จิตอาสาอย่างง่าย.....ทำได้ทุกคน.... ตอน จิตอาสาในชีวิตประจำวัน


ขอโอกาสนี้เชิญชวนทุกคนสร้าง “จิตอาสาในชีวิตประจำวัน” จากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเรียกท่านว่า “ผู้มีจิตอาสา”

                    ผมมีโอกาสได้อ่านงานเกี่ยวกับ “จิตอาสา” ที่นำเสนอผ่านบล็อก Gotoknow แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจและมีกำลังใจกับความเป็นไทย กล่าวคือ ในสังคมยังมีคำว่า “เสียสละ” ท่ามกลางภาวะรุมเร้าต่าง ๆ มากมาย อาทิ ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และค่าครองชีพ

                                 และยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อเห็นหลายๆ ท่าน หลายๆ สถาบันเอาจริงและส่งเสริม “จิตอาสา” อย่างเต็มกำลัง เดินเครื่องเต็มสูบ โดยพุ่งเป้าหมายไปยังกลุ่ม “นิสิตนักศึกษา” ในรั้วมหาวิทยาลัย นับว่าเป็นการส่งเสริมที่ถูกจุด เพราะบุคคลกลุ่มนี้อยู่ในกระบวนการหล่อหลอมครั้งสุดท้ายก่อนที่จะก้าวเดินออกไปรับใช้สังคมจริง  ความเสียสละในวันนี้จะเป็นพลังขับเคลื่อนความเสียสละในเวลาทำงานของเขาได้

                                 กิจกรรมทำนองที่เรียกว่า “จิตอาสา” เป็นความเป็นรูปธรรมสูง และประสบผลสำเร็จอย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนกังวลและพยายามอยากจะสร้างให้สำเร็จคือ “ความถาวร” หรือ “เป็นสันดาน” ตลอดไปแม้ในวัยเรียนหรือทำงาน ต้องห้อยไว้ด้วย “จิตอาสา”

                                 ผมขอตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งสำหรับคำว่าจิตอาสา คำๆนี้มันมีขอบเขตมากน้อยเพียงใด สร้างฝายชะลอน้ำ สร้างห้องสมุด หรือจะบริจาค สละเงิน สละแรงกาย แรงเวลา ฯ เราให้คำนิยามหรือคิดอย่างไรกับ “จิตอาสา” แน่นอนที่สุด แม้จะนิยามอย่างใดก็ไม่ผิดหากแต่ถูกต้องและใช้ได้ทุกความคิดเห็น แต่ผมอยากจะชักชวนทุกท่านมาอยู่กับจิตอาสาเล็กๆ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะอยากจะมอง “จิตอาสา” ในมิติเล็กๆ

                                 ผมลองที่จะฉายภาพคำว่า “จิตอาสา” อย่างแคบๆ โดยเราและเพื่อตัวเรา โดยไม่ต้องไปเน้นสิ่งใหญ่ๆ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับบางท่านบางคน เช่น ไม่มีเวลา แบกปูนไม่ไหว ฯ เพราะ “จิตอาสา” ของผมนั้นไม่ต้องทำอะไรมากเพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว

                                 วันหนึ่งหลังจากที่ผมนั่งประชุมพร้อมๆ กับการอ่านงานเกี่ยวกับจิตอาสามา สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นจากห้องประชุมในวันนั้น คือที่ประชุมมีการแจกน้ำดื่มขวดเล็กๆ ซึ่งหากจะให้ชัดเจนก็คือน้ำดื่มขวดเล็กๆ ประมาณ ๗-๘ บาท แน่นอนว่าการประชุมครั้งนั้นมีคนร่วมประชุมประมาณ ๕๐ คน เป็นอย่างน้อย ซึ่งตรงขวดน้ำนี่แหละที่ผมจะโยงสู่จิตอาสาเล็กๆ ให้ท่านได้เห็นภาพ

                                  ผมนั่งรอหลังจากการประชุมเลิกและสังเกตพฤติกรรมการดื่มน้ำของแต่ละคน สิ่งที่พบคือ ไม่มีน้ำที่ดื่มหมดทั้งขวด หากมีประมาณ ๑-๒ ขวดที่มีน้ำเหลือในขวดสูงประมาณ ๑ เซนติเมตร นอกนั้นเหลืออยู่มากเกินครึ่ง และอีกส่วนมากเหลือเกือบเต็มหรือบางขวดแทบจะสาบานกันจึงจะเชื่อว่ามีการดื่ม และที่สำคัญคือน้ำทุกขวดถูกแกะพลาสติกที่หุ้มฝาออก เอาเถอะประเด็นของผมไม่ได้มุ่งหวังที่จะตำหนิหรือว่าใคร เพียงแต่อยากให้ท่านลองจินตนาการภาพ “จิตอาสา” เล็กๆ ตาม

                                ท่านลองดูนะว่า หากท่านหยิบขวดเปล่านั้นเดินออกจากห้องประชุมไปทิ้งลงถังขยะที่เราจะเดินผ่านอยู่แล้ว มันคือจิตอาสาได้หรือไม่? หรือหากหยิบเอาน้ำที่เหลือกลับไปดื่มต่อที่ห้องถือว่ามีจิตอาสาได้หรือไม่? สำหรับผมมองว่า “นี่แหละคือจิตอาสาอย่างหนึ่ง”

                                ที่กล่าวอย่างนี้ท่านลองคิดดูสิว่า ขวดน้ำที่ทิ้งไว้ใครจะเป็นคนเอาไปดื่มต่อจากเรา? คงไม่มีแน่นอนอย่างดีก็ถูกคนเก็บของเก่าเทรดต้นไม้เพื่อนำขวดไปขาย น้ำครึ่งขวดมีน้ำได้ประมาณหนึ่งแก้วเกินอิ่มครับสำหรับใครบางคน และแน่นอนที่สุดเรื่อง “จิตอาสา” แค่นี้ก็มีประโยชน์ใหญ่ๆไม่แพ้อาสาสร้างห้องสมุดเช่นเดียวกัน

                              เราลองคิดดูนะว่าน้ำหนึ่งแก้ว หากทุกคน (๕๐ คน) ทิ้งน้ำคนละ ๑ แก้วเฉยๆ โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดเลยมันน่าเสียดายนะครับ กว่าน้ำนั้นจะผ่านการผลิต ต้องสิ้นเปลืองน้ำ ไฟ มากมายในขั้นตอนการผลิต การขนส่ง การแช่ การจัดเก็บ อื่นๆ อีก และที่สำคัญบ้านเรากำลังประสบปัญหาภัยแล้ง การที่เรามีจิตอาสาหยิบน้ำที่เหลือเพียงเล็กน้อยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เราก็จะไม่ต้องไปเบียดเบียนน้ำที่มีอยู่น้อยๆ ของคนอื่น เห็นไหมครับว่า บางทีจิตอาสาของเราเล็ก ๆ ที่เริ่มจากการใช้ชีวิตของเรากลับกลายเป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน

                              เพราะฉะนั้นผมจึงขอโอกาสนี้เชิญชวนทุกคนสร้าง “จิตอาสาในชีวิตประจำวัน” จากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเรียกท่านว่า “ผู้มีจิตอาสา” เพราะแน่นอนไม่คงไม่ได้มีแค่เรื่องน้ำแต่ทุกเรื่องเราสามารถสร้างจิตอาสาได้ ส่วนท่านที่มีจิตอาสาอยู่แล้วฝากให้ท่านเพิ่มจิตอาสาในชีวิตประจำวันด้วย คงไม่ใช่แค่เรื่องน้ำสามารถใช้ได้กับทุกเรื่องนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าที่เราจะร่วมกันทำ


ขอบคุณครับ

อาคารขวัญมอ มข.

หมายเลขบันทึก: 512440เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2012 21:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม 2012 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ถูกต้องอย่างยิ่งยวดเลยครับ
จิตอาสาที่แท้จริง "คือการรับผิดชอบต่อตัวเอง"
รับผิดชอบ ต่อตนเอง เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้คน-สังคมให้น้อยที่สุด

การงานในวิถีกิจกรรมที่มุ่งขับเคลื่อน เสมือนเรือนเพาะชำชีวิตที่กระตุ้นให้การเรียนรู้ เหมือนเพาะเมล็ดพันธุ์ให้หยั่งรากลึก  บางต้นหยั่งราก เมื่อพ้นจากเรือนเพาะชำ บางต้นก็หยั่งรากได้ในเรือนเพาะชำเลยก็มี

การงานในกิจกรรม  เมื่อทำแล้ว  พี่ไม่ค่อยถามว่า ทำแล้วได้อะไร  อันหมายถึง "ผู้รับได้อะไร"  แต่ระยะหลังนั้น  พี่มักถามนิสิตว่า "ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ทำ" และสำคัญเลยก็คือ "สิ่งที่ทำส่งผลให้นิสิตเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง..."


สุขใจที่ได้เห็นบันทึก นะครับ

"จิตอาสา" สามคำ แต่ความหมายนับคำไม่ได้ เพราะคนที่รู้ความหมายคำนี้มีมาก แต่คนที่ปฏบัติตามคำนี้มีไม่มาก เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เพื่อให้จุดที่ยิ่งใหญ่ต่อยอด เหมือนการโยนหินเพียงก้อนลงแม่น้ำ ย่อมกระเพื่อมเข้าถึงฝั่งได แต่อุปสรรคก็ย่อมมีเช่นกัน ดังนั้น ขอเพียงจิตอาสาเล็กๆนี้อย่าหมดแรงลงเสียก่อนจะถึงฝั่งมหานทีที่กว้างใหญ่ 

 

ดีครับพี่ Ico48

แผ่นดิน
- ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายให้กำลังใจครับ

- เห็นด้วยกับ "ทุกการกระทำเรียนรู้" ไม่มีอะไรไร้สาระ แม้แต่ความไร้สาระยังมีสาระ ว่าแต่เราจะเรียนรู้มันหรือเปล่า

- ขอคุณที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนาเยาวชนของชาติ

ทักทายท่านมหาสมปอง Ico48
ขุนแผ่นดินเย็น

คิดถึงกลอนของครูเรานะ(อาจารย์ธัญญา สังขพันธานนท์) ซึ่งมันทำให้เรามีความหวังและกำลังใจ

เพราะเชื่อว่าวันพรุ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเชื่อว่านักต่อสู้ไม่สูญหาย

เพราะเคยเห็นคลื่นซัดหาดทราย ไม่เคยสิ้นขาดสายสักครั้งครา

 เมื่อคลื่นเก่าลูกก่อนเข้าย้อนฝั่ง จึงเกิดคลื่นลูกหลังที่แรงกว่า 

ลูกแล้วลูกเล่า ไม่ร้างลา เก่าไป ใหม่มา อยู่อย่างนั้น

 ในใจเธอคิดอะไรฉันไม่รู้ แต่แววตาที่เห็นอยู่มีไฟฝัน

 เธอจะร้องเพลงบทไหนไม่สำคัญ แต่เป็นเพลงเดียวกันที่ฉันร้อง

 เพราะไม่เคยเห็นใครอยู่โดดเดี่ยว และขังตัวแต่ผู้เดียวอยู่ในห้อง

 หากวันใดท้องถนนมีคนนอง ฉันอยากเห็นเธอเปิดห้องก้าวออกมา 

เมื่อบ้านเมืองปี้ป่นคนร้องไห้ และหมู่มารผยองใหญ่ทุกหย่อมหญ้า

หรือเธอจะนอนหลับได้เต็มตา ขณะฝูงผีห่ายังครองเมือง

 นั่นเศษปีกผีเสื้อเปียกน้ำค้าง และซากศพนั่นคือร่างนกสีเหลือง

 เธอจะเดินผ่านไปไม่ชำเลือง และไม่คิดแค้นเคืองหรืออย่างไร

 ในใจเธอคิดอะไรฉันไม่รู้ แต่แววตาที่เห็นอยู่-เธออ่อนไหว

 ฉันไม่อยากตั้งคำถามกับผู้ใด เพราะคำตอบนั้นล่องไหลในสายลม

 เมื่อใครก่อกองไฟในคืนหนาว เราจักได้อิงอ้าวไอไฟห่ม

ถ้าค่อนดึก ฟืนไร้และไฟซม หวังเพียงเธอเร่งระดมช่วยเติมฟืน หวังเพียงเธอช่วยตื่นมาเติมไฟ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท