ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร


ไวรัสตับอักเสบซีถูกค้นพบเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนโดยนักวิจัยของบริษัทไครอน(Chiron coporation)ประเทศสหรัฐอเมริกา

   วันที่ 23 ส.ค. นี้ก็จะถึงวันนัดทำไพโบรสแกนและอาจจะทำการรักษาโดยใช้ยาอินเตอเฟอรอน(peginterferon)และยากิน ไรบาไวริน(ribavirin)ตามแผนของหมอ วันนี้จึงขอเขียนบันทึกเกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อเป็นการทบทวนความรู้จากการไปเสวนาเมื่อปีก่อน และหากผู้อ่านท่านใดที่มีความรู้ในเรื่องนี้จะเสนอแนะนำก็คงจะเป็นการดี

   ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร

   ไวรัสตับอักเสบซี เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชอบอาศัยอยู่ในเซลล์ตับของคน เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิด เอ บี ดี และอี เชื้อเหล่านี้เป็นสาเหตุให้ตับได้รับอันตรายและถูกทำลายเกิดเป็นโรคตับที่เรียกว่า โรคตับอักเสบ ถ้าระยะการติดเชื้อไม่เกิน 6 เดือนจะเรียกว่า โรคตับอักเสบแบบเฉียบพลัน แต้ถ้าติดเชื้อนานเกินกว่านี้และร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมดจะเรียกว่าโรคตับอักเสบแบบเรื้อรัง  

   เชื้อไวรัสตับอักเสบหลายชนิดทำให้เกิดตับอักเสบแบบเฉียบพลัน แต่จะมีเฉพาะไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี เท่านั้นที่ทำใหหห้เกิดแบบเรื้อรัง ซึ่งถ้าแเป็นต่อเนื่องนานหลายปี อาจทำให้ตับเสื่อมจนกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด

   ไวรัสตับอักเสบซีถูกค้นพบเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนโดยนักวิจัยของบริษัทไครอน(Chiron coporation)ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถแยกยีนหรือรหัสพันธุกรรมของไวรัสออกจากเลือดของลิงชิมแปนซีที่ติดเชื้ออีกทอดหนึ่งจากผู้ป่วยตับอักเสบแบบเฉียบพลันหลังจากได้รับเลือด การค้นพบเชื้อไวรัสตับอักเสบซีนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่

   เชื้อไวรัสที่ค้นพบนี้มีชื่อว่า ไวรัสตับอักเสบซี โดยใช้ชื่อภาษาอังกฤษตัวแรกคือตัวซี(C) ของบริษัทไครอนที่เป็นผู้ค้นพบ ซึ่งสอดคล้องเป็นอย่างดีกับไวรัสตับอักเสบเอ บี ที่มีการค้นพบมาก่อนหน้านี้ การศึกษาต่อมาพบว่า ไวรัสตับอักเสบซีอยู่ในตระกูลเดียวกันกับไวรัสไข้เลือดออกและไข้สมองอักเสบ

   ในปัจจุบันไวรัสตับอักเสบซีที่พบทั่วโลกแบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หรือ 6 ยีโนไทป์(genotype) คือแบ่งเป็นสายพันธุ์ 1 ,2 ,3 ,4 ,5 และ 6 แต่ละสายพันธุ์มีการกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เช่น สายพันธุ์ 1, 2 ,3 พบได้ทั่วโลก 4 พบในอียิปต์และตะวันออกกลาง 5 พบที่ทวีปแอฟริกา สายพันธุ์ 6 พบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

   สำหรับประเทศไทยพบมากคือสายพันธุ์ที่ 3 ,1 และ 6 ตามลำดับ โดยสายพันธุ์ 3 พบมากครึ่งหนึ่งของทั้งหมด สายพันธุ์ 1และ 6 พบประมาณ 30-40 และ 10-20 เปอร์เซนต์ ตามลำดับ

   สายพันธุ์ 1 จะรักษายากไม่ค่อยหายขาด โดยแนะนำรักษา 48 สัปดาห์ ยกเว้นบางรายที่มีการตอบสนองดีและมีปริมาณไวรัสในเลือดไม่มาก อาจลดระยะการรักษาลงเหลือเพียง 24 สัปดาห์เท่ากับสายพันธุ์ 2 ,3 และ6 แต่หากบางราบตอบสนองไม่ดีแพทย์ก็อาจหยุดการรักษาเพียง 4 สัปดาห์ได้เช่นกันเพราะไม่คุ้มต่อการใช้ยาอีกต่อไป

   แม้ว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปัจจุบันจะได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตามมีข้อเสียคือต้องใช้เวลาในการรักษาติดต่อกันนานหลายเดือน นอกจากนี้ยายังมีราคาค่อนข้างแพงและมีผลค้างเคียงต่างๆเกิดขึ้นได้ระหว่างการรักษา

   เคยถามหมอว่าถ้าผลค้างเคียงมีผลต่อสุขภาพและการงานในช่วงแรกหรือไม่ อาจจะไม่มี หรือมีมากน้อยแตกต่างกันไป หากจะไม่รักษาจะมีวิธีอื่นไหม? หมอบอกไม่มี ถ้าปล่อยไว้ก็จะกลายเป็นตับแข็งและเป็นมะเร็งในที่สุด

   ดังนั้นไม่มีทางเลือกใดนอกจากเข้าทำการรักษาโดยเสี่ยงต่อผลค้างเคียงมีผลต่อสุขภาพและการงาน ดีกว่าเสียงต่อการที่จะปล่อยให้ตับแข็งและเป็นมะเร็งในอนาคต

.................

ขอบคุณหนังสือไขรหัสตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ บทที่ 8  ไวรัสตับอักเสบซี :กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว นพ.พิสิฐ ตั้งกิจวานิชย์

หมายเลขบันทึก: 499583เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2012 21:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม 2013 14:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)
  • ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ที่เป็นประโยชน์
  • แวะมาให้กำลังใจ  หายเร็ว ๆ นะคะ

ขอบคุณที่แบ่งปัน..ให้กำลังใจค่ะ..

ผมเป็นโรคนี้เมื่อ2ปีที่แล้วครับ ติดเชื้อนี้จากการรับเลือด รักษาอยู่ที่โรงบาลธรรมศาสตร์ เข้าโรงบาลทุกอาทิต ฉีดยา จนครบ 48 เข็ม ตอนนี้ไปตรวจเหลือแค่ Seed ละครับ หมอนัดตรวจทุก6เดือน พรุ้งนี้เช้าก็ว่าจะไป อุลตร้าซาวดูน่ะครับ ทานยาและรักษาสม่ำเสมอ ก็คงจะหายเหมือนผมนะครับ

  • บันทึกนี้เป็นตัวอย่างของ "น้ำใจของ กัลยาณมิตร GotoKnow" โดยแท้ แม้ตนเองจะประสบปัญหาสุขภาพกาย ก็ยังมีจิตใจที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่น
  • ขอจิตใจที่ดีงามนี้ ส่งผลให้ "คุณ พ.แจ่มจรัส" กลับมามีสุขภาพดีในเร็ววัน นะคะ
  • ขอบคุณความรู้ใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพกาย ที่แบ่งปันค่ะ  
Blank
ขอบคุณครับ ธรรมทิพย์ กำลงใจจากกัลยาณมิตรโกทูโน ทำให้ผมสุ้จนมาถึงวันเริ่มรักษาที่แท้จริงในวันพรุ่งนี้ครับ
Blank
ขอบคุณพี่ใหญ่ ขอนำความรู้จากหมอมาแบ่งปันน่ะครับ
Blank
ขอบคุณครับอาจารย์ สำหรับคำอวยพร เพราะความไม่รู้ที่ผ่านมานี่ล่ะครับที่ทำให้เกิดโรคที่ยากต่อการรักษา หากสามารถนำความรู้ที่ได้จากหมอและประสบการณ์ตรงก็อยากจะนำมาแบ่งปันครับ
รักษาสุขภาพแข็งแรงนะครับอาจารย์

ขอบคุณ คุณไกรสร นะครับ

ขอให้รักษาสุขภาพแข็งแรงนะครับ

ได้ความรู้เรื่องไวรัสมากครับ เมื่อเดือนเมษายน ได้ไปตรวจ ไวรัส B ที่ รพ.ศรีนครินทร์ ผลปกติ ไม่มีเชื้อ แต่ไม่มีภูมิต้านทาน หมอแนะนำให้ไป ฉีดภูมิคุ้มกัน ที่ รพ.ใกล้บ้าน แต่ยังไม่ได้ไป..ได้อ่านบันทึก จึงนึกได้ ...ขอบคุณครับ...สวัสดีครับ

ให้ พ.แจ่มจำรัส หายเร็ว ๆ ปลอดโรค ปลอดภัยนะครับ

แวะมาเยี่่ยมค่ะ

หายเร็วๆนะค่ะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

นี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาแบบใหม่ อ่านดูแล้วหาเพิ่มเติมดูคับ

การฟื้นฟูรักษาด้วยชีวะโมเลกุล สำหรับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

ปัจจุบันนี้คนเราเกิดภาวะตรึงเครียดเนื่องด้วยหลายๆสาเหตุ และปัจจัย ทำให้ร่างกายและจิตใจของเกิดโรคต่างๆขึ้นมากมาย แต่พวกเรายังโชคดีที่ว่ามีการค้นพบการป้องกันสภาพที่เสื่อมโทรมนี้

โดยปรัชญาเบื้องต้น สิ่งที่สำคัญพื้นฐานสำหรับการมีสุขภาพที่ดีคือ แสงแดด, ออกซิเจน, น้ำ, การได้รับสารอาหารที่สมดุล และ การออกกำลังกายที่เพียงพอ

การวิจัยใหม่ค้นพบว่าห้าข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต แต่เนื่องด้วยชีวิตปัจจุบันทำให้สิ่งต่างๆ สารอาหาร น้ำดื่ม อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ การได้รับแสงแดดที่ไม่เพียงพอหรือผิดช่วงเวลา ทำให้เราได้รับสิ่งไม่มีคุณภาพเพียงพอเราจึงต้องอาศัยตัวช่วยเพื่อให้ได้รับสิ่งสำคัญที่เพียงพอ

ผลของการบำบัดด้วยเซลล์ :

-ต่อต้านความชราและการแก่ก่อนวัยอันควรที่เกิดจากความเหนื่อยล้าทั้งทางร่ายกายและจิตใจ

-ฮอร์โมนไม่สมดุลและไม่มีประสิทธิภาพของต่อมไร้ท่อ

-ปัญหาเรื่องความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ, ความเจ็บป่วยเนื่องจากความเครียด

-อาการอ่อนล้าเรื้อรัง(Chronic Fatigue Syndrome CFS)

-การพักฟื้นหลังจากโรคหรืออุบัติเหตุ

-กระดูกสันหลังและไขข้อเสื่อม

-ความบกพร่องของกล้ามเนื้อและระบบประสาทบางประเภท

-โรคเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเนื้อเยื้อเรื้อรัง

-ปัญหาระบบหมุนเวียน

-โรคเกี่ยวกับระบบย่อย

-ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพและการติดเชื้อ

-การสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะขึ้นมาใหม่

-ภูมิคุ้มกัน สารต่อต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการอักเสบ

-การควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ

-โปรโมทและบำรุงรักษาการหมุนเวียนเลือด

-เพื่อให้มั่นใจการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการรักษาบาดแผล

-การเพิ่มประสิทธิภาพของการฟื้นฟูระบบประสาท

-ควบคุมความสมดุลของระบบฮอร์โมน

-ปรับปรุงระบบทางเดินอาหารที่จะนำไปสู่การกำจัดอาการท้องผูก

-เพิ่มความยืดหยุ่นที่ข้อต่อและหมอนรองกระดูก

-ปรับปรุงการรับรู้และการตื่นตัวของสมองและเสริมสร้างความชุ่มชื้นของผิวหนังชั้นนอกซึ่งนำไปสู่ผิวที่กระชับ สดใสและเรียบเนียน

-เพิ่มความหนาแน่นของชั้นหนังแท้โดยการเร่งคอลลาเจน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท