แนวโน้มการศึกษารัฐศาสตร์ในอนาคต.....ตามแนวพุทธ
๑. รัฐศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนาในสภาพปัจจุบัน
การศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนาปัจจุบัน ได้มีนักวิชาการตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของไทยพยายามที่จะตีความพระพุทธศาสนาออกเป็นหลากหลายแง่มุม พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้[๑]
๑) แนวประชาธิปไตย
๒) แนวสังคมนิยม
๓) แนวธรรมิกสังคมนิยม
๔) แนวปรัชญาการเมือง
๕) แนวธรรมาธิปไตย
๖) แนวพุทธประวัติ
๗) แนวนิติรัฐ
๘) แนวมโนทัศน์
ซึ่งแนวคิดทั้งหมดนี้ เป็นแนวความคิดที่พยายามแสวงหาความหมายและอธิบายศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา ให้มีความลุ่มลึก และเกิดความหลากหลายทางด้านวิชาการ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นเรื่องธรรมดาของศาสตร์ใหม่ ๆ อย่างรัฐศาสตร์ตามแนวทางพระพุทธศาสนาเองที่จำต้องแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อเป็นการเสริมเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของตนเองว่าจะมีผิวพรรณรูปร่างน่าตาเป็นอย่างไร และพร้อมที่จะพัฒนาตนเองต่อไปในอนาคต
๑.๒ การแสวงหาเอกลักษณ์ของศาสตร์
แม้รัฐศาสตร์เองก็พยายามแสวงหาเอกลักษณ์ความเป็นศาสตร์ของตัวเองมานานแล้ว ทั้งนี้ ร.ศ. สิทธิพันธ์ พุทธหุน ได้ให้ทัศนะเอาไว้ว่า
๑) การศึกษาการเมืองโดยเน้นเรื่องของรัฐ คือมุ่งไปที่โครงสร้างของรัฐ แต่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ดังนี้
- สังกัปของรัฐดูค่อนข้างตายตัวคือรัฐบาลทำหน้าที่ในการรักษากฎระเบียบและเป็นอิสระจากการควบคุมของชาติอื่น ไม่สามารถที่จะเข้ามาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ได้ เช่น การปฏิวัติ สงคราม อาณานิคม
- สังกัปของรัฐค่อนข้างจะเน้นไปในเชิงกฎหมายมากเกินไปคือพูดถึงกระบวนการนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่ละเลยกระบวนการที่อยู่นอกเหนือทางการ เช่น กลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ สื่อมวลชน ฯลฯ
- การค้นพบสังกัปตลอดวิธีการทางการเมืองใหม่ ๆ มากขึ้น สังกัปเดิมที่ศึกษาการเมืองในแง่รัฐจึงถูกโจมตี แม้คำว่า รัฐ ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าหมายถึงอะไรกันแน่ ความนิยมในการศึกษาจึงเสื่อมลง
๒) การเมือง คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและหน้าที่ เพราะมุ่งไปที่คน และสนใจศึกษาที่กระบวนการมากกว่าลักษณะนามธรรมของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แต่ในระยะหลังกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เพราะคำว่า อำนาจ นั้นยังหาข้อยุติไม่ได้ เพราะคำว่าอำนาจมีคำจำกัดความที่กว้างเกินไปทั้งไม่มีความสัมพันธ์กับการเมืองเลย เช่น อำนาจที่ผู้จัดการบริษัทใช้กับลูกน้อง อำนาจของพ่อที่มีต่อลูก อำนาจของพระศาสดาที่มีต่อสาวก เป็นต้น
๓) การเมืองคือเรื่องของการแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม โดยเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องของการขัดแย้งซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะใช้ทรัพยากรที่ตนมีอยู่เพื่อได้มาซึ่งอำนาจ โดยมีอยู่สองกลุ่ม คือพวกที่ไม่สนใจการเมือง กับพวกที่สนใจการเมืองหรือสัตว์การเมือง (Political Animal)
แต่การใช้อำนาจในการแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าอันเป็นเรื่องของการเมืองนี้อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มการเมือง เช่น ครอบครัว โรงเรียน องค์กร ศาสนาและกลุ่มเศรษฐกิจ เป็นต้น
๔) การเมือง คือเรื่องของพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประเด็นสำคัญ ๆ ทางการเมือง การศึกษาที่ให้ความสำคัญกับผู้นำที่สามารถในการตัดสินนโยบาย เป็นประเด็นหลัก แต่ก็มีขอบเขตการศึกษาที่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้นำไม่กี่คนเท่านั้น
๑.๓ การเปรียบเทียบโครงสร้างของสถาบันทางการเมือง
การที่จะพยายามชี้ประเด็นโดยการเปรียบเทียบหลักรัฐศาสตร์เข้ากับหลักพุทธศาสตร์นั้นอาจจะไม่ตรงประเด็นมากนัก แต่ก็พอจะอนุโลมกันได้ ดังนี้
ที่ |
ประชาธิปไตย |
พุทธศาสนา |
๑ |
สถาบันรัฐธรรมนูญ |
พระไตรปิฎก |
๒ |
สถาบันนิติบัญญัติ |
พระวินัย |
๓ |
สถาบันฝ่ายบริหาร |
สถาบันสงฆ์ |
๔ |
สถาบันฝ่ายตุลาการ |
คณะพระวินัยธร |
๒. รัฐศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนาในอนาคต
ในอนาคต เป็นยุคที่เกิดสภาพไร้พรมแดนทั้งในเรื่องของอาณาเขต ประชากร การค้า การสื่อสาร แม้แต่การเมืองการปกครองก็ตกอยู่ในสภาวะเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงควรศึกษาทิศทางรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎกสำหรับอนาคต ในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๒.๑ ศึกษาเพื่อบูรณาการให้เป็นการเมืองวิถีพุทธ
หลักธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่หลากหลายหมวดหมู่ และมีชื่อแตกต่างกันไป แต่หากพิจารณาโดยรวมยอดแล้วจะเห็นว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามุ่งที่จะเสนอแนวทางให้กับมนุษย์มีชีวิตอยู่กับสังคมด้วยการเรียนรู้อย่างเท่าทันและนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้
๑) อธิบายสภาวะธรรมชาติของชีวิต เช่น สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้อย่างไร คงอยู่ได้เพราะเหตุใด
๒) อธิบายและสอนถึงวิธีการที่จะครองชีวิตอยู่อย่างมีความสุข สอดคล้องกับสภาวะธรรมชาติ การบรรเทาความทุกข์อันเกิดจากสภาวะนานาประการ
๓) อธิบายและสอนแนวทางการดำรงอยู่รวมกันของมนุษย์ในสังคมตั้งแต่ระดับ ปัจเจกชน จนถึงปวงชนระดับชาติและโลก
๔) อธิบายและแนะนำแนวทางที่จะนำหลักธรรมคำสั่งสอนไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต ประจำวันตามลักษณะปัญหา ตามระดับสติปัญญา และความประสงค์ของแต่ละบุคคล[2] เพื่อให้ทุกคนเกิดภาวะของการเรียนรู้แล้วบอกสอนด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขเหมือนพี่น้อง โดยอาศัยภูมิรู้ภูมิธรรมมาเป็นวิถีชีวิตอย่างพุทธ
๒.๒ เน้นเป้าหมายในทางพระพุทธศาสนา[3]
ดังนั้นเป้าหมายของรัฐตามทัศนะของพระพุทธศาสนาจะต้องประกอบไปด้วยหลักของอัตถะ หรือประโยชน์ ๓ ประการ คือ
๑) ทิฎฐธัมมิกัตถะประโยชน์เบื้องต้น หรือประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าที่จับต้องได้ในปัจจุบัน เช่น เรื่องของปัจจัยพื้นฐานของชีวิต หรือในเรื่องของโลกธรรม ๘ เป็นต้น ที่รัฐจำต้องสนองความต้องการของมนุษย์ในสังคมให้ได้
๒) สัมปรายยิกัตถะประโยชน์เบื้องหน้า หรือประโยชน์ในอนาคต เป็นประโยชน์ที่มนุษย์เมื่อมีความพร้อมในประโยชน์ข้อแรกแล้ว ต้องการที่จะมุ่งความดีอันสูงสุดแล้วปรารถนา เช่น เรื่องของคุณค่าแห่งชีวิต ชีวิตหลังความตาย เรื่องของบาป-บุญ-คุณโทษ หรือความสงบสุขทางใจ เป็นต้น
๓) ปรมัตถะประโยชน์ครอบคลุม หรือประโยชน์สูงสุด ในที่นี้เป็นความหมายทางศาสนาที่มีเป้าหมายสูงสุดคือนิพพาน หรือความหลุดพ้นไม่ถูกการบีบคั้นจากเหตุการณ์หรือบุคคลใดใด เป็นต้น แต่ทางการเมืองประโยชน์สูงสุดของรัฐคือความสงบร่มเย็นในรัฐ หรือจะเรียกว่ารัฐในอุดมคติ ก็ได้ แม้ในทางพระพุทธศาสนาเมื่อคนไม่ต้องการบรรลุธรรมก็ปรารถนาถึงยุคสมัยอุดมคติเหมือนกัน คือมนุษย์ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตย หรือที่เรียกกันว่ายุคศรีอาริย์ เป็นต้น
๒.๓ ขอบเขตของการศึกษาพระพุทธศาสนากับการเมือง[4]
การจะพยายามศึกษาพระไตรปิฎกแล้วเปรียบเทียบหรือประยุกต์หลักการต่าง ๆ โดยการเน้นถึงแนวทางต่าง ๆ นั้น อาจจะไม่สามารถทำได้สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาการศึกษาให้ครอบคลุมทั้ง ๓ แนวทาง กล่าวคือ
๑) การศึกษาโดยเน้นบุคคลเป็นหลัก คือการเข้าไปศึกษาตัวตนของบุคคลที่เป็นผู้นำ หรือนักการปกครอง ทางด้านแนวคิดว่าจะมุ่งเน้นเป้าหมายตามแนวพุทธศาสนาหรือไม่ พฤติกรรมการแสดงออกทั้งกาย วาจา ว่าเป็นสุจริตกรรมมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงการแสดงภาวะผู้นำที่พร้อมและกล้าที่จะตัดสินใจในทิศทางที่ดีงาม เป็นต้น
๒) การศึกษาโดยเน้นระบอบเป็นหลัก คือการเข้าไปศึกษาค้นคว้าหาระบอบการปกครองที่แท้จริงตามคัมภีร์ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา หรือรูปแบบจำลองที่อาศัยศาสนาเป็นแนวทาง เช่น สังคมสงฆ์หรือเปรียบเทียบรัฐศาสนา อย่างรัฐอิสลามในประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น
๓) การศึกษาโดยเน้นธรรมเป็นหลัก คือการตีประเด็นทางหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้กว้างกว่ามิติเดิม ๆ โดยไม่ติดยึดหรือผูกโยงกับแนวคิดการเมืองใด ๆ เพียงแต่หลักธรรมข้อไหนสามารถประยุกต์ใช้กับระบอบการเมืองอะไร แนวคิดใดก็อนุโลมประยุกต์ใช้เป็นประเด็น ๆ ไป เช่นคำว่า สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค อธิปไตย เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป การศึกษารัฐศาสตร์ในอนาคตจะต้องเน้นในการนำหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตยคือใช้หลักการปกครองแบบถูกต้องเป็นธรรมเที่ยงธรรมและความเสมอภาคไปประยุกต์ใช้ในการบริหารบ้านเมืองและประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันตามลักษณะปัญหา ตามระดับสติปัญญา และความประสงค์ของแต่ละบุคคล[5] เพื่อให้ทุกคนเกิดภาวะของการเรียนรู้แล้วพร่ำสอนด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขเหมือนพี่น้อง โดยอาศัยภูมิรู้ภูมิธรรมมาเป็นวิถีชีวิตแบบพุทธคือสันติหรือสันติภาพ.
[๑]พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม). ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก, หน้า ๑๔๙-๑๕๐.
[2]มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ปรัชญาการเมือง, (กรุงเทพมหานคร: อรุณการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๖๕๘.
[3] พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม). ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก, หน้า ๑๕๒.
[4] เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๕๓.
[5]มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ปรัชญาการเมือง, (กรุงเทพมหานคร: อรุณการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๖๕๘.
ไม่มีความเห็น