ไม่ได้นำบันทึกขึ้นมานานพอสมควรแล้ว วันนี้จึงขอเล่าเรื่องราวของชาวไทยใหญ่ เรื่องเจดีย์ทราย ซึ่งอาจจะไม่อินเทรนด์เพราะไม่ใช่เทศกาลที่มีการก่อเจดีย์ทรายในเวลานี้ แต่ยังไงก็ขอแก้ขัดไปก่อนละก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาของที่เข้ากับเวลาทันสมัยมาเล่าสู่กันอ่าน ขอเวลารวบรวมข้อมูลก่อน
“ปอยจ่าตี่” คืองานบูชาเจดีย์ทรายของชาวไต (ไทยใหญ่) จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระพุทธองค์ ซึ่งเชื่อว่าถ้าได้ร่วมประเพณีนี้จะได้กุศลที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นการสะเดาะเคราะห์ ทำให้เคราะห์กรรมไม่ดีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราให้จางหายไป สิ่งร้ายจะกลายเป็นดี สิ่งที่ดีอยู่แล้วจะยิ่งดีขึ้นไปและถือเป็นพระเพณีขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลอีกด้วย
ประวัติความเป็นมาของการสร้างเจดีย์ทรายหรือจ่าตี่ทราย มีเล่าไว้หลายเรื่อง ดังเช่น
1. จากเอกสารของสภาวัฒนธรรม อำเภอขุนยวย เขียนไว้ว่า ประวัติความเป็นมาของปอยจ่าตี่ จากหนังสือไทยใหญ่กล่าวไว้ว่า ในสมัยพุทธกาล มัลลกษัตริย์แห่งกรุง กุสินาราได้เรียกประชุมเสนาอำมาตย์และข้าราชบริพาร โดยตรัสว่าปีที่ผ่านมาได้มีการจัดงานพิธีเกี่ยวกับพระศพของพระพุทธเจ้าไปแล้ว ณ สาลวันอุทยาน ในปีนี้ควรจัดงานอะไร เพื่อรำลึกถึงพระคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นโหรหลวง ได้เสนอความคิดเห็นว่าควรให้ชาวบ้านชาวเมืองร่วมแรงร่วมใจกันก่อกองเจดีย์ทราย ถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งจะได้อานิสงส์ทั้งทางโลกและทางธรรม คือทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข และได้รับบุญกุศลมากเพราะตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพานของพระพุทธองค์ ครั้นตกลงเป็นเอกฉันท์แล้ว มัลลกษัตริย์จึงได้บัญญัติทำเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปีตั้งแต่นั้นมา
2. จากเอกสารหน่วยแหล่งวิทยาการ เรื่องศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น รวบรวมโดยนายสง่า วงศ์สุวรรณ และคณะ กล่าวถึงประวัติประเพณีปอยจ่าตี่ หรือเจดีย์ทรายว่า ประวัติความเป็นมาจากหนังสือธรรมะของชาวไทยใหญ่กล่าวไว้ว่า ในสมัยพุทธกาลมีชายคนหนึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริต ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม ขยันหมั่นเพียร ทำแต่ความดีเป็นเนืองนิจจวบจนชายผู้นี้ถึงแก่กรรมลงด้วยบุญกุศลที่ได้ทำดีมาโดยตลอดจึงได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์ เป็นเทวดาใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย คิดอยากได้อะไรก้นได้สมดังหวังทุกประการ เสวยสุขอยู่เช่นนี้เป็นเวลาเกือบ 1 แสนปี ก็จะสิ้นสุดบุญ เมื่อใกล้จะตาย ร่างของเทวดาองค์นั้นได้เปลี่ยนไปจากที่เคยเต่งตึงสวยสดงดงาม กลายเป็นเหี่ยวแห้งไม่สดใสเหมือนเดิม ซึ่งเป็นลางบอกเหตุว่าอายุขัยของการเป็นเทวดาใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เทวดาองค์นั้นจึงเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรดี ด้วยความเป็นเทวดาที่มีหูตาทิพย์ สามารถทราบได้ว่าคุณความดีที่ทำไว้ในโลกมนุษย์ใกล้จะหมดแล้ว และจะต้องไปรับกรรมที่เคยทำไว้แต่ปางก่อนในนรกแน่นอน จึงได้เดินทางไปพบเพื่อนเทวดาอีกองค์หนึ่งเพื่อปรึกษาหารือ เพื่อนเทวดาก็แนะนำว่ายังมีเทวดาผู้หยั่งรู้อีกองค์หนึ่งซึ่งสามารถหยั่งรู้และมีวิธีแก้ไขต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าพระเจ้าวิปาลี เมื่อทราบดังนั้น เทวดาจึงเดินทางไปพบและเล่าเรื่องให้ฟัง พร้อมทั้งขอคำแนะนำพระเจ้า วิปาลี เทวดาผู้หยั่งรู้ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงหลับตาลงชั่วครู่แล้วลืมตาขึ้นแนะนำว่า หากไม่อยากไปรับกรรมในนรกก็จงไปก่อกองเจดีย์ทรายถวายพระพุทธเจ้าที่ริมฝั่งมหาสมุทรให้ได้ถึง 500 กอง จึงจะรอดพ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปได้ เทวดาได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมากและรีบจะไปทำตามคำบอกทุกประการ เวลาผ่านไปจนเหลือ 7 วัน เทวดาองค์นั้นก็จะสิ้นบุญ จึงได้เดินทางไปที่หาดทรายริมฝั่งมหาสมุทร และลงมือก่อสร้างเจดีย์ทรายแดพระพุทธองค์เพื่อสะเดาะเคราะห์ เมื่อก่อเจดีย์ทรายไป พอจะครบ 500 กอง ก็มีลมพายุและคลื่นมาพัดเอาเจดีย์ทรายเหล่านั้นพังทลายหายไป ในแต่ละวันเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นทุกครั้ง จวบจนครบ 7 วัน ยมฑูตก็ขึ้นมาจากนรกเพื่อรับเอาตัวเทวดาซึ่งสิ้นบุญลงไปใช้กรรมในนรก เมื่อยมฑูตปรากฏขึ้นก็ได้แจ้งเรื่องแก่เทวดา ฝ่ายเทวดาก็ยินดีจะไปรับกรรมดังกล่าว แต่ได้ขอร้องยมฑูตว่าขอให้รอไว้ก่อนจนกว่าตนจะก่อสร้างเจดีย์ทราย 500 กองครบเสียก่อน ยมฑูตก็ตกลงตามคำขอ เทวดาจึงลงมือก่อกองเจดีย์ทรายต่อไป แต่ก็มีลมพายุและคลื่นมาพัดเอาเจดีย์ทรายละลายหายไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนยมฑูตรอไม่ไหวจึงกลับไปเมืองนรก ฝ่ายเทวดาไม่ลดความพยายามได้ก่อเจดีย์ทรายจนครบ 500 กอง ได้ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา ด้วยผลบุญดังกล่าว จึงทำให้เทวดาองค์นั้นพ้นจากเคราะห์กรรม แลได้เสวยสุขอยู่ในสรวงสวรรค์ต่อไป จากเรื่องราวดังกล่าวนี้ ทำให้ชาวไทยใหญ่นิยมจัดงาน “ปอยจ่าตี่” ก่อกองเจดีย์ทรายเพื่อบูชาพระพุทธองค์กันทุกหมู่บ้านในช่วงเดือน 6 ของทุกปี
3. จากเอกสารโรเนียวเย็บเล่มภาษาไต ชื่อ “หย่าสี่สองเหลินคำ” เขียนโดยเจเรแสงเฮิง บ้านแม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่าเดือน 5 เป็นวาระการเปลี่ยนศักราช เนื่องจากธิดาท้าวมหาพรหมเปลี่ยนวาระอุ้มเศียรบิดาไว้ในแต่ละปี ตามตำนานเล่าว่า หลังจากเกิดโลกาวินาศไฟประลัยกัลป์ล้างโลก น้ำท่วมโลก แล้วมีดอกบัว 5 ดอก ผุดขึ้นที่กลางสระใหญ่เป็นจุดเริ่มต้นของภัทรกัลป์นี้ ในกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์และในดอกบัว 5 ดอก มีจีวร 5 ชุด พระพรหมได้ลงมาอัญเชิญจีวรทั้ง 5 ชุดขึ้นไปไว้ในพรหมโลก เมื่อถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มาตรัสรู้ ท้าวมหาพรหมและคณะจะนำผ้าจีวรลงมาถวายตามลำดับ และขณะนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้ว 4 พระองค์ คือ พระศรีอาริยเมตไตย ซึ่งมาตรัสรู้ต่อจากยุคพระโคดมพุทธเจ้า บรรดาพระพรหมที่ลงมาในมนุษย์โลกมาได้สูดกลิ่นดินหอมแล้ว เกิดความพอใจพากันขุดมาชิมดู หลังจากชิมดินหอมแล้ว ทำให้วิชาญาณ(เหาะเหินเดินอากาศ)เสื่อมไม่สามารถเหาะกลับไปสู่พรหมโลกได้ จึงอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกต่อมาจนถึงปัจจุบัน เหล่าพรหมและเทวดาได้ประชุมปรึกษาเรื่องวิธีการกำหนดราศีฤดูกาล และพิจารณาหาผู้ที่มีความสามารถกำหนดราศีฤดูกาลได้ ซึ่งท้าวมหาพรหมได้รับอาสาเป็นผู้จัดทำ พร้อมกับสัญญาว่าหากไม่สามารถทำให้สำเร็จก็จะให้ศีรษะเป็นประกัน ต่อมาเมื่อไม่สามารถกำหนดราศีฤดูกาลให้ดีทัดเทียมกันได้พระอินทร์จึงขอให้ศาสดาพยากรณ์ (งะพอหมอกยาม) กำหนดฤดูกาลเป็นฤดูร้อน ฝน หนาว ซึ่งเป็นฤดูกาลตราบจนถึงปัจจุบัน พระอินทร์จึงบอกธิดาทั้ง 7 ของท้าวมหาพรหมว่า ใครสามารถตัดศีรษะของท้าวมหาพรหมได้จะอภิเษกยกขึ้นเป็นอัครมเหสี ธิดา 6 องค์ไม่สามารถทำได้ แต่ธิดาองค์สุดท้าย(วันเสาร์) ได้ใช้เส้นผมขึงกับโครงไม้ ทำเป็นเลื่อยใช้เลื่อยคอของท้าวมหาพรหมจนขาด พอขาดแล้วนำไปไว้ที่ไหนก็ไม่ได้ ไว้ในน้ำก็น้ำจะแห้ง ไว้บนบกก็เกิดไฟไหม้ จำเป็นที่ธิดาทั้ง 7 จะต้องผลัดเปลี่ยนกันทูนศีรษะของบิดาไว้คนละ 1 ปี หมุนเวียนกันไว้คนละ 1 ปี หมุนเวียนกันไปตลอดกาล พอถึงเดือน 5 ของแต่ละปีก็จะเปลี่ยนกันครั้งหนึ่ง ธิดาองค์ที่หมดภารกิจก็จะถือโอกาส ล้างมือ อาบน้ำ ซักผ้า สระผม ให้สดชื่น หลังจากที่รับภารกิจมานานเป็นเวลาแรมปี ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นประเพณีว่า พอถึงเดือน 5 เปลี่ยนศักราชใหม่ จะพากันอาบน้ำชำระร่างกาย สระผม ปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือน ในโอกาสขึ้นปีใหม่ให้เป็นกรณีพิเศษ สำหรับตัวท้าวมหาพรหมนั้น พระอินทร์ได้ทูลถามมารดาของท้าวมหาพรหมว่า จะสามารถหาศีรษะของใครมาต่อแทนได้ มารดาตอบว่าศีรษะของใครอะไรก็ได้ที่นอนหันหัวไปทางทิศเหนือ พระพรหมาและเทวดาทั้งหลายจึงพากันลงมายังโลกมนุษย์ และได้พบช้างตัวหนึ่งกำลังนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดหัวช้างนั้นนำไปต่อกับตัวของท้าวมหาพรหม ทำให้ท้าวมหาพรหมฟื้นคืนชีพและได้รับขนานนามว่า “ มหาปิงแน่” (พระพิฆเนศ) ส่วนตัวช้างก็ได้นำฟืนมาก่อกองไฟสุมฌาปนกิจจนเสร็จกิจ เหล่าพระพรหมและเทวดาทั้งหลายได้ประชุมปรึกษากันว่า บาปที่ตัดเศียรพระมหาพรหมนี้จะตกแก่ใคร พระอินทร์ตอบว่า ตกแก่ชาวเมืองทั้งหลาย เพราะชาวเมืองอยู่ใต้อิทธิพลของดวงดาวชะตาราศีฤดูกาลและถามต่อไปว่า หากต้องไถ่บาปจะต้องทำอย่างไรบ้าง พระอินทร์ตอบว่า ต้องพากันก่อเจดีย์ทราย ถวายน้ำ ถวายดอกไม้ สรงน้ำพระพุทธรูป และพระสงฆ์ให้ทำขนมไปทำบุญ ผู้เฒ่าผู้แก่และพระสงฆ์ผู้ทรงศีล อธิษฐานขอให้พ้นจากบาปและได้รับความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงเกิดมีประเพณีรดน้ำดำหัว คารวะผูเฒ่าผู้แก่ ทำขนมประเพณีแจกจ่ายและถวายพระสงฆ์สืบกันมาจนทุกวันนี้
การจัดงานปอยจ่าตี่ จะเริ่มก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ประมาณ 7 –10 วัน โดยแต่ละหมู่บ้านจะจัดคนออกป่าวประกาศไปตามบ้านเรือนต่างๆ ให้ทราบถึงกำหนดจัดงาน
เพื่อให้ชาวบ้านตระเตรียมเครื่องบูชาต่างๆ และปัจจัยที่จะถวายวัด รวมทั้งช่วยกันขนทรายเข้าวัด การก่อกองเจดีย์ทายนั้นจะเริ่มจากการเอาไม้กระดานมาทำเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ชั้นล่างสุดจะกว้าง ชั้นบนขึ้นมาจะแคบลงตามส่วน ทำเก้าชั้นส่วนยอดสวมด้วยฉัตร การเททรายลงใส่กรอบสี่เหลี่ยมทั้ง 9 ชั้น ถือตามฤกษ์ชะตาร้อยแปด ดังนี้
ทิศเหนือ 12 กระป๋อง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 6 กระป๋อง
ทิศตะวันออก 15 กระป๋อง
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ 8 กระป๋อง
ทิศใต้ 17 กระป๋อง
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ 10 กระป๋อง
ทิศตะวันตก 19 กระป๋อง
ตะวันตกเฉียงเหนือ 12 กระป๋อง
เมื่อเททรายลงในกรอบเจดีย์ทั้งสี่ด้านครบทั้ง 108 กระป๋องแล้ว จึงให้เทลงใปตรงกลางกรอบสี่เหลี่ยมตามจำนวนอายุของบุคคลนั้นๆ
เครื่องบูชาประกอบด้วย
1. ทราย ซึ่งหมายถึงธาตุดิน 20 ส่วน บูชาโดยเอาใส่กระบอกไม้ไผ่ 20 กระบอก
2. น้ำ หมายถึงธาตุน้ำ 12 ส่วน บูชาโดยใส่กระบอกจำนวน 12 กระบอก
3. พัด หมายถึงธาตุลม บูชาโดยใส่กระบอกจำนวน 6 ด้าม
4. อื่นๆ เช่นดอกไม้ ธูป เทียน ตุง กระทง ฉัตร ธงทิว สายรุ้งหลากสี ใช้ประดับเจดีย์ทรายให้สวยงาม
ก่อนวันงาน 3 – 7 วัน ชาวบ้านและศรัทธาวัดจะช่วยกันขนทรายมาที่วัดทุกวัน โดยจะใช้เวลาในตอนเย็น โดยขนทรายมากองไว้ยังที่ๆ ทางวัดจัดเตรียมไว้ จนพอเพียงที่จะก่อเจดีย์ทรายได้ ชาวบ้านบางส่วนก็จะช่วยกันทำพัด ตัดกระดาษทำตุง ธงทิว กระบอกน้ำ กระบอกทราย สานผาหลาดสะมาด (ราชวัตร) และที่สำหรับวางข้าวซอมต่อ ทั้งนี้จะมีการทำอาหารเลี้ยงผู้ที่มาช่วยเตรียมงานด้วย
พอขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันสุดท้ายของการขนทรายเข้าวัด คณะศรัทธาวัดจะช่วยกันตกแต่งองค์เจดีย์ทราย ประดับธงทิว ตุง ฉัตร สายรุ้ง ดอกไม้นานาชนิด บริเวณรอบๆ เจดีย๋กั้นด้วยผาหลาดสะมาด (ราชวัตร) ทั้งสี่ด้าน เจาะประตูเข้าด้านหนึ่ง ยามค่ำคืนจุดประทีปโคมไฟสว่างไสวในตอนเย็นของวันนี้ ทางวัดจะจัดเตรียมการต่างซอมต่อโหลง หรือถวายข้าวมธุปายาสด้วย โดยจะมีหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่แต่งกายด้วยชุดไตหลากหลายสีสวยงามเดินทางมุ่งสู่วัดนำขนมนมเนย ผลไม้ต่างๆ กล้วย อ้อย ข้าวสาร อาหารแห้ง ดอกไม้ ธูปเทียน มาถวายที่วัด ซึ่งจะมีคณะศรัทธาคอยรับและช่วยเหลือกันนำสิ่งของอาหารเหล่านี้ไปจัดสำรับ และเตรียมถวายเป็นข้าวมธุปายาสในวันรุ่งขึ้น
พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เช้าตรู่จะมีพิธีต่างซอมต่อโหลง โดยนำซอมต่อ หรือกระทงข้าวไปถวายที่เจดีย์ทราย พอสายมีการถ่อมลีก ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์และเลี้ยงอาหารผู้ที่มาร่วมงาน ทั้งนี้ตอนบ่ายจะมีการทำบ้องไฟมาจุดเป็นพุทธบูชาเพื่อให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
ขอบคุณค่ะ อ่านเสียหอบเลยค่ะ แสดงว่าแก่มากแล้ว ต้องเจียมตัว
อาจารย์หายไปนานเลยค่ะ สัปดาห์หน้า ดร.เลขาและดร.กุญชรีจะมาเยี่ยมค่ะ
แสดงว่าท่านผอ.สง่า ท่านเป็นผู้อนุรักษ์วัฒนธรรมดังเดิมของชาวเมืองปอนไว้อย่างดี น่ายกย่อง เพราะปัจจุบันเรามักจะลืมรากเง่าของตัวเอง แล้วหันไปไขว้ขว้าเอากิ่งก้านสาขามาเป็นเอกลักษณ์ โดยไม่สนใจแก่นแท้ของรากเง่านั้น หรือขว้าเอากิ่งก้านมาก็เอามาแต่เีพียงเปลือก ดี