป้องกันอันตรายจากอมนุษย์ทั้งหลายที่จะกระทำร้ายแก่คนเดินทางซึ่งสัญจรไปทางนั้นปายาสิเทพบุตรก็น้อมรับเทวโองการแห่งท่านท้าวเวสสุวัณมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ตั้งใจรักษาหน้าที่แห่งตนด้วยดีตลอดมา
 อยู่มากาลครั้งหนึ่งเหล่าพาณิชชาวเมืองอังคะ บรรทุกสินค้าลงในเกวียน ๑,๐๐๐ เล่มแล้วก็ขับออกจากเมืองตั้งใจจะเดินทางนำเอาสินค้าไปขายยังเมืองสินธูโสวีรประเทศพากันเดินทางมาหลายทิวาราตรี ครั้นมาถึงหนทางมรุภูมิกันดารนั้น เป็นเพลากลางวันมิอาจจะเดินทางต่อไปได้ด้วยกลัวความร้อนแห่งพระอาทิตย์ จึงได้หยุดพักอยู่ก่อนครั้นราตรีย่างเข้ามา จึงพากันเดินทางต่อไปด้วยกำหนดหมายเอาดวงดาวในท้องฟ้าเป็นสำคัญในไม่ช้าก็พากันหลงทางล่วงเข้าไปจนถึงหนทางกันดารนั้นโดยไม่รู้ตัว ปายาสิเทพบุตรเห็นอุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ปรนนิบัติบิดามารดาโดยเคารพซึ่งร่วมมาในขบวนเกวียนนั้นด้วย ก็มีความพอใจใคร่อนุเคราะห์จึงสำแดงกายพร้อมกับทั้งวิมานให้อุบาสกกับทั้งพ่อค้าทั้งหลายเหล่านั้นเห็นมาแล้วแล้วร้องถามไปว่า
 "ท่านทั้งหลาย ! มาในหนทางกันดารอันประกอบไปด้วยปิศาจร้ายมีแต่พวกผีเที่ยวสัญจรอยู่หามนุษย์มิได้เป็นหนทางกันดารนัก ไม่มีน้ำมีท่าหาสระบ่อท่อธารมิได้เลย ไม่มีข้าวปลาอาหารจะไปก็ยากนัก มีแต่ทรายร้อนดังว่าเหยียบลงที่แผ่นเหล็กแดง เต็มไปด้วยภัยมนุษย์นิกรจะสัญจรไป ก็หลงวิบัติตายไปเสียมากต่อมาก เป็นภูมิประเทศเหมือนนรกมีแต่ทุกข์หาความสุขมิได้เป็นภูมิประเทศอันน่าพิลึกสะพึงกลัวยิ่งนักท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์อะไรจึงใจกล้าพากันเข้ามาในป่าอันเต็มไปด้วยความกันดารมีแต่ฝูงผีปิศาจดุร้ายเช่นนี้"
 พาณิชทั้งหลายจึงบอกเหตุแก่เทพบุตรนั้นว่า
 "ข้าแต่ท่านผู้จำเริญเหล่าข้าพเจ้านี้เป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองอังคะ นำเอาสินค้ามาตั้งใจว่าจะไปขายยังเมืองสินธูด้วยเห็นว่าจะได้ทรัพย์มากเพลากลางวันพวกเราเอามาจอดน้ำได้เอ็นดูแก่โคทั้งหลายจึงได้พากันมาในเพลากลางคืนผิดเวลาก็ขับโคมาโดยเร็ว จึงพลัดหลงมาที่นี่ ให้มืดมนหาเห็นหนทางไม่จึงได้เข้ามาสู่ป่าร้ายเป็นหนทางลำบากวิปริตเสียแล้วมิอาจกำหนดทิศได้มีจิตฟั่นเฟือนข้าแต่เทวดา ! พวกข้าได้เห็นวิมานนี้ก็ดีได้เห็นตัวท่านก็ดีย่อมเป็นสิ่งประเสริฐแก่พวกข้านักข้าพเจ้าทั้งหลายยินดีเหลือเกิน"
 ปายาสิเทพบุตรประสงค์จะแสดงความวิเศษแห่งความเป็นเทพยดาและความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์แห่งวิมานจึงร้องถามขึ้นอีกว่า
 "ดูกรพาณิชทั้งหลาย พวกท่านเป็นพ่อค้าท่องเที่ยวไปต่างแดนต่างประเทศเป็นอันมากเพราะความโลภอยากจะได้ทรัพย์ตามวิสัยแห่งมนุษย์ เที่ยวไปแต่ฝั่งมหาสมุทรข้างนี้จนถึงมหาสมุทรข้างโน้น ไปสู่หนทางป่าอันเดินไปได้โดยยากประกอบไปด้วยเชิงหวายและไม้ไร่หลักตอ กระทำความเพียรบากบั่นเดินไปข้ามห้วยละหานธารเข้าไปสู่ประเทศต่าง ๆ เพราะอยากจะได้ทรัพย์เป็นประมาณเมื่อท่านทั้งหลายไปสู่ประเทศในแว่นแคว้นแดนสมบัติแห่งพระราชาทั้งหลายอื่น ๆท่านเคยได้เห็นมนุษย์และท้าวพระยาที่มีสมบัติเห็นเป็นน่าอัศจรรย์เหมือนดังวิมานนี้โดยท่านได้เห็นเองก็ดี หรือท่านได้ฟังผู้อื่นเขาว่าก็ดี เช่นนี้จะมีบ้างหรือไม่เราจักขอฟัง"
 "ไม่มีเลย พวกพาณิชตอบพร้อมกัน "ข้าแต่เทวดาตั้งแต่พวกข้าท่องเที่ยวไปในประเทศต่าง ๆ เป็นอันมากนั้นสมบัติในมนุษย์ไม่เคยได้เห็นเป็นอัศจรรย์เหมือนกับวิมานของท่านนี้เลยวิมานของท่านนี้ มีรัศมีแสนสวยสุดที่จักพรรณนา อาจลอยไปได้มาบนอากาศมีทั้งสระโบกขรณีและประทุมชาตินานามีทั้งบัวหลวงและสัตตบงกชจงกลณีสองฟากฝั่งสระศรีประดับไปด้วยรุกขชาติทรงไว้ซึ่งดอกอยู่เป็นนิตย์มิได้ขาดและฟุ้งขจรไปด้วยเกสรดอกไม้อันหอมเสาแห่งวิมานนี้ก็แล้วไปด้วยแก้วไพฑูรย์ประดับไปด้วยแก้วประพาฬแก้วผลึกอันงามมีหน้าต่างทั้งฝาและบานประตูแล้วไปด้วยแก้วต่าง ๆมีหลังคามุงด้วยแก้วอีกเช่นกันนอกจากนั้น ยังมีโภชนาหารอันเป็นทิพย์และกึกก้องไปด้วยดุริยดนตรี วิมานนี้น่าสนุกนักพวกข้าขอถามท่านตรง ๆว่าท่านนี้เป็นเทวดาจริง ๆ หรือว่าเป็นยักษ์แกล้งปลอมแปลงมาหรือว่าเป็นองค์สมเด็จพระอมรินทราธิราชขอจงบอกนามของท่านแก่ข้าด้วยเถิด''
 "เราเป็นเทวดานามว่าปายาสิมีหน้าที่รักษาทางกันดารคอยป้องกันอภิบาลมุนษย์ผู้ท่องเที่ยวไปมาในป่านี้ด้วยว่าเราเป็นเทวดารับใช้แห่งท่านท้าวเวสสุวัณ"
 "วิมานอันประเสริฐนี้ ท่านได้ด้วยจิตอธิษฐานหรือว่ากาลบางคาบก็มีกาลบางคาบก็ไม่มีหรือว่าท่านกระทำความชอบแก่เทวดาผู้เป็นองค์อธิบดีแล้วท่านยินดียกวิมานนี้ให้ท่าน"
 "วิมานนี้ใช่ว่าเราจะได้ด้วยอธิษฐานจิต หรือได้ด้วยฤดูกาลและกระทำเอาด้วยตัวเองหรือเทวดาผู้เป็นใหญ่จะยกให้เราก็หามิได้ โดยที่แท้ เราได้วิมานนี้ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศล ที่เรากระทำมาด้วยตนเองเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์"
 วาณิชทั้งหลายจึงถามต่อไปว่า
 "ท่านได้ก่อสร้างกองกุศลสิ่งไรจึงได้วิมานอันประเสริฐเช่นนี้"
 ปายาสิเทพบุตรจึงบอกความตามเป็นจริงแก่วาณิชเหล่านั้นว่า
 "ดูกรพาณิชทั้งหลายเมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์ บุคคลสมมุติร้องเรียกเราว่าพระยาปายาสิราชทีแรกเรามิได้ให้ทานรักษาศีลแต่อย่างใด เพราะมีใจประกอบไปด้วยทิฐิลามกมีใจสกปรกกระด้างและหยิ่งหนักหนา ดื้อดึงคิดอยู่แต่ว่า ปรโลกภายภาคหน้าไม่มีคราที่นั้นยังมีสมณะรูปหนึ่งมีนามว่าพระกุมารกัสสปเถรเจ้าเธอเป็นพหูสูตรมีจิตกรุณามาแก้ปริศนาและแสดงพระธรรมเทศนาแก่เราเปลื้องใจของเราออกเสียทิฐิอันลามกนั้นเรามีจิตเลื่อมใสในพระธรรมเทศนาของเธอ จึงแสดงตนเป็นอุบาสกในบวรพุทธศาสนาอุตสาห์รักษาศีลเว้นเสียจากปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและอทินนาทานเราสันโดษด้วยภรรยาแห่งเรา มิได้เจรจามุสาศัพท์และมิได้เสพสุขซึ่งสุราเมรัยวัตรปฏิบัตินี้เป็นพรหมจรรย์แห่งเรา ผลนี้เป็นผลแห่งการสั่งสมซึ่งพรหมจรรย์เราจึงได้วิมานอันประเสริฐนี้ ด้วยอำนาจบุญกุศล ซึ่งเรากระทำมาด้วยตนเองความจริงมีอยู่ดังนี้แล ท่านทั้งหลาย"
 วาณิชทั้งปวงได้เห็นเทพบุตรพร้อมทั้งวิมานในครั้งนั้นแล้ว ก็เชื่อในผลแห่งกรรมยิ่งขึ้นทุกคนแล้วปายาสิเทพบุตรก็พาวาณิชเหล่านั้นไปส่งยังเมืองสินธูตามความประสงค์ที่จะค้าขายโดยปราศจากอันตรายด้วยอานุภาพฤทธิ์แห่งเทพยดา
 ประวัติของปายาสิเทพบุตรเจ้าของวิมานอันแสนสวยมีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์เดินทางใน ภูมิกันดารซึ่งเป็นเทพบริวารแห่งท่านท้าวเวสสุวัณมหาราช ตามที่กล่าวมาแล้วกันต่อไปซึ่งก็คาดไว้ว่าเมื่อประวัติในอดีตของเทวดาองค์นี้ ได้ถูกตีแผ่ออกมาบางทีจะทำให้ปัญหาปรัชญาคือความสงสัยว่าตายแล้วไปไหนอันมักปรากฏอยู่ในดวงใจของคนทั้งหลาย
 มนุสสภูมิคือหนทางดำเนินมาสู่มนุสสภูมิหรือโลกมนุษย์เรานี้ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราผู้เป็นสาวกของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำเป็นที่จักต้องทราบเอาไว้ในการพรรณนาถึงมนุสสภูมินี้ ก่อนอื่นจักขออัญเชิญเอาพระพุทธฎีกาซึ่งมีปรากฏในมหาสีหนาทสูตร ดังต่อไปนี้
 ดูกรสารีบุตรเราย่อมรู้ชัดซึ่งเหล่ามนุษย์ทางอันยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลกและปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลก อนึ่งสัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมอุบัติเกิดในหมู่มนุษย์เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
 ดูกรสารีบุตร !เราย่อมกำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่าบุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพระกายแตก จักอุบัติเกิดในหมู่มนุษย์ โดยสมัยต่อมาเราย่อมเห็นบุคคลนั้น อุบัติแล้วในหมู่มนุษย์ เสวยสุขเสวยทุกข์เป็นอันมากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์สามัญ
 ดูกรสารีบุตร !เปรียบเหมือนต้นไม้ซึ่งเกิดในพื้นที่อันเสมอ มีใบอ่อนและใบแก่แน่นหนามีร่มเงาหนาทึบ ลำดับนั้น มีชายคนหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อตัวถูกความร้อนแผดเผาถูกความร้อนเข้าครอบงำ มีความเหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวกระหายเดินทางมุ่งหน้ามาสู่ต้นไม่นั้นแหละ โดย มรรคาสายเดียวบุรุษผู้มีตาดีเห็นเขาเข้าแล้วย่อมมีใจกรุณากล่าวเตือนเขาอย่างนี้ว่า
 "บุคคลปฏิบัติอย่างนั้นดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นจักมาถึงต้นไม้นั้นอยู่แน่นอนทีเดียวนะ"
 ในสมัยต่อมาบุรุษผู้มีตาดีนั้น ย่อมเห็นชายคนนั้น นั่งหรือนอนในเงาต้นไม้นั้นเสวยสุขเสวยทุกข์เป็นอันมาก อุปมานี้ฉันใด
 ดูกรสารีบุตร !เราตถาคตก็เป็นเช่นเดียวกัน คือย่อมกำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจว่า
 "บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นแล้วเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักอุบัติเกิดในหมู่มนุษย์"
 โดยสมัยต่อมาเราตถาคตได้เห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อุบัติเกิดแล้วในหมู่มนุษย์เสวยสุข เสวยทุกข์เป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์สามัญดังนี้
 ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ที่ได้ผ่านสายตามานี้คือพระพุทธฎีกาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าให้พระสารีบุตรองค์อัครสาวกฟัง และพระพุทธฎีกานี้ ย่อมจักชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เราที่ได้ล้มหายตายจากมนุษย์โลกไปทุก ๆ วันดังที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้ใช่ว่าจะไปอยู่เมืองผีหรือว่าสูญหายไปเฉย ๆ ก็หามิได้ โดยที่แท้ถ้าหากว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์คนใด ประพฤติตนนำชีวิตตนให้ดำเนินไปตามปฏิปทาทางกลับมาสู่มนุษยโลกนี้อีกแล้ว มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่แคล้วที่จะกลับมาอุบัติเกิดเป็นคนในมนุษยโลกนี้อีกอย่างแน่นอน ฉะนั้นความสงสัยซึ่งมักจะผลุบโผล่ขึ้นมาในใจอยู่เสมอว่า "มนุษย์เราตายไปแล้วจักได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นผู้เป็นคนอีกได้หรือไม่หนอ"ครั้นได้สดับพระพุทธฎีกาข้อนี้แล้ว และมีใจผ่องแผ้วมีศรัทธาเลื่อมในในพระวจนะแห่งองค์พระสัพพัญญูเจ้าก็ไม่ควรจะโง่เขลาสงสัยกันอีกต่อไป เมื่อไม่สงสัยและเชื่อใจว่ามนุษย์เราตายไปอาจได้กลับมาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์อีกในบางกรณีดังนี้แล้วทีนี้ เราก็จะได้พูดถึงเรื่อง มนุสสภูมิกันต่อไป

วิมารวัตถุ ชททกนิกาย ข้อ ๘๓ หน้า ๑๔๓ บาลีฉบับวสยามรัฐ

คำสำคัญ (Tags): #นรก
หมายเลขบันทึก: 512443เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2012 22:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม 2012 22:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

 

บทที่ ๒

ภูมิของสัตว์เดียรัจฉาน


 ติรัจฉานภูมิปฏิปทาคือหนทางดำเนินไปสู่ติรัจฉานภูมิหรือโลกเดียรัจฉานอันเรื่องที่พวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลายผู้ซึ่งจักต้องตายไปวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน ควรจะรับทราบเอาไว้พิจารณาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของตนก็ในการพรรณนาถึงติรัจฉานภูมิปฏิปทานี้ก่อนที่จะกล่าวอะไรออกมา จักอัญเชิญเอาพระพุทธานุสาสนีซึ่งมีปรากฏในมหาสีหานาทสูตร
 ดูกรสารีบุตร !เราย่อมรู้ชัดซึ่งกำเนิดเดียรัจฉาน ทางที่ทำให้สัตว์ถึงกำเนิดเดียรัจฉานทางที่ทำให้สัตว์ถึงกำเนิดเดียรัจฉาน ความประพฤติจะยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดเดียรัจฉานอนึ่งสัตว์ผู้ดำเนินโดยประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงกำเนิดเดียรัจฉานเราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
 ดูกรสารีบุตร !เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่าบุคคลนั้นปฏิบัติอย่างนั้นดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นจักเข้าถึงกำเนิดเดียรัจฉาน โดยสมัยต่อมาเราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งกำเนิดเดียรัจฉานเสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของสามัญมนุษย์
 ดูกรสารีบุตร !เปรียบเหมือนหลุมคูถลึกมิดหัวคนมีคูถเต็ม ลำดับนั้น มีชายคนหนึ่งซึ่งมีเนื้อตัวถูกความร้อนแผดเผา ถูกความร้อนครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้านหิวกระหาย มุ่งหน้ามาสู่หลุมคูถนั้นแหละโดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีตาดีเห็นเขาเข้าแล้ว ย่อมมีใจกรุณากล่าวเตือนอย่างนี้ว่า
 "พ่อมหาจำเริญผู้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้นขึ้นสู่หนทางนั้นจักไปถึงหลุมคูถนั้นทีเดียว"
 ในสมัยต่อมาบุรุษผู้มีตาดีนั้น ย่อมเห็นชายคนนั้น ตกลงไปในหลุมคูถนั้น เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้าเผ็ดร้อน อุปมานี้ฉันใด
 ดูกรสารีบุตร ! เราตถาคตก็เป็นเช่นเดียวกันคือย่อมกำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
 บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นแล้วเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงกำเนิดเดียรัจฉาน"
 ในสมัยต่อมาเราตถาคตได้เห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกเข้าถึงแล้วซึ่งกำเนิดเดียรัจฉาน เสวยทุกเวทนาอันแรงกล้าเผ็ดร้อนด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ดังนี้
 ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายนี่แหละคือพระพุทธฎีกาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสให้พระสารีบุตรเถรเจ้าองค์อรหันต์ฟัง ณนครไพศาลี พระพุทธฎีกานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เราที่ตายไปจากมนุษยโลกนี้แล้วใช่ว่าจะเงียบหายไปเฉย ๆ หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกตามเดิมทั้งหมดก็หาไม่โดยที่แท้ถ้าหากว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ มนุษย์คนใดประพฤติตนนำชีวิตตนให้ดำเนินไปตามปฏิปทาทางไปสู่กำเนิดเดียรัจฉานแล้วมนุษย์คนนั้นย่อมจะไม่แคล้วที่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างแน่นอน ฉะนั้นความสงสัยอันหมักหมมอยู่ในใจมานานว่า "ที่ว่าคนเราตายไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานนั้น เป็นความจริงหรือไม่"เมื่อได้ฟังพุทธฎีกาข้อนี้แล้วและมีน้ำใจศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธวจนะก็ไม่ควรจะสงสัยกันอีกต่อไป เมื่อไม่สงสัยและเชื่อใจว่ามนุษย์เราตายไป อาจจะอุบัติในกำเนิดเดียรัจฉานในบางกรณีดังนี้แล้วก็จะได้พูดกันถึงเรื่องติรัจฉานภูมิต่อไป

