what is Bee Pollen ?


เคล็ดลับแห่งชีวิตผึ้ง
Bee Pollen คืออะไร
Bee Pollen (เกสรผึ้ง หรือ เกสรดอกไม้) คือ ละอองเม็ดเล็กๆ คล้ายฝุ่นแป้งที่เกิดและหลุดจากช่อเกสรตัวผู้ของดอกไม้นานาชนิด ที่ผึ้งเป็นผู้รวบรวมคลุกเคล้ากับน้ำหวานของดอกไม้ โดยวิธีการเข้าไปคลุกเคล้ากับอับเกสร ให้เกสรติดตามตัว และใช้ขาปัดเขี่ยรวมกันเป็นก้อนเล็กๆ ติดไว้ที่ปลายขาหลังทั้งสองข้างบริเวณอวัยวะที่เรียกว่า ตะกร้าเก็บเกสร และนำกลับมาเก็บยังรังเพื่อใช้เป็นอาหารประเภทโปรตีนสำหรับประชากรในรังและโดยเฉพาะใช้เลี้ยงตัวอ่อน เกสรที่นำมาบ่มในรังจนผนังเกสรนุ่ม จะถูกนำไปเลี้ยงผึ้งงานตัวอ่อนที่อายุมากกว่า 3 วัน โดยผึ้งจะบดผสมกับน้ำผึ้ง ผึ้งงาน 1 ตัว จะรวบรวมเกสรได้ 4 ล้านอณูใน 1 ชั่วโมง, ละอองเกสร 1 ช้อนชา จะมีเกสรถึง 25 พันล้านอณู ซึ่งแต่ละอณูสามารถเจริญเป็นผลไม้ได้ 1 ผล หรือละอองเกสร 1 อณู ผสมกับไข่ 1 ใบ จะได้เมล็ดพันธุ์ซึ่งเจริญเติบโตเป็นต้นไม้หนึ่งต้น จะเห็นได้ว่าเกสรดอกไม้แต่ละอณูมีพลังชีวิต (Life-Force) ครบถ้วน และจากการที่มีผึ้งเป็นสื่อกลางในการเก็บรวบรวมเกสรดอกไม้เหล่านี้ จึงนิยมเรียกว่า เกสรผึ้ง

เกสรผึ้งอุดมด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งคุณค่าทางโภชนาการ โดยองค์ประกอบในเกสรพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วมีโปรตีนเป็นพื้นฐาน และมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เอนไซม์ แร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ จำนวนมาก เกสรผึ้งจะช่วยในการบำรุงสมอง และระบบประสาท ช่วยการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ซึ่งรวมถึงการส่งผลให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา และมีพลานามัยสมบูรณ์
คุณค่าด้านโภชนาการ
ผลิตภัณฑ์ เกสรผึ้ง หรือ บี พอลเลน นั้นจะช่วยส่งเสริมกำลังความอดทน และพลังงาน เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ให้พลังงานซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune System) ส่งผลให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า ร่างกายของเราจะทำงานได้อย่างดี จำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเติม นอกเหนือจากโภชนาการพื้นฐานที่เรารับประทานกันประจำ ร่างกายยังต้องการสิ่งที่เรียกว่า "จุลโภชนาการ" ซึ่งพบว่ามีในเกสรดอกไม้จากผึ้ง

ในปี 1961 ในรายงานที่เสนอโดย โรเบิร์ต เดลพีรี ชื่อว่า "ความลับแห่งชีวิตผึ้ง" มีการนำเสนอ โดยอ้างอิงผลวิเคราะห์ทางเคมีของเกสรดอกไม้จากผึ้งในห้องทดลองต่างๆ ทั่วโลกว่า เกสรดอกไม้ จากผึ้งนั้นมีสมรรถนะทางด้านโภชนาการที่ค้ำจุนชีวิต และในปี 1963 มูลนิธีลีเพื่อการวิจัยด้านโภชนาการแห่งมิลวิกี รายงานว่า เกสรดอกไม้จากผึ้งนั้นมีความสมดุลอย่างสมบูรณ์มากจนกระทั่งมันสามารถเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบได้ โดยตัวของมันเองเพียงแต่ผสมวัสดุหยาบๆ และน้ำเข้าไปเท่านั้น

ในอดีต เคยมีการใช้น้ำผึ้งผสมกับเกสรดอกไม้จากผึ้งในการรักษาอาการผิดปกติ และโรคภัยต่างๆ ตั้งแต่โรคลำไส้ ไปจนถึงโรคไต โรคหายใจลำบาก และผื่นคันตามผิวหนัง แม้กระทั่งกับกรณีร้ายแรงเช่นแผลไฟไหม้ และยังใช้เป็น ยาคลายอาการเครียด และกระตุ้นทางเพศ ในปัจจุบันมีการค้นพบว่า เกสรดอกไม้จากผึ้งมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ โรคภูมิแพ้ ระบบย่อยอาหาร และความผิดปกติในต่อมลูกหมาก ใช้ในการบรรเทาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาด้วย วิธีเคมีบำบัด และเพิ่มสมรรถนะทางการกีฬา เครื่องสำอางที่เราใช้อยู่ก็อาจจะมีส่วนผสมของเกสรดอกไม้จากผึ้งอยู่ด้วยก็ได้

นอกเหนือจากคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการและการบำบัดโรคแล้ว เกสรดอกไม้จากผึ้งยังมีความได้เปรียบ ตรงที่มันย่อยง่ายและร่างกายดูดซึมได้เร็ว ทั้งนี้เนื่องจากมันไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหารตามปกติ ร่ายกายดูดซึม เข้าเส้นเลือดได้ทันทีโดยตรงจากกระเพาะ หลังจากรับประทานเข้าไปเพียงประมาณ 30 นาที เราจะพบเมล็ดเกสร ดอกไม้จากผึ้งในเลือดได้เลย กระบวนการนี้เรียกว่า persorption ในการทำการศึกษาทดลองให้สุนัขกินเกสรดอกไม้ จากผึ้งกับครีมนม หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงก็สามารถพบเกสรดอกไม้จากผึ้งทั้งในเลือด ปัสสาวะ และน้ำไขสันหลัง ผลที่ได้คล้ายคลึงกับที่ทดลองในมนุษย์แล้วในปี 1974
คุณค่าด้านโภชนาการ
ผลิตภัณฑ์ เกสรผึ้ง หรือ บี พอลเลน นั้นจะช่วยส่งเสริมกำลังความอดทน และพลังงาน เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ให้พลังงานซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune System) ส่งผลให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า ร่างกายของเราจะทำงานได้อย่างดี จำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเติม นอกเหนือจากโภชนาการพื้นฐานที่เรารับประทานกันประจำ ร่างกายยังต้องการสิ่งที่เรียกว่า "จุลโภชนาการ" ซึ่งพบว่ามีในเกสรดอกไม้จากผึ้ง

ในปี 1961 ในรายงานที่เสนอโดย โรเบิร์ต เดลพีรี ชื่อว่า "ความลับแห่งชีวิตผึ้ง" มีการนำเสนอ โดยอ้างอิงผลวิเคราะห์ทางเคมีของเกสรดอกไม้จากผึ้งในห้องทดลองต่างๆ ทั่วโลกว่า เกสรดอกไม้ จากผึ้งนั้นมีสมรรถนะทางด้านโภชนาการที่ค้ำจุนชีวิต และในปี 1963 มูลนิธีลีเพื่อการวิจัยด้านโภชนาการแห่งมิลวิกี รายงานว่า เกสรดอกไม้จากผึ้งนั้นมีความสมดุลอย่างสมบูรณ์มากจนกระทั่งมันสามารถเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบได้ โดยตัวของมันเองเพียงแต่ผสมวัสดุหยาบๆ และน้ำเข้าไปเท่านั้น

ในอดีต เคยมีการใช้น้ำผึ้งผสมกับเกสรดอกไม้จากผึ้งในการรักษาอาการผิดปกติ และโรคภัยต่างๆ ตั้งแต่โรคลำไส้ ไปจนถึงโรคไต โรคหายใจลำบาก และผื่นคันตามผิวหนัง แม้กระทั่งกับกรณีร้ายแรงเช่นแผลไฟไหม้ และยังใช้เป็น ยาคลายอาการเครียด และกระตุ้นทางเพศ ในปัจจุบันมีการค้นพบว่า เกสรดอกไม้จากผึ้งมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ โรคภูมิแพ้ ระบบย่อยอาหาร และความผิดปกติในต่อมลูกหมาก ใช้ในการบรรเทาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาด้วย วิธีเคมีบำบัด และเพิ่มสมรรถนะทางการกีฬา เครื่องสำอางที่เราใช้อยู่ก็อาจจะมีส่วนผสมของเกสรดอกไม้จากผึ้งอยู่ด้วยก็ได้

นอกเหนือจากคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการและการบำบัดโรคแล้ว เกสรดอกไม้จากผึ้งยังมีความได้เปรียบ ตรงที่มันย่อยง่ายและร่างกายดูดซึมได้เร็ว ทั้งนี้เนื่องจากมันไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหารตามปกติ ร่ายกายดูดซึม เข้าเส้นเลือดได้ทันทีโดยตรงจากกระเพาะ หลังจากรับประทานเข้าไปเพียงประมาณ 30 นาที เราจะพบเมล็ดเกสร ดอกไม้จากผึ้งในเลือดได้เลย กระบวนการนี้เรียกว่า persorption ในการทำการศึกษาทดลองให้สุนัขกินเกสรดอกไม้ จากผึ้งกับครีมนม หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงก็สามารถพบเกสรดอกไม้จากผึ้งทั้งในเลือด ปัสสาวะ และน้ำไขสันหลัง ผลที่ได้คล้ายคลึงกับที่ทดลองในมนุษย์แล้วในปี 1974



หมายเลขบันทึก: 50845เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2006 16:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท