“ การคิดเชิงระบบ”
การคิดเชิงระบบ ( SYSTEMS THINKING ) โดย DANIAL ARONSON พบว่าการมีพื้นฐานมาจากการพัฒนาพลวัตของระบบต่างๆ ซึ่งเริ่มวางรากฐานโดยศาสตราจารย์ฟอร์เรสเตอร์แห่งสถาบัน MIT ในปี 1956 ศาสตราจารย์ฟอร์เรสเตอร์ได้เล็งเห็นความจำเป็นในการทดสอบความคิดใหม่ๆในระบบต่างๆทางสังคม เช่นเดียวกับการทดสอบความคิดต่างๆทางวิศวกรรม การคิดเชิงระบบจะช่วยให้คนเราเข้าใจระบบต่างๆทางสังคมได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและจะสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าไปได้เหมือนๆกับการที่คนเราใช้หลักการด้านวิศวกรรมไปทำความเข้าใจและทำความกระจ่างชัดในระบบเครื่องกลต่างๆ
วิธีการของการคิดเชิงระบบ วิธีการของการคิดเชิงระบบมีพื้นฐานที่แตกต่างจากวิธีการวิเคราะห์แบบดั้งเดิม กล่าวคือ การคิดแบบดั้งเดิมจะมุ่งเน้นไปที่การแยกส่วนของสิ่งต่างๆที่จะศึกษาออกเป็นส่วนย่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คำว่า “วิเคราะห์” ก็หมายถึงตรงๆว่า “การแตกออกเป็นส่วนต่างๆที่ประกอบกัน” ในทางตรงกันข้าม “การคิดเชิงระบบ” มุ่งเน้นไปที่วิธีการคิดอย่างมีสหสัมพันธ์กันของส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ ซึ่งอาจเป็นชุดขององค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกันจนทำให้เกิดพฤติกรรม ดังนั้นย่อมหมายถึงว่า แทนที่จะไปแยกวิเคราะห์เป็นส่วนเล็กๆของระบบที่กำลังทำการศึกษาอยู่ แต่การคิดเชิงระบบมุ่งไปที่การขยายมุมมองเพื่อให้สามารถนำเอาภาพรวมและส่วนประกอบโดยรวมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันมาทำการศึกษา ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็นบทสรุปที่ครอบคลุมและชัดเจนมากกว่า ผลที่ได้จากการวิเคราะห์โดยวิธีดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเนื้อเรื่องที่ทำการศึกษานั้นมีความซับซ้อนเชิงพลวัตหรือมีผลกระทบป้อนกลับจากแหล่งต่างๆทั้งภายในและภายนอก ลักษณะของการคิดเชิงระบบ จะทำให้ได้คำตอบที่มีประสิทธิผลอย่างยิ่งกับปัญหาที่ยากลำบากที่จะแก้ไข เช่น กรณีที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างซับซ้อน กรณีที่มีผลกระทบต่อกันและกันในอดีตหรือผลกระทบจากปัจจัยอื่น และกรณีที่มีเหตุสืบเนื่องมาจากการไม่ประสานสอดคล้องกันของปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเรื่องราวที่ความคิดเชิงระบบถูกนำไปใช้อย่างได้ผล ได้แก่
- ปัญหาเชิงซ้อนเกี่ยวกับการช่วยให้ผู้แสดงเข้าใจภาพรวมของเรื่องที่จะต้องแสดง ไม่ใช่เข้าใจเพียงบทบาทของตนเอง
- ปัญหาต่อเนื่องที่ทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากการพยายามแก้ปัญหาที่ผิดๆมาในอดีต
- กรณีที่จะมีผลกระทบ (หรือจะได้รับผลกระทบ) ต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว หรือต่อสิ่งแวดล้อมจากการแข่งขัน
- ปัญหาที่ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน
การนำความคิดเชิงระบบไปใช้ ตัวอย่างที่สามารถมองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างมุมมองของความคิดเชิงระบบกับมุมมองของวิธีการวิเคราะห์แบบดั้งเดิมก็คือ การดำเนินการลดการทำลายพืชผักโดยแมลงต่างๆ วิธีการแบบเก่ากระทำโดยเมื่อแมลงกำลังกัดกินพืชผักก็ให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดลงไปที่ผักนั้นๆโดยมิได้คำนึงถึงขีดจำกัดของประสิทธิภาพของยาและการก่อให้เกิดมลพิษแก่ดินและน้ำ เพราะยังไม่มียาฆ่าแมลงใดเลยที่สามารถจะฆ่าแมลงได้ทั้งหมดโดยไม่มีผลกระทบต่ออากาศ ดิน และน้ำ เคยมีการตั้งคำถามกันบ้างหรือไม่ว่า การใช้ยาฆ่าแมลงจะทำให้เกษตรหรือบริษัทได้รับผลดีในบั้นปลายจริงหรือ ถ้าเราจะเขียนผังการใช้ยาฆ่าแมลงขึ้นมาดู จะพบว่า
( ซึ่งอธิบายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงปริมาณยาฆ่าแมลง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณแมลงที่กำลังทำลายพืชผักในขณะที่ลูกศรแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองถ้าให้ “ S” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน คือ ถ้าตัวแปรต้นมากตัวแปรตามก็จะมากตามไปด้วย และให้ “O” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้ามกัน คือถ้าตัวแปรต้นมากตัวแปรตามก็จะน้อย หรือตัวแปรต้นน้อย ตัวแปรตามก็จะมาก โดยความหมายนี้จะอ่านได้ว่าปริมาณของยาฆ่าแมลงที่ใช้จะมีผลในทางตรงกันข้ามกับปริมาณแมลงที่มากัดกินพืชผัก โดยความเชื่อนี้แสดงว่า “ปริมาณของยาฆ่าแมลงที่มากขึ้นจะทำให้ปริมาณของแมลงศัตรูพืชลดลง” )
จากวิธีคิดตามผังข้างต้นนี้จะพบว่าปริมาณของยาฆ่าแมลงที่มากขึ้นจะทำให้แมลงศัตรูพืชน้อยลงและพืชผักโดยรวมที่ถูกทำลายน้อยลง แรงจูงใจทำนองนี้จึงยืนยันว่าการกำจัดแมลงศัตรูพืชจะสามารถแก้ปัญหาได้แต่มักจะพบว่าไม่ใช่ เพราะพืชผักจะถูกทำลายโดยแมลงศัตรูพืชจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น ผังข้างต้นจึงอธิบายภาพได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆก็คือ ปัญหาแมลงศัตรูพืชจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีกในปีต่อๆไปและยาปราบศัตรูพืชก็จะช่วยอะไรได้น้อยลงทุกทีด้วย ทั้งนี้เพราะแมลงที่กินพืชผักดังกล่าวจะเป็นตัวควบคุมประชากรของแมลงอื่นๆโดยการ ข่มขู่หรือการแข่งขันกันในหมู่แมลงด้วยกัน เมื่อยาฆ่าแมลง ฆ่าแมลงที่กัดกินพืชผักก็จะกำจัดการควบคุมประชากรแมลงอื่นๆด้วย จะทำให้แมลงอื่นๆระดมสรรพกำลังเข้ามาทำลายพืชผักมากกว่าแมลงที่เราใช้ยาฆ่าแมลงไปแล้วเสียอีก อีกนัยหนึ่งก็คือการกระทำที่ตั้งใจว่าจะให้ช่วยแก้ปัญหา กลับกลายเป็นสิ่งทำให้ปัญหาย่ำแย่ลงไปอีก เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงข้างเคียงโดยไม่ได้ตั้งใจที่ส่งผลให้ปัญหาทรุดหนักลงไปกว่าเดิม การศึกษาบางกรณีได้ให้ข้อแนะนำว่า แมลงส่วนใหญ่ประมาณ 25 ชนิด ที่ทำให้เกิดปัญหาการทำลายพืชผักในแต่ละปีซึ่ง สามารถเริ่มต้นอธิบายได้โดยผังวงจรดังนี้
ตามความเข้าใจในผังวงจรนี้พบว่า การใช้ยาฆ่าแมลงเพิ่มขึ้นจะทำให้จำนวนแมลง A ( แมลงศัตรูพืชตัวเดิม ) ลดลง ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงอย่างฉับพลันของแมลงที่กัดกินพืชผัก ( ซึ่งเป็นความตั้งใจในการใช้ยาฆ่าแมลง ) อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนของแมลง A ลดลง ก็จะทำให้แมลง B เพิ่มขึ้น ( เครื่องหมายตัดตอน หมายถึง ระยะเวลาที่ผ่านไป ) เนื่องจากแมลง A ไม่สามารถควบคุมแมลง B ได้เท่าที่ควร ก็จะทำให้ประชากรของแมลง B เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ก็จะทำให้ยิ่งทำลายพืชผักได้อย่างมหาศาลกว่าเดิม ซึ่งตรงกันข้ามกับความตั้งใจเดิมที่จะลดจำนวนแมลงศัตรูพืชลง ผลที่ได้รับในระยะสั้นจึงส่งผลกระทบอย่างแตกต่างในระยะยาว ด้วยภาพของระบบนี้ในใจ วิธีการดำเนินการที่จะส่งผลในระยะยาวก็จะถูกพัฒนาขึ้น เช่นการจัดการควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน ซึ่งหมายรวมถึงการควบคุมแมลงศัตรูพืช โดยการนำสัตว์นักล่าแมลงเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งวิธีนี้ได้มีการทดลองโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ของ MIT แล้วว่าได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจกับทั้งจะสามารถป้องกันมลพิษที่จะเกิดขึ้นแก่ดินและน้ำได้อีกด้วย การที่วิธีคิดเชิงระบบทำให้มีมุมมองที่กว้างออกไปจึงทำให้เกิดความคิดริเริ่มที่จะส่งเสริมความเข้าใจในการแก้ปัญหาในระยะยาวขององค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาต่างๆ ด้านความอยู่รอดขององค์กร เพราะทั้งๆที่องค์กรอาจจะกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องด้านการแก้ปัญหาสัมพันธภาพกับลูกค้าโดยมีทีมงานรับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว ใช้วิธีการแก้ปัญหาที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายครั้งในอดีตและถึงกับได้ขอให้ลูกค้าเสนอแนะวิธีการที่อาจจะแก้ปัญหาได้ให้ด้วย แต่ไม่มีใครมองเห็นภาพของผลกระทบจากอดีตที่มามีส่วนในการสร้างปัญหาในปัจจุบัน หลังจากใช้เวลาทำงานร่วมกัน 2 วัน ผู้เขียนพบว่าสามารถช่วยให้องค์กรมองเห็นว่าอะไรบ้างมีส่วนทำให้ปัญหาทวีความร้ายแรงมากขึ้นและมีวิธีการที่ดีใดบ้างที่สามารถจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ การดำเนินการข้างต้นจบลงด้วยการช่วยกันกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาโดยการสนับสนุนของทีมงานและลูกค้า การมองให้เห็นภาพรวมทั้งหมด จะทำให้ทีมงานสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ต่างๆที่ยังไม่เคยมองเห็นมาก่อนแม้ว่าจะเคยพยายามมาแล้วหลายครั้งก็ตาม การคิดเชิงระบบจึงมีพลังในการช่วยให้ทีมงานคิดค้นและเข้าใจปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าหากรู้จักนำวิธีคิดเชิงระบบนี้ไปใช้กับปัญหาที่เหมาะสม ( ตัวอย่างอื่นๆ ในทางบวกที่เกิดจากการใช้ความคิดเชิงระบบในด้านทรัพยากรบุคคลและในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆ สามารถหาอ่านได้ใน “ บัญญัติที่ 5 ” ของ ปีเตอร์ เซ็งเก้ และในจดหมายข่าว ซึ่งจัดพิมพ์โดยปีกาซัส )
วิธีดำเนินการกับปัญหาที่ยากมากๆ ปัญหาที่สำคัญๆจำนวนมากที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบันมีความซับซ้อนที่ประกอบด้วยผู้เกี่ยว ข้องหลากหลาย และมักจะได้รับผลกระทบมาจากการดำเนินการในอดีต การจัดการกับปัญหาดังกล่าวนับว่าเป็นความลำบากยิ่ง และผลลัพธ์จากการใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบดั้งเดิมก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จอีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความท้อถอยในการใช้วิธีการที่เคยใช้มาก่อนด้วย ผลประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการคิดเชิงระบบก็คือ ความสามารถในการดำเนินการกับปัญหาประเภทดังกล่าวได้ พร้อมทั้งจะสามารถยกระดับความคิดของเราในการที่จะคิดค้นผลลัพธ์ที่เราต้องการ ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานองค์การ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ณ์ที่ซับซ้อน มีรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย และที่ยังไม่สามารถหาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพได้อย่างยากเย็นต่างๆ
ไม่มีความเห็น