เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก เมื่อจำเป็นต้องไปรพกับแม่เราก็จะรู้และเข้าใจว่า เราต้องรอนานหลายชมกว่าจะได้กลับบ้าน บางทีไปแล้วก็ต้องรอบ่าย สรุปแล้วไปเช้ากลับบ่ายทุกครั้ง แถมต้องเดนไกลอีกด้วยเพราะว่าต้องลงจากคิวรถ เดินมา รพ อีกหลายกิโล3 กิโล ช่วงไหนที่แม่มีตางค์หน่อยก็จะได้นั่งรถปั๋น 3 ล้อไประกับแม่ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้วก็สงสารคนปั่นรถเพราะว่า คงจะหนักและเหนื่อยน่าดูเพราะว่าผมนั่งสองคนกับแม่
ที่รพ คนก็จะมากและมาก เราก็จะนั่งๆ และก็รอว่าเมื่อไหร่จะเป็นคิวของเรา เมื่อเราเข้าไปแล้วเราก็เตรียมสิ่งที่จะบอกกับคุณหมอผู้ที่เรารู้สึกว่าน่าเกรงขาม กลัวบางครั้ง และคิดว่าท่านจะฟังๆเรามากๆทุกอย่างที่เราไม่สบาย และบอกสิ่งที่เราเป็นให้เรารู้และเข้าใจ แต่บางครัง้ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น เราได้อยู่กับคุณหมอเพียงชั่วอึดใจเดียวเอง พูดและบอกท่านได้เพียง1/4 ของสิ่งที่เราต้องการบอก ตอนที่เด็กนั้นเราคิดว่าทำไมเวลาที่เราได้พูดนั้นน้อยจังเลย
ความจริงตอนนี้เมื่อเราเปลี่ยนหน้ากากมาทำหน้าที่นี้บ้าง เรากลับพบว่าบางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะย้ำรอยเดิมกับสิ่งที่เราได้สัมผัส เมื่อย้อนนึกถึงประสบการณ์ มันส่งผลต่อการทำงานทุกวันนี้มาก คนไข้ที่มาก คนที่มารอตั้งแต่เช้า ได้กลับบ่าย คนที่ถูกตัดบ่าย เขาคงรู้สึกเหมือนเราตอนที่เราเด็กๆ การทำงานบางก็ต้องการให้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเร่งได้ วันหนึ่งๆที่เราทำงาน เดี๋ยวห้องคลอดก็ตาม เดี๋ยวห้องผ่าตัดก็ตาม เดี๋ยวหอผู้ป่วยก็ตาม ห้องฉุกเฉินก็โทรมา ดูแล้วหัวหมุนไปหมด(บางวัน) การเป็น GP มันเหนื่อยเช่นนี้เองผู้คนถึงดิ้นรนเพื่อเรียนต่อเฉพาะทาง ถึงไม่อยากอยู่รพ ชุมชน เพราะต้องดูทุกๆอย่าง ต้องรู้ทุกอย่างให้มากที่สุด แต่ยิ่งเรารู้มากก็จะสามารถดูแลคนไข้ได้ดียิ่งๆขึ้น
ผมได้พบ และ พูดคุยกับน้องKmsabai แล้ว เห็นสถานการณ์ที่ รพ.ปาย แล้ว...
รู้สึกเห็นใจ และ อยากให้กำลังใจในการทำงาน
"การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" ครับ
ขอต่อด้วยอีกคนว่า " การทำงานหนักเป็นดอกไม้งามของชีวิตคะ" คิดว่าเรื่องเล่าที่ทำ link ให้คงจะทำให้คุณสุพัฒน์มีพลังใจในการทำงานบ้างนะคะ