การถอดบทเรียนในระยะกลางน้ำ หรือถอดบทเรียนในระหว่างการดำเนินงาน (During Action Review : DAR) ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญมาก เพราะทำให้เราได้ทบทวนวิธีการขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อปรับปรุงแก้ไข หรือแม้แต่การต่อยอดกิจกรรมในช่วงเวลาที่เหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้-
โครงการอาหารปลอดภัย ชุมชนใส่ใจสุขภาพ (สาขาโภชนาการและการจัดการความปลอดภัยในอาหาร คณะสาธารณสุขศาสตร์) เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการดังกล่าว เมื่อจัดกิจกรรม 1 หลักสูตร 1 ชุมชนได้ในระยะหนึ่ง ก็เปิดเวทีถอดบทเรียนด้วยการให้นิสิตที่เกี่ยวข้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีประเด็นสำคัญๆ ในการถกคิด (โสเหล่) คือ วิธีการขับเคลื่อนกิจกรรม ความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรค ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จและความล้มเหลว รวมถึงกระบวนการที่จะขับเคลื่อนในห้วงเวลาที่เหลือเพื่อให้บรรลุซึ่งวัตถุประสงค์ (Objectives) และเป้าหมาย (Goal)
กระบวนการต้นน้ำ : เรียนรู้แบบเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน
จากการถอดบทเรียนผ่านมุมมองความคิดของนิสิต ทำให้เห็นว่ากระบวนการขับเคลื่อนในระยะต้นน้ำนั้นมีความน่าสนใจอยู่มาก ประกอบด้วยข้อมูลสำคัญๆ ที่สะท้อนถึงกระบวนการทำงานร่วมระหว่างอาจารย์กับนิสิต รวมถึงระหว่างนิสิตกับนิสิตและระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน ดังนี้
เลือกพื้นที่ : ถึงแม้นิสิตจะไม่มีส่วนร่วมในการเลือกพื้นที่ เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน อาจารย์จึงเป็นผู้คัดเลือกชุมชนและหาโจทย์การเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน แต่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ไม่ละเลยที่จะอธิบาย หรือบอกเล่า “บริบทชุมชน” ให้กับนิสิตฟัง เพื่อให้นิสิตเห็นภาพโดยรวมของความเป็นชุมชน เห็นโจทย์ของ“การเรียนรู้คู่บริการ” (Service Learning) เป็นเสมือนทุนทางปัญญาเล็กๆ ที่นิสิตสามารถไปปะติดปะต่อให้เกิดความแจ่มชัดเมื่อต้องลงสู่การสัมผัสจริงในชุมชน ซึ่งนิสิตวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเลือกชุมชนไว้ดังนี้
หารือภายในกลุ่ม : นิสิตได้แบ่งภาระกิจการทำงานเป็นระบบ โดยระยะที่หนึ่งคือการแบ่งกลุ่มเก็บข้อมูลชุมชนด้วยเครื่องมือ 7 ชิ้นที่ได้รับการถ่ายทอดจากเวทีการฝึกอบรมที่ดำเนินการโดยคณะทำงาน 1 หลักสูตร 1 ชุมชนของมหาวิทยาลัย ตลอดจนอาจารย์ผู้สอนในรายวิชาที่ได้สอนเพิ่มเติมอย่างเป็นรูปธรรม ดังจะเห็นได้จากการบรรยายในชั้นเรียนและประเมินผลการใช้เครื่องมือก่อนลงสู่ชุมชน ซึ่งนิสิตได้สะท้อนถึงสภาพปัญหาของการทำงานในระยะต้นคือ...ความร่วมมือในหมู่คณะ อันเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักสำคัญ คือ
ประสานชุมชน : ก่อนการเข้าสู่ชุมชนเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อมูลทั่วไปและข้อมูลอันเกี่ยวโยงกับ “สุขาภิบาลอาหาร” ในชุมชน อาจารย์และคณะทำงานได้พาแกนนำนิสิตเดินทางลงสู่ชุมชน เพื่อประชุมทำความเข้าใจกับแกนนำชาวบ้าน รวมถึงเจ้าหน้าที่จาก รพ.สต. หากแต่การประชุมดังกล่าวมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจในเรื่องเป้าหมายและวิธีการของการทำงานแบบมีส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง แต่จะยังไม่ระบุกำหนดการที่เป็นรูปธรรมในการลงสู่ชุมชน เนื่องเพราะอยากให้เป็นกระบวนการของการ “สุ่มเก็บข้อมูล” เสียมากกว่า เพื่อให้ได้ข้อมูลอันเป็นสถานการณ์จริงเกี่ยวกับระบบสุขาภิบาลอาหารให้ได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้จากปัญหาที่เกิดขึ้นจริง (Problem-based Learning) ไปในตัว
วิเคราะห์ข้อมูล : ภายหลังการลงพื้นที่เก็บข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชนและสถานการณ์จริงของระบบสุขาภิบาลอาหารในชุมชน นิสิตได้ใช้พื้นที่ในศาลาวัด หรือแม้แต่ห้องเรียนในมหาวิทยาลัยสะท้อนข้อมูลต่างๆ สู่กันฟัง มีการถกความคิด แลกเปลี่ยนกันอย่างจริงๆ จังๆ จนนำไปสู่การจัดระบบข้อมูลเพื่อเตรียมสะท้อนกลับให้ชุมชนได้ร่วมรับรู้ พร้อมๆ กับการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากอาจารย์และแหล่งสารสนเทศอื่นๆ เพื่อจัดทำเป็นสื่อ หรือนิทรรศการ ตลอดจนแผ่นพับสื่อสารกลับสู่ชุมชน
ออกแบบกิจกรรม : ภายหลังการวิเคราะห์จัดหมวดหมู่ข้อมูล นิสิตแต่ละกลุ่มได้ร่วมกันออกแบบกิจกรรมเรียนรู้สู่ชุมชน ผ่านกิจกรรมหลักคือ (1) บรรยายให้ความรู้ (2) จัดนิทรรศการและเอกสารเผยแพร่ (3) การสาธิตผ่านฐานการเรียนรู้ต่างๆ จำนวน 7 ฐาน โดยทุกๆ กระบวนการ เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge sharing) ร่วมกันระหว่างนิสิตกับชาวบ้านเป็นที่ตั้ง
กระบวนการกลางน้ำ : เรียนรู้คู่บริการ
คืนข้อมูลกลับสู่ชุมชน : นิสิตมอบหมายภารกิจต่อกันและกันเพื่อสะท้อนข้อมูลการเรียนรู้คืนกลับสู่ชุมชนใน 2 ประเด็นหลัก คือ (1) เรื่องราวอันเป็นบริบท หรือสภาพทั่วไปของชุมชนผ่านเครื่องมือ 7 ชนิด และ(2) สถานการณ์ของระบบสุขาภิบาลอาหารในชุมชน โดยเน้นการบอกเล่าแบบกันเอง ใช้เทคโนโลยีประกอบการบอกเล่าแบบง่ายๆ ผ่าน “ภาษาถิ่น” ที่ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที เน้นการสื่อสารสองทาง อันหมายถึงชวนชาวบ้านพูดคุย แสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนั้นยังจัดทำข้อมูลและองค์ความรู้เป็นคู่มือและป้ายนิทรรศการเป็นทางเลือกให้ศึกษาเพิ่มเติม ด้วยการติดตั้งไว้ในเวทีและห้องประชุมที่นิสิตใช้เป็นสถานที่สะท้อนข้อมูลต่อชุมชน
อย่างไรก็ตามข้อมูลที่สะท้อนคืนกลับสู่ชุมชนนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่เกิดจากการ “เดินเท้าเข้าหมู่บ้าน” ของนิสิต ข้อมูลที่ได้มา จึงเป็นข้อมูลจาก “ปากคำของชาวบ้าน” ล้วนๆ เสมือนกระจกที่ทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ความจริงในบางมุมที่ชุมชนเองก็อาจจะหลงลืม หรือละเลยที่จะใส่ใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังรวมถึงการบรรยายให้ความรู้แก่ “ผู้ประกอบการร้านค้า” ในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องสุขาภิบาลอาหาร เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนร่วมกัน อาทิ มาตรฐานการตั้งร้านค้าและแผงลอยที่มีอยู่ในชุมชนกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการบอกเล่าถึงกระบวนการของการตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร
เรียนรู้ผ่านฐานกิจกรรม : ภายหลังการสะท้อนข้อมูลคืนกลับสู่ชุมชน เมื่อทิ้งระยะห่างได้ซักระยะ นิสิตก็ออกซุ้มจัดกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนด้วยฐานกิจกรรม 7 ฐานประกอบด้วย (1) สารฟอกขาว (2) ยากันรา (3) บอแรกซ์ (4) ฟอร์มาลีน (5) การล้างมือ (6) BMI (7) ยาฆ่าแมลงและการล้างผัก โดยแต่ละฐานเน้นรูปแบบการบอกเล่า แจกเอกสาร จัดแสดงนิทรรศการ จัดสาธิตและการถามตอบมอบรางวัล รวมถึงการพยายามเชื่อมโยงสู่การหารือและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับทักษะชีวิตของชาวบ้านในเรื่องสุขาภิบาลอาหาร ซึ่งครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายหลักคือชาวบ้านทั่วไปและนักเรียน (อย.น้อย) เมื่อมีนักเรียนเข้ามาเกี่ยวข้อง กิจกรรมในบางส่วนจึงถูกออกแบบให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน ตีกลองร้องเต้น และสอดแทรกสาระความรู้แก่นักเรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้นำกลับไปใช้ในโรงเรียนและครอบครัวของนักเรียนเอง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) และเปิดพื้นที่ให้นิสิตผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ได้เรียนรู้ผ่านกลไกของการทำกิจกรรมหรือโครงการ (Project-based Learning) เป็นที่ตั้ง
ปัญหาและความสำเร็จของการทำงานในระยะกลางน้ำ
การถอดบทเรียนในระยะกลางน้ำของโครงการอาหารปลอดภัย ชุมชนใส่ใจสุขภาพ (สาขาโภชนาการและการจัดการความปลอดภัยในอาหาร คณะสาธารณสุขศาสตร์) นิสิตได้สะท้อนข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ของการขับเคลื่อนกิจกรรมไว้หลากหลายประเด็น เช่น
ปัญหาการสื่อสาร : เช่น
ปัญหาเรื่องสถานที่และภูมิอากาศ เช่น
ปัญหาการบริหารจัดการเรื่องเวลา เช่น
ปัญหาการทำงานของนิสิต
ความสำเร็จของการทำงานในระยะกลางน้ำ
นิสิตก็ได้สะท้อนออกมาในหลายๆ ประเด็น เช่น
บทสรุป
จากการถอดบทเรียนในเวทีดังกล่าว โดยมุมมองของผมนั้น ผมค้นพบปรากฏการณ์ของการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม 1 หลักสูตร 1 ชุมชนในหลายประเด็น ดังนี้
หมายเหตุ
1.กิจกรรมถอดบทเรียนครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยกิจกรรมรู้จักฉันรู้จักเธอ เน้นให้นิสิตได้วาดรูป หรือไม่ก็เขียนเรื่องเล่าสั้นๆ ที่เกี่ยวกับความทรงจำในการจัดกิจกรรมกับชุมชนผ่านโครงการ 1 หลักสูตร 1 ชุมชน
2.เครื่องมือการทำงานกับชุมชน (Seven tools) หมายถึง เครื่องมือที่คุณหมอโกมาตร จึงเสถียร ทรัพย์ และคณะได้จัดทำขึ้น ประกอบด้วยแผนที่เดินดิน ประวัติศาสตร์ชุมชน โครงสร้างองค์กรชุมชน ระบบสุขภาพชุมชน ปฏิทินชุมชน ชีวประวัติ/ประวัติชีวิต ผังเครือญาติ
เรียนท่านอาจารย์แผ่นดิน
สวัสดีครับ พี่ มนัสดา
มาร่วมสนับสนุนกิจกรรมนิสิตลงสู่ชุมชนอย่างใกล้ชิดเช่นนี้..อยากเห็นการขยายผลในสถานศึกษาอื่นๆด้วยเช่นกัน..ขอบคุณค่ะ..
เรียนอาจารย์แผ่นดิน กระบวนการเรียนรู้ผ่านการถอดบทเรียน ทำให้ มองรู้ ดูออก บอกได้ ถึงที่มา ที่ทำ และที่ไป เหนืออื่นใดคือได้ทบทวน ตัวเอง เพื่อนร่วมงาน ทบทวนโครงการ และทบทวนความคิด.... ขอบคุณการนำเรียนรู้ผ่านบันทึก ได้คิด ตรึก ตรอง ตาม
ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อาจารย์เขียนละเอียดดีค่ะ
ไม่ค่อยได้ทบทวนระหว่างปฏิบัติการ
จะนำไปใช้บ้างค่่ะ
น่าสนใจมากๆ เลยครับ