  ประเภทเดียรัจฉาน

 ได้เฉลยถึงประเภทแห่งสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายพร้อมทั้งแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่แห่งสัตว์ผู้ไปอุบัติเกิดในติรัจฉานภูมินี้มาพอสมควรแล้วต่อจากนี้ไปก็ตั้งใจไว้ว่า จักได้กล่าวถึงปฏิปทาอันยังสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงภาวะความเป็นสัตว์เดียรัจฉานซึ่งเป็นประเด็นสำคัญแห่งการพรรณนาเรื่องติรัจฉานภูมิปฏิปทานี้ขอเชิญท่านที่สนใจรับฟังได้แล้ว ดังต่อไปนี้

  ทางไปสู่ติรัจฉานภูมิ

 ขอสรุปความเพื่อให้จำได้ง่ายๆ ว่า ติรัจฉานภูมินี้ สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้ว่าเหมือนกับหลุมคูถ มีความลึกยิ่งกว่าชั่วตัวคนเมื่อบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่งประพฤติอกุศลกรรม นำชีวิตของตนเดินไปทางอกุศลกรรมผู้นั้นชื่อว่านำตนเดินไปในปฏิปทาทางสู่หลุมคูถคือติรัจฉานภูมิอย่างแน่นอน
 ทีนี้หวนกลับมาอนุสรณ์นึกถึงตัวเราท่านทั้งหลายนี่บ้าง เราท่านทั้งหลายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ขณะนี้เมื่อได้รับฟังคำชี้แจงจากพระบรมครูผู้ทรงไว้ซึ่งสัพพัญญุตญาณของเราดังนี้แล้วการที่จะมัวโง่งมงายประพฤติอกุศลกรรมทั้งหลายไปด้วยความดื้อรั้นไม่เชื่อมั่นในคำแห่งพระบรมครูแล้วเดินทางเซซังป่ายเปะปะไปสู่หลุมคูถคือกำเนิดเดียรัจฉานนั้นย่อมเป็นการไม่สมควรแก่วิสัยแห่งเรายิ่งนักโดยที่แท้ควรจักหลีทางอันชั่วช้าเลวทรามนั้น โดยรวดเร็วก่อนที่เราจะขาดใจตายไปจากโลกนี้ดีกว่าเพราะมีพระพุทธฎีกาที่ควรจักทราบไว้ในที่นี้โดยตระหนักว่า

 ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีน้อยโดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานมีประมาณมากกว่า
 
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปแล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อยโดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานนั้นแล้วกลับไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานอีก หรือไปเกิดในนรก ไปเกิดในเปรตวิสัยมีประมาณมากกว่า
 
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งกลาย !สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปแล้ว จะไปเกิดเป็นเทพยดามีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปแล้วย่อมไปเกิดในนรกในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัยมีประมาณมากกว่า

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๑๕๐ หน้า ๑๘๒ บาลีฉบับสยามรัฐ

ประเภทเดียรัจฉาน


 ติรัจฉานภูมิหรือโลกแห่งสัตว์เดียรัจฉานนี้เห็นได้โดยง่ายกว่าโลกนรก โลกเปรต อสุรกายและสัตว์ทั้งหลายที่ไปอุบัติเกิดในภูมินี้ ย่อมพอจะมีความชื่นชมยินดีอยู่บ้างไม่ต้องเสวยทุกขเวทนาจนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ตลอดเวลาเหมือนสัตว์นรกและเปรตอสุรกายโดยเหตุที่มีอกุศลบางเบา แม้เขาจะประสพความลำบากยากแค้นประการใดก็ดีก็ยังมีเหตุที่จะให้ชื่นชมยินดีอยู่ ๓ ประการ คือ
 ๑.การกิน
 ๒. การนอน
 ๓.การสืบพันธุ์
 เพราะเหตุที่สัตว์ทั้งหลาย ผู้ไปอุบัติเกิดในภูมินี้ย่อมมีความยินดีในเหตุทั้ง ๓ ประการดังกล่าวมาแล้วนั่นแหละ ฉะนั้นภูมินี้จึงมีชื่อเรียกว่าติรัจฉานภูมิโลกของสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุสามประการ
 อนึ่งคำที่ว่าติรัจฉานภูมินี้ ยังหมายความอีกอย่างหนึ่งก็ได้ คือหมายความว่า "โลกของสัตว์ผู้ไปโดยขวาง" ซึ่งมีอรรถาธิบายว่า เหล่าสัตว์ที่ไปเกิดในภูมินี้เวลาจะไปไหนมาไหน ต้องไปตามขวาง อยู่ตามยาว ต้องคว่ำอกไปพึงเห็นสัตว์ดิรัจฉานที่อยู่ข้าง ๆ ตัวเราเวลานี้ เช่น เนื้อ หมู หมา เป็ด ไก่เป็นอาทิ สัตว์เหล่านี้จะไปไหนแต่ละที ต้องไปโดยอาการขวางลำตัวต้องคว่ำอกไปทั้งสิ้นผิดกับมนุษย์เรา ซึ่งไปตามตรงศีรษะเป็นอวัยวะเบื้องบนตั้งอยู่สูงสุด ไม่ใช่มีศีรษะไปขวาง ๆ อย่างศีรษะเดียรัจฉานนอกจากร่างกายของสัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นจะมีสภาวะไปอย่างขวาง ๆ ดังกล่าวแล้วในส่วนจิตใจของเขาก็ยังขวางอีกด้วยคือขวางจากมรรคผลนิพพานสัตว์ซึ่งไปอุบัติในภูมินี้ซึ่งได้นามว่าเดียรัจฉานแล้ว ถึงจะพยายามทำดีสักเท่าไรจะมีจิตใจประเสริฐเลิศล้นสักแค่ไหน มีวาสนาบารมีมาเพียงไรการที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ในชาติที่เป็นสัตว์เดียรัจฉานนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลยเป็นอันขาด เพราะเป็นอาภัพสัตว์จัดอยู่ในจำพวกอบายภูมิจึงไม่อาจที่จักได้บรรลุอมตสมบัติจะได้อย่างมากก็เพียงสวรรค์สมบัติเท่านั้นเพราะเหตุที่ภูมินี้เป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ไปขวางโดยร่างกายและจิตใจอย่างนี้ฉะนั้น จึงมีชื่อเรียกว่า ติรัจฉานภูมิโลกของสัตว์ผู้ไปโดยขวาง
 ติรัจฉาน
 เมื่อจะกล่าวโดยประเภทสัตว์เดียรัจฉานนั้น มีอยู่ ๔ ประเภท คือ
 ๑. อปทติรัจฉานสัตว์เดียรัจฉานประเภทที่ไม่มีเท้า ไม่มีขา ได้แก่ งู ปลาและไส้เดือนเป็นต้น
 ๒. ทวิปทติรัจฉาน สัตว์เดียรัจฉานประเภทที่มี ๒ ขา มีเท้า ๒เท้า ได้แก่ แร้ง กา นกตะกรุม ไก่ เป็ด เป็นต้น
 ๓. จตุปทติรัจฉานสัตว์เดียรัจฉานประเภทที่มี ๔ ขา มีเท้า ๔ เท้า ได้แก่ หมา แมว ช้าง ม้า วัว ควายเป็นต้น
 ๔. พหุปทติรัจฉาน สัตว์เดียรัจฉานประเภทที่มีขามากมีเท้ามากกว่า ๔ ขาขึ้นไป ได้แก่ มด ปลวก กิ้งกือ ตะเข็บ ตะขาบเป็นต้น
 รวมเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ๔ ประเภทด้วยกัน มีปรากฏในติรัจฉานภูมิเมื่อจะกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ สัตว์ในติรัจฉานภูมิเหล่านี้ก็ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่ ดังที่เราท่านได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้แล้วเพราะติรัจฉานภูมิ เป็นภูมิที่ใกล้ชิดกับมนุษยภูมิคือโลกมนุษย์เป็นที่สุด ดังนั้นพวกสัตว์เดียรัจฉาน จึงมีรูปร่างปรากฏเป็นตัวเป็นตนมนุษย์หรือคนเราจึงสามารถเห็นได้ อยู่ร่วมกันได้ ไม่เหมือนสัตว์อบายภูมิเหล่าอื่นเช่น เปรต อสุรกาย เป็นต้น ซึ่งเป็นอทิสมานกายมีกายไม่ปรากฏคนเราไม่สามารถจะเห็นได้ ฉะนั้นในการกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์เดียรัจฉาน จึงจะขอกล่าวอย่างย่อ ๆดังนี้
 ก. สถานที่ สัตว์ที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วย่อมไม่อยู่เป็นที่ เพราะไม่มีที่อยู่ของตนโดยเฉพาะ ไม่เหมือนสัตว์ที่ไปเกิดในนรกโดยที่ในโลกนรกนั้นมีสถานที่อยู่เป็นขุม ๆ สัตว์ไปตกขุมไหนก็ต้องเสวยผลแห่งกรรมชั่วของตนในนรกขุมนั้น ถ้าบาปยังมีก็ไปเกิดอยู่ในขุมอื่นต่อไปเมื่อหมดกรรมแล้ว จึงจะไปเกิดในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรมแต่สัตว์ที่เกิดในติรัจฉานภูมินี้ไม่ใช่อย่างนั้น คือไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เที่ยวอยู่ไปมาทั่วๆไป ในพื้นปฐพีนี้มีสัตว์เดียรัจฉานอยู่มากมายดังที่เราท่านทั้งหลายได้แลเห็นกันอยู่ทั่วไปนี่แล้ว
 ข. ความเป็นอยู่สัตว์ที่เกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน มีความเป็นอยู่ลำบากยากเข็ญกว่ามากมายนักเพราะเป็นสัตว์มีภัยชีวิตรอบด้าน ชีวิตของเขาจะอยู่รอดไปได้แต่ละวัน ๆ นั้นแสนจะลำบากยากเย็น เป็นชีวิตที่ตกต่ำแสนจะอาภัพ ได้รับแต่ความไม่สบายรอบด้านต้องแสวงหาอาหารกินตลอดเวลา กว่าจะได้ก็ยากนักหนา พึงดูหมู หมา เป็ด ไก่ที่อยู่ใกล้ ๆ เรานี้เป็นตัวอย่าง จ้องระแวงภัยอยู่เป็นนิตย์เกิดความสะดุ้งจิตไม่มีหยุด ไหนจะภัยจากมนุษย์ที่คอยตี คอยฆ่า คอยประหัดประหารไหนจะภัยจากสัตว์ใหญ่กว่าคอยขบกัด ถ้าเขาเกิดให้อาหารขึ้นมาเมื่อไร ก็พึงนึกถึงว่าเพื่อประโยชน์ของเขาละ ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่อย่างนี้ไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
 ในกรณีนี้จะมีปัญหาว่า
 สัตว์ทั้งหลายได้ประกอบกรรมทำเข็ญอะไรไว้จึงได้มาถือกำเนิดเกิดในติรัจฉานภูมินี้
 คำวิสัชนาก็มีว่า
 เหล่าสัตว์ที่เกิดมาในติรัจฉานภูมินี้ก็เพราะอำนาจเศษบาปอกุศลที่ตนได้กระทำไว้แต่ปางก่อน เช่น คน ๆ หนึ่งทำบาปหนักไว้ครั้นขาดใจตายไปแล้ว ต้องไปตกนรกสิ้นกาลช้านาน เมื่อพ้นกรรมจากนรกแล้วเศษบาปยังไม่สิ้นก็ต้องไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย ในเปตติวิสัยภูมิ ทีนี้ถึงแม้ว่าเขาผู้นั้น จะได้ไปเกิดเป็นเปรตอสุรกายแล้วนั้น แต่เศษบาปยังเหลืออยู่ก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ในติรัจฉานภูมินี้ นี่จำพวกหนึ่งสัตว์เดียรัจฉานเศษบาปอีกจำพวกหนึ่งนั้น ครั้นสิ้นกรรมพ้นจากแดนนรกแล้วก็มาเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานเลยทีเดียว โดยไม่ต้องผ่านแดนเปรตอสุรกายแต่พอตายไปแล้ว ก็อาจจะกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรกอีกก็ได้เพราะจุติปฏิสนธิแห่งสัตว์หลายไม่แน่นอนยุติลงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ย่อมเป็นไปสุดแต่กรรมบันดาลชักพา ดังเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

