บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน)
เป็นบริษัทของคนไทย ที่สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย เป็นบริษัทที่มีผู้บริหารคนไทย สามารถสร้างการเติบโต ทางธุรกิจ โดยการต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน
การเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน RRC ( ซื้อหุ้นมาจาก บริษัท เชลล์ ) , โรงกลั่นน้ำมัน ไทยออยส์ เป็นต้น ทำให้ประเทศไทยมี โรงกลั่นที่ผลิตน้ำมันได้ ส่วนใหญ่เป็นของบริษัทไทย
การนำวัตถุดิบที่ได้จากการกลั่นน้ำมัน สามารถสร้างมูลค่าได้อีก โดยการมีโรงงานปิโตรเคมี
การขุดก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และการได้รับสัมปทานในพม่า โอมาน เวียดนาม สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดเสถียรภาพของความมั่นคงทางพลังงานในประเทศไทย
การจำหน่ายน้ำมันตามปั๊มในประเทศ เวลาที่น้ำมันขึ้น จะขึ้นน้ำมันตามหลังปั๊มน้ำมันของต่างชาติ เช่น เอสโซ่ เชลล์ เป็นต้น ทำให้ผู้บริโภคไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากปั๊มต่างชาติ
การบริหารงานโดยคนไทย ได้รับประกาศเกียรติคุณว่าเป็นบริษัทที่ดี มีคุณภาพ
สำหรับลักษณะการประกอบธุรกิจ มีดังนี้
ปตท.เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร (Integrated Gas Company) มีบทบาทสำคัญในธุรกิจ
การจัดจำหน่ายและการค้าสากลผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมีและมีการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นในประเทศไทยโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ ปตท. แบ่งออกเป็นธุรกิจหลัก และธุรกิจการลงทุน ดังต่อไปนี้
(1) ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย
1. ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ประกอบด้วยหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติซึ่งทำหน้าที่จัดหาก๊าซธรรมชาติจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขนส่งก๊าซผ่านระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ แยกก๊าซธรรมชาติ และจัดจำหน่าย ส่วนการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติดำเนินการโดยบริษัทย่อยของ ปตท. คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (“ปตท.สผ.”) และมีการลงทุนในบริษัทในกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติอีกด้วย
2. ธุรกิจน้ำมัน การดำเนินธุรกิจน้ำมันของ ปตท. สามารถแบ่งได้เป็น 2 กิจกรรมหลักได้แก่ การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมัน (Oil Marketing) และการค้าสากล (Trading) ซึ่งรวมถึงการนำเข้าและการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมี และมีการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันอีกด้วย
(2) ธุรกิจการลงทุน ปตท. มีเงินลงทุนในธุรกิจต่างๆ โดยลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นเป็นส่วนใหญ่
สรุปฐานะการเงินและผลการดำเนินงานรายได้ของ ปตท.และบริษัทย่อยที่ปรากฏในงบการเงินรวมสำหรับช่วงปี 2546-2548 ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์น้ำมัน ในทางกลับกัน กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ สรุปดังนี้
ผลิตภัณฑ์/บริการ | ปี 2546 (ปรับปรุงใหม่) | ปี 2547 (ตรวจสอบ) | ปี 2548 (ตรวจสอบ) | |||
ล้านบาท | ร้อยละ |
ล้านบาท |
ร้อยละ |
ล้านบาท |
ร้อยละ |
|
รายได้ | ||||||
1. ผลิตภัณฑ์ก๊าซ | 156,727.93 | 32.0 | 177,077.77 | 27.5 | 206,585.87 | 22.2 |
2. ผลิตภัณฑ์น้ำมัน | 294,281.00 | 60.1 | 424,841.98 | 65.9 | 655,338.86 | 70.5 |
3. ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรวม | 38,704.48489,713.41 | 7.9100.0 | 42,773.80644,693.55 | 6.6100.0 | 67,791.36 929,716.09 |
7.3 100.0 |
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) |
||||||
1. กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ | 54,174.63 | 86.7 | 72,959.41 | 92.0 | 92,161.05 | 80.6 |
2. กลุ่มธุรกิจน้ำมัน | 5,581.44 | 8.9 | 5,643.35 | 7.1 | 7,252.65 | 6.3 |
3. กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี4. กลุ่มธุรกิจการกลั่นรวม | 2,744.94-62,501.01 | 4.4-100.0 | 99.78636.3179,336.44 | 0.10.8100.0 |
1,739.86 13,205.20 114,358.76 |
1.5 11.6 100.0 |
ภาษีอากร | 14,413.93 | 18,676.57 | 25,565.62 | |||
กำไร(ขาดทุน)สุทธิ | 37,579.58 | 62,666.47 | 85,521.29 | |||
กำไรสุทธิต่อหุ้น (บาท) | 13.43 | 22.40 | 30.57 |
ไม่มีความเห็น