ในตอนที่มีการลงนามและก่อตั้งสมาคมอาเซียนนั้น มีวัตถุประสงค์หลายเรื่อง และวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ การร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่ว่าปัจจัยที่สำคัญที่ก่อให้เกิดอาเซียนมานั้น เป็นปัจจัยทางการเมืองมากกว่า คือปัจจัยในเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มสมาชิกต้องการที่จะแก้ไขความขัดแย้ง ซึ่งในบางครั้งนั้นลุกลามใหญ่โตจนเกือบจะเป็นสงครามระหว่างกัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างมาเลเซีย-อินโดนีเซีย มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย-สิงคโปร์[1]
อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในปี 1967 นั้นเป็นยุคสงครามเย็น ฉะนั้นภัยที่สำคัญคือ ภัยคอมมิวนิสต์ ประเทศต่าง ๆ ที่มารวมตัวกันถึงแม้จะไม่ได้ประกาศว่ามีวัตถุประสงค์ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่สิ่งนี้เรียกว่าเป็น “วัตถุประสงค์แอบแฝง” ซึ่งไม่ได้ประกาศในขณะนั้น ดังนั้นในปี 1967 ปัจจัยสำคัญในการก่อตั้งอาเซียน คือ การต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในเรื่องเศรษฐกิจจริง ๆ แล้วถือเป็นเรื่องไม่สำคัญและไม่ได้หวังในเรื่องเศรษฐกิจเท่าใดนัก เพียงแต่เอาเศรษฐกิจมาเป็นสัญลักษณ์มากกว่าในความร่วมมือระหว่างกันเท่านั้น
จากนั้นอาเซียนก็มีพัฒนาการด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเรื่อยมา เริ่มตั้งแต่การให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า Preferential Trading Arrangement : PTA ถือเป็นจุดกำเนิดของความร่วมมือทางการค้าซึ่งพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Agreement : AFTA) ในปี 1992 โดยจะลดภาษีให้กับประเทศสมาชิกด้วยกันให้มากกว่าภาษีที่จะคิดนอกภูมิภาค และพยายามส่งเสริมให้มีความร่วมมือครอบคลุมด้านอื่น ๆ เช่น การค้า บริการ การลงทุน ซึ่งมีการจัดทำกรอบความตกลงด้านการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Service : AFAS) ในปี 1995โดยมีหลักการสำคัญ คือการขยายความร่วมมือในการค้าบริการบางสาขาที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้สมาชิกอาเซียนมากขึ้น ลดอุปสรรคการค้าและบริการ และเปิดตลาดการค้าและบริการระหว่างกลุ่มให้มากขึ้น กรอบความตกลงว่าด้วยเขตการลงทุนอาเซียน (Framework Agreement on the ASEAN Investment Area : AIA) ในปี 1998 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาเซียนเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุน ทั้งจากภายในและภายนอกอาเซียน และบรรยากาศการลงทุนที่เสรี โปร่งใส ทั้งนี้จะครอบคลุมเฉพาะการลงทุนโดยตรงในสาขาการผลิต เกษตร ประมง ป่าไม้ เหมืองแร่ และบริการที่เกี่ยวข้อง 5 สาขา แต่ไม่รวมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์[2] นอกจากนี้ อาเซียนยังได้จัดตั้งโครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (ASEAN Industrial Coorperation Scheme) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสนับสนุนการแบ่งสรรการผลิตและการใช้วัตถุดิบภายใน[3]
อย่างไรก็ตาม สามารถสรุปวิวัฒนาการสำคัญของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอาเซียน
ตามตารางดังต่อไปนี้
ตารางที่ 4.1 วิวัฒนาการสำคัญของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน
ปี |
การดำเนินการ |
2546 |
ผู้นำอาเซียนประกาศแถลงการณ์ Bali Concord ll เห็นชอบที่จะจัดตั้งประชาคมอาเซียน (Asean Community) ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เสาหลัก
|
2547 |
ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนและรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามในพิธีสารรายฉบับ รวม 11 ฉบับ ซึ่งมี Roadmap เพื่อการรวมกลุ่มสาขาสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำร่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจใน 11 สาขาสำคัญก่อน (เกษตร ประมง ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ สุขภาพ เทคโนโลยีสารสรเทศ การท่องเที่ยว และการบิน |
2548 |
เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน พิจารณาทบทวนปรับปรุงแผนงานการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนในระยะที่ 2 เพื่อปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและรวมข้อเสนอของภาคเอกชน |
2549 |
รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนและพิธีสารว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญ (ฉบับแก้ไข) |
ปี |
การดำเนินการ |
2550 |
ช่วงเดือนมกราคม : ผู้นำอาเซียนได้ลงนามปฏิญญาเซบูว่าด้วยการเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2015 เพื่อเร่งรัดเป้าหมายการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้เร็วขึ้นอีก 5 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ ปี 2020 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในปฏิญญาเซบู ว่าด้วยแผนแม่บทสำหรับกฎบัตรอาเซียน เพื่อสร้างนิติฐานะให้อาเซียนและปรับปรุงกลไก กระบวนการดำเนินงานภายในของอาเซียน เพื่อรองรับการเป็นประชาคม ช่วงเดือนสิงหาคม : รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาโลจิสติกส์ของอาเซียน โดยมี Roadmap เพื่อการรวมกลุ่มสาขาโลจิสติกส์ ซึ่งจะเป็นสาระสำคัญลำดับที่ 12 ที่อาเซียนจะเร่งรัดการรวมกลุ่มให้เสร็จโดยเร็ว |
2550 |
ผู้นำอาเซียนลงนามในปฏิญญา ว่าด้วยแผนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีแผนการดำเนินงาน (AEC Blueprint) และตารางเวลาการดำเนินงาน (Strategic Schedule) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอาเซียนให้เป็นตลาดและมาตรฐานการผลิตเดียว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก และส่งเสริมการรวมตัวของอาเซียนเข้ากับประชาคมโลก |
2551 |
รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้เห็นชอบให้จัดทำแผนงานติดตามประเมินผลการดำเนินงาน (AEC Scorecard) เพื่อวัดผลการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ภายใต้ AEC Blueprint และให้มีรายงานผลต่อผู้นำรับทราบในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นประจำทุกปี |
ที่มา : ปรับจาก กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community : AEC. 2552
เป้าหมายของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอาเซียน
อาเซียนจะรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจภายในปี 2558 (ค.ศ. 2015) โดยมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน (Single market and production base)[1] ซึ่งจะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพยากรการผลิตระหว่างกันได้อย่างเสรี เช่น ในด้านการเคลื่อนย้ายสินค้า อาเซียนจะดำเนินการลดภาษีศุลกากรและยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีให้หมดสิ้นไป สำหรับการค้า ภาคบริการและการลงทุนนั้น อาเซียนจะมุ่งหน้าดำเนินการเปิดตลาดระหว่างกัน รวมถึงการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมในบริการวิชาชีพต่าง ๆ และสนับสนุนร่วมกันภายใต้กฎระเบียบและขั้นตอนการลงทุนที่โปร่งใส[2]
นอกจากนี้ อาเซียนยังเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันให้เกิดขึ้นในภูมิภาค และละช่องว่างการพัฒนาของประเทศสมาชิก โดยมุ่งเน้นให้ประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งยังมีการพัฒนาที่ล้าหลังกว่า สามารถรับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน และอาเซียนยังเดินหน้าเจรจาขยายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกับประเทศนอกภูมิภาค โดยจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA กับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหภาพยุโรป
องค์ประกอบสำคัญของ AEC Blueprint
AEC Blueprint ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ซึ่งอ้างอิงมาจากเป้าหมายการรวมกลุ่ม
ทางเศรษฐกิจของอาเซียนตามแถลงการณ์บาหลี ฉบับที่ 2 (Bali Concord ll) ได้แก่
1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว โดยให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานมีฝีมือได้อย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนให้เป็นรูปธรรม
2. การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น กรอบนโยบายการแข่งขันอาเซียน การคุ้มครองผู้บริโภคสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (การเงิน การขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน)
3. การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค โดยการพัฒนา SMEs และการเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการริเริ่มเพื่อการรวมกลุ่มของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration : IAI) เพื่อการลดช่องว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ
4. การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาค เพื่อให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันอย่างชัดเจน เช่น การจัดทำเขตการค้าเสรีของอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการสร้างเครือข่ายในด้านการผลิต จำหน่ายภายในภูมิภาคให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานสามารถกำหนดให้มีความยืดหยุ่นในแต่ละเรื่องไว้ล่วงหน้าได้ (Pre – agreed flexibilities) แต่เมื่อตกลงกันได้แล้ว ประเทศสมาชิกจะต้องยึดถือและปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้ตกลงกันอย่างเคร่งครัดด้วย
สำหรับองค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่ การปรับปรุงกลไกด้านสถาบันโดยการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูง ประกอบไปด้วยผู้แทนระดับรัฐมนตรีทุกสาขาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนอาเซียน ตลอดจนการพัฒนาระบบกลไกการตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงาน (Peer Review) และจัดหาแหล่งทรัพยากรสำหรับการดำเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 ณ ประเทศสิงคโปร์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยประกอบด้วยแผนการดำเนินงาน (AEC Blueprint) และตารางเวลาดำเนินงาน (Strategic Schedule)
จึงนับได้ว่าขณะนี้อาเซียนได้ทำพิมพ์เขียวของการดำเนินงานไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ขั้นต่อไป คือการเริ่มลงมือดำเนินงานตามแผนงานในด้านต่าง ๆ เพื่อร่วมกันสร้างประชาคมที่เป็นหนึ่งเดียวกันของเซียนต่อไป[1]
ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน
ความสำเร็จของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลาย
ประการ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะมีส่วนสำคัญต่อการดำเนินงานเห็นจะเป็น ความหนึ่งเดียวกันของประเทศสมาชิกในกลุ่มที่จะต้องยึดมั่นและถือมั่นเป้าหมายในระดับภูมิภาคร่วมกันอย่างจริงจัง ยอมสละผลประโยชน์บางประการของประเทศเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมในระดับภูมิภาคร่วมกัน มิเช่นนั้นคงไม่สามารถผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งและกว้างขึ้นมาได้
นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจให้เห็นเป็นรูปธรรม และสร้างขีดความสามารถทางด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคให้โดดเด่น ได้แก่
1) โครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค โดยเฉพาะระบบการขนส่งที่จะต้องเชื่อมโยงถึงกัน
ในระดับภูมิภาค เพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและผู้คนได้อย่างสะดวกตลอดเส้นทาง รวมถึงการอำนวยความสะดวก ณ จุดผ่านแดนต่าง ๆ และส่งเสริมความร่วมมืออย่างจริงจังในสาขาที่มีผลเชื่อมโยงต่อการพัฒนาสาขาอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น สาขาพลังงาน สาขาการคมนาคม และการศึกษา เป็นต้น
2) นโยบายร่วมในระดับภูมิภาค อาเซียนจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางการดำเนิน
นโยบายด้านเศรษฐกิจร่วมกันในระดับภูมิภาค เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเจรจาต่อรอง รวมถึงสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในระดับภูมิภาค ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ กฎหมายภายในให้สอดคล้องกับความตกลงอาเซียนที่มีอยู่ด้วย
3) กลไกการตัดสินใจ อาเซียนควรพิจารณารูปแบบการตัดสินใจแบบอื่น ๆ ในการ
พิจารณาการกำหนดนโยบายหรือตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมภายในของอาเซียน นอกเหนือจากระบบ
ฉันทามติ (Consensus) ที่ใช้มาตั้งแต่เริ่มต้นของการรวมตัวทางเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะผลักดันให้มีการนำเอาระบบเสียงส่วนใหญ่ (Majority Vote) มาใช้กับกระบวนการตัดสินใจของอาเซียน แต่สมาชิกคงต้องหารือที่จะกำหนดแนวทางขอบเขตของระบบเสียงส่วนใหญ่เพื่อให้มีความชัดเจน โปร่งใสในการพิจารณาเรื่องสำคัญ ๆ ที่ประเทศสมาชิกจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
4) การสร้างสังคมกฎระเบียบ อาเซียนจำเป็นต้องพัฒนาไปสู่สังคมกฎระเบียบ
(Rule based Society) และสร้างนโยบายด้านการค้าและการลงทุนที่สอดประสานในระดับภูมิภาคโดยใช้จุดแข็งของประเทศสมาชิกให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างขีดความสามารถและข้อได้เปรียบในการแข่งขันให้กับอาเซียน และเน้นย้ำการปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศสมาชิกอย่างเคร่งครัด
ข้อผูกพันในด้านเศรษฐกิจ
ภายหลังจากการลงนามในแถลงการณ์ AEC Blueprint แล้ว ประเทศสมาชิกมีพันธกรณี
ที่ต้องปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าว ทั้งในด้านการเปิดตลาดสินค้า การเปิดตลาดบริการ และการลงทุนให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งการดำเนินงานจะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานภายในประเทศ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้ตกลงกับอาเซียนได้ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกันของอาเซียน ซึ่งจะเกี่ยวกับพันธกรณีสำคัญ ดังนี้
1) การเปิดเสรีการค้า
อาเซียนได้ปรับปรุงความตกลง AFTA ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น และได้จัดทำความตกลง
การค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA ) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 17 พฤษภาคม 2553 โดยความเห็นตกลงที่ครอบคลุมมาตรการสำคัญต่อการส่งออกและนำเข้าสินค้าอย่างเสรี ได้แก่ ตารางการลดภาษีตามพันธกรณีในอาฟตา การกำหนดให้ใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีเฉพาะในเรื่องที่จำเป็น การส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้า หลักปฏิบัติด้านศุลกากรกฎระเบียบทางเทคนิค กระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มาตรการเยียวยาทางการค้า
2) การเปิดเสรีการบริการ
อาเซียนวางเป้าหมายจะทำการเปิดเสรีการค้าบริการเพิ่มขึ้นจาก 65 สาขาย่อย ที่ได้ดำเนินการแล้วในข้อผูกพันชุดที่ 7 โดยจะเปิดเสรีรวมทั้งสิ้น 12 สาขาใหญ่ ประกอบด้วย 128 สาขาย่อย ภายในปี 2558 โดยการยกเลิกอุปสรรคในการให้บริการทุกรูปแบบและเปิดให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นได้ อย่างน้อยร้อยละ 70 โดยแผนงานการเปิดเสรีการค้าบริการ มีดังนี้
- สาขาบริการเร่งรัด (Priority Integration Sector : PIS) ได้แก่ E – ASEAN (สาขา
โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์) สาขาสุขภาพ สาขาการท่องเที่ยว และสาขาขนส่งทางอากาศ ในปี 2553 ต้องอนุญาตให้ผู้ใช้บริการมีสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนอาเซียนไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 70 และยกเลิกข้อจำกัดการเข้าสู่ตลาดและข้อจำกัดในการปฎิบัติเยี่ยงชาติทั้งหมด
- สาขาโลจิสติกส์ ในปี 2553 ต้องอนุญาตให้ผู้ให้บริการมีสัดส่วนการถือหุ้นของ
นักลงทุนอาเซียนไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 51 และลดข้อจำกัดการเข้าสู่ตลาด (Market Access - MA limitation) ให้เหลือ 2 ข้อจำกัด
- สาขาบริการอื่น ๆ (Non-Piority Services Sector) ต้องอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียน
ถือหุ้นได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ในทุกสาขาบริการและยกเลิกอุปสรรคทุกรูปแบบ
โดยทุกประเทศกำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำตารางข้อผูกพันชุดที่ 8 และในระหว่างนี้จะใช้ตารางผูกพันชุดที่ 7 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในการผูกพันการเปิดตลาดบริการ 65 สาขา ให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 49 ตามที่กฎหมายกำหนด
3) การเปิดเสรีการลงทุน
อาเซียนได้ลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยเขตการลงทุนอาเซียน (Framwork Agreement on the ASEAN Investment Area : AIA) ในปี พ.ศ. 2541 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาเซียนเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุน ทั้งจากภายในและภายนอกอาเซียน และมีบรรยากาศการลงทุนที่เสรีและโปร่งใส ต่อมาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายในการเปิดเสรีการลงทุนในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนได้ทบทวนข้อตกลงด้านการลงทุน AIA ให้เป็นความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน (ASEAN
Comprehensive Investment Agreement : ACIA) ที่มีขอบเขตกว้างขึ้น โดยผนวกความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนของอาเซียนเข้าอยู่ภายใน ACIA
ความตกลง ACIA ครอบคลุม 4 ประเด็นหลักใหญ่คือ การเปิดเสรี การส่งเสริม การอำนวยความสะดวก และการคุ้มครองการลงทุน โดยครอบคลุมทั้งการลงทุนทางตรง (Foreign Direct Investment : FDI) และการลงทุนในหลักทรัพย์ (Portfolio Investment) นอกจากนี้ ขอบเขตของการเปิดเสรีครอบคลุมธุรกิจ 5 ภาคและบริการที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ เกษตร ประมง ป่าไม้ เหมืองแร่ และภาค
การผลิต
พันธกรณีหลักของ ACIA ได้แก่ การให้การปฏิบัติเยี่ยงคนในชาติ (National Treatment) และการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most – Favored – Nation – Treatment) การห้ามกำหนดเงื่อนไขการลงทุน (Prohibition of Performance Requirement) และเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งบริหารอาวุโส และคณะกรรมการ (Senior Management and Board of Directors) ทั้งนี้ หากไม่ต้องการเปิดเสรี ประเทศสมาชิกก็สามารถเขียนข้อสงวนมาตรการได้ / ธุรกิจไว้ในรายการข้อสงวนได้ โดยให้เป็นไปตามความสมัครใจ แต่ระดับการเปิดเสรีจะต้องไม่น้อยกว่าที่เปิดไว้เดิมภายใต้ AIA ส่วนด้านการคุ้มครองการลงทุนใน ACIA ประกอบด้วยการปฏิบัติที่เป็นธรรม การชดเชยในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ การชดเชยในกรณีที่มีการเวนคืน การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับนักลงทุน เป็นต้น
4) การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรี
อาเซียนมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี โดยอำนวยความสะดวก
การเดินทางของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน ในด้านต่าง ๆ เช่น การตรวจตราการออกใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพและแรงงานฝีมืออาเซียนที่เกี่ยวข้องกับการค้าพรมแดน และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือภายในภูมิภาค
โดยได้ดำเนินการ 2 แนวทาง คือ
- การจัดตั้งกรอบทักษะฝีมือแรงงานระดับประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการนำไปสู่
กรอบการยอมรับฝีมือแรงงานของอาเซียน และ
- การจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบริการ
ข้อตกลง MRA เป็นการดำเนินการเพื่อเสริมและการเปิดเสรีการค้าและการบริการภายใต้
ข้อตกลงทางด้านการค้า และการบริการของอาเซียน (AFAS) โดย MRA ที่จัดขึ้นภายใต้กรอบการค้าและการบริการของอาเซียน จะเป็นพันธกรณีให้อาเซียนยอมรับร่วมกันเรื่องคุณสมบัติของแรงงานฝีมือ ประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยเป็นคุณสมบัติสำคัญที่เป็นเงื่อนไขในการขอรับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในขั้นตอนการขอใบอนุญาตที่ผ่านมา อาเซียนได้มีการจัดทำข้อตกลง MRA มาแล้วทั้งหมด 8 ฉบับได้แก่ วิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม ช่างสำรวจ ท่องเที่ยว แพทย์ ทันตแพทย์ และการบัญชี
วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยและสมาชิกในอาเซียน
จากรายงานของคณะกรรมการจัดทำรายงานสรุปสภาวะของประเทศ[1] ประจำปีได้สรุป
สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันได้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและกลับมาขยายตัวถึงร้อยละ 7.8 ในปี พ.ศ. 2553 ตามภาวการณ์ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก การปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รวมทั้งการดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมและความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น การขยายตัวในเกณฑ์สูงของเศรษฐกิจได้รับแรงส่งจากการขยายตัวสูงของการส่งออก การบริโภคและการลงทุนเอกชน รวมทั้งการขยายตัวสูงของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โรงแรม ภัตตาคาร การค้าส่งค้าปลีก และภาคการเงิน อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคเกษตรหดตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติ อัตราการแลกเปลี่ยนเริ่มมีความผันผวนและแข็งค่ามากขึ้นในช่วงหลังเดือนสิงหาคมตามการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนย้ายทุน ปัจจัยพื้นฐานและมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรม แต่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี
แต่อย่างไรก็ตาม ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดย World Economic Forum : WEF และธนาคารโลกได้จัดอันดับประเทศไทยลดลง ในขณะที่ IMD ได้ปรับอันดับไทยดีขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ พบว่าไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยกว่าประเทศในกลุ่มที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่าไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันดีกว่าทุกประเทศ ยกเว้นมาเลเซีย[2]
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องของประชามคมเศรษฐกิจอาเซียน คือความสัมพันธ์กับมหาอำนาจทาง
เศรษฐกิจ ซึ่งมีอยู่หลายกรอบด้วยกัน กรอบแรกคือ กรอบอาเซียน+1 ในขณะนี้ความสัมพันธ์ก็ราบรื่นดี
โดยเฉพาะกับจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป โดยอาเซียนเน้นการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่เจรจาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อาเซียนกับสหรัฐอเมริกายังไม่ดีเท่าที่ควร
จึงควรมีการผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรี อาเซียน สหรัฐอเมริกา และการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน สหรัฐขึ้น
มิติที่สองคือความร่วมมือในกรอบอาเซียน+3 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ควรมีการผลักดันให้มีการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกขึ้น[1]
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวสำหรับอาเซียนมากที่สุดคือการตกเป็นรองจากการก้าวแซงขึ้นมาของสองชาติที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มเพื่อนบ้าน คือ จีนและอินเดีย และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่จะดึงดูดให้สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ควรลืมว่าอาเซียนกำเนิดขึ้นมาในช่วงที่อินเดียและจีนพึ่งยุติการทำสงคราม อินเดียกำลังยุ่งกับปัญหาเศรษฐกิจภายในที่กำลังอ่อนแอรวมถึงการหันเข้าหาสังคมนิยม ส่วนจีนก็ตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยากสืบเนื่องจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม(Cultural Revolution) และปัญหาอื่น ๆ ของเหมาเจ๋อตุง ทั้งสองชาติยังไม่อาจก้าวขึ้นมามีอำนาจได้อย่างแท้จริง และยังไม่สามารถเป็นผู้นำในระดับเอเชีย ไม่ว่าจะโดยลำพังหรือร่วมมือกัน ญี่ปุ่นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และ1970 กําลังอยู่ในภาวะฟื้นฟูทางการเมืองมากกว่าทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นให้ความสนใจเฉพาะเรื่องการร่วมมือด้านเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก ด้วยเหตุนี้ อาเซียนจึงได้โอกาสแสดงบทบาทเป็นหลักในความร่วมมือ สันติภาพ และความมั่นคงระดับภูมิภาค ขณะที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนความมั่นคงทางด้านการทหาร แต่อาเซียนช่วยให้ภาพลักษณ์ที่ดีแก่เอเชียซึ่งถือกำเนิดใหม่ภายหลังจากยุคอาณานิคมและยุคสงครามเย็น แต่สถานการณ์ปัจจุบันนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งจีนและอินเดียต่างกําลังแข่งขันเพื่อก้าวขึ้นไปเป็นมหาอำนาจร่วมกับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังแสวงหาพื้นที่อันชอบธรรมของตนบนเวทีการเมืองโลก[2] อาเซียนจึงไม่สามารถที่จะมองข้ามความร่วมมือกับประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ได้อีกต่อไป
ในการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยนักวิชาการทางด้านเศรษฐกิจ
ระหว่างประเทศยังคงมีความกังวลกับปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคหลายประการ ปัญหาใหญ่ของอาเซียน
คือช่องว่างระหว่างประเทศรวยและประเทศจน ซึ่งยังคงมีความแตกต่างกันมาก ระหว่างประเทศรวยซึ่งเป็นสมาชิกเก่า (Core States) เช่น สิงคโปร์ กับประเทศสมาชิกใหม่ (peripheral states) ซึ่งมีความยากจนอยู่มาก ประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงมองประเทศสมาชิกอื่นเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจ แทนที่จะมองเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้อาเซียนยังมีปัญหาทั้งการบูรณาการในเชิงลึกและในเชิงกว้าง
ปัญหาการบูรณาการในเชิงลึกคือ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาเซียนจะบรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งตลาดร่วมอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่ปัญหาการบูรณาการในเชิงกว้าง ก็คือ ถึงแม้อาเซียนจะรวมกันอย่างเข้มข้นแค่ไหน หรือในเชิงลึกแค่ไหนแต่อาเซ
ไม่มีความเห็น