เรื่องบั้งไฟพญานาคในแม่น้ำโขง ผมขอเสนอทฤษฎีดังนี้ (คิดไว้เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๔๓ )
มีปลาไหลยักษ์ ที่จำศีลอยู่ใต้ดินท้องแม่น้ำทั้งปี จะออกจากจำศีลก็ในวันเพ็ญเดือน 11 พอดีเท่านั้นพอออกมา สิ่งแรกที่ทำคือการ เรอ เอาแก๊สในท้องที่สะสมตลอดปีออกมา แก๊สลอยขึ้นผิวน้ำ พลันที่ได้รับออกซิเจนจากอากาศ ก็เกิดการจุดติดไฟได้ด้วยตนเอง (auto ignition) ก็กลายเป็นลูกไฟลอยขึ้นไปในอากาศ ให้เราเห็นเป็นบั้งไฟพญานาค
เรื่องสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์น้ำออกมาทำกิจกรรมในคืนวันเพ็ญปีละครั้งไม่ใช่เรื่องแปลก เช่น เต่าวางไข่ แมงดาทะเล ปลาแซลมอน และปลาอื่นๆ เข้าใจว่าเป็นเพราะพวกเขามีประสาทที่สัมผัสแรงดึงดูดโลกได้ ส่วนปลาไหลนั้นก็สามารถอยู่ใต้ดินได้เป็นปีอยู่แล้วตามปกติ
เมื่อออกมาจากจำศีลใต้ดินก็หายใจออก (เรอ) เป็นครั้งแรก เพื่อคายแก๊สที่สะสมไว้ในท้องเป็นเวลาหนึ่งปีออกมา แก๊สนี้เกิดจากอาหารที่กินเข้าไปแล้วหมักไว้หนึ่งปีเต็ม แล้วแก๊สนี้ก็ลอยขึ้นไปบนผิวน้ำ พอผสมกับอากาศก็เกิดการเผาไหม้
แสดงว่าแก๊สนี้ไม่ใช่แก๊สมีเทน (CH_4 ธรรมดา) เพราะแก๊สมีเทนจะไม่ติดไฟที่อุณหภูมิบรรยากาศปกติแต่เป็นแก๊สที่ไวไฟกว่านั้นมาก.. ที่คงมีอนุมูลอิสระที่ไวไฟปนอยู่มากจนเกิดการสันดาปเริ่มต้นด้วยตนเองได้ที่อุณหภูมิบรรยากาศ (เช่นอาจเป็น พวกอนุมูลอิสระ ของ H CO OH เป็นต้น หรือแม้แต่อะไรที่ไวไฟกว่านี้ ซึ่งนักเคมีน่าจะลองศึกษากันดูนะ ในระบบวิทยาศาสตร์ฝรั่งก็มีคำว่า ambient combustion ..การเผาไหม้ในสภาวะธรรมดา หรือspontaneous combustion)
เผอิญเรื่องนี้ไปพ้องกับหนังสือที่ผมเคยอ่านไว้นานมากแต่สมัยเป็นหนุ่มแล้ว เป็นอัตตชีวประวัติของพระธุดงค์รูปหนึ่ง (ลืมชื่อท่านไปแล้ว) ปักกลดอยู่ริมโขง วันหนึ่งท่านได้กลิ่นคาวมากๆ จากระยะไกล จึงไปสำรวจดู พบว่าเป็นกลิ่นมาจากปลาไหลยักษ์ที่เลื้อยออกมาจากรูริมน้ำโขง มีขนาดยาวสัก 3 วา (ก็ขนาดงูเหลือมยักษ์นั่นเอง) มีหลายตัวมาก แต่ละตัวมีสีเหลือบแวววาวหลากหลายสี ท่านเล่าไว้อย่างนั้น โดยบริบทที่เล่าไม่เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคแต่ประการใด
ผมเลยลองเอาปลาไหลยักษ์ที่ว่ามาเชื่อมกับบั้งไฟพญานาคดู
มีปลาบางชนิดสามารถอยู่ใต้น้ำได้ตลอดกาลโดยไม่ต้องโผล่มาหายใจ โดยสามารถดูดออกซิเจนเอาได้จากน้ำนั่นเอง นับเป็นวิวัฒนาการที่แปลกประหลาดพอสมควร
