มนต์รักตับเป็ด


เหมือนชีวิตที่กลับลุกขึ้นมายืนใหม่ได้อีกครั้งหลังจากผ่านความเลวร้ายอย่างที่สุด ก็แล้วคนเรา... ไยจึงต้องหวั่นกลัวอุปสรรคเล่า ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ... ต้นตับเป็ดบอกฉัน

มนต์รักตับเป็ด

เกศินี จุฑาวิจิตร

ฉันเพิ่งรู้จักกับ "ตับเป็ด" เมื่อไม่นานมานี้

ตับเป็ด เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง  ชื่อของมันไม่มีเสน่ห์ กลิ่นของมันไม่ได้เย้ายวนชวนให้กวีหลงใหลและใฝ่ถึง หน้าตาของมันก็ดูใสซื่อและธรรมดา คล้ายๆ กับว่าจะมีให้เห็นอยู่ดาษดื่น

ฉันจึงมองเลยไปในหลายครั้งที่ขับรถผ่าน  “ร้านกาแฟตับเป็ด”  ร้านเล็กๆ บนเส้นทางคู่ขนานทางรถไฟที่มีต้นตับเป็ดเป็นสัญลักษณ์   หากเมื่อวันหนึ่งประจวบเหมาะได้นั่งคุยกับเจ้าของร้าน ความงดงามของตับเป็ด จึงค่อยปรากฏเป็นเค้ารางขึ้นในใจ 

ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปีก่อน    การมาเยือนของภัยพิบัติในคราวนั้นเป็นผลให้ตำบลมหาสวัสดิ์ทุกหย่อมหญ้ากลายเป็นผืนน้ำผืนใหญ่   เป็นเวลานับวัน นับเดือนทีเดียวที่ส้มโอ กล้วยไม้ พืชสวน พืชไร่ พืชผักสวนครัวจมอยู่อย่างนั้น และเมื่อน้ำไป ก็ทิ้งไว้แต่เพียงการยืนต้นตายและคราบน้ำตาของชาวสวน 

แต่... จากวันนั้นถึงวันนี้ ต้นตับเป็ดทุกต้นยังอยู่ครบ

เหมือนชีวิตที่กลับลุกขึ้นมายืนใหม่ได้อีกครั้งหลังจากผ่านความเลวร้ายอย่างที่สุด  ก็แล้วคนเรา... ไยจึงต้องหวั่นกลัวอุปสรรคเล่า ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ... ต้นตับเป็ดบอกฉัน

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ร้านกาแฟเล็กๆ ที่นั่น ก็ดูจะมีความหมายมากกว่าร้านกาแฟ  ในวันที่เหนื่อยล้า กับเครื่องดื่มที่โปรดปราน ฉันชอบที่จะเดินลึกเข้าไปด้านหลังของร้านแล้วนั่งลงตรงบันไดท่าน้ำ หย่อนขาและพักเท้าไว้ในสายน้ำเอื่อย ปล่อยให้ความเย็นและการไหลรินของน้ำได้เติมเต็มชีวิต

ตำบลมหาสวัสดิ์   เป็นหนึ่งในยี่สิบตำบลที่เราจะต้องเข้าไปทำงานร่วมกับอบต.เพื่อสร้างความผาสุก   ตำบลนี้มีพ่อมหาพีรพัฒน์ อาจารย์ใหม่หมาดจากรั้วธรรมศาสตร์ เป็นหัวหน้าทีม  และมีอาจารย์ไพรินทร์ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

พวกเขามีเวลาไม่มากนัก  เพราะต้องทำงานแข่งกับระฆังที่ใกล้จะบอกเวลาหมดยกแรก เนื่องจากทีมงานของมหาวิทยาลัยประจำตำบลมหาสวัสดิ์ชุดเดิมลาออกไปเสียหมด เหลือไว้เพียงข้อมูลมืดๆ มัวๆ การทำงานจึงเหมือนกับการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ...  ไม่เสียแรงที่ทั้งคู่จบมาจากสายงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา จึงเปิดฉากการทำงานในพื้นที่นี้ได้อย่างค่อนข้างราบรื่น ด้วยการทำงานร่วมกับอนามัยหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) มหาสวัสดิ์  ซึ่งนำโดย “หมออ้อย” ผู้อำนวยการ และ “หมอยงค์” พยาบาลประจำ

รพ.สต.มหาสวัสดิ์ เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาคนและคุณภาพชีวิตของคน จนน่าจะเรียกได้ว่า  ความเข้มแข็งของชมรมผู้สูงอายุ กลุ่มเยาวชนและชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เกิดมาจากความเข้มแข็งของรพ.สต.     ที่นี่... พวกเขาและเธอทำงานกันอย่างมุ่งมั่น เต็มร้อยและเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับกลุ่มอาชีพต่างๆ อีกหลายกลุ่มในตำบล

ช่วงเวลาสองเดือน ณ มหาสวัสดิ์ เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลกำลังจะหมดวาระ  จึงเป็นเหตุหนึ่งที่พวกเราเลือกที่จะยังไม่เข้าไปสานต่องานกับอบต. ... แค่ขอรอเวลาสักครู่ ด้วยงานของเรา... ชัดเจน มันไม่ใช่งานการเมือง   จังหวะเวลาที่เหลืออยู่นี้จึงใช้ไปกับการเดินสายสัญจรคุยกับกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ...ทีละคน..ทีละเวลา

ด้วยเงื่อนไขและบริบทของแต่ละตำบลที่มีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ รูปแบบและวิธีการทำงานของเราในแต่ละพื้นที่จึงไม่เคยที่จะเหมือนกัน ไม่เคยมีแม้สูตรสำเร็จ

ฉันและพ่อมหาได้มีโอกาสไปนั่งคุยกับพ่อกำนันในบ่ายวันหนึ่ง  กำนันรับฟังเรื่องราวของเราด้วยสีหน้าเนือยๆ พอไม่ให้เสียมรรยาท

"ก็คงเหมือนกับทุกงาน" ชายวัยกลางคนเริ่มบทสนทนาด้วยเสียงหนักๆ เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับพวกนักวิชาการที่เข้ามาในพื้นที่ สี่ปีมานี้ไม่รู้ว่ากี่คณะต่อกี่คณะ กี่กลุ่ม กี่มหาวิทยาลัย มาแล้วก็ไป ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้ต่างพากันมาด้วยเหตุอะไร เงิน ตำแหน่งหรือว่าผลงาน มันยากที่ชาวบ้านอย่างเขาจะเข้าใจ

ฉันเฝ้าอธิบายอย่างใจเย็น เพราะเข้าใจยิ่งกว่าเข้าใจ    "ท่านมาเราดีใจ ท่านจากไป..เราเหมือนเดิม" อดนึกถึงวรรคทองของวาทกรรมนี้ไม่ได้

มหาวิทยาลัยไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรทำนองนั้น แต่ถ้าเราทำได้ในสิ่งที่คิดและพยายามอยู่นี้  มันจะเกิดกลายเป็นแรงกระเพื่อม ชุมชนทุกชุมชน คนทั้งตำบล หลายคนหลายฝ่ายจะออกมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ คนละไม้คนละมือ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรหลักในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง แม้เมื่อมหาวิทยาลัยถอยทัพออกมา ความยั่งยืนก็ยังคงดำรงอยู่ และเมื่อถึงตรงนั้น นั่นแหละคือความภาคภูมิใจของเรา องค์ความรู้และงานทางวิชาการของเราได้รับใช้สังคม

"ผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัย คือ ความภูมิใจว่าเราทำได้"

กำนันหนุ่มคลับคล้ายจะเข้าใจ เขาบอกกับเราก่อนกลับ ยินดีช่วยเหลือและให้ความร่วมมือ บทสนทนาที่ใช้เวลาเกือบครึ่งของวันจึงจบลงด้วยรอยยิ้มและไมตรี

งานแบบนี้เป็นงานซึมลึกที่ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน  ในสังคมแบบนี้ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการช่วงชิง จะมีใครเข้าใจบ้างนะว่า...เรามาทำอะไร...ที่นี่

หันหลังกลับไปดูต้นตับเป็ด ฉันอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า ถึงอย่างไรพวกเราจะไม่มีวันทดท้อ กาลเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ใจของคน... ขอเธอเป็นกำลังใจให้ฉันด้วย... ก็แล้วกัน

 

------------------------------------------------------------

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 502525เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2012 11:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กันยายน 2012 11:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท