ความสำเร็จของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง...ทำได้ด้วยความเชื่อมั่น


พี่เหน่นกลับมาบ้านได้ประมาณสิบวันในช่วงก่อนเปิดเทอม ปีนี้พี่เหน่นอายุเต็มยี่สิบปีแล้ว เรียนอยู่ปีสองคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ความตั้งใจอย่างแรกของการกลับบ้านครั้งนี้ก็คือ จะมาสอบใบขับขี่รถยนต์ คุณแม่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าจะรอดไหมนี่ลูก เวลาแค่นี้ แต่พี่เหน่นยืนยันว่าขับได้และเคยขับให้เพื่อนมาแล้ว ก็เลยอยากทำติดตัวไว้ ไม่อยากทำผิดกฎหมาย คุณแม่ก็เลยขอให้น้าหมีคน(สอน)เก่งช่วยดูให้หน่อยว่า พี่เหน่นพอจะไปสอบได้หรือไม่ เพราะน้าหมีติวเข้มให้ป้าดาจนสอบผ่านมาแล้วทั้งๆที่ป้าดาเองไม่ค่อยมั่นใจนัก ปรากฎว่าหายกันไปประมาณสามชั่วโมง คุณแม่โทรถามความคืบหน้า พบว่าน้าหมีส่งเสียงมาอย่างมั่นใจว่า น้องเหน่นคล่องมาก ไม่จำเป็นต้องติวอะไรเลย ทุกอย่างที่ต้องสอบน้องเหน่นทำได้อย่างคล่องแคล่วแน่นอน ฟังจากน้าหมีแล้วคุณแม่ก็สบายใจ เพราะน้าหมีเป็นคนตรงมากและช่างตำหนิ ถ้าให้ผ่านแสดงว่าผ่านจริงๆ

การสอบใบขับขี่ในปัจจุบันของคนหาดใหญ่ต้องเดินทางไปที่สงขลา และใช้เวลาสองวันคือวันแรกสอบทฤษฎีหลังจากฟังการอบรมก่อน แล้ววันต่อมาจึงเอารถไปสอบขับ ในวันแรกคุณพ่อไม่ว่างก็เลยส่งลูกขึ้นรถจากหอนาฬิกาให้ไปเองตั้งแต่เช้าก่อนแปดโมง ประมาณบ่ายกว่าๆพี่เหน่นโทรมาหาคุณแม่ถามวิธีกลับ เพราะรถไม่เหมือนขาไป ก็เลยได้ถามจากพี่พิทยา สาวสวยเกาะยอถึงวิธีกลับ นั่งรถสามต่อกลับมาถึงมอ.ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง สอบได้ 26/30 ก็ถือว่าผ่านเรียบร้อย (เกณฑ์คือเกิน 23) วันต่อมาน้าหมีไปเป็นเพื่อน เอารถพ่อไปสอบขับ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็เสร็จสิ้นขบวนการ สอบผ่านได้ใบขับขี่มาเรียบร้อย

สิ่งที่คุณแม่ทึ่งพี่เหน่นก็คือ การเรียนรู้เรื่องการขับรถทั้งรถยนต์และมอร์เตอร์ไซค์นั้น พี่เหน่น เรียนรู้จากการสังเกตล้วนๆเลย แต่เห็นได้ชัดว่าพี่เหน่นเป็นเด็กช่างสังเกตและรักที่จะเฝ้ามองการทำสิ่งต่างๆ จดจำขั้นตอนและกฎระเบียบได้อย่างเป็นธรรมชาติ พี่เหน่นเป็นคนคอยบอกคุณพ่อว่า ให้เปิดไฟเลี้ยวในบางครั้งที่คุณพ่อลืม (นานๆที) พี่เหน่นมักจะนั่งคู่กับคุณพ่อเป็นนาวิเกเตอร์เสมอในเวลาเดินทาง จำลักษณะและทะเบียนรถที่เราผ่านได้แม่นยำจนคุณแม่คิดว่าลูกน่าไปเป็นนักสืบ ในครั้งแรกที่ลูกลงมือขี่มอร์เตอร์ไซค์และขับรถ คุณแม่ก็ได้เป็นผู้สังเกตการณ์และเอาใจช่วย แนะนำเพียงเล็กน้อยว่าควรระวังอะไร แล้วก็รับหน้าที่ผู้โดยสารคนแรกของรถที่ลูกขับขี่ ถึงจะหวาดเสียวแต่ก็แสดงความเชื่อมั่นในตัวลูก แล้วก็ได้เห็นว่า เขาทำได้จริงๆ

