กฐะอุปนิษัทได้แสดงออกถึงสวภาวะทางจิตของมนุษย์ในระดับที่กำลังวุ่นว่าย และไม่มีความสุข จากความไม่รู้สวภาวะของอาตมัน และสิ่งอื่น ๆ โดยมีความไม่รู้เป็นตัวปิดกั้น เราจึงไม่เห็นความจริงแท้ที่ควรจะเป็นไป และค้นหาวิธีที่จะถึงสิ่งแท้จริงนั้นให้ได้ และในบทความนี้จะศึกษาด้านความหมาย ความสำคัญของกฐะอุปนิษัท
กฐะอุปนิษัท บางทีก็ถูกเรียกว่า กาฐกะอุปนิษัท ซึ่งเป็นของสำนักปรัชญา ไตตติรียะ ของยชุรเวท ที่ใช้ในเรื่องราวประวัติของวรรณคดีสันสกฤตโบราณ
กฐะ หมายถึง นักปราชญ์ หรือฤาษีผู้มีความรู้และเป็นผู้สอนของยชุรเวท กฐะอุปนิษัทนี้ ประกอบด้วย ๒ บท แต่ละบทจะมี ๓ วัลลีหรือ ๓ ตอน รวมโศลกทั้งหมดมี ๑๑๙ โศลก
โดยมีเนื้อหาอธิบายถึงสิ่งสูงสุด คืออาตมันและพรหมัน ว่ามีอยู่ในทุกสิ่ง และมีสวภาวะเป็นอันติมสัจจะ
บางตำราอ้างว่า กฐะอุปนิษัท เป็นของสามเวทบ้าง อาถรรพเวทบ้าง สังหิตาบ้าง
ในมุกติกะอุปนิษัท กล่าวว่า เป็นอุปนิษัทของกฤษณะยชุรเวท (ยชุรเวทดำ) แต่โคลบรุ้ก (Colebrooke) กล่าวว่ามีอ้างอยู่ในสามเวทด้วย
คัมภีร์อุปนิษัทอันเป็นส่วนที่เป็นบทสรุปของพระเวท ดังนั้นจึงยังคงรักษาชื่อที่แสดงความสืบเนื่องมาจากคัมภีร์ต้นเค้าของสาขาต่าง ๆ ของพระเวทที่มีอุปนิษัทนั้น ๆ
กฐะอุปนิษัทนั้น ผู้แต่งขึ้นเป็นเจ้าของสาขา คือไตตติรียะ และผู้สอนกฐะอุปนิษัทนี้ก็มีชื่อว่า กฐะ ผู้เป็นนักปราชญ์หรือฤาษีผู้มีความรู้และเป็นผู้สอนของยชุรเวท
ส่วนระยะเวลาของการเกิดกฐะอุปนิษัทนั้น นักปราชญ์ทั้งหลาย เช่น แมคโดเนลล์ แมกมึลเลอร์ วินเตอร์ นิตซ์ และสุเรนทรนาถ คุปตะ และราธากฤษณัน มีมติว่าอุปนิษัทที่เก่าแก่ที่สุดทั้งหมดมี ๘ อุปนิษัท คือ ไอตเรยะ เกาษีตกี ฉานโทคยะ เกนะ ไตตติรียะ พฤหทารัณยกะ อีศา และกฐะอุปนิษัทนั้น แต่งขึ้นในศตวรรษที่ ๖ และที่ ๕ ก่อนคริสตศักราช
แต่ราธากฤษณัน เห็นว่าน่าจะแต่งขึ้น ศตวรรษที่ ๘ และที่ ๗ ส่วนที่เหลือแต่งประมาณ ๔๐๐ - ๓๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช บางคนอ้างว่า กฐะอุปนิษัท ไมตราณียาอุปนิษัท และเศวตาศวตระอุปนิษัท แต่งขึ้นศตวรรษที่ ๔ ก่อนคริสตศักราช จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาของการเกิดอุปนิษัทนี้ก็ยังไม่แน่นอน
แต่ที่แน่ ๆ กฐะอุปนิษัทน่าจะเกิดหลังพุทธกาล เพราะในอุปนิษัทนี้มีคำวิจารณ์คำสอนเรื่องรูปธาตุและนามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ส่วนระยะเวลานั้นไม่สามารถจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าแต่งขึ้นเมื่อไร เป็นแต่เพียงการสันนิษฐานเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า และสิ่งที่เราสามารถจะรู้ได้อย่างแน่นอนคือ ผู้แต่งอุปนิษัทนั้นมีหลายคน และแต่งขึ้นในสมัยที่แตกต่างกัน แต่ถึงจะมีความคิดเพิ่มเข้ามามากมายก็ตาม กระนั้น ก็มีจุดมุ่งหมายใหญ่เป็นอย่างเดียวกัน คือ สอนความรู้เกี่ยวกับพรหมันหรืออาตมัน
กฐะอุปนิษัท เป็น ๑ ใน ๑๑ อุปนิษัทที่มีความสำคัญและเป็นที่รู้จักกันดี โดยมีเนื้อหา กล่าวถึง อาตมันในลักษณะที่เป็นความแท้จริงอันติมสัจจะ และได้แสดงออกถึงสวภาวะทางจิตของมนุษย์ในระดับที่กำลังวุ่นว่าย และไม่มีความสุข จากความไม่รู้สวภาวะของอาตมัน และสิ่งอื่น ๆ โดยมีความไม่รู้เป็นตัวปิดกั้น เราจึงไม่สามารถที่จะเห็นความจริงแท้ที่ควรจะเป็น และได้เปรียบเทียบให้เห็นว่า
และนี้ก็เป็นผลจากความไม่รู้ความจริงของอาตมันและตัวเอง เพราะการรู้จักอาตมัน ก็คือการรู้จักตัวเองโดยแท้ และความรู้นี้ จะปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์และถึงเป้าหมายของชีวิตได้ และบรรดาวัตถุสิ่งต่าง ๆ ล้วนมีอยู่เพื่ออาตมันและรับใช้อาตมันทั้งสิ้น อาตมันสิงสถิตอยู่ในสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ และทำให้สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างมีความหมาย แต่สิ่งเหล่านี้ที่อาตมันอาศัยอยู่นั้น ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกันกับอาตมัน เพราะว่าตัวอาตมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นไปของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
และยังได้กล่าวถึงบุคคลผู้มีความศรัทธาต่อพรหมัน ชื่อวาชัศรวสะ ได้แสดงการบูชายัญและการบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ให้เป็นทาน โดยได้บริจาคแม่วัวซึ่งชรามากจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่จะกินน้ำและหญ้า ไม่มีน้ำนมจะให้ และไม่สามารถจะให้ลูกได้อีก ลูกชายของเขา คือ นะจิเกตะ แม้ตัวเองยังเป็นเด็กก็ยังคิดได้ว่า ผู้เป็นบิดาของเขาทำแบบนี้ ย่อมไปสู่โลกที่ปราศจากความสุขเป็นแน่แท้ และบิดาของเขาก็ได้บริจาคเขาให้แก่พระยม นะจิเกตะก็ได้ไปคอยอยู่ ๓ วัน พระยมกลับมาก็ได้ให้รางวัลแก่นจิเกตะ ๓ ข้อ ในการรอคอย และได้สอนเรื่องอาตมันแก่ นจิเกตะว่า
หลังจากนั้นพระยมก็ให้พร ๓ ข้อตามที่นะจิเกตะ
ข้อแรก นะจิเกตะ ขอให้เขาจงได้กลับไปสู่บิดาของเขา
ข้อสอง จงบอกการบูชาไฟที่จะนำมนุษย์ไปสู่สวรรค์
ข้อสาม จงบอกว่าคนตายแล้วจักเป็นเช่นไร เขามีอยู่หรือว่าเขาไม่มีอยู่ ความจริงเป็นไฉน
สิ่งเหล่านี้ นะจิเกตะก็ได้ตามที่ขอทุกประการและทำให้เขาได้รู้แจ้งถึงสวภาวะของอาตมันมากขึ้น และตนเองก็ได้รับความสุขนิรันดร
บรรณานุกรม
Vaman Shivram Apte, Sanskrit–English Dictionary (Delhi :Motilal Banarsidass Publishers , 1970 )
S.Radhakrishnan, The Principal Upanisads (Delhi : Gopsons Papers, 1994)
Max F. Muller , The Sacred Books of the East Vol. 1, 5 : The Upanisad
ขอบคุณ ธ.วัชชัยนะครับที่แวะมามอบดอกไม้ไว้นานละครับ
ขอบคุณครับ