สุพรรณมัจฉา


 ได้สวนาการมาว่า
 กาลเมื่อศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้ายังปรากฏอยู่แต่องค์สมเด็จพระบรมครูเจ้าดับขันธปรินิพานไปแล้วนั้น มีมาณพ ๒ คนพี่น้องได้ออกบวชเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในบรรดามาณพที่ออกบวชเป็นพระภิกษุนี้ คนที่มีนามว่า ท่านโสธนภิกษุส่วนผู้น้องนั้นมีนามว่า ท่านกปิลภิกษุ เมื่อทั้งสองออกบวชแล้ว ไม่นานเท่าใดนักมารดาของท่านซึ่งมีนามว่าสาธนี และน้องสาวของท่านซึ่งมีนามว่าตาปนาก็พากันออกบวชเป็นพระภิกษุณีในพระบวรศาสนาด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอีกเหมือนกัน
 ท่านพระภิกษุทั้งสองครั้นบวชแล้ว ก็อุตส่าห์กระทำวัตรปฏิบัติแก่พระอุปัชฌายะอาจารย์ตามธรรมเนียมแห่งพระภิกษุ วันหนึ่ง หลังจากได้กระทำวัตรปฏิบัติแล้วได้กราบเรียนถามท่านพระอุปัชฌายะขึ้นว่า
 "ท่านเจ้าขา !ธุระในรพระศาสนานี้ มีอะไรที่สำคัญบ้าง ขอรับ"
 "ดีละ เธอยังไม่รู้จะว่าให้ฟัง" พระอุปัชฌายะกล่าวขึ้น แล้วสั่งสอนต่อไปว่า "ธุระที่สำคัญในพระศาสนาของพระบรมครูเจ้า แห่งเรานี้ มาอยู่ ๒ อย่าง คือ คันถธุระได้แก่ การศึกษาเรียนพระพุทธวจนะนิกายใดนิกายหนึ่ง หรือทุกชนิดนิกายอย่าง ๑วิปัสสนาธุระ ได้แก่การพิจารณากองสังขาร เพื่อให้หลุดพ้นจากกกองกิเลสอย่าง ๑ธุระทั้ง ๒ ประการนี้สำคัญนักเป็นหน้าที่โดยตรงของพระภิกษุเธอควรรู้อย่างนี้
 ได้ฟังคำบอกเล่าดังนี้พระภิกษุผู้พี่จึงคิดว่า "เราอายุมากแล้ว ควรจะบำเพ็ญวิปัสสนาธุระดีกว่าแล้วก็อุตส่าห์ปฏิบัติพระอุปัชฌายะ อาจารย์ จนครบ ๕ พรรษาพอที่จะไปอยู่รูปเดียวได้แล้ว จึงรับเรียนกรรมฐานในสำนักพระอุปัชฌายะก็กราบลาไปสู่ป่า พยายามบำเพ็ญวิปัสสนาธุระอย่างอุกฤษฏ์มิได้อาลัยชีวิตร่างกายต่อมาก็ได้บรรลุถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ คือท่านได้บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์อริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระบวรพุทธศาสนาเป็นที่น่าสรรเสริญและเคราพบูชายิ่งนัก
 ฝ่ายพระน้องชายกปิลภิกษุเมื่อพระอุปัชฌายะบอกธุระในศาสนาดังนี้จึงคิดว่าตัวเรายังเป็นหนุ่มควรจะเรียนคันถธุระ คือเล่าเรียนพระพุทธวจนะดีกว่าเรื่องวิปัสสนาต่อเมื่อแก่แล้วจึงค่อยทำ เพราะวิปัสสนาเหมาะแก่คนเฒ่าคนแก่เข้าใจเอาเองดังนี้แล้ว ก็เล่าเรียนคันถธุระจนจบพระไตรปิฎกในไม่ช้าก็มีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลือมีพระภิกษุสามเณรมาสมัครเป็นศิษยานุศิษย์มากมายเมื่อมีศิษย์มากลาภสักการะย่อมจะมากขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็มิใคร่จะมีผู้ใดคัดค้าน เพราะถือว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ ในไม่ช้าท่านกปิลภิกษุก็ถูกโลกธรรมเข้าครอบงำทำให้ท่านกลายเป็นผู้เมาในความรู้และเมาในความรู้หนักยิ่งขึ้น โดยสำคัญตนว่าเป็นอติบัณฑิตชั้นยอดเมื่อจะพูดจะสั่งสอนผู้ใดหนึ่ง ก็ชักจะไม่คำนึงถึงบาลีหลักฐานสิ่งใดทั้งสิ้นตีความในพระธรรมวินัยเอาเองด้วยปัญญาปุถุชน ก็ธรรมดาว่าพระพุทธวจนะคือคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นย่อมทรงไว้ซึ่งภาวะมหัศจรรย์และลึกซึ้งนักหนายากที่ปัญญาชนจะตีความเอาด้วยสุตตมยปัญญาแและจินตามยปัญญาให้ถูกต้องได้ ฉะนั้นไซร้เมื่อท่านกปิลภิกษุผู้ซึ่งแม้ว่าจะเล่าเรียนเจนจบในพระไตรปิฎกแต่ก็เป็นเพียงแค่สุตตมยปัญญาและจินตามยปัญญาเท่านั้น หาได้ถึงขั้นภาวนามยปัญญาอันเป็นปัญญาที่แท้จริงเด็ดขาดไม่ ได้กล่าวเอาตามใจชอบเช่นนั้นบางกาลก็ตีความในธรรมวินัยผิดพลาด และการใด เมื่อท่านตีความในพระธรรมวินัยผิดพลาดย่อมจะถูกสงฆ์ผู้ฉลาดทักท้วงเอาว่า
 ดูกรอาวุโสกปิล !ท่านกล่าวอย่างนั้นไม่ถูกท่านกล่าวคลาดเคลื่อนเสียแล้ว
 ฤทธิ์เมาในความรู้ก็พลุ่งขึ้นหน้าท่านจึงขู่ตะคอกพระภิกษุผู้ทักท้วงเหล่านั้นไปว่า
 ท่านจะไปรู้ประสาอะไรเพราะพวกท่านเป็นเช่นกับกำมือเปล่า ไม่ได้เล่าเรียนอะไรเลยอย่ามาเถียงเราเลย
 พูดไปด้วยมานะทิฐิดังนี้แล้ว เมื่อไม่มีใครเถียงก็บอกพระธรรมวินัยผิดพลาดอีกต่อไป และเมื่อมีใครมาทักท้วง ก็ขู่ตะคอกเข้าไปอีกบางทีถึงกับด่าก็มี คราทีนั้น พระภิกษุผู้หวังดีจึงพากันเข้าไปกราบเรียนท่านพระโสธนะองค์อรหันต์พี่ผู้ชายซึ่งอยู่ในป่าว่าบัดนี้พระกปิลภิกษุประพฤติไม่สมควร เพราะกำเริบเมาความรู้องค์อรหันต์จึงออกจากป่ามุ่งมาสู่สำนักของพระน้องชายแล้วให้โอวาทว่า
 ดูกรอาวุโสกปิล !ผู้มีความรู้เช่นตัวเธอ หากว่ามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็จะเป็นผู้สืบต่ออายุเป็นกำลังแห่งพระศาสนาได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น ขอเธอจงอย่าละสัมมาปฏิบัติอย่าด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ผู้ตักเตือนเธอด้วยความหวังดีเสียเลย
 พอได้สดับโอวาทแห่งองค์พระอรหันต์ผู้เป็นพี่ชายฉะนี้เธอน่าจะได้มีจิตยินดีรับคำก็หาไม่ ในใจนักดูหมิ่นอยู่แต่ว่าพระมหาเถระผู้พี่ก็เป็นผู้ไม่มีความรู้เพราะมัวอยู่แต่ในป่าต่อมาเมื่อเกิดเรื่องขึ้นอีก พระโสธนะองค์อรหันต์ ก็สู้อุตสาหะออกจากป่ามาว่ากล่าวตักเตือนอีก ๒-๓ ครั้งด้วยความกรุณา ในที่สุดเมื่อเห็นว่าพระกปิลผู้น้องไม่เชื่อฟังแล้วท่านจึงกล่าวขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายว่า
 "ดูกรอาวุโส !เมื่อเธอไม่เชื่อฟังคำของเราตัวเธอจักปรากฏด้วยกรรมแห่งเธอเอง"
 องค์พระอรหันต์กล่าวดังนี้แล้วก็หลีกไปตามอัธยาศัย ฝ่ายว่าพระกปิละ เมื่อไม่เป็นพระสงฆ์ผู้ใดมากล้าว่ากล่าวก็แสดงตนเป็นผู้มีความรู้ดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมหนักยิ่งขึ้นเมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายพยายามนะคัดค้าน ก็ขู่ตะคอกเอาด้วยวาทะในที่สุดก็เลยเกิดทะเลาะวิวาทด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ แม้มารดาและน้องสาวซึ่งบวชเป็นภิกษุณีก็เอออวยยินดี และพลอยด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ไปกับท่านด้วยจึงเป็นอันว่าท่านพระ
 กปิลภิกษุยังพระปริยัติศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เศร้าหมอง เสื่อมไปเพราะความเมาในลาภยศและมานะของตนด้วยประการฉะนี้
 ครั้นถึงกาลที่ภิกษุและภิกษุณีพี่น้องเหล่านั้น ดังขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็เป็นไปตามยถากรรมคือท่านพระโสธนเถระผู้พี่ชาย ได้ดับขันธ์เข้าสู่พระอมฤตมหานิพพานเพราะท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไปฝ่ายพระกปิลภิกษุผู้สำคัญว่าตนเป็นอติบัณฑิต และภิกษุณีทั้งสองผู้เป็นมารดาและน้องสาว เมื่อขาดใจตายไปแล้ว ได้พากันไปเกิดในมหานรกขุมที่ ๘คืออเวจีมหานรก ต้องหมกไหม้เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเพราะอกุศลกรรมที่ได้ด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลเอาไว้
 ก็ในกาลครั้งนั้นมีบุรุษหลายคน เมื่อความจนบีบคั้นหนักเข้า ก็เที่ยวปล้นฆ่าชาวบ้านเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยโจรกรรม คราวหนึ่งถูกพวกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองติดตามเพื่อจะปราบปรามเสียให้สิ้น จึงพากันหนีซุกซุนเข้าไปในป่าแต่เจ้าหน้าที่กองปราบปรามก็ติดตามมาเรื่อย ๆเมื่อจวนตัวไม่เห็นที่พึ่งสิ่งใดแล้วและในขณะวิกฤติการณ์เช่นนั้นก็บังเอิญให้เหลือบแลไปเห็นพระภิกษุผู้มีปรกติอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งจึงรับเข้าไปวันทาแล้วกล่าวละล่ำละลักว่า
 "ท่านเจ้าขา !ขอพระคุณจงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด"
 "อะไร"ท่านถามขึ้นเพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เมื่อโจรเหล่านั้นเล่าให้ฟังพอได้ความแล้วท่านจึงกล่าวขึ้นว่า
 "ประสกทั้งหลายเอ๋ย !ที่พึ่งอย่างอื่นสำหรับท่านทั้งหลายนั้น จะประเสริฐเหมือนกับศีลเป็นไม่มีเลยขอท่านจงตั้งใจสมาทานศีลเสียแต่บัดนี้เถิด เร็ว ๆเข้า"
 กล่าวแล้วไม่รอช้า ก็รีบครองผ้าให้เป็นปริมณฑลสั่งสอนให้พวกโจรเหล่านี้สมาทานศีล ๕ ในทันใด แล้วก็ให้โอวาทว่า
 บัดนี้ท่านทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นคนมีศีล เป็นคนรักษาศีลแล้ว ก็แลอันธรรมดาว่าคนรักษาศีลนั้น ต้องถือกฎอย่างเคร่งครัด คือว่า แม้ชีวิตของตัวจะตายก็ไม่ทำลายศีล ไม่ล่วงละเมิดศีลเป็นอันขาด และจะคิดประทุษร้ายผู้อื่นไม่ได้ถึงแม้ใครจะเตะถีบฆ่าแกงอะไร ก็โกรธเขาไม่ได้เธอจงศึกษาอย่างนี้เถิด
 "อย่างนั้น ท่านเจ้าข้า" พวกโจรรับคำด้วยดีทั้งนี้ก็เพราะพระภิกษุผู้อยู่ป่ารูปนั้นกล่าวขึงขังนัก
 แต่พอพวกโจรรับศีลเสร็จเรียบร้อยแล้วยังมิทันที่จะลุกขึ้น ในขณะนั้น พวกเจ้าหน้าที่ก็ตามมาทันและพากันรายล้มบริเวณนั้นไว้รอบด้าน แล้วก็เข้าจับกุมพวกโจรเหล่านั้นทันทีเมื่อจับได้แล้วก็ทุบตีให้ได้รับความทุกข์ทรมานแล้วเตรียมการที่จะฆ่าโจรร้ายในป่านั้นเอง พวกโจรเหล่านั้นก็ไม่คิดหนี ไม่คิดสู้เพราะคำของครูพระป่ายังก้องอยู่ในหู ไม่ให้โกรธใครเพราะตนได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาศีล และเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าตายในขณะนั้นแล้วเหล่าโจรผู้รักษาศีล ก็ได้พากันไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร ณสวรรค์เทวโลก
 ในเรื่องนี้ หากจะมีผู้สงสัยว่า เพราะเหตุไฉนโจรเหล่านั้น จึงไปเกิดในสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่เป็นโจรประพฤติชั่วหยาบช้า ทำไมจึงไม่ไปตกนรกเล่า
 การที่เหล่าโจรได้มีโอกาสไปอุบัติเกิดในสวรรค์ก็เพราะอำนาจแห่งศีลที่ตนรักษาในขณะใกล้จะตาย ซึ่งเป็นอาสันนกรรมเป็นเครื่องชักนำไปการที่จะทราบเรื่องได้อย่างแจ่มแจ้งนั้น ก่อนอื่น ต้องทราบว่าตามธรรมดาผู้ที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอบายภูมินั้น โทสะ เป็นตัวนำไปหมายความในขณะที่จะขาดใจตายนั้น ถ้าหากว่าจิตประกอบไปด้วยโทสะแล้วโทสะนั้นก็จะนำไปเกิดในนรกทันที ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกโจรมากราบเรียนแก่พระเถระผู้อยู่ป่าว่า ขอให้เป็นที่พึ่งพระเถระซึ่งทราบได้ดีว่า พวกโจรจะถูกฆ่าตายในไม่ช้านี้แล้วและประสงค์จะให้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐในโลกหน้าแก่พวกเขาจึงให้สมาทานรักษาศีลและกำชับเป็นนักเป็นหนาว่า เมื่อตนมีศีลแล้ว จะโกรธใครไม่ได้อันเป็นอุบายที่จะไม่ให้โจรพวกนั้นเกิดโทสะในขณะที่จะตายนั่นเองและเมื่อโจรปฏิบัติตามโอวาทอย่างเคร่งครัดด้วยความเคารพในพระเถระโทสะจึงไม่เกิดขึ้นในขณะที่ตนถูกทุบตีและประหารเมื่อโทสะซึ่งเป็นตัวนำไปสู่นรกไม่เกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้แล้วพวกโจรจึงคลาดแคล้วจากนรก และได้ไปเกิดในสวรรค์เป็นอันว่าได้ศีลเป็นที่พึ่งสมตามความปรารถนาของตนและของพระเถระผู้เป็นอาจารย์ด้วยประการฉะนี้
 เมื่อเทพบุตรผู้เคยเป็นโจรเหล่านั้นท่องเที่ยวอยู่ในสรวงสวรรค์ เสวยทิพย์สมบัติอันประเสริฐนับเป็นเวลาช้านานสิ้นกาลพุทธันดรหนึ่งแล้วตกมาในสมัยที่สมเด็จพระศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า แห่งเราท่านทั้งหลายได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ประดิษฐานพระบวรพุทธศาสนาแล้ว เทพบุตรเหล่านั้นก็จุติจากเทวโลกมาอุบัติเกิดในมนุษยโลกเรานี้ ณ พระนครพาราณสีเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า ได้มาเกิดเป็นบุตรแห่งหัวหน้าชาวประมงในตำบลหนึ่งส่วนเทพบุตรผู้เป็นบริวาร ก็พากันมาเกิดเป็นบุตรแห่งชาวบ้านในถิ่นนั้นและได้เป็นเด็กเพื่อนเล่นกันด้วยอำนาจแห่งความคุ้นเคยแต่ปางก่อน
 จะย้อนกลับไปกล่าวถึงสัตว์นรกที่มาจากกปิลภิกษุพร้อมกับมารดาและน้องสาวซึ่งเป็นภิกษุณีตั้งแต่ต้องทุกข์ถูกไฟไหม้เผาอยู่ในนรกอเวจี สิ้นกาลช้านานนับได้พุทธันดรหนึ่งแล้วสัตว์นรกกปิลก็สิ้นกรรม แต่ว่าเศษบาปยังมี จึงได้มาถือกำเนิดในติรัจฉานภูมิคือภูมิที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่เกิดเป็นสุพรรณมัจฉาคือเป็นปลามีสีสันวรรณะสวยดุจทองคำ อาศัยอยู่ในแม่น้ำอจิรวดีมีชีวิตเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่อย่างแสนเศร้า เช้าวันหนึ่งเหล่าทารกลูกชาวประมงเหล่านั้น หลังจากเล่นหัวกันตามประสาทารกอย่างสนุกสนานแล้วเจ้าทารกหัวหน้าจึงกล่าวชวนพรรคพวกแห่งตนขึ้นว่า "มา ! พวกเราจักไปจับปลาในแม่น้ำเช่นเดียวกับบิดามารดาของเราเถิด"แล้วก็พากันถือเอาเครื่องมือจับปลามีแหและอวนเป็นต้น มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำครั้นถึงแล้วก็ทอดแหลงในแม่น้ำบังเอิญปลาทองผู้มีกรรมก็มาติดแหแห่งทารกเหล่านั้นเข้าพอดี พวกพ่อแม่พี่น้องเห็นพวกเด็ก ๆ ของตนทอดแหได้ปลาทองเช่นนั้นต่างพากันดีใจกล่าวว่า
 พวกเด็กน้อยเหล่านี้ ออกหาปลาทีแรกก็ได้ปลาทองตัวใหญ่เป็นปฐมฤกษ์ ต่อไปภายหน้า จักได้ชาวประมงที่เก่งกาจอย่างแน่ ๆก็แลว่าปลาทองตัวนี้ หากนำไปถวายสมเด็จพระราชาธิบดีเห็นทีจะได้รับพระราชทานรางวัลเป็นอันมาก
 แล้วก็แนะนำให้ทารกเหล่านั้นพากันนำเอาปลาทองของตนไปถวายสมเด็จพระราชา ทารกทั้งหลายก็นำเอาปลานั้นลงเรือแล้วก็ช่วยกันพาย บ่ายหน้าตรงสู่พระบรมมหาราชวังแล้วขอเข้าเฝ้าเพื่อทูลเกล้าถวายปลา สมเด็จพระราชาเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นปลาทองแหลกประหลาดเช่นนั้นจึงทรงมีพระราชดำริว่า
 "ปลาทองใหญ่ตัวนี้ไม่มีใครรู้จักชื่อว่าเป็นปลาอะไร นับว่าเป็นปลาที่แหลกประหลาดอยู่ทำไมจึงมีสีกายคล้ายกับทอง ชะรอยจะมีเหตุอันลึกลับ ยากที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะรู้ได้ถ้ากระไรเราจักไปทูลถาม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐจักดีกว่า"
 ครั้นทรงพระดำริฉะนี้แล้วก็รับสั่งให้นำปลาสีทองนั้น ไปยังสำนักแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพระองค์พร้อมกับเสวกามาตย์และทารกทั้งหลาย ได้ไปเฝ้าเพื่อทูลถามความสงสัยเมื่อนำปลาไปถึงพระเชตวันมหาวิหาร ปลานั้นก็อ้าปากขึ้นในขณะที่มันอ้าปากขึ้นเท่านั้นเอง บริเวณพระเชตวันมหาวิหารทั้งสิ้นก็ปรากฏมีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปจนทั่วซึ่งยังความประหลาดใจให้เกิดแก่คนทั้งหลายเป็นอันมากสมเด็จพระราชาจึงทูลถามองค์สมเด็จพระบรมครูขึ้นว่า
 "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เหตุไฉน ปลานี้จึงมีสีกายคล้ายทองคำผิดจากปลาธรรมดาทั้งหลาย และเหตุไฉนจึงมีกลิ่นปากเหม็นอย่างร้ายกาจนักพระเจ้าข้า"
 สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าบุรพกรรมของปลานั้นว่า
 "ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! ปลานี้เดิมทีเป็นพระภิกษุนามว่ากปิลในพระศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะที่ล่วงแล้ว เธอเป็นพหูสูตรเรียนจบพระไตรปิฎก มีศิษยานุศิษย์มาก หากแต่ถูกลาภยศเข้าครอบงำได้ด่าว่าพระภิกษุผู้มีศีลทั้งหลายทำให้พระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมถอยหมองเศร้าตายไปแล้วจึงต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก บัดนี้สิ้นกรรมแล้ว แต่เศษบาปยังมีจึงต้องมาเกิดเป็นปลา แต่เพราะตนเรียนพุทธวจนะสอนพระพุทธวจนะกล่าวสรรเสริญคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานจึงมีสรีรกายเป็นสีทองคำสวยงาม แต่เพราะตนได้ด่าว่าพระภิกษุผู้มีศีลจึงมีกลิ่นปากเหม็นอย่างร้ายกาจ ในบัดนี้ ขอถวายพระพรอาตมภาพจะถามปลานี้ให้ประจักษ์ต่อไป"
 "เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่งทีเดียวพระเจ้าข้า" สมเด็จพระราชาและคนทั้งหลายในที่นั้นกล่าวขึ้นพร้อมกัน
 ลำดับนั้น สมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสถามปลานั้นขึ้นว่า
 "เจ้าชื่อกปิลใช่หรือไม่"
 ก็ให้บังเกิดอัศจรรย์แก่ตนทั้งหลายในที่นั่นเพราะได้ยินเสียงปลาทองนั้นทูลตอบสมเด็จพระพุทธองค์ว่า

"อาม ภนเต อหํ กปิโล.ใช่ พระเจ้าข้าข้าพระองค์ชื่อว่ากปิลสมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสถามขึ้นอีกเจ้ามาจากไหนอวีจีมหานิรยโตภนเต.ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้าสมเด็จพระพุทธองค์ตรัสถามขึ้นอีกท่านโสธนะพี่ชายของเจ้าไปไหนปรินิพพุโตภนเต.ท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้าสมเด็จพระพุทธองค์ตรัสถามขึ้นอีกนางสาธนีมารดาของเจ้าไปไหนมหานิรเย นิพพตตาภนเต.กำลังอยู่ในมหานรก พระเจ้าข้าสมเด็จพระพุทธองค์จึงทรงถามขึ้นอีกว่านางตาปนา น้องสาวของเจ้าไปไหนมหานิรเย นิพพตตาภนเต.นางกำลังอยู่ในมหานรกพระเจ้าข้า"

ครั้นสุพรรณมัจฉาปลาทองผู้มีกรรมทูลตอบสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าฉะนี้แล้วก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนเป็นยิ่งนักระลึกถึงกรรมชั่วแห่งตนในอดีตแล้ว ให้แค้นใจตนเองว่ามิน่าจะกระทำเลยถูกโทสะเข้าครอบงำจิตจนขาดสติ เอาศีรษะฟาดเรือโดยแรง ขาดใจตายไปในบัดนั้นแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก อยู่ในอเวจีมหานรกอีกตามเดิม ทั้งนี้ก็เพราะเดียรัจฉานกปิลนั้น ทำกาลกิริยาตายไปในขณะโทสะจิตเลยถูกโทสะชักพาไปเกิดในนรกอีกทั้ง ๆที่พ้นจากนรกนั้นมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว
 เรื่องที่เล่ามานี้ต้องการที่จะชี้ให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้ทราบไว้ว่าบรรดาสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายในติรัจฉานภูมินี้ บางสัตว์เป็นสัตว์เดียรั

 

เรื่องที่เล่ามานี้ต้องการที่จะชี้ให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้ทราบไว้ว่าบรรดาสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายในติรัจฉานภูมินี้ บางสัตว์เป็นสัตว์เดียรัจฉานเศษบาปคือเคยเป็นสัตว์นรกมาแล้ว แต่ว่าเศษบาปยังมี จึงต้องมาเกิดในติรัจฉานภูมิมีชีวิตเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เช่นสุพรรณมัจฉาปลาทองกปิลที่เล่ามานั้นก่อนที่จะมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เขาได้ผ่านแดนอเวจีมหานรกมาก่อนเดียรัจฉานประเภทนี้เรียกว่า เดียรัจฉานเศษบาป ปรากฏมีมากมายอยู่ในติรัจฉานภูมินี้นี่ประเภทหนึ่ง
 อีกประเภทหนึ่งนั้นก่อนที่จะมาเป็นสัตว์เดียรัจฉานในติรัจฉานภูมินี้ก็เป็นมนุษย์เป็นคนธรรมดาสามัญเราดี ๆ นี่เอง ไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญชั่วช้าอะไรมากนักแต่ว่าในขณะที่จะขาดใจตายไปจากมนุษยโลกนี้นั้น จิตประกอบไปด้วยโมหะ ความหลงผิดมีจิตมืดมนมัวเมาเขลาความคิด ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีสรณะที่พึ่งจะยึดถือให้มั่นคงจิตฟั่นเฟือนหลงไหล ครั้นขาดใจตายลงไปในขณะนั้นก็จะพลันไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉานได้ เพราะกิเลสคือ "โมหะ" ตัวนี้เป็นเครื่องชักนำให้สัตว์ไปอุบัติเกิดในกำเนิดเดียรัจฉานเป็นส่วนมากเพื่อความกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ พึงดูตัวอย่างเรื่องอันมีปรากฏในพระคัมภีร์ธรรมบทซึ่งจะนำมาเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

เล็นหลงผ้า
 ได้เสวนาการมาว่า
 กาลเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าแห่งเราทั้งหลาย

ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารนั้น มีมาณพผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนในพระนครสาวัตถีมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาจึงออกจากเคหาเข้ามาบรรพชาอุปสมบทแล้วปรากฏนามว่า "พระภิกษุติสสะ"หลังจากที่บวชมานานพอสมควรแล้วคราวหนึ่งท่านได้ทูลลาสมเด็จพระผู้มีพระภาคไปอยู่จำพรรษา ณ วิหารชนบทบ้านนอกครั้นออกพรรษาแล้ว เมื่อจะกลับเข้ามาในเมือง มีทายกถวายผ้าเนื้อหยาบยาว ๘ศอกมาผืนหนึ่ง ท่านจึงนำเอาติดตัวมุ่งหน้าเดินทางมาครั้นถึงเมืองสาวัตถีอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแล้วก่อนที่เข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหาร ได้แวะเข้าไปเยี่ยมญาติโยมของท่านที่บ้านก่อนตามธรรมดาของคนที่จากไปนาน ครั้นสนทนากันพอสมควรแล้วจึงเอาผ้าได้มานั้นฝากพี่สาวไว้ก่อนว่าวันหน้าจะมาเอา แล้วก็กล่าวอำลาลงจากบ้านไปสู่เชตวันมหาวิหารซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
 ฝ่ายพี่สาวเห็นผ้าบ้านนอกเนื้อหยาบที่พระติสสะฝากไว้จึงคิดว่า "ผ้าเนื้อหยาบนี้ ไม่สมควรที่พระน้องชายของเราจะนุ่งห่ม"ครั้นคิดฉะนี้แล้ว อาศัยที่นางเป็นช่างทอผ้า จึงจัดรื้อผ้านั้นทอเสียใหม่ผ้าเนื้อหยาบผืนนั้นก็กลับกลายเป็นผ้าเนื้อละเอียดยาวกว่าเก่าอีกศอก ๑เสร็จแล้วก็พับไว้ รอที่จะถวายพระน้องชายต่อไป ฝ่ายพระติสสะองค์หนุ่มเมื่อเข้าไปในพระเชตวันวิหารแล้ว ก็พักผ่อนสนทนากับเพื่อนสงฆ์อยู่หลายวันเพราะจากกันไปนาน ครั้นวันหนึ่ง เห็นจีวรของตนนั้นขาดเพราะใช้มานานจึงคิดจะทำจีวรใหม่ ได้เรียกประชุมภิกษุหนุ่มสามเณรทั้งหลายซึ่งเป็นสหายถูกใจกันให้มาช่วยตัดเย็บจีวร พร้อมกับเตรียมด้ายและเข็มเสร็จเรียบร้อยจึงเดินทางเข้าไปในบ้าน เมื่อพบพี่สาวแล้ว ก็ขอผ้าที่ตนฝากไว้กลับคืนพี่สาวจึงนำเอาผ้านั้นมาถวาย
 "นี่มิใช่ผ้าของอาตมา"ติสสะภิกษุกล่าวขึ้น หลังจากที่ได้คลี่พิจารณาดูแล้ว จำได้คลับคล้ายคลับคลาสงสัยว่าจะไม่ใช่ผ้าของตน
 "ใช่ซิท่านนี่แหละเป็นผ้าของท่านที่ฝากพี่ไว้ละ" พี่สาวกล่าวยิ้ม ๆ
 "ไม่ใช่"ติสสะภิกษุปฏิเสธขรึม ๆ พร้อมกับคลี่ผ้าพิจารณาดูอีก "ของอาตมาเป็นผ้าเนื้อหยาบยาว๘ ศอก แต่ผ้าผืนนี้เป็นผ้าเนื้อดีเนื้อละเอียดและยาว ๙ ศอก ฉะนั้นผ้านี้จึงมิใช่ผ้าของอาตมา แต่เป็นผ้าของสีกาพี่อาตมารับเอาผ้าผืนนี้ไม่ได้"
 กล่าวแล้วพระติสสะภิกษุองค์หนุ่มเคร่งวินัยก็ลุกขึ้นทำท่าจะอำลากลับ
 "ของท่านจริงๆ" พี่สาวบอก แล้วก็เล่าถึงการที่เธอได้จัดการทอเสียใหม่ให้ฟังแล้วก็กล่าวถวายแก่พระน้องชายอีกว่า "ขอท่านจงรับเอาไปเถิดอย่าได้รังเกียจเลย"
 ท่านพระติสสะ จึงรับเอาผ้านั้นไปยังวิหารเริ่มกะการที่จะทำจีวรตามที่คิดไว้ ฝ่ายพี่สาวผู้มีใจเลื่อมใสก็จัดเอาอาหารมาเลี้ยงพระที่ช่วยทำจีวรอย่างไม่ฝืดเคืองและในที่จีวรนั้นเสร็จเรียบร้อยนั้น นางได้จัดเอาอาหารมาเลี้ยงพระมากมายเป็นพิเศษซึ่งทำให้พระติสสะน้องชายปลาบปลื้มมาก ครั้นพี่สาวกลับไปบ้านและเพื่อนพระพากันแยกย้ายกลับไปกุฏิแล้วท่านพระติสสะก็เข้าไปลูบคลำจีวรที่ทำเสร็จใหม่ ๆ ซึ่งสวยถูกอกถูกใจนักและเมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ก็ลองห่มดู ก็ยิ่งรู้สึกเหมาะใจขึ้นไปอีก ได้แต่จับ ๆ วางๆ อยู่อย่างนั้นหลายครั้งด้วยความเสน่หาในจีวร ในที่สุด เมื่อตกยามราตรีถึงเวลาที่จะจำวัดก็บรรจงพับจีวรนั้นอย่างทะนุถนอม พร้อมกับคิดว่า "พรุ่งนี้เถิดเราจักห่มจีวรผืนนี้ให้อร่ามเรือง เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน"แล้วก็พาดไว้ที่สายระเบียงในกุฏิของตน นอนมองดูอยู่ด้วยความสุขแล้วก็เผลอม่อยหลับไปและแล้วก็ตกดึกคืนนั้น ก็ให้บังเอิญเกิดโรคาพาธปัจจุบันขึ้นถึงกับทำให้ท่านมรณภาพลงในคืนนั้นเอง
 โดยเหตุที่ก่อนจะขาดใจตายจิตของท่านประกอบด้วยโมหะ ปฏิพัทธ์หลงไหลอยู่ในจีวรมิได้อนุสรณ์ถึงพระพุทธคุณหรือภาวนากรรมที่ตนได้กระทำมา ฉะนั้นพอท่านติสสะถึงแก่กาลกิริยามรณภาพแล้ว ก็ตรงมาถือกำเนิดในติรัจฉานภูมิคือเกิดเป็นเล็น อาศัยอยู่ในจีวรนั้น ซึ่งท่านยังไม่ได้ห่มให้สมใจนั่นเอง รุ่งเช้าข่าวการถึงมรณภาพของท่านติสสะก็รู้กันไปทั่ว พี่สาวผู้เลื่อมใสอาลัยรักในพระน้องชายก็มาร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่แทบเท้าของภิกษุทั้งหลาย ด้วยความเศร้าสลดใจอย่างสุดซึ้งครั้นแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็ช่วยกันจักการศพของท่าน เมื่อการฌาปนกิจเสร็จสิ้นลงแล้วก็ประชุมกันและมีมติว่า
 "จีวรใหม่นั้น ตกเป็นของสงฆ์ เพราะท่านผู้ตายไม่มีคิลานุปัฏฐาก โดยที่ไม่มีใครได้ทันพยาบาล ฉะนั้นพระภิกษุสงฆ์ควรจะตัดแบ่งออกไป ตามวินัยนิยม" มีมติดังนี้แล้ว ก็เริ่มกะว่าจะตัดแบ่งให้ท่านองค์นั้นเท่านี้ ท่านองค์นี้เท่านั้น
 "แล้วกันซิเพื่อนพระเรา เกิดเป็นอะไรขึ้นเล่านั้น จึงได้จัดการคิดจะแบ่งเอาตามใจชอบก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นจีวรของเรา ไม่น่าคิดเอาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างนี้เลยเพื่อนหนอเพื่อน ช่างกระไรหนอ ไม่เห็นใจกันบ้าง"เล็นอดีตพระติสสะเจ้าของจีวรวิ่งร้องลั่น ไปข้างโน้นข้างนี้อยู่ภายในจีวรมองค้อนภิกษุเหล่านั้น ด้วยตาขุ่นเขียวอย่างเคืองใจ แต่ภิกษุทั้งหลายจะได้เห็นและได้ยินเสียงเจ้าเล็นน้อยตัวนั้นก็หามิได้
 ฝ่ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐประทับนั่งอยู่ภายในพระคันธกุฎี ได้ทรงสดับเสียงเล็นนั้นขู่คำรามพระภิกษุทั้งหลายด้วยพระโสตธาตุอันเป็นทิพย์ จึงรับสั่งเรียกพระอานนท์มาแล้วมีพระพุทธดำรัสสั่งว่า
 "ดูกรอานนท์ !เธอจงไปแจ้งแก่ภิกษุผู้กำลังจะตัดจีวรของพระติสสะ ออกแบ่งกันเหล่านั้นว่าอย่าเพิ่งแบ่งกัน ให้รอสัก ๗ วันก่อน แล้วจึงค่อยแบ่ง"
 พระอานนท์จึงอัญเชิญเอาพระพุทธดำรัสมาแจ้งแก่พระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นการตัดจัดแบ่งจีวรออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อจะแบ่งกันก็เป็นอันระงับไปเล็นน้อยซึ่งอาศัยอยู่ในจีวรเห็นเช่นนั้นก็ค่อยคลายโทสะได้รับความสบายใจ นอนนิ่งอยู่ในจีวรที่ตนรัก พออยู่มาได้ครบ ๗วันก็สิ้นอายุขาดใจตาย แล้วไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐในสวรรค์ชั้นดุสิตด้วยอำนาจแห่งการรักษาศีลและภานากรรมอันตนได้กระทำไว้ตั้งแต่ในชาติที่ตนเกิดเป็นพระภิกษุติสสะได้เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ ณดุสิตเทวโลกนั้น
 ฝ่ายเหตุการณ์ข้างมนุษย์โลกนี้ ในวันที่ ๘จึงมีพระบรมพุทธานุญาต ให้พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้น จัดการแบ่งจีวรกันได้พระภิกษุทั้งหลาย ครั้นได้รับส่วนแบ่งจีวรของพระติสสะผู้มรณภาพแล้วจึงให้สงสัยในใจเป็นกำลังว่า
 "เป็นเพราะเหตุไรเล่าหนอสมเด็จพระบรมศาสดาแห่งเราทั้งหลาย จึงมีพระดำรัสสั่งให้เก็บจีวรแห่งพระติสสะไว้ถึง๗ วัน แล้วจึงทรงมีพระมหากรุณาให้แบ่งกันในวันที่ ๘ น่าสงสัยจริง ๆ "
 สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จมาที่ภิกษุสมาคมนั้นแล้วทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสแก้ข้อสงสัยนั้นว่าดังนี้
 "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! พระติสสะถึงมรณภาพ แล้วได้บังเกิดเป็นเล็นอาศัยอยู่ในจีวรวิ่งวนไปข้างโน้นข้างนี้จนเหนื่อยอ่อนหากว่าพวกเธอจะได้จัดแบ่งจีวรกันในขณะนั้นแล้วไซร้เล็นติสสะภิกษุนั้น ก็จักมีความโกรธ แค้นพวกเธอเป็นอันมากแล้วจักตายไปเกิดในนรกทันที ด้วยเหตุนี้เราตถาคตจึงให้เก็บจีวรไว้ก่อน ก็แลบัดนี้เล็นนั้นได้ไปอุบัติบังเกิด ณ ดุสิตนิภพแล้วเราจึงอนุญาตให้พวกเธอแบ่งจีวรกันได้"
 "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่าตัณหานี้หยาบช้าน่ากลัวนัก" ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลคล้ายกับรำพึงในใจดังนี้
 "อย่างนั้น เธอทั้งหลายขึ้นชื่อว่าตัณหาของบรรดาสัตว์ทั้งหลาย หยาบช้าน่ากลัวนักเปรียบเหมือนสนิมที่เกิดในเหล็ก ก็ย่อมกัดกินเหล็ก ทำเหล็กให้พินาศทำเหล็กให้เสียหายใช้การไม่ได้ อุปมานี้ฉันใดตัณหานี้ก็เป็นเช่นนั้นเกิดในขันธสันดานแห่งสัตว์ทั้งหลายแล้วก็ทำสัตว์ทั้งหลายให้พินาศ ทำให้ต้องไปเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์นรกเป็นต้นดุจสนิมทำเหล็กให้พินาศฉะนั้น" ครั้นตรัสดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงมีพระมหากรุณาแสดงธรรมว่าด้วยโทษแห่งตัณหาให้ภิกษุเหล่านั้นได้สดับต่อไป
 เรื่องที่เล่ามานี้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ก็คงจะเห็นแล้วว่า บรรดาสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ในติรัจฉานภูมิเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก่อนที่เขาจะมาบังเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานให้เราท่านได้พบเห็นอย่าง ขวักไขว่อยู่เป็นประจำดังทุกวันนี้นั้นนอกจากจะเป็นเดียรัจฉานประเภทที่ได้เคยผ่านแดนเปรตอสุรกาย หรือแดนนรกมาแล้วก็ยังมีเดียรัจฉานอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นมนุษย์ และไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้มากนัก แต่เมื่อถึงคราวจักขาดใจตาย จิตประกอบด้วยโมหะเพราะไม่มีสรณะที่พึ่งอันจะยึดเหนี่ยวในขณะนั้น ก็มาบังเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานได้เช่น พระภิกษุติสสะที่เกิดเป็นเล็นดังเรื่องที่เล่ามาแล้ว
 ก็ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานนี้นอกจากจะมีชีวิตอย่างแสนอาภัพแสนเศร้าแล้ว การที่เขาจะแคล้วคลาดรอดภาวะเดียรัจฉานกลับมาเกิดเป็นคนเป็นมนุษย์โลกเรานี้ ถ้าหากว่ากุศลผลบุญแต่ปางก่อนไม่มีแล้วย่อมเป็นโอกาสที่ได้โดยยากนักหนา เหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าการเป็นสัตว์เดียรัจฉานนั้นมีโอกาสทำบาปสร้างอกุศลกรรมได้ง่ายกว่ามนุษย์มากมายนักเมื่อทำบาปสร้างอกุศลเพิ่มขึ้นแล้ว เขาจักมีโอกาสมาเกิดเป็นคนในมนุษย์ภูมิซึ่งเป็นภูมิที่สูงกว่าอกุศลติรัจฉานภูมินี้ได้อย่างไรเล่าเพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ พึงดูตัวอย่างดังต่อไปนี้
 มีมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งมีความประมาทในวัยและชีวิต จิตประกอบด้วยโมหะ ขณะที่จะขาดใจตายถูกโมหะชักนำให้ไปถือกำเนิดในติรัจฉานภูมิ เกิดเป็นพยัคฆ์เสือใหญ่ธรรมชาติแห่งเสือนั้นย่อมเป็นสัตว์ที่มีเลือดเนื้อแห่งสัตว์อื่นเป็นอาหารเขาย่อมจักคอยคิดประหารชีวิตสัตว์เคี้ยวกินอยู่เนืองนิตย์กว่าเสือตัวนั้นจักสิ้นชีวิตก็ต้องทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์อื่นมาเลี้ยงชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ครั้นดับจิตตายแล้วก็ต้องไปลงนรกกลายเป็นสัตว์ในนิรยภูมิไป เพราะว่าโทษแห่งปาณาติบาตนี้ไซร้เป็นเช่นนั้นต้องเป็นสัตว์นรกหมกไหม้อยู่ตลอดกาลนาน สุดที่จักนับประมาณวันเดือนปีได้เมื่อใดเขาจักกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็วินัยที่จักรู้
 อีกมนุษย์หนึ่งนั้นไปเกิดในติรัจฉานภูมิเช่นกัน แต่เป็นเนื้อเก้ง เนื้อทรายตลอดชีวิตก็บริโภคใบไม้หญ้าเป็นอาหารไม่ได้ประกอบการชั่วช้าทำปาณาติบาตเช่นอย่างเสือนั้นเลยแต่ว่าบังเอิญเคราะห์ร้ายถูกนายพรานยิงเอาให้ได้รับความเจ็บปวดนักหนาเกิดทุกขเวทนาเป็นล้นพ้น จิตของตนก็จะเกิดโทสะ ไหนจะโกรธเคืองผูกใจเจ็บคนที่ยิงตนไหนจะโกรธเคืองโดยมีทุกขเวทนาเป็นเหตุเพราะตามธรรมผู้ที่ถูกทุกขเวทนาเข้าครอบงำมากๆ หากไม่มีหลักของใจแล้วจิตย่อมจะชัดส่ายคล้ายเป็นบ้าเกิดโทสะขึ้นมาโดยหาเหตุผลมิได้ เมื่อโทสะเกิดขึ้นในขณะนั้น ก็หมายความว่าจิตของเขาเศร้าหมองแล้ว เพราะถูกโทสะเข้าครอบงำ เมื่อจิตเศร้าหมองอย่างนี้แล้วจะไปเกิดในสวรรค์วิมาน หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิได้อย่างไรเพราะมีพระบาลีบ่งระบุไว้ตายตัวว่า

จิตเต สงกิลิฏเฐ ทุคคติปาฏิกงขา
 เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นต้องได้

เพราะเหตุนี้ไซร้ เนื้อเก้งเนื้อทรายเดียรัจฉานเคราะห์ร้ายนั้น

เมื่อขาดใจตายไปแล้วในกรณีนี้เขาย่อมต้องไปบังเกิดในสถานที่ทุคติคืออบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์ เปรต อสุรกายหรืออย่างน้อย ก็ต้องถือกำเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างเดิมอีกนั้นแหละฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การที่สัตว์ในติรัจฉานภูมิ จะกลับมาเกิดเป็นคนในมนุษย์ภูมินี้ย่อมเป็นโอกาสที่จะมิได้โดยยากนักหนา
 แต่ก็มิได้บางกรณีที่สัตว์เดียรัจฉานอาจเกิดเป็นคนในมนุษย์ภูมิ หรืออาจเกิดเป็นเทวภูมิได้เพราะติรัจฉานภูมินี้ ถึงแม้จะจัดเป็นอบายภูมิคือ ภูมิที่ต่ำช้าก็จริงถึงกระนั้นก็เป็นสัตว์ที่มีโอกาสดีกว่าในอบายภูมิอื่น ๆ อบายภูมิ มี ๔คือ
 ๑. นิรยภูมิ โลกนรก
 ๒. เปตติวิสยภูมิโลกเปรต
 ๓. อสุรกายภูมิ โลกอสุรกาย
 ๔. เดียรัจฉานโลกเดียรัจฉาน
 ในบรรดาอบายภูมิทั้ง ๔ เหล่านี้นั้น สัตว์ในอบายภูมิทั้ง๓ ข้างต้น ตลอดทุกเวลานาทีวินาที ต้องเสวยทุกข์โทษเป็นประจำ ไม่มีเวลาว่างเว้นเลยเพราะอยู่ในโลกกรรม ก็จำจะต้องใช้เวรกรรมของตนไปแต่อบายภูมิสุดท้ายคือติรัจฉานภูมินี้ ถึงแม้จะเป็นโลกเวรโลกกรรมเหมือนกันก็จริงแต่เป็นโลกที่อยู่แห่งสัตว์ที่มีเวรมีกรรมบางเบา ฉะนั้นเขาจึงมีโอกาสที่จะความยินดีในเหตุ ๓ ประการดังกล่าวแล้วข้างต้นและอาจที่จะเกิดกุศลจิตได้ในบางขณะและในขณะที่เขาเกิดกุศลจิตแล้วตายลงไปด้วยใจที่ไม่เศร้าหมองเขาก็ย่อมต้องได้ไปเกิดในสุคติภูมิ เพื่อความเข้าใจได้ง่าย ๆพึงดูตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

ชรสาณาชีวก


 ครั้งศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในเขตอาวาสวัดป่าซึ่งมีพระภิกษุสามเณรอยู่มากมายหลายรูป ในบรรดาพระภิกษุสามเณรเหล่านั้นพระภิกษุทั้งหลายผู้เรียนพระอภิธรรมปิฎก เมื่อเรียนจนคล่องแคล่วดีแล้วก็ชวนกันเข้ไปในป่าหลังวัดแล้วกระทำคณะสังวัธยายพระอภิธรรม ณ ที่ใกล้ ๆงูเหลือมใหญ่ตัวนั้นอาศัยอยู่โดยหารู้ตัวไม่และในขณะนั้นงูเหลือมก็กำลังหลับอยู่ตามปกติแห่งงูที่ชอบในความหลับ
 เมื่อถึงพระบาลีแจกอายตนะพระภิกษุก็สวดเนื่องไปด้วยเสียงมิได้ขาดงูเหลือมนั้น ตื่นขึ้นแล้ว ได้ยินเสียงแจ้วๆ แห่งพระสงฆ์สังวัธยายคัมภีร์อายตนวิภังค์ ก็เกิดความยินดีในเสียงสังวัธยายนั้นตะแคงหูฟังอยู่ จนเจ้ากูเหล่านั้นสวดอายตนวิภังค์จบแล้ว ก็เข้าสู่นิทราหลับต่อไปแม้ในกาลต่อมาภายหลัง พากันมากระทำคณะสังวัธยายพระอภิธรรม ณ ที่นั่นอีกงูเหลือมใหญ่ก็ไม่หลีกหนี เพราะมีจิตยินดีใคร่จะฟังคัมภีร์อายตนวิภังค์ ทั้ง ๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ความ เหตุการณ์เป็นอยู่ดังนี้เป็นนิตย์
 คราวหนึ่งงูเหลือมใหญ่นั้นป่วยไข้ใกล้จะตายนอนซมอยู่พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นก็พากันมากระทำคณะสังวัธยายพระอภิธรรมในที่นั่นตามเคยเมื่อถึงพระบาลีแจกอายตนะที่ตนชอบฟัง งูนั้นก็ถือเอาเป็นอารมณ์จุติตายไปด้วยถือเอากุศลกรรมนิมิตตายแล้วก็ได้ไปอุบัติบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์เทวโลกเสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่สิ้นกาลนาน ตกมาถึงพุทธุปปาทกาลนี้เมื่อองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราท่านทั้งหลายเสด็จเข้าสู่นิพพานไปแล้ว เทพบุตรอดีตงูเหลือมนั้นก็ได้จุติลงมาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ซึ่งมีทรัพย์มหาศาลอุดมไปด้วยมนุษย์สมบัติทุกประการเมื่อถึงกาลจำเจริญวัยวัฒนา มาณพหนุ่มพราหมณ์นั้นเกิดความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย เห็นโทษในเบญจกามคุณและเห็นอานิสงส์ในเนกขัมบรรพชา ก็ออกจากเรือนไปสู่ป่าทรงพรตบวชเป็นดาบสภายนอกพระพุทธศาสนา ตั้งอาศรมอยู่ในป่านั้นแล้วบำเพ็ญเพียรตามประเพณีแห่งดาบส ปรากฏนามว่า "ชรสาณาชีวก"และต่อภายหลังก็มีเกียรติประวัติว่า ชรสาณาชีวกผู้นี้มีปัญญาลึกล้ำนักหนา ไม่มีใครจะสามารถที่จะเทียบเสมอได้ บรรดาชีวกทั้งหลายต่างก็ยกย่องนับถือเป็นท่านอาจารย์ ทั้งนี้ ก็เพราะปัญญาเกิดในปฏิสนธิจิตเหตุที่ชาติเมื่อตนเป็นงูเหลือมอาศัยวัดได้ฟังพระอภิธรรมมา
 ครั้นสิ้นชีวิตลงไปในขณะนั้นก็พลันจะไปเกิดในสุคติภูมิ คือ ได้กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ หรือมิฉะนั้นก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร ณ เบื้องสวรรค์เทวโลก ดังเช่นงูเหลือมใหญ่อาศัยวัดได้ฟังอายตนวิภังค์ อันพระภิกษุสังวัธยาย แล้วได้คตินิมิตตารมณ์ที่ดีตายไปเกิดเป็นเทพบุตรในดาวดึงส์เทวโลก และถ้าจิตใจจำเริญพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆกุศลบุญก็จะส่งให้เกิดปัญญาปลงลงเห็นพระปรมัตถธรรมจนกระทั่งถึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระบวรพุทธศาสนาตามเรื่องชรสาณาชีวกที่เล่ามานี้ก็มีได้เหมือนกัน แต่ว่ามีปริมาณไม่มากนักนับว่าเป็นกรณีพิเศษจริงๆ ที่จักได้มีโอกาสดีเช่นนี้ ฉะนั้นขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ซึ่งได้มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์ในขณะนี้แล้วอย่าได้สนใจรักใคร่ในความเป็นเดียรัจฉาน ซึ่งเป็นสัตว์ในอบายภูมิเลย

ทางไปสู่ติรัจฉานภูมิ


 ก็การที่มนุษย์ทั้งหลายผู้มีชะตาเคราะห์ร้าย จักมีโอกาสไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานต้องเสวยทุกข์ทรมานอยู่ไปวันหนึ่ง ๆโดยไม่มีหวังที่จะได้บรรลุถึงอมตสมบัติอันวิเศษสุดประมาณเพราะค่าที่ตนเป็นพาลสัตว์มีสันดานขัดขวางต่อมรรคผลนิพพาน ในติรัจฉานภูมิได้นั้นมิใช่ว่าอยู่ ๆ แล้วก็จะไปเกิดได้เอง โดยมิต้องอาศัยเหตุปัจจัยนั้นหามิได้โดยที่แท้ การที่มนุษย์ทั้งหลายจักต้องกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานไปใช้ชีวิตอยู่ในติรัจฉานภูมิหลังจากที่ได้ล้มหายตายจากมนุษยโลกนี้แล้วก็เพราะมีเหตุมีปัจจัยก็เหตุปัจจัยหรือปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ไปถึงความเป็นสัตว์เดียรัจฉานนั้นได้แก่อะไรจะอะไรเสียอีกเล่า ก็ความประพฤติชั่วช้าลามก และการกระทำอันเป็นบาปหยาบช้าซึ่งรวมเรียกว่า "อกุศลกรรม" นั่นเองอกุศลกรรมที่เป็นเครื่องชักนำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกเปรตอสุรกายนั่นแหละเป็นปฏิปทาทางชักนำให้สัตว์ทั้งหลายไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานได้ด้วยอกุศลกรรมคืออะไร และมีอรรถาธิบายว่าอย่างไรบ้างนั้นในที่นี้จักของดไม่กล่าวให้เสียเวลาเพราะได้ว่ามาแล้วในตอนที่กล่าวถึงปฏิปทาไปสู่แดนนรก เปรต อสุรกาย หากว่าท่านทั้งหลาย ยังจำมิค่อยจะได้ โดยให้รู้สึกไปว่า "อกุศลกรรมมีอะไรบ้างหนอ"ดังนี้แล้ว ก็จงย้อนกลับไปเปิดดูพระบาลีสาเลยยกสูตรที่อัญเชิญเอามาไว้ในปฏิปทาทางไปสู่นรกนั่นเถิดแล้วก็จะเกิดความแจ่มกระจ่างขึ้นมาอีกบ้างกระมัง
 จึงเป็นอันว่าเมื่อมนุษย์ผู้ใด ประพฤติอกุศลกรรมนั้น จะโดยรู้ตัวว่าเป็นทางชั่วทางเลวหรือโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นทางชั่วทางเลวก็ตาม มนุษย์ผู้นั้นก็ชื่อว่านำตนเดินไปตามปฏิปทาทางไปสู่ความเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วและเมื่อเขาขาดใจตายไปจากมนุษยโลกนี้ หากว่าอกุศลกรรมนั้นหนักมากสามารถที่จักนำเขาไปสู่นิรยภูมิคือโลกนรกได้แล้วเขาจักต้องไปเสวยทุกข์โทษอยู่ในนรกก่อน พอหมดกรรมจากนรกแล้ว หากว่าเศษกรรมยังมีก็ต้องไปเสวยกรรมในโลกเปรต อสุรกาย แล้วจึงจักได้มีโอกาสมาเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานในติรัจฉานภูมินี้ต่อภายหลังนี่จำพวกหนึ่ง กับอีกจำพวกหนึ่งนั้นหากว่ามีอกุศลกรมบางเบาไม่ถึงขั้นที่จะไปตกนรกหรือว่าไม่ถึงขั้นที่จะไปเสวยความทรมานเป็นเปรต อสุรกายเขาก็ไม่ต้องผ่านแดนนรกและแดนเปรต อสุรกายแต่จะตรงไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉานเลยทีเดียว ซึ่งในกรณีหลังนี้มีข้อควรทราบดังนี้

แดนเดียรัจฉาน


 เมื่อมนุษย์ผู้มีจิตไม่บริสุทธิ์ประพฤติอกุศลกรรมอันหยาบช้าลามกทั้งหลายซึ่งเป็นการนำตนเดินไปตามปฏิปทาทางไปสู่ติรัจฉานภูมิแล้วในขณะที่จะเคลื่อนคลาดขาดใจตายไปจากมนุษยโลก แล้วไปผุดเกิดในกำเนิดเดียรัจฉานนั้นย่อมจักมีเหตุการณ์อันแสดงว่า ตนจักได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแน่ ๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในมรณาสันนวิถี ก็เหตุการณ์ที่เป็นเครื่องบอกล่วงหน้าให้รู้ว่าจักได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานนั้น ก็ได้แก่ "คตินิมิตตารมณ์" กล่าวคือนิมิตต่าง ๆ อันบ่งบอกถึงคติแห่งโลกเดียรัจฉานที่ตนจักต้องไปเกิดในชั่วระยะเวลาบัดเดี๋ยวนั้นเช่น
 บางทีให้เห็นคตินิมิตเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น เห็นเป็นรูปเสือเนื้อถึก โค กระบือ หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือไส้เดือน ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานเหล่านี้เป็นต้น
 ภาพเหล่านี้มาปรากฏให้ผู้ที่มีอนาคตจะได้เป็นสัตว์เดียรัจฉานได้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มใสในทางมโนทวารคือ ทางใจ เขาเห็นของเขาคนเดียวเท่านั้นเราท่านหรือคนอื่นจนพลอยเห็นด้วยไม่ได้ เมื่อเขาได้เห็นคตินิมิตเช่นนี้แล้วจิตยึดหน่วงไว้เป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายลงไปในขณะนั้นแล้วก็น้อมนำไปเกิดในติรัจฉานภูมิ เพราะคตินิมิตเหล่านี้ เป็นเครื่องชี้ให้รู้ว่าเขาผู้นั้นจักต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างแน่นอน
 ในกรณีนี้พึงเห็นตัวอย่างซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปอีกสักเรื่องหนึ่งคือ สมัยที่โลกเรานี้ว่าจากพระบวรพุทธศาสนาเพราะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก สมัยนั้น ณอัลลกัปปรัฐ เมื่อเกิดทุพภิกขภัยขึ้นในคราวหนึ่ง ประชาชนชาวแว่นแคว้นต่างก็เดือดร้อนบ้านแตกสาแหรกขาด พากันอพยพไปยังถิ่นต่าง ๆ เป็นส่วนมากในบรรดาคนที่ได้รับความเดือดร้อนเหล่านั้น มีกระทาชายนายหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกยากอยู่สักหน่อยว่า โกตุหะลิก รวมอยู่ด้วยเขาจึงพาภรรยาซึ่งมีนามว่า กาลีพร้อมทั้งลูกน้อยออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน มุ่งหน้าไปเมืองโกสัมพีตั้งใจว่าจะไปมีชีวิตอยู่ที่นั่น ในขณะที่เดินทางอันไกลแสนไกลนั้นเสบียงซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก ก็หมดลงในระหว่างทางทำให้เขาได้รับความหิวโหยเป็นอันมากจึงกล่าวกับภรรยาว่า
 "แม่กาลี ! เราอดอาหารหมดเรี่ยวแรงแม้ตนเองจะเดินก็เกือบไปไม่ไหวอยู่แล้ว ไหนยังจะต้องอุ้มลูกอีกเล่า พี่คิดว่าเมื่อเราทั้งสองมีชีวิตอยู่ โอกาสที่จักได้ลูกนั้นก็ยังมีอยู่เราทิ้งลูกน้อยไว้เสียที่นี่เป็นไร"
 ก็ธรรมดาว่าหฤทัยแห่งมารดาทั้งหลายย่อมอ่อนโยนมีความรักในบุตรอันเกิดจากอุทรแห่งตนเป็นอย่างมาก ฉะนั้น นางกาลี น้ำใจงามจึงปฏิเสธความคิดของสามีว่า
 "เราไม่สามารถที่จะทิ้งลูกรักนี้ได้แม้เราจักตายไปในครั้งนี้ก็ตาม"
 "แล้วเราจะทำยังไงเล่า" โกตุหะลิกผู้โมโหหิว กล่าวเสียงกร้างด้วยความไม่พอใจ
 "เราผลัดกันอุ้มก็แล้วกัน"นางกาลีเสนอ แล้วก็รับเอาลูกน้อยมาจากมือแห่งสามีอุ้มอย่างทะนุถนอมประดุจว่าลูกนั้นเป็นพวงดอกไม้อันสวยงาม ค่อยๆอุ้มด้วยเกรงจะชอกช้ำ แนบไว้กับอก เดินทางอย่างกะปรกกะเปลี้ยเมื่ออ่อนเพลียจนอุ้มไม่ไหวแล้วก็ส่งลูกน้อยนั้นให้สามี
 โกตุหะลิกผู้เป็นบิดาซึ่งมิค่อยจะนำพาลูกน้อยเท่าใดนัก ก็รับเอามาอุ้มอย่างเสียไม่ได้อุ้มไปปากก็บ่นพึมพำตามประสาแห่งคนที่กำลังตกอยู่ในความหิวโหย
 "ไม่รู้จะเอาไปทำไมลูกจัญไรนี่คนเดียว จะพาให้ตายกันหมดโดยไม่รู้สึก นี่หากว่า ไม่มัวอุ้มเจ้านี่อยู่ป่านนี้ก็คงจะเกือบ ๆ ถึงเมืองโกสัมพีเข้าไปแล้วกระมังทิ้งเสียเถอะน่า"
 นางผู้เป็นมารดาก็หายอมไม่ เดินนำหน้าไปเรื่อย ๆบางครั้งบางคราวก็ต้องเสียเวลาหันหน้ากลับมาขึ้นเสียงกับสามีผู้จะทิ้งลูกอยู่ท่าเดียวเสียบ้างแล้วก็รีบเดินทางต่อไป ในขณะหนึ่ง ทารกซึ่งอ่อนเพลียเพราะความหิวโหยอยู่เป็นนิตย์ก็เลยล้มพับคาอยู่ในวงแขนแห่งบิดา กระทาชายนายโกตุหะลิก เห็นเป็นโอกาสเหมาะเพราะนางแม่ของเด็กนั้นเดินออกหน้าลับพุ่มไม้ไปไกลแล้ว ก็แวะออกนอกทางเอาลูกนั้นวางอยู่ข้างกอไม้แห่งหนึ่ง แล้วก็เดินทางต่อไปอย่างหน้าตาเฉยฝ่ายนางกาลีผู้ห่วงลูก เมื่อเห็นสามีเดินมาไม่ทันจึงหยุดรอพอเห็นเขาโผล่มาไม่เห็นลูกนางก็ตกใจจึงร้องถามไปว่า
 "ลูกหายไปไหนเล่า"
 "อ๋อ หลับสบายไปแล้วเราทิ้งไว้ที่กอไผ่โน่นแน่ะ" สามีตอบพลางชี้มือไปข้างหลัง
 นางกาลีก็ตีอกชกตัวตนเองร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้นว่า
 "ข้าแต่สามี!ท่านอย่าฆ่าเราเสียเลย เมื่อไม่เห็นลูกก็เห็นทีจะขาดใจตายลงไปในบัดนี้เป็นแน่"
 นายโกตุหะลิกเมื่อเห็นว่าภรรยามีอาการทำท่าว่าจะขาดใจตายไปเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกสงสารจึงหันกลับมายังกอไม้ที่ตนทิ้งลูกไว้ แล้วก็อุ้มเอามา แต่ปรากฏว่าทารกนั้นได้ตายเสียในระหว่างทางนั้นเอง สามีภรรยาทั้งสองเมื่อเห็นว่าลูกของตนตายก็จัดการฝัง แล้วเดินทางต่อไปอย่างเหนื่อยอ่อนนักหนาจนมาถึงบ้านแห่งนายโคปาลผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในเขตกรุงโกสัมพี
 ก็ในวันนั้นบ้านนายโคปาลเขาทำบุญงานมงคลและได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามารับอาหารบิณฑบาตเนื่องในงานมงคลนั้นด้วยองค์หนึ่งจึงได้ตระเตรียมข้าวปายาสและอาหารอันประณีตไว้มามายเป็นพิเศษเมื่อนายโคปาลเจ้าของบ้าน เห็นสองสามีภรรยา ซึ่งเดินทางมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรงจึงมีใจกรุณาถามขึ้นว่า
 "พ่อเอ๋ย ! แม่เอ๋ย !นี่แม่พากันมาจากไหนเล่านี่ ดูท่าทีเหน็ดเหนื่อยนักแวะขึ้นมาบนเรือนเรานี่ก่อนเถิด
 กระทาชายนายโกตุหะลิกผู้หิวโหยจึงเล่าความเป็นไปของตนให้ฟังแต่ต้น ซึ่งทำให้นายโคปาลเกิดความสงสารยิ่งนักจึงสั่งให้คนรับจัดแจงหาอาหาร มาให้คนทั้งสองบริโภค ๒ สำรับแต่พอสำรับถูกยกมาตั้งตรงหน้านางกาลีผู้เป็นภรรยาจึงบอกแก่สามีว่า
 "พี่เอ๋ย เมื่อพี่มีชีวิตอยู่น้องก็ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ได้ด้วย ฉะนั้น ขอให้พี่ผู้มีท้องพร่องมานานจงรับประทานให้พอแก่ความต้องการเถิด" กล่าวดังนี้แล้วก็เลื่อนสำรับอาหารอันเป็นส่วนของตน เข้าไปตรงหน้าใกล้ ๆ มือของสามีเพื่อที่จะให้เขาหยิบได้สะดวกส่วนตนเองก็ค่อยหยิบเอาอาหารแต่เพียงนิดหน่อยมาบริโภคเพื่อประทังหิวเท่านั้นทั้งนี้ ก็เพราะเป็นห่วงสามีของตนจะไม่อิ่ม
 ส่วนนายโกตุหะลิกผู้หูอื้อตาลาย ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ที่ภรรยาพูดมาเมื่อตะกี้นี้ก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ตั้งหน้าแต่บริโภคเอา ๆ ด้วยความหิว เพราะอดอาหารมาถึง ๗ วันเมื่ออาหารในสำรับอันเป็นส่วนแห่งตนหมดแล้วจึงเริ่มลงมือบริโภคอาหารในสำรับแห่งภรรยาต่อไปเมื่ออาหารเข้าไปแน่นในอุทรพอสมควรแล้ว จึงได้สติสัมปชัญญะเงยหน้าขึ้นดูรอบ ๆ ตัวเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงไว้ซึ่งผ้ากาสาวพัตร์ ซึ่งกำลังทำภัตกิจอยู่ ณอาสนะพิเศษ ก็หาได้สนใจอะไรไม่ แต่เมื่อส่ายสายตาเหลือบไปเห็นสุนัขตัวหนึ่งซึ่งนอนอยู่ใต้ตั่งกำลังกินก้อนข้าวปายาสที่นายโคปาลผู้เป็นเจ้าของยื่นให้กระทาชายผู้มีอนาคตจักได้เป็นสัตว์เดียรัจฉานก็ให้มีอันเกิดโมหะจิตคิดไปตามประสาคนชะตาร้ายว่า
 "โอ !สุนัขนี่มันมีบุญ มีบุญยิ่งกว่าเราผู้เป็นคนเสียอีก ดูรึไม่ต้องทำการงานสิ่งใดทั้งสิ้น พอถึงเวลากินแล้ว นอนอยู่เฉย ๆ ก็ได้กินชีวิตของมันช่างประเสริฐกว่าตัวเราเป็นไหนๆ"
 คิดไปตามอารมณ์ของคนหิวเพิ่งจะได้อาหารซึ่งเป็นความคิดที่ใช้การไม่ค่อยได้เช่นนี้ไปพลาง บริโภคอาหารไปพลางจนกระทั่งอิ่มแล้วก็เลยหลับไปในเพลาเย็น เมื่อนายโคปาลให้คนจัดอาหารมาให้อีกก็บริโภคจนอิ่มแปล้ตลอดคอหอยแทบจะจุก ส่วนจิตใจอันมากไปด้วยความฟุ้งซ่านก็นึกชมวาสนาบารมีสุนัขสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งนอนกินอาหารอยู่ใต้ตั่งข้างหน้าไปพลางเมื่อย่างเข้ายามรัตติกาล เพราะค่าที่ได้บริโภคอาหารเข้าไปมากเกินไปไม่สามารถที่จะให้อาหารนั้นย่อยได้ ก็เลยถึงแก่กรรมคือทำกาลกิริยาตายไปและในขณะที่จะขาดใจตายนั้น เพราะเหตุที่เกิดโมหะจิตมีความพิสมัยในสัตว์ติรัจฉานวิสัย จึงให้เกิดคตินิมิตเห็นเป็นภาพสุนัขนั้นมาลอยวนปรากฏชัดเจนในมโนทวาร จิตยึดหน่วงเอาคตินิมิตนั้นเป็นอารมณ์เมื่อตายลงก็ตรงไปเกิดในครรภ์แห่งนางสุนัขตัวที่ตนนึกชมวาสนาเมื่อตอนกลางวันนั่นเองและเมื่อนางสุนัขนั้นคลอดเขาออกมาแล้วเขา

 

ภูมิของสัตว์นรก


 ในมหาสีหนาทสูตรพระศาสดาตรัสว่า ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรกทางไปถึงนรก และปฏิปทาที่จะให้สัตว์เข้าถึงนรก อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินด้วยประการใดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
 ดูกรสารีบุตรเราย่อมกำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ว่า บุคคลปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้นและขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกโดยสมัยต่อมา เราเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน โดยส่วนเดียวด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
 ดูกรสารีบุตรเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกประมาณชั่วตัวคนเศษเต็มไปด้วยถ่านเพลิง ปราศจากเปลวปราศจากควัน ลำดับนั้น มีชายคนหนึ่งซึ่งมีสรีรกาย ถูกความร้อนแผดเผา ครอบงำเหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวกระหาย มุ่งหน้ามายังหลุมถ่านเพลิงนั่นแหละโดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีตาดีเห็นเขาเข้าแล้วย่อมมีใจกรุณากล่าวเตือนอย่างนี้ว่า
 "ดูกรพ่อผู้เจริญ ปฏิบัติอย่างนั้นดำเนินอย่างนั้น ขึ้นสู่หนทางนั้นจักไปหลุมถ่านเพลิงนั้นทีเดียวนะ"
 โดยสมัยหลังต่อมา บุรุษผู้มีตาดีนั้นย่อมเห็นเขาผู้ตกไปอยู่ในหลุมถ่านเพลิงนั้น เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว อุปมานี้ฉันใด
 ดูกรสารีบุตร เราตถาคต ก็เป็นเช่นเดียวกันคือ ย่อมกำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ว่า
 "บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้นดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงซึ่งอบาย ทุคติ วินิบาต นรก"
 โดยสมัยต่อมา เราตถาคตได้เห็นบุคคลนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน โดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
 นี่แหละ ท่านทั้งหลายคือพระบาลีที่ออกมาจากพระโอษฐ์ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ายังไม่เข้าใจดี ต้องพยายามอ่านทบทวนดูอีกทีแล้วจักเข้าใจดียิ่งขึ้นและจักได้รับความสว่างในปัญหาที่เราสงสัยกันมานานหนักหนาว่า "ที่ว่า นรก ๆ นั้น มีอยู่หรือไม่" ปัญหานี้ คงจะหมดไปจากความนึกคิดกันเสียทีเพราะได้รับการยืนยันจากพระพุทธฎีกาข้อนี้ซึ่งองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงมีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์วิเศษกว่าตามนุษย์ธรรมดาสามัญตรัสไว้ เมื่อพวกเราศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธวจนะสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระบวรพุทธศาสนา ดำรงฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่จักรับทราบเรื่องราวของนิรยภูมิ หรือโลกนรกต่อไปว่ามีอยู่เป็นประการใดบ้าง


 ประเภทนรก
 นิรยภูมิหรือโลกนรกนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วน ๆ เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิงสัตว์ผู้ไปเกิดอยู่ในโลกนรกนี้ ไม่มีความสุขแม้แต่สักนิดหนึ่งเลย เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงได้ชื่อว่า นิรยภูมิ โลกที่ไม่มีความสุขสบาย
 นิรยภูมินี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลนักหนา แบ่งเป็นเขตเป็นประเภทใหญ่ก็มี เล็กก็มีเช่นเดียวกับมนุษยโลกเรานี้ ผิดกันแต่ว่าสถานที่แต่ละแห่งในนิรยภูมินี้ไม่นิยมเรียกว่า "รัฐ" หรือ "ประเทศ" เช่นอย่างมนุษย์เราแต่นิยมเรียกสถานที่แต่ละแห่งในนิรยภูมินั้นว่า "ขุม"

 อุสสุทนรก
 อุสสุทนรกนี้ล้อมรอบเป็นบริวารมหานรกทั้ง ๘ มหานรกละ ๑๖ ขุม เพราะฉะนั้น อุสสุทนรกนี้จึงมีอยู่รวมด้วยกันทั้งหมดมากถึง ๑๒๘ ขุม คือ
 ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๑๖ขุม
 ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๑๖ ขุม
 ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก ๑๖ขุม
 ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม
 ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๑๖ขุม
 ล้อมรอบตาปนมหานรก ๑๖ ขุม
 ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๑๖ขุม
 ล้อมรอบเวจีมหานรก ๑๖ ขุม
 รวมเป็นอุสสุทนรก ๑๒๘ขุม
 เฉพาะในที่นี้ จักขอกล่าวถึงอุสสุทนรกเพียง ๔ ขุมซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารในทิศบูรพาของมหานรกขุมที่ ๑ คือสัญชีวมหานรกเท่านั้นเพราะอุสสุทนรกในทิศอื่น ๆ ก็ดี และที่ล้อมรอบเป็นบริวาร ในมหานรกขุมอื่น ๆ ก็ดีก็มีชื่อเหมือน ๆ กัน จะต่างกันก็แต่เพียงโทษหนักเบา อุสสุทนรกทั้ง ๔ที่ล้อมรอบเป็นบริวาร

 ยมโลกนรก
 สัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้เสวยทุกข์โทษในมหานรก และอุสสุทนรกดังกล่าวมาแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้นก็จำต้องไปเสวยกรรมในนรกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ยมโลกนรก"ก็ยมโลกนรกนี้ ตั้งอยู่ในสถานที่ต่อจากอุสสุทนรกไป เป็นนรกบริวารของมหานรกทั้ง ๘ขุม มหานรกแต่ละขุม มียมโลกนรกล้อมเป็นบริวาร อยู่ทิศเบื้องหน้า ๑๐ ขุมทิศเบื้องหลัง ๑๐ ขุม ทิศขวา ๑๐ ขุม ทิศซ้าย ๑๐ ขุม รวมทั้ง ๔ ทิศ ก็เป็น ๔๐ขุมพอดี ทีนี้มหานรกมีอยู่ ๘ ขุม ขุมหนึ่ง ๆ มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอก ๔๐ขุม จึงรวมเป็นยมโลกทั้งหมด ๓๒๐ ขุมพอดี เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆจะขอแยกยมโลกนรกออกให้ดูดังนี้
 ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๔๐ขุม
 ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๔๐ ขุม
 ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก ๔๐ขุม
 ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม
 ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๔๐ขุม
 ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม
 ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ขุม
 ล้อมรอบเวจีมหานรก ๔๐ ขุม
 รวมเป็นยมโลกทั้งหมด ๓๒๐ขุม
 ในที่นี้ จะขอกล่าวแต่เพียงยมโลกนรก ๑๐ ขุมซึ่งตั้งอยู่ล้อมรอบเป็นบริวารแห่งสัญชีวมหานรก เพียงทิศเดียวเท่านั้นเพราะว่ายมโลกนรกในทิศอื่น ๆ ก็ดี และยมโลกนรกที่ล้อมเป็นบริวารในมหานรกอื่น ๆ ก็ดีก็มีชื่อและมีการเสวยทุกข์โทษเหมือน ๆ กัน จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็เพียงแต่ว่ามีการเสวยทุกข์โทษหนักเบา ตามชั้นแห่งมหานรกนั้น ๆ เท่านั้น ฉะนั้นเมื่อทราบและเข้าใจได้เพียง ๑๐ ขุมในทิศเดียวก็เป็นอันทราบยมโลกในทิศอื่นและในชั้นอื่นทั้งหมด เพราะมีชื่อและมีลักษณะเหมือน ๆกัน ก็ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุม ที่จะกล่าวในที่นี่นั้น มีชื่อดังนี้คือ
 ๑.โลหกุมภีนรก
 ๒. สิมพลีนรก
 ๓. อสินขะนรก
 ๔.ตามโพทกนรก
 ๕. อโยคุฬะนรก
 ๖.ปิสสกปัพพตะนรก
 ๗. ธุสะนรก
 ๘. สีตโลสิตะนรก
 ๙.สุนขะนรก
 ๑๐. ยันตปาสาณนรก
 มีการขยายความในยมโลกนรกทั้ง ๑๐นี้ อย่างย่นย่อ ดังต่อไปนี้

  ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ขุม

 
พระบาลีเรื่องนรก
 มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ได้ประกอบอกุศลกรรมไว้มากจนตายไปเกิดเป็นสัตว์นรกในมหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่แล้วหากกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องเสวยผลกรรมชั่วในอุสสุทนรกซึ่งเป็นนรกบริวารชั้นในถึงแม้อย่างนี้หากกรรมไม่สิ้นก็ต้องเสวยทุกข์ในยมโลกนรกซึ่งเป็นนรกบริวารชั้นนอกต่อไปอีก ด้วยอำนาจแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้เป็นเครื่องชักนำไป ในกรณีแห่งการเสวยทุกข์ในนรกนี้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายถึงพิจารณาดูได้จากพระบาลีเทวทูตสูตรซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพระมหากรุณาตรัสไว้โดยใจความว่า
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย !เหล่านายนิรยบาลจะให้สัตว์เหล่านั้นถูกจองจำด้วยเครื่องจองจำ ๕ ประการคือ
 ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่๑
 ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่๒
 ตรึงตะปูเหล็กแดงที่เท้าข้างที่๑
 ตรึงตะปูเหล็กแดงที่เท้าข้างที่๒
 ตรึงตะปูเหล็กแดงที่ทรวงอกตรงกลาง
 สัตว์นรกเหล่านั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นสุด

โลกันตนรก


 โลกันตนรกนี้เป็นนรกขุมพิเศษ ขุมใหญ่ แปลกประหลาดกว่าบรรดานรกทั้งหลาย เพราะอยู่นอกจักรวาลสถานที่ตั้งของนรกขุมนี้ อยู่ในระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลกถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอก เอามาตั้งชิดกันเข้าก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลาง จักรวาลต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ๓ ดอกนั้น ทีนี้ ตรงช่องว่างนั่นแหละ เป็นสถานที่ตั้งแห่งโลกันตนรกซึ่งแปลว่านรกอันอยู่สุดโลกจักรวาล
 ก็ในโลกันตนรกนั้นมีความมืดมนยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่มืดมนอนธการสามารถห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานดังคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น ที่มืดเช่นนี้ ก็เพราะอยู่นอกจักรวาลพ้นจากโลกสวรรค์โลกมนุษย์ และโลกนรกออกไป
 สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันตนรกนี้มีร่างกายใหญ่โตยิ่งนัก มีเล็บมือเท้ายาวนักหนาต้องใช้เล็บมือเล็บเท้าเกาะอยู่ตามชายเชิงจักรวาลห้อยโหน โยนตัวอยู่ชั่วนิรันดร์เปรียบปานดังกับค้างคาว ห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ฉะนั้นครั้นได้ประสบการณ์ทรมานอย่างแสนสาหัสเช่นนี้เขาก็ได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า
 "ทำไม ตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จะมีแต่ตูผู้เดียวดอกกระมัง"
 ที่เขารำพึงออกมาเช่นนี้ เพราะว่ามันเป็นสภาพที่มืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์โลกันตนรกด้วยกันหรือมองไม่เห็นอะไรนั่นเอง ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกเหล่านั้นไม่ต้องทำอะไรแต่จะห้อยโหยโยนตัวเปะปะไป ด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องมือของกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าพบอาหาร จึงต่างดีใจมีกิริยาขวนขวายคว้าฉวยจับกุมกัน ต่างคนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหารเมื่อต่างก็ปล้ำฟัดกันอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้า ก็เผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่เลยพากันพลัดตกลงไปข้างล่าง

 มีเรื่องที่ควรทราบที่จะกล่าวแทรกไว้ในที่นี้ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราท่านทั้งหลาย ได้ทรงพระมหากรุณาโปรดประทานพระพุทธฎีกาไว้ว่า รุปฺปติ โขภิกฺขเว เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
 "ดูกรภิกษุทั้งหลาย !ที่ชื่อว่า "รูป" เพราะอรรถว่าเป็นสิ่งที่จะต้องสลายฉิบหายไป เพราะความเย็นบ้างเพราะความร้อนบ้าง" ดังนี้เป็นต้น
 จึงมีปัญหาว่า ที่ว่ารูปต้องสลายฉิบหายไป เพราะความหนาวนั้นอย่างไรกันก็รูปของสัตว์ที่เกิดในโลกันตนรกนี่เอง ที่จะต้องแตกสลายฉิบหายไปเพราะความเย็นที่จะไม่แตกสลายไปเพราะความเย็นได้อย่างไรเล่า เพราะโลกันตนรกนี้เป็นนรกน้ำกรดเย็นโดยแท้ เพราะมีภาวะเย็นยะเยือกยิ่งนัก เมื่อสัตว์นรกโลกันต์ซึ่งใช้เล็บมือเล็บเท้าอันยาว เกี่ยวเกาะเชิงเขา จักรวาลห้อยอยู่ประดุจค้างคาวมีศรีษะห้อยอยู่ลงในเบื้องต่ำ แล้วก็ปล้ำฟัดกันด้วยสำคัญว่า เป็นอาหารพลัดตกลงมาในน้ำกระเย็นเบื้องล่าง พอรูปกายถูกน้ำกรดเย็นอย่างนี้แล้วจะไปเหลืออะไรก็มีแต่จะเปื่อยพังสลายไปด้วยความเย็น เพราะน้ำกรดอันเย็นเหลือประมาณนั่นเองนี่แหละคือสภาพแห่งโลกันตนรก

จำนวนนรก
 บรรดานรกทั้งหลายที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ที่ได้ติดตามมาตั้งแต่ต้นก็คงจะรู้สึกว่ามีจำนวนมากมายนักหนา ยากแก่

การที่จะจดจำไว้ได้ ฉะนั้นในที่นี้จึงจะนำมากล่าวซ้ำไว้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้จำกันได้ง่าย ๆ ว่านรกนั้นมีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน ๔๕๗ ขุมคือ
 ๑. มหานรก ๘ขุม
 ๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ขุม
 ๓. ยมโลกนรก ๓๒๐ขุม
 ๔. โลกันตนรก ๑ขุม
 จึงรวมเป็นทั้งหมด ๔๕๗ขุม
 เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในนรกเหล่านี้ทั้งหมดต้องเสวยทุกข์ความทรมานอย่างแสนสาหัสตลอดเวลา แต่จะเป็นเวลานานเท่าใดจึงจะพ้นจากนรกเหล่านี้นั้นไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะมันขึ้นอยู่แก่บาปกรรมที่ทำไว้โดยประมาณ คือหมายความว่าถ้าทำบาปกรรมไว้มากก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกหลายขุม เช่น พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปเสวยกรรมในอุสสุทนรก ยมโลกนรก เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นกรรมบางทีตกนรกที่ขุมเป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกมหานรกก็มี สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อนบางทีถ้าทำบาปไว้มากต้องตกนรกดะเรื่อยไป ผ่านมหานรกทั้ง ๘ ขุมก็มีถ้าทำบาปกรรมไว้น้อย ก็เพียงมาตกนรกเท่านั้นไม่นานนักกุศลกรรมที่ตนทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลนั้น ขึ้นมา ก็เปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรกไปอุบัติเกิดในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม แต่จะอย่างไรก็ตามในขณะที่เป็นสัตว์อยู่ในนรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนรกขุมไหนทั้งสิ้นก็ย่อมจะได้เสวยทุกข์อันร้ายกาจหยาบช้า ไม่รับการทรมานอย่างแสนสาหัสเมื่อพูดถึงทุกข์ในนรกนี้แล้ว ผู้ที่มีความคิดอันมิค่อยจะผ่องแผ้วอาจจะนึกเดาเอาเองว่าคงมีความทุกข์ไม่เท่าไร แต่ความจริงไม่ใช่เพราะว่าทุกข์ในนรกนั้น เป็นสภาพที่น่าเกรงขามนักหนา ในกรณีนี้พึงทราบจากพระพุทธฎีกา ที่ปรากฏมีในพาลบัณฑิตสูตร

 

                                                                       บาปที่ทำให้ตกนรก


 การที่มนุษย์ทั้งหลายจะมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์นรก ต้องเสวยทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสในขุมนรกทั้งหลายนั้นใช่ว่าอยู่ ๆ แล้ว จะไปเกิดเอง โดยมิได้อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเลยนั้นก็หามิได้โดยที่แท้ การที่มนุษย์ทั้งหลาย จะต้องกลายเป็นสัตว์นรก หลังจากที่ได้ตายไปแล้วก็เพราะมีเหตุปัจจัย ก็เหตุปัจจัยหรือปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ไปถึงนรกนี้ได้แก่อกุศลกรรม คือการกระทำที่ชั่วช้าเลวทรามทุกชนิด อกุศลกรรมนี้แลเป็นเหตุปัจจัย เป็นปฏิปทาให้ถึงนรก เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ถ้าหากว่าคนใดประกอบอกุศลกรรม ยินดีในอกุศลกรรม ถูกอกุศลกรรมนำไปดำเนินชีวิตของตนไป ตามทางแห่งอกุศลกรรม ก็เท่ากับว่ามนุษย์นั้นกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปสู่นรกแล้ว
 เพื่อความเข้าใจดีในเรื่องของ "อกุศลกรรม" ซึ่งเป็นทางนำไปสู่นรกบัดนี้จักขอยกเอาพระบาลีในสาเลยยกสูตรมา ให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้พิจารณาและรับทราบไว้ ดังต่อไปนี้
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย !ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือความประพฤติไม่เป็นธรรม
 ทางกายมี ๓อย่าง
 ทางวาจามี ๔ อย่าง
 ทางใจมี ๓อย่าง
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ! ความประพฤติไม่เรียบร้อยคือความประพฤติไม่เป็นธรรมทางกาย ๓ อย่างนั้น เป็นไฉน
 ๑.บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ คือเป็นผู้เหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือดพอใจในการประหารและการฆ่า ไม่มีความละอายไม่ถึงความปรานีเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง
 ๒.เป็นผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้คือลักทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือที่อยู่ในป่า ที่เจ้าของเขามิได้ให้ซึ่งเป็นอาการของขโมย
 ๓. เป็นผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือถึงความสมสู่กับพวกหญิงที่มารดาปกครอง ที่บิดาปกครอง ที่มารดาและบิดาปกครองที่พี่ชายปกครอง ที่พี่สาวปกครอง ที่มีสามี ที่อิสรชนหวงห้ามที่สุดแม้หญิงที่เขาคล้องแล้วด้วยพวงมาลัยคือหญิงที่เขาหมั้นไว้
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย !ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือความประพฤติไม่เป็นธรรมทางกาย ๓ อย่างเป็นอย่างนี้แล
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย !ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือความประพฤติไม่เป็นธรรมทางวาจา ๔ อย่างเป็นไฉน
 ๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวเท็จคือไปในที่ประชุมหรือไปในหมู่ชน หรือไปในท่ามกลางญาติ หรือไปในท่ามกลางขุนนางหรือไปในท่ามกลางราชตระกูล หรือถูกนำไปเป็นพยานเมื่อถูกถามว่า
 "แน่ะท่านผู้เจริญ ! เชิญเถิด ท่านรู้เรื่องใดก็จงบอกเรื่องนั้น"
 เมื่อเขาไม่รู้ก็บอกว่ารู้บ้างเมื่อเขารู้ก็บอกว่าไม่รู้บ้าง เมื่อเขาไม่เห็นก็บอกว่าเห็นบ้างเมื่อเขาเห็นก็บอกว่าไม่เห็นบ้าง เป็นผู้กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เพราะเหตุแห่งตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้างเพราะเหตุเห็นแก่สิ่งของเล็กน้อยบ้าง
 ๒. เป็นผู้ส่อเสียดคือได้ฟังข้างนี้แล้ว นำไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายพวกข้างนี้บ้างหรือฟังข้างโน้นแล้ว นำไปบอกข้างนี้ เพื่อทำลายพวกโน้นบ้างยุพวกที่พร้อมเพียงกันให้แตกกันบ้าง ส่งเสริมพวกที่แตกกันแล้วบ้างชอบใจในคนที่แตกกันเป็นพวก ยินดีในความแตกกันเป็นพวกและกล่าววาจาที่ทำให้แตกกันเป็นพวก
 ๓. เป็นผู้มีวาจาหยาบคือกล่าววาจาหยาบที่เป็นโทษ อันเผ็ดร้อนแก่ผู้อื่น อันขัดใจผู้อื่นอันใกล้ต่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบจิต
 ๔.เป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อ คือพูดในเวลาไม่ควรพูด พูดเรื่องที่ไม่เป็นจริงพูดไม่เป็นประโยชน์ พูดไม่เป็นธรรม พูดไม่เป็นวินัย กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งไม่มีหลักฐานที่อ้าง ไม่มีที่สุด ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ในกาลไม่สมควร
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ! ความประพฤติไม่เรียบร้อยคือความประพฤติไม่เป็นธรรมทางวาจา ๔ อย่างเป็นอย่างนี้แล
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย !ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือความประพฤติไม่เป็นธรรมทางใจ ๓ อย่างนั้นเป็นไฉน
 ๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความละโมบคือเพ่งเล็งทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า "ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด" ดังนี้
 ๒. เป็นผู้มีจิตพยาบาทคือมีความดำริในใจอันชั่วช้า " ขอสัตว์เหล่านี้ จงถูกฆ่าบ้าง จงถูกทำลายบ้างจงขาดสูญบ้าง จงอย่าได้มีแล้วบ้าง" ดังนี้
 ๓. เป็นผู้มีความเห็นผิดคือมีความเห็นวิปริตว่า
 "ผลแห่งมีความเห็นผิด ผลแห่งการบูชาไม่มีผลแห่งการเซ่นสรวงไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีบิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะ ผู้ผุดเกิดไม่มีสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ผู้ปฏิบัติชอบผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ไม่มีอยู่ในโลก" ดังนี้
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย !ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความประพฤติไม่เป็นธรรมทางใจ ๓ อย่างเป็นอย่างนี้แล
 ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ! สัตว์บางพวกในโลกนี้เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกเพราะเหตุประพฤติไม่เรียบร้อย คือประพฤติไม่เป็นธรรมอย่างนี้แล
 เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสฉะนี้แล้วพวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละต่างพากันกราบทูลพระองค์ว่า
 "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนักพระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดบอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยจงใจว่า "คนมีจักษุจักเห็นรูปได้"ดังนี้ พวกข้าพระบาททั้งหลายเหล่านี้ ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมผู้เจริญจงจำพวกข้าพระบาทว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป" ด้วยประการฉะนี้แล

อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ข้อ ๔๗๒ หน้า ๓๑๔บาลีฉบับสยามรัฐอุปริปัณณาสก์ มัฌิมนิกาย ข้อ ๔๗๒ หน้า ๓๑๔บาลีฉบับสยามรัฐสาเลลยยกสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ข้อ ๔๘๓หน้า ๕๑๙ บาลีฉบับสยามรัฐ

ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ขุม


 ๑.โลหกุมภีนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๑ มีชื่อว่าโลหกุมภีกในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขาเต็มไปด้วยน้ำแสบน้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งอยู่บนเตาไฟใหญ่นายนิรยบาลร่างกายใหญ่โต จับสัตว์ผู้พลัดมาอยู่ที่นี่เพราะมีบาปนั้นที่ข้อเท้าเอาหัวคว่ำลงแล้วหย่อนทิ้งลงไปในหม้อเหล็กนรกนั่นเสียงดังซ่าใหญ่ สัตว์นรกทั้งหลายเมื่อถูกลงโทษเช่นนั้น ก็ได้รับความทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อนเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวอยู่ในหม้อเหล็กนรกนั่นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้กระทำมา
 บางทีนายนิรยบาลก็เอาเชือกเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟ ไล่กระหวัดรัดคอ และบิดจนกระทั่งคอขาดออกจากตัวและก็เอาศีรษะที่ขาดนั้นลงทอดในหม้อเหล็กแดง ให้ได้รับทุกขเวทนาทั้งกายทั้งศีรษะแต่ก็หาได้ตายลงไปไม่ สัตว์นรกหัวด้วนอยู่บัดเดี๋ยวใจ แล้วก็เกิดหัวใหม่ขึ้นมาแทนนายนิรยบาล ก็เอาเชือกเหล็กซึ่งลุกเป็นเปลวไฟอันเก่านั่นแหละกระหวัดรัดคอบิดให้ขาดแล้วก็เอาลงทอดในหม้อนรกนั่นอีก ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายคาบ นับเป็นหมื่น ๆ ปีจนกว่าจะสิ้นโทษพ้นเวรกรรมที่ทำมา
 กรรมที่นำมาให้เสวยทุกข์โทษนรกขุมนี้ก็ได้แก่ปาณาติบาตกรรมคือทากรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เช่นจับเอาสัตว์เป็น ๆ มาใส่ลงในหม้อน้ำร้อน ๆ ให้ตายแล้วเอามากินเป็นอาหาร หรือมิฉะนั้น ก็ทำกรรมชั่วหยาบอื่น ๆควรจะเสวยทุกข์ในมหานรกแล้ว แต่ภายหลังกลับสำนึกตน พยายามประกอบกองการกุศลบาปกรรมที่ติดอยู่ในจิตค่อยคลายลงจึงต้องรับโทษเพียงตกมาเกิดในโลหกุมภีนรกนี้

 ๒. สิมพลีนรก
 ยมโลกขุมที่ ๒มีชื่อว่าสิมพลีนรก ในนรกขุมนี้ ปรากฏเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นงิ้วนรกทั้งหลายต้นงิ้วแต่ละต้น มีหนามเหล็กคมเป็นกรด ยาวประมาน ๑๖ องคุลีลุกเป็นเปลวไฟอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีวันที่จะดับไปเลย แม้สักชั่วเวลาระยะหนึ่งในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยสัตว์นรกหญิงและสัตว์นรกชายก้มหน้าก้มตาเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสนักหนา บางเวลาสัตว์นรกหญิงขึ้นไปคอยอยู่บนต้นงิ้วก่อน สัตว์นรกชายอยู่ใต้ต้นแหงนขึ้นไปเห็นหนามงิ้วอันแหลมยาวน่าสพึงกลัว ก็ไม่กล้าขึ้นไป นายนิรยบาลทั้งหลายก็เงือดเงื้ออาวุธหอก ดาบ แหลน หลาว พลางขู่ตะคอกบังคับให้ขึ้นไปด้วยอำนาจแห่งความกลัว เขาก็ต้องจำใจป่ายปีนต้นงิ้ว ต้องก้มหน้าฝ่าหนามงิ้วเลือดสาดท่วมกายา ครั้นขึ้นช้า นายนิรยบาลก็เอาหอกแทงเข้าที่ขาที่ตีนบ้างอาด้ามหอกนรกตีที่ศีรษะบ้างปากก็เร่งร้องบังคับขับไสให้ขึ้นไปหาสัตว์นรกหญิงนั้นเร็ว ๆเขาก็ต้องก้มหน้าปีนหนามงิ้วขึ้นไปทีละน้อย หนามงิ้วอันแหลมคมก็ยิ่งบาดตัวเขาขาดทะลุ มิหนำซ้ำยังร้อนรนสุดจะทนทานเพราะว่าหนามนั้นลุกแดงเป็นเปลวไฟ ครั้นสุดจะอดทนหนักเข้าเขาก็บ่ายศีรษะทำท่าจะลงมา นายนิรยบาลเห็นดังนั้น ก็เอาหอกแทงซ้ำกระหน่ำไม่เลือกที่แล้วร้องว่า
 "สูมึง จงเร่งขึ้นไปหายอดชู้อันอยู่บนปลายงิ้วโพ้นจะกลับลงมาไยเล่า"
 เขาอดทนความเจ็บปวดมิได้จึงอ้าปากพูดวิงวอนกับนายนิรยบาลนั้นว่า
 "ข้าพเจ้าได้รับความเจ็บปวดนักหนาขึ้นไปมิได้ ขอลงไปพักสักครู่มิได้ฤๅ"
 วิงวอนอยู่ฉะนี้นายนิรยบาลจะได้ฟังวาทีของเขาก็หามิได้ กลับโหมกำลังตีแทงกระหน่ำซ้ำลงไปอีกสัตว์นรกนั้น ก็ต้องจำใจไต่ปีนขึ้นไปบนปลายต้นงิ้วนั้น ทั้ง ๆที่เจ็บปวดนักหนาปิ่มว่าจะขาดใจตาย ครั้นขึ้นไปถึงปลายงิ้วเล่าก็แลเห็นสัตว์นรกหญิงนั้น กลับลงมาอยู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์
 นายนิรยบาลทั้งหลาย ก็เงือดเงื้อศัสตราอาวุธบังคับให้สัตว์นรกหญิงนั้น ปีนขั้นไปหาสัตว์นรกชาย ผู้เป็นยอดชู้อยู่เบื้องบนครั้นทำรีรอไม่กล้าขึ้น นายนิรยบาลก็ทุบตีกระหน่ำแทงด้วยแหลน หลาว ขับไสให้ขึ้นไปทั้ง ๆ ที่เลือดสาดท่วมตัว ได้รับความเจ็บปวดเสวยทุกขเวทนาเป็นที่สุดครั้นพอขึ้นไปถึง ก็กลับเห็นสัตว์นรกชายลงมาอยู่เบื้องล่างอีก แต่เขาทั้งสองได้แต่เฝ้าเวียนขึ้นเวียนลง หากันด้วยความลำบากอยู่อย่างนี้ที่จะได้อยู่ด้วยกันสักเพลานิดหนึ่งเป็นไม่มีเลย นับเป็นเวลานานนักหนาจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
 สัตว์นรกบางตนบางพวกขณะที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้น นอกจากจะถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงด้วยหอก แหลนหลาว ก็ยังมีแร้งกานรกอันมีปากเป็นเหล็ก คอยจิกทึ้งอวัยวะน้อยใหญ่กันเป็นภักษาหารให้ได้รับความทุกข์ทรมานหนักยิ่งขึ้นครั้นลงมาข้างล่างก็ต้องถูกสุนัขนรกตัวใหญ่มหึมา พากันมาเป็นฝูง ๆแล้วรุมกันแย่งกัดกินเนื้อสัตว์นรกนั้น เป็นการช่วยนายนิรยบาลลงโทษอีกแรงหนึ่งต้องได้รับทุกข์อันแสนาหัสอยู่อย่างนี้นับเดือนปีได้นานนักหนา
 ที่ต้องมาเกิดในสิมพลีนรกนี้ก็เพราะว่าเมื่อเขาเป็นมนุษย์ ได้ประพฤติล่วงกาเมสุมิจฉาจารคือคบชู้สู่สาวผิดศีลธรรมประเพณี เป็นชายประพฤติเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่นเป็นหญิงประพฤติเป็นชู้กับสามีของผู้อื่น หรือเป็นหญิงมีสามีอยู่แต่ยังมักมากในกามคุณ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาทตน ไม่เกรงต่อบาปกรรมประพฤติอสัทธรรมด้วยการคบชู้ หรือเป็นชายมีภรรยาอยู่ แต่เป็นผู้หลงใหลตามใจตนเป็นคนไม่มีหิริโอตตัปปะ ประพฤติตนนอกใจภรรยา ไปสู่หาเป็นชู้กับหญิงอื่นดังนี้เป็นต้น ครั้นแตกกายทำลายตนแล้ว จึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาอยู่ในสิมพลีนรกนี้จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

 ๓.อสินขะนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๓ มีนามว่าอสินขะนรกเหล่าสัตว์ที่อยู่ในนรกขุมนี้ มีรูปร่างพิกล เล็บมือเล็บเท้าของตนซึ่งแหลมยาวกลับกลายเป็นอาวุธ เป็นหอก เป็นดาบ เป็นจอบ เป็นเสียมอันคมกล้าเสวยทุกขเวทนาประหนึ่งคนบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืนเอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นภักษาหารเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน
 สัตว์นรกเหล่านี้เมื่อครั้งเขาเป็นมนุษย์มีใจเป็นพาล กระทำอทินนาทาน ชอบลักเล็กขโมยน้อยลักขโมยของในสถานที่สาธารณะ ของที่เขาถวายแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือลักขโมยของใช้เช่น เสื้อผ้า อาหาร เป็นต้นตนตายแล้วจึงต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้

 ๔. ตามโพทกนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๔มีชื่อว่าตามโพทกนรก ในนรกขุมนี้ หม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงอยู่มากมายมีน้ำทองแดงกำลังเดือดพลุ่งอยู่เสมอพร้อมกับมีก้อนกรวดก้อนหินปะปนอยู่ด้วยในหม้อเหล็กนั้นทุก ๆ หม้อสัตว์บาปเหล่าใดมาตกอยู่ในนรกขุมนี้ นายนิรยบาลก็จับสัตว์เหล่านั้นให้นอนหงายเหนือแผ่นเหล็กอันรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ แล้วเอาน้ำทองแดงพร้อมทั้งก้อนกรวดก้อนหินซึ่งกำลังเดือดพล่านในหม้อนรกนั้น กรอกเข้าไปในปาก น้ำนั้นตกไปถึงไหน เช่น ถึงปากคอ ท้อง เป็นต้น อวัยวะส่วนนั้น ๆ ก็แตกเปื่อยพังทลายแล้วก็กลับเกิดกลับเป็นขึ้นมาอีก นายนิรยบาลก็เอาน้ำนรกนั่นกรอกเข้าไปอีกต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้นานนักหนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
 การที่สัตว์นรกมาเสวยทุกขโทษอันน่ากลัวเห็นปานนี้ก็เพราะในชาติก่อนเขาป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาท ดื่มกินซึ่งสุราเมรัยแสดงอาการคล้ายกับคนบ้า วิกลจริตเป็นนิจศีล จึงต้องมาดื่มกินน้ำทองแดงพร้อมกับก้อนกรวดก้อนหิน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส

 ๕. อโยคุฬะนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๕มีชื่อว่าอโยคุฬะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมดไม่ว่าจะมองไปทางไหน มีแต่ก้อนเหล็กแดง ลุกเป็นไฟไปทั้งนั้น เหล่าสัตว์นรกทั้งหลายล้วนแต่มีความหิวโหยทั้งสิ้น ครั้นเห็นก้อนเหล็กแดงก็ดีเนื้อดีใจเพราะอกุศลบันดาลให้สัตว์นรกเหล่านั้นตาลาย เห็นก้อนเหล็กแดงกลายเป็นโภชนาหารไปจึงรีบวิ่งเข้าไปยื้อแย่งกันกิน พอเคี้ยวกลืนเข้าไปแล้วโภชนาหารที่เขาเข้าใจนั้นก็กลับกลายเป็นก้อนเหล็กแดงอันเรืองฤทธิ์ไหม้ไส้พุงให้ขาดกระจัดกระจายเรี่ยรายออกมา ให้สัตว์นรกเหล่านั้นได้รับทุกขเวทนาเอามือกุมท้องร้องไห้ร้องครวญครางโอดโอยอยู่ ด้วยความเจ็บปวดเหลือที่จะพรรณนา
 การที่เขาจะมาเป็นสัตว์นรกที่นี่ ก็เพราะว่าในชาติก่อนเขาเหล่านั้นมีโลภเจตนาหนาแน่น แสดงตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศลเที่ยวป่าวร้องเรี่ยไรเอาทรัพย์ของเขามาว่า จะทำการกุศลสาธารณประโยชน์ครั้นได้ทรัพย์มาแล้ว ก็ยักยอกใช้สอยตามสะดวกสบายของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ บางทีก็ไม่ทำเลย หลอกลวงคนอื่นได้ด้วยเล่ห์นึกว่าตนเป็นคนฉลาด เลยต้องพลาดท่าเสียทีมาตากนรกนี้ กินก้อนเหล็กทองแดงด้วยความหลงผิดคิดว่า เป็นโภชนาหารอยู่วันแล้ววันล่า ด้วยความหิวโหยสุดประมาณเป็นอย่างนี้ไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้

 ๖.ปิสสกปัพพตะนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๖ มีชื่อว่าปิสสกปัพพตะนรกในนรกขุมนี้ มีภูเขานรกใหญ่ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เป็นภูเขาเคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อนกลิ้งบดสัตว์นรกทั้งหลาย ที่มาเกิดในที่นี่ให้บี้แบนกระดูกแต่ป่นละเอียดถึงแก่ความตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น
 ที่ต้องมาทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกขุมนี้ก็เพราะในชาติก่อน สัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น เคยเป็นนายบ้าน นายอำเภอเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง แต่ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎรทำให้ประชาชนพลเมืองเดือดร้อน เช่นทุบตีเขาเอาทรัพย์เขามาให้เกิดพิกัดอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลายครั้นตายลง จึงตรงมาเกิดในนรกขขุมนี้ ถูกภูเขาเหล็กนรกบดขยี้ร่างกายให้แตกทำลายต้องตายแล้วเป็น ซ้ำ ๆ ซาก ๆอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม

 ๗.ธุสะนรก
 ยมโลกนรกข

 

๗.ธุสะนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๗ มีชื่อว่าธุสะนรกสัตว์ที่มาเกิดในนรกขุมนี้ ล้วนแต่มีความหิวกระหายน้ำทั้งสิ้นวิ่งวุ่นกระเสือกกระสนไปทั่วทั้งนรก ครานั้น ก็ปรากฏมีสระเต็มไปด้วยน้ำใสเย็นสะอาดสัตว์นรกทั้งหลายเห็นเข้า ต่างก็ดีเนื้อดีใจ วิ่งถึงแล้วกระโดดลงเพื่อจะกินจะอาบแต่พอได้กินดื่มเข้าไป ด้วยอำนาจกรรมบันดาลพอน้ำนั้นตกถึงท้องก็กลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบลุกเป็นเปลวไฟแล้วไหม้ไส้ใหญ่น้อยตับปอดเครื่องในอวัยวะเหล่านั้น ก็ไหลออกมาทางทวารเบื้องล่างให้ได้รับความเจ็บปวดเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
 ที่ต้องมาเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ก็เพราะว่าในชาติก่อนครั้งที่เป็นมนุษย์เขาเป็นคนคดโกง ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นพานิชพ่อค้า แม่ค้า มีโลภเจตนาหนาแน่นในดวงจิต เอาของชั่วปนของดีเอาของแท้ปนของเทียม แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์มาโดยมิชอบ เช่นนี้เป็นต้นครั้นแตกกายทำลายตน จึงต้องมาทนทุกข์ในนรกขุมนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม

 ๘.สีตโลกสิตะนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๘ มีชื่อว่าสีตโลสิตะนรกในนรกขุมนี้ มีน้ำเย็นยะเยือกยิ่งกว่าความเย็นทั้งหลายเมื่อสัตว์นรกทั้งหลายตกลงไปก็ต้องตายด้วยความเย็น ด้วยอำนาจอกุศลกรรมก็ทำให้กลับเป็นขึ้นมาอีก แล้วก็พากันคลานขึ้นมาข้างบนเพื่อจะให้พ้นจากความเย็นอันจับขั้วหัวใจนั้น แต่นายนิรยบาลทั้งหลายก็พากันจับสัตว์นรกเหล่านั้น โยนลงไปในน้ำเย็นดังเก่า พอตกลงไปถึงน้ำเย็นก็ถูกความเย็นเบียดเบียนทรมาน เอาจนถึงตาย แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาอีก ตาย ๆ เป็น ๆอยู่อย่างนี้ตลอดกาลนานได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งนัก
 ที่ต้องมาเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ก็เพราะว่าในชาติก่อน เมื่อครั้งที่เขายังเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์เป็นคนใจบาปหยาบช้า ไม่มีเมตตา กรุณาในสันดาน เป็นคนใจพาลประกอบอกุศลกรรมเช่นจับสัตว์เป็น ๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์ทิ้งน้ำ ให้น้ำตายทำเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ให้ได้รับความทุกข์ ตายเพราะน้ำดังนี้เป็นต้นตนตายแล้วจึงต้องมาเสวยกรรมอยู่ในนรกขุมนี้

 ๙. สุนขะนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๙มีชื่อว่าสุนขะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยสุนัขนรกทั้งหลาย มีอยู่มากมายหลายฝูงแต่เพื่อจะจำแนกสุนัขหรือหมานรกเหล่านั้นก็มีอยู่ ๕จำพวกด้วยกันคือ
 ๑. หมานรกดำ
 ๒.หมานรกขาว
 ๓. หมานรกเหลือง
 ๔.หมานรกแดง
 ๕. หมานรกด่าง
 บรรดาหมานรกทั้ง ๕จำพวกนี้ มีรูปร่างใหญ่โต แลดูน่าเกรงกลัวเป็นนักหนา ส่งเสียงเห่าหอนดังฟ้าลั่นฟ้าร้องก้องทั่วนรกไปหมด บาปที่มาอุบัติเกิดในนรกขุมนี้ย่อมถูกหมานรกไล่ขบกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างเว้นย่อมเป็นผู้เข้าถึงภาวะเป็นดุจเนื้อในป่าถูกหมาไล่เนื้อของนายพรานตามล่าอยู่เสมอฉะนั้น
 นอกจากจะมีหมานรกดังกล่าวมาแล้วในนรกขุมนี้ ยังปรากฏมีฝูงแร้งและฝูงกาอีกมากมายหลายฝูง แร้งการนรกเหล่านั้นมันมีลักษณะแปลกประหลาด คือที่ปากและที่ตีนของมัน มีสภาพเป็นเหล็กลุกแดงเป็นเปลวไฟแลดูน่าเกรงขามเป็นที่ยิ่ง เมื่อมันเห็นสัตว์นรกทั้งหลาย ก็พากันบินมาจิกตรงลูกตาและแหกหัวอกแห่งสัตว์นรกทั้งหลาย ให้แตกทำลายกระจุยกระจายแล้วเคี้ยวกินกรรมยังไม่สิ้นตราบใดสัตว์นรกก็ต้องเกิดมาใหม่ให้สัตว์ร้ายเหี้ยมโหดดุร้ายในนรกทั้งหลาย ทั้งแร้งและกาและหมาหมู่มันกัดเอาตามใจชอบจนกว่าจะสิ้นกรรม
 ที่ต้องมาทนทุกข์ในนรกขุมนี้เพราะชาติก่อน เขาเป็นคนปากกล้าสามานย์ โฉดเขลาเป็นพาลไม่ประมาณวาจาด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่ แม้ผู้ทรงศีลทรงธรรมเช่นสมณะพราหมณ์พระภิกษุสามเณรไม่เลือก ด่าว่าเอาตามชอบใจของตนด้วยผลทุจริตอันหยาบช้า จึงบันดาลให้มาเกิดในนรกขุมนี้ต้องเสวยทุกขเวทนาถูกแร้งกาและหมานรกกัดกินจนกว่าจะสิ้นกรรม

 ๑๐.ยันตปาสาณนรก
 ยมโลกนรกขุมที่ ๑๐ ซึ่งเป็นขุมสุดท้ายมีชื่อว่ายันตปาสาณนรก ในนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามีภูเขา ๒ เขา แต่เป็นเขานรกแปลกประหลาดคือเป็นภูเขายนต์หันกระทบกันเสมอเป็นจังหวะไป ไม่ขาดระยะ พอสัตว์มาเกิดในนรกนี้แล้วนายนิรยบาล ก็จับศีรษะสัตว์นรกทั้งหลายโยนใส่เข้าไปในระหว่างภูเขายนต์ทั้ง ๒ครั้นภูเขานรกทั้ง ๒ ลูกนั้นกระทบกันแล้วจะเป็นอย่างไร ถูกแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายจะเหลือเป็นปรกติดีอยู่ได้อย่างไร โดยที่แท้ ศีรษะสัตว์นรกเหล่านั้น จะแตกละเอียดตลอดจนเนื้อหนังและกระดูกก็บี้แบนป่นปี้ เลือดไหลโทรม ถ้าจะเปรียบภูเขานรกนั่นก็เปรียบเหมือนกับหีบอ้อยยนต์ ที่หนีบอ้อยสดให้น้ำอ้อยไหลออกมาฉะนั้นสัตว์นรกเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องได้รับทุกขเวทนาเหลือที่จะทนได้ให้มีอันเจ็บปวดดิ้นรน ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา ให้นายนิรยบาลจับโยนเข้าไปจนกว่าจะสิ้นกรรม
 การที่ต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรกทนทุกข์อยู่ ณ ที่นี่ก็เพราะในชาติก่อน เขาเป็นมนุษย์ ผู้มีใจบาปหยาบช้า ตีด่าคู่ครอง ของตนด้วยความโกรธเช่นเป็นสามีเมื่อโกรธภรรยาขึ้นมา ก็ฆ่าตีเตะถีบเอาด้วยกำลังชาย หรือตนเป็นภรรยาเมื่อโกรธขึ้นมาก็ด่าว่าสามี คว้าไม้คว้ามีดไล่ตีฟัน แล้วก็เหหันประพฤตินอกใจไปคบชู้ คบหาเป็นสามีภรรยาของคนอื่นครั้นแตกกายตายแล้วจึงต้องมาเสวยทุกข์โทษอยู่ในนรกขุมนี้จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
 ท่านทั้งหลาย ที่กล่าวมานี้ คือยมโลกนรกทั้ง๑๐ ขุม ก็ยมโลกทั้ง ๑๐ ขุมนี้ ตั้งอยู่ตามลำดับถัดกันไป ต่อจากอุสสุทนรกทั้ง ๔ในทิศบูรพา เบื้องหน้าแห่งสัญชีวมหานรก แม้ในทิศอื่น ๆ อีก ๓ ทิศก็มียมโลกนี้ปรากฏตั้งอยู่ต่อจากอุสสุทนรกที่กล่าวแล้วทิศละ ๑๐ ขุมเช่นกันและมีชื่อพร้อมทั้งลักษณะอย่างเดียวกัน จึงเป็นอันว่า ในสัญชีวมหานรกนี้มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอก ๔๐ ขุมพอดี นอกจากนี้ ยมโลกนรกก็มีอยู่ในมหานรกขุมอื่น ๆ อีก ๗ ขุม ๆ ละ ๔๐ ฉะนั้น จึงรวมทั้งหมดเป็นยมโลกนรก ๓๒๐ขุมพอดี ด้วยประการฉะนี้

  ประวัติผู้รวบรวมเรียบเรียงเขียน

ชื่อสกุล  นายธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท