ผมขออนุญาต นิสิตแพทย์ เจตน์ รัตนจีนะ นสพ. ปี ๕ ของจุฬา นำข้อ reflection
หรือ AAR
การเรียนรู้จากการเข้าร่วมวงวิจัยระบบสุขภาพ และได้รับอนุญาต จึงขอนำมาลงไว้ดังต่อไปนี้
เรียน อาจารย์วิจารณ์ แบบอย่างที่กระผมเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง
ต้องขออภัยที่ใช้เวลาหลายวันกว่าจะตอบกลับนะครับ
กระผมยังไม่มีโอกาสที่ได้พิมพ์สิ่งที่ได้เรียนรู้เป็นลายลักษณ์อักษรนะครับแต่ถ้าหากจะให้สะท้อนมุมมอง
ความคิดสิ่งที่ได้เรียนรู้ กระผมขออนุญาตเรียนอาจารย์ในสิ่งที่กระผมเองนั้นคิดว่าเป็นสิ่งที่กระผมได้เรียนรู้จากตั้งแต่ในช่วงการประชุม
The
second global symposium on health system research ที่ปักกิ่ง ตลอดจนถึงการประชุม
คณะกรรมการฯโครงการพัฒนาการศึกษาสำหรับบุคลากรสาธารณสุขฯ
ที่ทางคณะกรรมการได้เปิดโอกาสให้กระผมได้เสนอผลงานวิจัยของทีมงานกระผมในฐานะนิสิตแพทย์
รวมถึงสิ่งที่กระผมเองเคยมีประสบการณ์ทั้งจากการที่ได้ทำวิจัยของตนเองและสิ่งที่สนใจศึกษา
พอที่จะได้เป็นประเด็นต่างๆในความคิดของกระผมดังนี้ครับ
กระผมขอใช้ภาษาไม่เป็นทางการนะครับ
ชื่อเสียงและที่ยืนของประเทศไทยในเวทีโลกและระบบสุขภาพไทย
ในประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ติดใจอยู่มานานแล้วครับว่า ในปัจจุบันท่ามกลางสภาพ
ประเทศไทยแบบที่เป็นอยู่ จะมีอะไรบ้างที่กระผมเองจะรู้สึกว่า“ประเทศไทย”ของเรานั้นอยู่ในระดับโลกในเรื่องที่ดีที่เราเอาไปพูดกับนานาชาติได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ที่ไม่ใช่แค่ นึกถึงเมืองไทยจะนึกถึง ช้าง หรือ ต้มยำกุ้ง หรือว่า มีอะไรที่ “ประเทศไทย”นั้นได้รับการยอมรับระดับโลกไปยืนบนเวทีโลกและสามารถเป็นสิ่งที่ทำให้นานาชาติสนใจ
(ในสิ่งที่ดีและเป็นแบบอย่าง) ซึ่งทำให้กระผมในฐานะคนไทยคนหนึ่งรู้สึกถึงความภาคภูมิใจ
จากการที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานนี้ทำให้กระผมได้คนพบครับ
สิ่งนั้นอยู่ใกล้ตัวกระผมในฐานะนิสิตแพทย์ นั่นคือ “ชื่อเสียงเรื่องระบบสุขภาพของไทย” ครับ
โดยเฉพาะเรื่อง UC
(Universal Coverage) ของไทย
ถึงแม้ว่าในวงการแพทย์การสาธารณสุขของเรา ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการ
จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง นโยบายสาธารณสุขต่างๆ โดยเฉพาะ ตั้งแต่มี คำว่า 30 บาทรักษาทุกโรค ฯลฯ
ข้อมูลที่กระผมทราบก็มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่อย่างน้อยเท่าที่กระผมได้ฟังบรรยายจากหลายๆประเทศ ที่พูดเกี่ยวกับระบบสุขภาพ
การปฏิรูประบบ หรือ UC
ประเทศไทยมักจะได้รับการกล่าวอ้างเสมอ เสมือนเป็น Gold Standard ที่ทุกประเทศต้องกล่าวในการนำเสนอและมีใน powerpoint
presentation กระผมว่าน่าภาคภูมิใจนะครับ หรือแม้กระทั่งจากการได้พูดคุย
เช่นกระผมได้เจอ คุณหมอจากเวียดนาม
ที่ทำงานในหน่วยงานที่เกี่ยวกับระบบสาธารณสุขในเวียดนามก็บอกว่าคนไทยนี้โชคดีที่ระบบการเข้าถึงเกิดขึ้นมาได้
หรือแม้กระทั่งมีนักข่าวคนหนึ่งซึ่งนั่งรับประทานอาหารด้วยกันมาจากอุรุกวัยที่ทางคณะผู้จัดงานทางประเทศจีนเชิญมาสังเกตการณ์ประชุม
ซึ่งเมื่อนักข่าวผู้นั้นรู้ว่ากระผมมาจากประเทศไทย ก็บอกกับผมว่า “congratulation”
ทันที กระผมก็สงสัยถึงการแสดงความยินดี จึงได้ความว่า
เธอไม่ค่อยรู้จักประเทศเรามาก่อนเพราะอยู่ห่างกันมาก แต่ก็ได้รู้จักจากการฟัง session plenary ที่มีการกล่าวถึงประเทศไทย
ประเทศไทยโชคดีที่คนไทยมีสิทธิเข้าถึงการรักษาได้
ซึงเป็นระดับนโยบายเช่นระดับรัฐมนตรีของต่างชาติที่เป็นคนพูด
ประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ทำให้กระผมหันกลับมาคิดในฐานะ
ในอนาคตที่จะเป็นเฟืองตัวหนึ่งในระบบนะครับว่า
ถ้ามองเป็นโอกาสนับว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยเรา
ที่มีเรื่องที่สามารถไปพูดกับชาวโลกได้
ไม่เพียงเท่านั้นดีต่อประชาชนด้วยที่มีโอกาสรับการรักษา แต่ในขณะเดียวกันกระผมมองว่าหากในทางปฏิบัติอาจจะมีความเห็นที่ต่างออกไปก็ปรับแก้ให้เหมาะตามสถานการณ์
ในทางปฏิบัติที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ก็ปรับแก้ไขให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพประชากร
คุณภาพชีวิตบุคลากร และงบประมาณชาติ กระผมว่า
ระบบสุขภาพก็จะสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนและนำพาประเทศได้ครับ ทำให้กระผมนึกถึง
พระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ สมเด็จพระบรมราชชนก มีลายพระหัตถ์ กราบทูล
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ตอนหนึ่งที่ว่า “การสาธารณสุข นั้น เปนการสําคัญ อย่างยิ่ง
ทั้งเปนเครื่องบํารุง กําลังของชาติไทย และเปนสาธารณประโยชน์ แก่มนุษย์ชาติทั่วไปด้วย” ดังนั้นแรงบันดาลใจข้อหนึ่งของกระผมรวมถึงสิ่งที่ได้ตระหนักเลยนะครับคือกระผมมองว่า
หากประเทศเรามีระบบสุขภาพ ระบบสาธารณสุขที่ดี
ก็จะเป็นรากฐานการพัฒนาชาติไทยของเราได้
รวมถึงเป็นสิ่งที่ประกาศให้ชาวโลกได้ทราบเป็นสิ่งที่เราภูมิใจได้ครับ
การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมประสบการณ์ตรงในเวทีระดับโลก
ในประเด็นข้อนี้เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งกระผมถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ของกระผมอย่างหนึ่งคือ
ถือเป็นโอกาสที่ดีมากที่นิสิตอย่างกระผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมที่เป็นสนามจริงของบุคลากรที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพ
ทั้งในระดับประเทศ คือ
การประชุมของคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาการศึกษาของบุคลากรสาธารณสุข
ในศตวรรษที่ 21
หรือในระดับโลกที่กระผมได้ส่ง abstract จนได้ไปในการประชุม HSR symposium ที่ปักกิ่ง จะว่าไปแล้วต้องกล่าวได้ว่าโอกาสต่างๆเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นเลย
ถ้ากระผมไม่ได้เริ่มความคิดที่อยากทำวิจัยอะไรสักอย่างหนึ่งในหัวข้อที่สนใจ
ซึ่งตั้งแต่กระผมตัดสินใจเข้าเรียนแพทยศาสตร์ก็เพราะกระผมสนใจเรื่องระบบสุขภาพและการบริหารจัดการ
และเป็นความกรุณาของอาจารย์ที่กระผมได้เรียนขอคำปรึกษาคือ อ.กฤษณ์
ที่สนับสนุนงานให้ดำเนินไปได้และให้โอกาสกระผมได้ลงมือทำและเป็นเสมือนโค้ชที่คอยดูแลให้
อันนี้ถือได้ว่าเป็น “โอกาสอันแรก” เริ่มที่กระผมได้รับ
เพราะในโรงเรียนแพทย์คงเป็นเรื่องยากที่จะหาอาจารย์ที่จะช่วยกระผมให้ได้บรรลุงานที่กระผมสนใจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับในเรื่องของ
ระบบสุขภาพและสาธารณสุข ทั้งที่ในอนาคตกระผมถือได้ว่ามีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ได้
และยากยิ่งกว่าที่จะมีอาจารย์สักท่านให้เวลาและโอกาสนิสิตแพทย์ได้รบกวนเวลาจนงานเสร็จลุล่วง
และสำคัญคือระหว่างการทำวิจัยกระผมได้เรียนรู้กระบวนการการทำงานเป็นทีม
ทีมที่เกิดจากความสนใจร่วมกันโดยกระผมมีน้องๆ 3 คนที่ร่วมกันคิดร่วมกันทำและเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน
จนงานวิจัยออกมาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จนกระทั่งได้มีโอกาสนำเสนอในเวทีต่างๆ
“โอกาสต่อมา”
นั่นคือการได้ไปนำเสนอและเข้าร่วมประชุม
HSR
symposium ที่ปักกิ่ง อันนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งเรียนรู้ที่สำคัญ
อย่างน้อยที่สุดการที่นิสิตแพทย์คนหนึ่งได้มาเวทีนานาชาติก็นับว่าเป็นแรงบันดาลใจที่จะเรียนรู้ต่อไป
และได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นบรรยากาศชุมชนการเรียนรู้ขนาดใหญ่มากอีกมิติหนึ่ง
ที่ต่างไปจากโรงเรียนแพทย์ ได้เห็นความร่วมมือกันทางวิชาการ
การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แม้กระทั่งงานของกระผมเองนั้น
ขนาดเป็นงานของกลุ่มนักเรียนแพทย์ แต่กลับได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่ นั่นคือ
ท่านอาจารย์วิจารณ์ พานิช (กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ครับ) ท่านรองอธิการบดีอาจารย์วณิชา ที่ได้ให้โอกาสกระผมได้นำเสนออีกครั้งเมื่อวันที่
5 พ.ย.ที่ผ่านมาในการประชุมของคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาการศึกษาของบุคลากรสาธารณสุข
ในศตวรรษที่ 21
และยังมีบุคลากรในต่างประเทศที่สนใจงานชิ้นนี้ด้วยตัวเนื้อหาของงานวิจัย
ตั้งแต่ครั้งการประชุม regional
meeting ของ WHO SEARO ที่ท่านอาจารย์สำลี
ได้ให้โอกาสขึ้นเวทีพูดและมี Dr Khaled Hassan ซึ่งเป็น Representative
to Bangladesh สนใจงานมากและขอสำเนาไว้ศึกษา รวมถึงที่ปักกิ่ง
ก็ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมการประชุม และมีบางส่วนได้ขอผลงาน ไปประยุกต์ใช้
อันเนื่องจากผลงานวิชาการดังกล่าวสอดคล้องกับปัญหาระบบสุขภาพในประเทศ อาทิเช่น Professor Dr Nay
Soe Maung อธิการบดีมหาวิทยาลัยสาธารณสุข สหภาพเมียนมาร์
ได้ขอแบบสอบถามงานวิจัย เพื่อเป็นแบบอย่างนำไปใช้ในสหภาพเมียนมาร์ Dr Francis
Asenso Boadi Deputy Director of National Health Insurance Authority ประเทศกาน่า
ได้ขอสำเนาผลงานวิชาการเพื่อไปประยุกต์ใช้กับงานวิจัยบุคลากรสาธารณสุข
ในประเทศกาน่า เป็นต้น
“อีกหนึ่งโอกาส” นั่นคือการที่อาจารย์เปิดโอกาสให้กระผมได้เข้าร่วมนำเสนอและรับฟังการประชุมของคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาการศึกษาของบุคลากรสาธารณสุข
ในศตวรรษที่ 21
ทำให้เป็นการให้เห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้นทำให้เกิดความเข้าใจในมุมมองของ
policy
maker เพราะการอยู่ในโรงเรียนแพทย์นั้นทำให้ได้ความรู้ทางคลินิก
ได้เห็นการปฏิบัติการต่างๆในโรงพยาบาล
ซึ่งโอกาสจะเห็นภาพตัวอย่างของระดับนโยบายถือว่าน้อยมาก นอกจากนี้ยังได้เห็นบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการผนึกกำลังของสถาบันแพทย์ต่างๆ
รวมถึงนอกจากแพทย์ด้วย
ในการที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพไปข้างหน้า
“โอกาสต่อๆไป (เรื่อยๆ)”
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่เฉพาะ “กระผม” เองที่ได้เรียนรู้
กระผมมองว่าคงจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าจะมีนิสิตหรือนักศึกษาแพทย์ได้รับการเรียนรู้
และโอกาสต่างๆเหล่านี้แบบกระผม ตั้งแต่ยังเป็น นักเรียนแพทย์
และการที่กระผมได้รับประสบการณ์ต่างๆยังทำให้เห็นถึงความสำคัญ ของพลังในการร่วมมือกันทำงานของสถาบันต่างๆ
การแลกเปลี่ยนความรู้ ความจริงใจในการร่วมกันขับเคลื่อน
เพื่อระบบสุขภาพทั้งในวันนี้และอนาคต
กระผมมองเห็นโอกาสภึงความร่วมมือกันให้เกิดโอกาสเหล่านี้ตั้งแต่ยังเป็น
นิสิตหรือนักศึกษาแพทย์ครับ เพราะอย่างน้อยก็กระผมคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสเหล่านี้
และน่าจะดียิ่งๆขึ้นไปถ้ามีการร่วมกันของส่วนต่างๆตั้งแต่ยังเป็นนิสิตและนักศึกษา
ที่อาจจะมีความสนใจเกี่ยวกับระบบสุขภาพ การทำวิจัย ในอนาคตครับ
ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งที่เปิดโอกาสให้นิสิตแพทย์ได้สะท้อนความคิดครับ
และหวังใจว่ากระผมจะมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งที่ได้นำสิ่งต่างๆที่ๆได้เรียนรู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศในส่วนที่กระผมทำได้ในฐานะที่จะเป็น
“แพทย์” ในอนาคตครับ
เจตน์ รัตนจีนะ
ผมคิดว่าข้อเขียนสะท้อนความคิดอย่างไม่เป็นทางการชิ้นนี้
น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ร่วมรับผิดชอบอนาคตของระบบสุขภาพไทย ที่จะหาทางจุดไฟแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อสังคมของคนรุ่นใหม่
วิจารณ์ พานิช
๑๘ พ.ย. ๕๕