แม้ก่อนที่เราจะทำงานภายใต้โครงการเด็กไร้รัฐ-ดยค. เราก็มีแนวคิดที่ชัดเจนว่าเราจะทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม โดยเราจะผลักสังคมให้เคลื่อนไหวร่วมวิจัยกับเรา เราไม่เชื่อในการทำงานวิจัยเพื่องานวิจัย เรามีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับ “วิธีวิจัยของเรา” ซึ่งอาจสรุปได้เป็น ๔ ลักษณะ กล่าวคือ
ในประการแรก เราเชื่อว่า “สังคม” คือ ผู้รับประโยชน์ของงานวิจัยและผู้ร่วมวิจัยกับเรา เราจะไม่ทำงานวิจัยของเราอย่างโดดเดี่ยวลำพัง เราจะไม่แยกตัวออกมาต่างหากจากสังคม งานวิจัยของเราจึงเริ่มต้นจากการค้นหา “ผู้แทนทางสังคม” เข้ามาทำงานร่วมกับเราในงานวิจัย เราจึงเริ่มต้นงานวิจัยจากการทำงานเครือข่าย กล่าวคือ เราเขียนโครงการวิจัยโดยการหารือกับสังคม เรากำหนดเป้าหมายของงานวิจัยของเราโดยการหารือกับสังคม เรากำหนดวิธีการทำงานวิจัยโดยการหารือกับสังคม ดังนั้น ภาพของโครงการวิจัยของเราจึงเป็นภาพของความต้องการของสังคม (Social Need) ดังนั้น งานวิจัยของเราจึงต้องมี “กิจกรรมเพื่อสร้างและพัฒนาเครือข่าย” ยิ่งเครือข่ายของเรามาจากทุกภาคส่วนของสังคม งานวิจัยของเราก็จะยิ่งทรงพลังทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ เมื่อ “เจ้าของปัญหา” แปรเปลี่ยนมาเป็น “ผู้วิจัย” และต่อยอดไปเป็น “ผู้แก้ปัญหา” เราได้มีประสบการณ์หลายครั้งที่ปัญหาที่คั่งค้างมานานปีนั้นก็อาจแก้ไขได้ในเวลาที่ไม่นานนักโดยเจ้าของปัญหาเองซึ่งแบกปัญหานั้นมานานปี
ในประการที่สอง เราเชื่อใน “ปัญญา” ซึ่งเป็นสิ่งที่งอกเงยจากองค์ความรู้ มิใช่จากอารมณ์ความรู้สึก เราจึงไม่ปฏิเสธตำราที่บันทึกประสบการณ์ของนักปราชญ์ในอดีต แต่เราก็มีความเข้าใจว่า แนวคิดของนักคิดในสมัยหนึ่งก็ย่อมสนองตอบต่อปัญหาของสังคมในยุคนั้นๆ และแนวคิดของนักคิดในท้องที่หนึ่งก็ย่อมสนองตอบต่อปัญหาของสังคมในท้องที่นั้นๆ ดังนั้น การแสวงประโยชน์จากการเรียนรู้เชิงประสบการณ์จึงต้องมี “กลวิธี” ที่จะถอดบทเรียนและปรับปรุงบทเรียนที่วิเคราะห์และสังเคราะห์ขึ้นมาให้ใช้ได้ในช่วงเวลาและท้องที่ที่ต่างกัน
ในงานของเราซึ่งเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน และครอบครัวซึ่งไร้สัญชาตินั้น เราพบว่า เราจำเป็นจะต้องเข้าใจไม่เพียงแต่สาเหตุของปัญหาความไร้รัฐที่เกิดขึ้นแก่เด็กและครอบครัว แต่ยังจะต้องเข้าใจลึกไปถึงกฎหมายนโยบายที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐและผลกระทบที่เกิดจากความไร้รัฐ และเพื่อให้การจัดการปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เราคงจะต้องศึกษาถึงองค์กรที่ใช้ในการจัดการปัญหา ดังนั้น งานวิจัยของเราจึงต้องมี “กิจกรรมการเคลื่อนไหวเพื่อแสวงหาองค์ความรู้” อีกด้วย แต่ต้องสังเกตว่า งานวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมโดยเอาเจ้าของปัญหาเป็นจุดศูนย์กลางนั้น ย่อมจะต้องเป็นการเคลื่อนไหวทั้งทางวิชาการ และทางสังคม เป็นการพัฒนาองค์ความรู้เชิงวิชาการจากสถานการณ์จริงในสังคม
ในประการที่สาม เราเชื่อว่า สิ่งที่เราค้นพบ เราก็จะต้องผลักดันให้สังคมค้นพบร่วมกับเรา เราเชื่อว่า สิ่งที่เราเข้าใจ สังคมก็ควรจะเข้าใจร่วมกับเรา ความรอบรู้ของสังคม ก็คือ ความเข้มแข็งและความมั่นคงของสังคม การผลักให้สังคมเคลื่อนไหวเพื่อเรียนรู้องค์ความรู้ที่สังเคราะห์ขึ้นจากงานวิจัย จึงเป็น “ขั้นตอน” ที่จำเป็นในทุกงานวิจัย การทำงานวิจัยเพื่อเก็บในห้องสมุดเพื่อรอให้สังคมเข้ามาในมหาวิทยาลัยนั้น น่าจะเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องนัก ดังนั้น งานวิจัยของเราจึงต้องมี “กิจกรรมการเคลื่อนไหวเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สังคม”
ในประการที่สี่ เราเชื่อว่า หากการแก้ปัญหาจำเป็นจะต้องมีการปฏิรูปหรือปฏิรูปแนวคิด หรือแม้กฎหมายและนโยบาย งานวิจัยของเราก็จะต้องก้าวล่วงไปทำหน้าที่ของ “งานปฏิรูปหรืองานปฏิวัติ” ด้วย งานวิจัยของเราคงจะไม่สนใจเพียงแค่การแสวงหาองค์ความรู้ด้านอภิปรัชญา แต่จะต้องลุ่มลึกลงไปคิดเรื่องของญานวิทยาด้วย ประดุจว่า เมื่องานวิจัยพบว่า สะพานข้ามแม่น้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาหมู่บ้าน เราซึ่งเป็นนักวิจัยก็จะไม่หยุดแค่ทราบว่า สะพานเป็นปัจจัยในการพัฒนาหมู่บ้าน เราควรจะกระเสือกกระสนที่จะรู้ให้ได้ว่า จะสร้างสะพานให้หมู่บ้านนี้ได้อย่างไร ? และเมื่อใด ?
โดยทั่วไป การเผยแพร่งานวิจัยในลักษณะที่สร้างความตื่นตัวของสังคม (Social Alerte) ต่อ “สิ่งค้นพบใหม่” ก็เป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งมีลักษณะที่นำไปสู่การปฏิรูปหรือการปฏิวัติ ดังนั้น การสร้างความรับรู้ของสังคม (Social Awareness) ต่อองค์ความรู้ที่พัฒนาขึ้นใหม่ก็เป็นขั้นตอนที่จำเป็นของงานวิจัยเพื่อการพัฒนาสังคม
เราซึ่งเป็นนักวิจัยควรจะต้อง “แสวงหาองค์ความรู้” ในการผลักดันให้สังคมเคลื่อนไหวเพื่อยอมรับที่จะต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสังคมที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความจำเป็นอันใหม่ให้สังคม หรืออาจจะเป็นกรณีที่จะต้องผลักดันให้สังคมยอมรับสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคม อีกด้วย ขอให้สังเกตว่า หากสังคมยอมรับและยอมร่วมมือในความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่จะเกิดขึ้น การปฏิรูปหรือแม้การปฏิวัติทางสังคมก็เป็นสิ่งที่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างมีประสิทธิผล ดังนั้น งานวิจัยของเราจึงต้องมี “กิจกรรมการเคลื่อนไหวเพื่อรื้อถอนหรือปลูกสร้างกรอบของสังคมที่เอื้อต่อการพัฒนา”
เพิ่งเห็นข้อคิดเห็นของคุณยอดดอยค่ะ
ขอบคุณค่ะที่มาช่วยอ่าน มีอะไรที่เห็นควรเติม ก็อยากขอความแนะนำนะคะ อย่าเกรงใจนะคะ
จะไปแม่ฮ่องสอนในอีกสักสองเดือนข้างหน้า คงได้มีโอกาสได้คุยกันค่ะ จะขอคุยด้วยแบบ F2F มิใช่ B2B อย่างนี้
เราพยายามผลิต "องค์ความรู้" ในการช่วยเหลือคนไร้รัฐ โดยใช้รูปแบบ "มาม่าซอง"
ถ้าจะให้ช่วย ลองหารือ อ.บงกชค่ะ เรามีโรงเรียนเคลื่อนที่ค่ะ
อ.บงกช