บันทึกไว้เพื่อเป็นความทรงจำดีๆในอีกเรื่องหนึ่งของลูก ยืนยันได้ว่า การที่ลูกเติบโตมาจากการเรียนรู้แบบธรรมชาติอย่างมีความสุข ไม่ต้องมีกฎกติกาอะไรมากมาย ใช้สามัญสำนึกของการเป็นคนธรรมดาที่ดี ไม่ต้องแข่งขันกับใคร แต่พัฒนาตัวเองด้วยความพอใจในตัวเอง ทำให้ลูกเป็นคนธรรมดาที่น่าภูมิใจ เพราะเขาดูมีความสุขและทำอะไรๆได้แบบไม่มีความกดดัน คนเป็นแม่อย่างเราก็ดีใจไปด้วยที่วิธีการที่เราเรียนรู้ผ่านมาในการเลี้ยงดู บ่มเพาะพวกเขา ทำให้คุณแม่อย่างเรามีสามหนุ่มน้อยที่ต่างแบบกัน แต่ทั้งสามคนก็มีเอกลักษณ์ในตัวเอง ที่เป็นคนธรรมดา ธรรมชาติ ไม่ยึดติดกับกรอบเกณฑ์ของสังคมสมัยใหม่ ลูกรู้จักเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจโดยไม่ต้องสนใจกับค่านิยมใดๆที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง เชื่อว่าทั้งสามหนุ่มจะเป็นพลังดีๆในสังคมต่อไป แค่นี้คุณแม่อย่างเราก็มีความสุขแล้วนะคะ

หมายเลขบันทึก: 507489เขียนเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2012 23:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม 2012 16:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

"พี่เหน่น" ช่างสังเกตและละเอียดรอบคอบโดยธรรมชาติจริงๆ คะ.. ขอถาม..แรงบันดาลใจอะไรทำให้พี่โอ๋ มีทัศนะการเลี้ยงลูกแตกต่างจากกระแสสังคม -- สามารถทำให้ลูกๆ ภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนเองคะ

พี่โอ๋ครับ...อ่านด้วยความทึ่งและชืนชมจังครับ...ผมขอนำไปใช้กับทิมดาบบ้างนะครับ...ขอบคุณครับ

สวัสดีครับพี่โอ๋ อ่านเรื่องราวของน้องเหน่น แล้วนึกถึงการถอดหลักคิดของลูกๆ จากคุณพ่อคุณแม่ น้องเค้าไม่ได้ออกนอกแนวทางเลยนะครับ เค้าก็อปปี้ความเป็นตัวเอง ความมั่นใจในตนเอง จากต้นแบบและก็ปรากฏให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นอีกครั้งซึ่งเราก็มักจะปลื้มใจไปด้วยเสมอ น้องสามคนไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิด เมื่อมีความมั่นใจและมีความคิดเป็นของตนเอง พี่โอ๋ก็ได้สามหนุ่มสามมุม อย่างวันนี้น่ะครับ ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ นะครับ บันทึกอย่างนี้มีความหมายมากสำหรับคุณพ่อคุณแม่อย่างมากครับ

  • เป็นบันทึกที่มีคุณค่ามากค่ะ เพราะสังคมไทยในปัจจุบัน ต้องการการเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และมีความสุข ดังตัวอย่างการเี้ยงดูบุรชายทั้งสามของ "ดร.โอ๋-อโณ" ที่ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า...
  • บันทึกไว้เพื่อเป็นความทรงจำดีๆในอีกเรื่องหนึ่งของลูก ยืนยันได้ว่า การที่ลูกเติบโตมาจากการเรียนรู้แบบธรรมชาติอย่างมีความสุข ไม่ต้องมีกฎกติกาอะไรมากมาย ใช้สามัญสำนึกของการเป็นคนธรรมดาที่ดี ไม่ต้องแข่งขันกับใคร แต่พัฒนาตัวเองด้วยความพอใจในตัวเองทำให้ลูกเป็นคนธรรมดาที่น่าภูมิใจ เพราะเขาดูมีความสุขและทำอะไรๆได้แบบไม่มีความกดดัน คนเป็นแม่อย่างเราก็ดีใจไปด้วยที่วิธีการที่เราเรียนรู้ผ่านมาในการเลี้ยงดู บ่มเพาะพวกเขา ทำให้คุณแม่อย่างเรามีสามหนุ่มน้อยที่ต่างแบบกัน แต่ทั้งสามคนก็มีเอกลักษณ์ในตัวเอง ที่เป็นคนธรรมดา ธรรมชาติ ไม่ยึดติดกับกรอบเกณฑ์ของสังคมสมัยใหม่ ลูกรู้จักเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจโดยไม่ต้องสนใจกับค่านิยมใดๆที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง เชื่อว่าทั้งสามหนุ่มจะเป็นพลังดีๆในสังคมต่อไป แค่นี้คุณแม่อย่างเราก็มีความสุขแล้วนะคะ
  • ขอโทษด้วยนะคะที่พิมพ์ผิด รีบร้อนมากค่ะ เพราะมีนัดค่ะ ...การเี้ยงดูบุรชายทั้งสามของ "ดร.โอ๋-อโณ"ที่ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า...ขอแก้เป็น...การเลี้ยงดูบุตรชาย...ค่ะ

"พี่เหน่น" เป็นเด็กช่างสังเกต ช่างจดจำ ช่างคิด อนาคตหายห่วงได้เลยค่ะพี่โอ๋

ขอบคุณสำหรับดอกไม้จากทุกท่านนะคะ เป็นความดีใจที่ได้ถ่ายทอดความรู้สึกและการเรียนรู้ที่ได้รับจากการเลี้ยงลูกๆค่ะ เพราะพิสูจน์จากผลงานที่เห็นว่าแนวคิดของเรามาถูกทางแล้ว คำถามของน้องหมอป.ทำให้พี่โอ๋ได้คิดว่า แรงบันดาลใจน่าจะเป็นเพราะพี่โอ๋ถูกเลี้ยงมาแบบนี้ด้วยละมังคะ อาจจะมีกรอบมากกว่าหน่อย แต่เมื่อเราดื้อคุณพ่อคุณแม่ก็ยอมตามเรา ทำให้เราเป็นตัวเราเองที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบใคร พอมีลูกก็ตั้งใจไว้ว่า อยากให้ลูกมีชีวิตที่เป็นอิสระ มีความสุข ก็เลยใช้แนวคิดนั้นค่ะ ไม่เห็นด้วยกับการบังคับให้ลูกเรียนตามกรอบโดยไม่เข้ากับธรรมชาติของเขา สามหนุ่มน้อยของพี่โอ๋เขาต่างกันมาก เราก็สังเกตและส่งเสริมในสิ่งที่เขาชอบ ที่เขาอยากทำ สมัยเด็กๆก็แค่ตีกรอบ ตั้งกฎในเรื่องที่เป็นวินัยพื้นฐานในชีวิตประจำวันเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่ของเราที่เป็นพ่อแม่ พี่โอ๋เห็นจริงในสิ่งที่คิดในวันที่เขาโตกันหมดแล้วนี่แหละค่ะ

สิ่งที่สำคัญน่าจะเป็นอย่างที่คุณเพชรวิเคราะห์ไว้นี่แหละค่ะ เรามีแนวคิดยังไง ลูกก็จะถ่ายทอดซึมซับไปจากเรา พี่โอ๋พยายามทำให้ได้อย่างที่เราคิด เราพูดด้วยค่ะ ลูกจะเชื่อในสิ่งที่เราทำมากกว่าสิ่งที่เราพูด เพราะฉะนั้นไม่ต้องสอนมากแต่ทำเป็นต้นแบบในสิ่งที่เราคิดว่าดี ถ้าลูกเห็นว่าดี เขาก็จะนำแนวทางเราไปปรับใช้เอง เหมือนสองสาวของคุณเพชร พี่โอ๋ก็เชื่อมั่นว่าน้องทั้งสองก็น่าจะนำความยินดีมาสู่คุณพ่อคุณแม่ได้เหมือนสามหนุ่มของพี่โอ๋ค่ะ 

พี่โอ๋เชื่อว่าน้องทิมดาบของคุณอดิเรกน่าจะเป็นคนคุณภาพของสังคมได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณพ่อคุณแม่แน่ๆค่ะ เห็นตัวอย่างที่ดีอย่างสม่ำเสมอแบบนั้น

อ.วิ Ico48 มาใน"ลุค"ใหม่จำแทบไม่ได้เลยค่ะ โอ๋เห็นใจคุณครู อาจารย์มากๆค่ะที่ต้องรับภาระในการอบรมบ่มนิสัยเด็กสารพัดที่มา หากพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่ตัวเอง แต่หวังจะให้สถานศึกษาทำหน้าที่ให้ดีก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะคะ พ่อแม่รับผิดชอบเด็กในสัดส่วนที่น้อยกว่าครูอาจารย์มาก แถมยังรู้จักลูกตัวเองดีกว่าใครๆ หากยังอบรมบ่มเพาะไม่ได้ ไฉนเลยครูบาอาจารย์จะรับภาระไหว

พี่โอ๋อยากเผยแพร่แนวคิดในการเลี้ยงดูลูกแบบที่ทำมาให้คุณพ่อคุณแม่ที่ยังมีลูกเล็กๆนำไปปรับใช้ เพราะเชื่อว่าเด็กๆเขามีศักยภาพเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกันนะคะ น้อง Ico48ถ้าเราคนที่ใกล้ชิดเด็กที่สุดเรียนรู้และเข้าใจ ส่งเสริมในสิ่งที่เขามี เด็กๆก็จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขกับศักยภาพของตัวเอง ไม่ต้องวิ่งตามกระแสสังคมใดๆ รู้จักคิด รู้จักเลือกที่จะดำเนินชีวิตด้วยศักยภาพที่ตัวเองมีได้อย่างมีความสุข ชีวิตคนเราคิดได้แบบนี้ อยู่ที่ไหน ทำอะไรก็มีความสุข จริงไหมคะ

ขอชื่นชมพี่โอ๋และคุณพ่อสามหนุ่มนะคะ  ที่เป็นต้นแบบที่ดีถ่ายทอดตามธรรมชาติ  การศึกษา  คิดเองเป็น   เชื่อมั่นว่าถูกต้อง  ค่อย ๆ กล่อมเกลา.....สามหนุ่มไปถูกทาง

 

ทุกวันนี้อ้อได้แต่พยายามออกแบบการเรียนรู้  ตั้งวง "โสเหล่"  ค่อย ๆ ให้พ่อแม่ชนบทที่สระใครเห็นความสำคัญการเลี้ยงลูกคนหนึ่ง  ให้พร้อมเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว  ของชุมชน  

 

ทุกคนก็อยากได้ลูกหลานที่เติบโตเป็นคนดี  รักลูกหลานมากนะคะ

 

แต่ทักษะการเป็นพ่อแม่....ยังน่าเป็นห่วงมากค่ะ  ปู่ย่าตายายด้วยนะคะ  บางคนทนเห็นลูกหลานร้องไห้ไม่ได้  ไม่รู้วิธีขัดใจเด็กอย่างไรให้พอเหมาะพอดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท