วช. จัดประชุม Research Expo 2012 และเชิญผมไปร่วมอภิปรายเรื่อง แนวคิดในการพัฒนานักวิจัยและเส้นทางอาชีพช่วงบ่ายวันที่ ๒๗ ส.ค. ๕๕ เป็นการบ้านว่าผมจะไปพูดอะไรดีที่เป็นประโยชน์ เพราะผมมีความเสี่ยงที่จะไปพูดแล้วไร้สาระ เนื่องจากดูชื่อผู้ร่วมอภิปรายอีก ๓ ท่านแล้ว ท่านมี “สาระ” อยู่ในกำมือ ในรูปของภารกิจโดยตรงเกี่ยวกับการพัฒนานักวิจัย คือท่านหนึ่งเป็นเลขาธิการ วช. อีกท่านหนึ่งเป็นเลขาธิการ สวทน. และอีกท่านหนึ่งเป็นผู้อำนวยการโครงการ NRU ของ สกอ. ส่วนผมมีภารกิจเป็น “กองเชียร์” เท่านั้นไม่มีภารกิจใดเป็นชิ้นเป็นอัน
ผมจึงเตรียมไปพูดแบบ “ไร้สาระแต่มีสาระ” หรือไปตอบคำถามแบบที่คำถามไม่ตรงคำตอบได้มีโอกาสทำงานแบบนี้สนุกอย่าบอกใคร
ผมเตรียมไปบอกที่ประชุมว่าระบบการพัฒนานักวิจัยต้องใช้ยุทธศาสตรเดินสองขาอย่าเดินขาเดียวเพราะมันจะกระโดกกระเดกไม่เป็นธรรมชาติและไม่ค่อยได้ผลสองขานี้คือ (๑) ระบบพัฒนานักวิจัย (๒) ระบบไม่พัฒนานักวิจัย (โดยตรง)
ระบบพัฒนานักวิจัยผมไม่พูดยกให้อีก ๓ ท่านพูดเพราะท่านพูดได้ดีกว่าผมจะพูดการพัฒนานักวิจัยด้วยระบบไม่พัฒนานักวิจัย ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งก็คือการพัฒนาให้คนไทยมีเลือดนักวิจัยทั้งชาตินั่นเอง
โลกสมัยใหม่ประเทศที่จะเจริญก้าวหน้าทันประเทศอื่นได้พลเมืองต้องเป็น “นักวิจัย” ทั้งชาติ
และเราไม่ต้องคิดหลักการดำเนินการเรื่องนี้เองมีคนคิดให้แล้วว่าหลักการดำเนินการให้พลเมืองเป็นนักวิจัยทั้งชาติคือ “การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑” เพื่อให้พลเมืองมี “ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑”เลือดนักวิจัยมันรวมอยู่ในทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รวมอยู่ใน Learning and Innovation Skills ซึ่งประกอบด้วย 4C ได้แก่ Critical Thinking, Creativity, Communication และ Collaboration ตัว C ที่เป็นหัวใจของเลือดนักวิจัยคือ Critical Thinking กับ Creativity โดยต้องเติมตัว I – Inquiry อีกตัว
มองอีกมุมหนึ่ง การจัดการศึกษาที่ถูกต้อง คือพื้นฐานของการพัฒนานักวิจัย เวลานี้ระบบการศึกษาในภาพใหญ่ ไม่เอื้อ แต่ก็มีโรงเรียน และมาตรการพิเศษที่พยายามสร้างนักเรียนที่มีพื้นฐานนี้ โดยผมตั้งข้อสงสัยว่า แนวทางพิเศษไม่ใช่ทางแก้ปัญหาแท้จริง จะเกิดผลแท้จริง ต้องจัดให้การศึกษาทั้งหมดเดินถูกทาง เมื่อการศึกษาเดินถูกทาง พลเมืองไทยจะเป็นคนที่เห็นคุณค่าของงานวิจัย
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของการวิจัย นโยบายสนับสนุนการวิจัยของไทยจึงเป็นเพียงนโยบายหลอกๆ อยู่เพียงในกระดาษ ไม่มีการปฏิบัติ อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้
หากจะให้ระบบวิจัยของประเทศไทยเข้มแข็งนอกจากมีนักวิจัยที่เก่งและจำนวนเพียงพอแล้วยังต้องมีนักจัดการงานวิจัยที่เก่งและมีจำนวนเพียงพอด้วย
มาที่ชื่อเรื่อง “เส้นทางอาชีพนักวิจัยไม่เป็นเส้นตรง” ผมเตรียมไปบอกที่ประชุมว่าไม่ว่าเส้นทางอาชีพใดๆก็ไม่เป็นเส้นตรงทั้งสิ้นหรือกล่าวใหม่ว่าเส้นทางชีวิตหรือเส้นทางอาชีพของคนที่เดินเป็นเส้นตรงจะไม่รอบรู้เพียงพอสำหรับทำงานในโลกแห่งชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนสับสนการพัฒนานักวิจัยจึงต้องพัฒนาโดยเปลี่ยนหรือหมุนเวียนงานเพื่อให้มี “ปัญญาปฏิบัติ” (phronesis) เสริมความรู้เชิงทฤษฎี ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ตราบใดที่ระบบพัฒนานักวิจัยของเรายังเป็นระบบเส้นตรง นักวิจัยจะไม่เก่งพอ และระบบวิจัยจะไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของสังคมและเศรษฐกิจ
ข้างบนนั้นคือแนวความคิดที่บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๒๔ ส.ค. ในการอภิปรายจริงในวันที่ ๒๗ ผมใช้ pptช่วยการทำความเข้าใจ อ่านและฟังได้ที่นี่ และการอภิปรายมี ๒ รอบ ใน narrated pptนี้เฉพาะรอบแรกเท่านั้น
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ส.ค. ๕๕ปรับปรุง ๒๗ ส.ค. ๕๕
ไม่มีความเห็น