ปลาไหลยักษ์ที่ว่านี้อาจโผล่ออกมาจากใต้ดินปีละครั้งและหากินอยู่ใต้ท้องแม่น้ำโขงโดยไม่โผล่ขึ้นมาให้ใครจับได้เลย
เขากำหนดว่าต้องโผล่จากใต้ดินมาในวันเพ็ญเดือน 11 เท่านั้นด้วยเหตุผลต่างๆนานาที่สุดเดา
อาจเป็นว่า
1. เป็นช่วงน้ำลึกมาก
ทำให้ปลอดภัยต่อการถูกล่า
2. เป็นช่วงเวลาที่มีอาหาร เช่น ปลาเล็กๆให้กินมาก (ปลาเล็กๆหลายชนิดก็มีพฤติกรรมมาชุมนุมปีละครั้งเช่นเดียวกัน โดยยึดหลักจันทรคติ ปลาไหลยักษ์ท่านก็เลย timing มาให้เวลาตรงกันเสียเลย เช่น เสือก็จะออกลูกยามที่มีกวางมากนั่นแหละ เพื่อจะหาอาหารมาเป็นนมให้ลูกดื่มกินได้ง่าย) พอกินปลาเล็กเสร็จก็ผสมพันธุ์ วางไข่ แล้วดิ่งลงใต้บาดาลต่ออีกหนึ่งปี
ท่านไม่ต้องดูไกล ปลาไหลที่เราเอามาแกงกินก็จำศีลใต้ดินเกือบทั้งปีตลอดฤดูอยู่แล้ว พอฝนตกมีน้ำลึกก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นหรอก ชอบอยู่แต่ก้นบึงเท่านั้น ไม่ออกมาหายใจให้เห็นด้วย เอาเบ็ดไปตกก็ไม่ได้กินเขาหรอก เพราะเขาหากินที่ก้นน้ำเท่านั้น แต่คนอีสานเขาเก่ง รู้นิสัยปลาไหลดี ก็เอาลันไปดัก โดยต้องเอาหินถ่วงให้ปากลันอยู่ติดก้นหนองน้ำ เอาหอยโข่งทุบไว้ส่งกลิ่นไปล่อให้ปลาเข้าลัน
เร็วนี้ ผมได้ไปค้นเน็ต หาเจอข้อมูลการเผาไหม้แบบที่เรียกกันว่า เผาไหม้ด้วยตนเอง หรือ spontaneous combustion หรือ Pyrophoricity
http://en.wikipedia.org/wiki/Pyrophoricity
การเผาไหม้แบบนี้ชอบน้ำ และหรือ ความชื้นเสียด้วย และสามารถก่อเปลวเพลิงได้เองในอุณหภูมิห้องธรรมดา โดยไม่ต้องเอาไม้ขีดไปจุดแต่อย่างใด (ดังนั้นจึงเรียกว่า Spontaneous หรือ Self combustion ไงล่ะครับ)
ผมเคยเสนอให้กองทัพเรือไทย สร้างเรือดำน้ำ ลงไปกวาดถ่ายหาปลาไหลยักษ์นี้ที่ท้องแม่น้ำโขง ในคืนวันเพ็ญนั้น โดยนำเสนอต่อนายพลเรือ หลายคน ที่มาเลี้ยงรุ่นกัน ปลากดว่า (ปลาไหลไม่รู้จะว่าด้วยไหม) ไม่มีท่านใดสนใจ เห็นคุยกันแต่เรื่องตีกอล์ฟ
...คนถางทาง (๙ เมษายน ๒๕๕๕)
เดี๋ยวมาอ่าน ยุ่งค่ะอยู่เวร
มันเป็นตำนานที่น่าสนใจมากๆค่ะ แต่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ อย่างน่าเชื่อถือ แล้วไอ้รอยคล้ายงูยักที่ชอบมาเลี้ยงบนหลังคารถ มีทุกปีเนอะ นี่ก็อีกหนึ่ง ทฤษฎีที่น่าสนใจค่ะแต่คนอ่านความรู้ไม่มากพอ ในการแลกเปลี่ยน เรื่อง ปลาไหลยัก. แก๊สในท้องปลา งั้น.. ช่วยให้ดอกไม้ค่ะ แฮ่ :)
ปลาไหลยักษ์หน้าตาเป็นอย่างไร มีใครเคยพบเห็นหรือศึกษามั้ยครับว่ามันอยู่ตระกูลใหน อย่างไร