เช้านี้ผมลง OS X Mountain Lion ในเครื่อง MacBook Air ที่ใช้ประจำ แล้วก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ ในการเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ให้มันเร็วขึ้นหน่อย เสียเวลาไปเยอะเหมือนกันครับ
ทำให้นึกขึ้นว่าเครื่องคอมฯ ในปัจจุบันนี่อายุการใช้งานจริงๆ ประมาณสองปี ถ้าเกินกว่านี้ก็จะเริ่มช้าอืดๆ เพราะฮาร์ดแวร์ตามความต้องการในการประมวลผลของซอฟต์แวร์ไม่ทัน ดังนั้นถ้าจะคิดว่าราคาเครื่งอคอมฯ ที่ใช้นั้นตกเท่าไหร่ต่อเดือน ให้เอาราคาที่ซื้อมาหารด้วย 24
ผมซื้อ MacBook Air ตัวนี้มาราคาเกือบสี่หมื่นห้า (จาก Apple Store Online) ดังนั้นตกแล้วค่าใช้จ่ายก็คือเกือบๆ สองพันบาทต่อเดือน หมายความว่าถ้าผมใช้มันทำงานแล้วเกิดผลงานมีมูลค่าเกินกว่าสองพันบาทต่อเดือนในสองปีก็ถือว่าได้กำไรแล้วครับ
การตัดมูลค่าของทรัพย์สิน (ที่ภาษาบัญชีเรียกว่าสินทรัพย์) ไปเรื่อยๆ เช่นนี้เรียกว่า "ค่าเสื่อมราคา" ครับ
ทำให้นึกได้ต่อว่าถ้าเมื่อมูลค่าที่แท้จริงโดยการตัดรายเดือนเช่นนี้คิดลงมาแล้วไม่มาก การซื้อเครื่องให้ได้ใช้งานเกิดประโยชน์จริงๆ โดยเพิ่มเงินเพียงพอประมาณนั้นถือว่าคุ้มค่า เพราะสิ่งที่แพงที่สุดคือ "เวลา" นั่นเอง แล้วคอมพิวเตอร์ที่ดีก็ลดเวลาในการทำงานของเราได้เยอะ เราก็มีเวลาทำสิ่งอื่นๆ ได้มากขึ้น
อย่างการที่ผมเสียเวลาปรับอยู่ในเช้านี้คือการปรับความวูบวาบ (animations) ของระบบให้ใช้เวลาน้อยลงหรือตัดออกไปเลยในบางรายการ
พวกลูกเล่นวูบๆ วาบๆ ของระบบปฎิบัติการนี่ดีที่สวยน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จะเสียเวลาในการใช้งานเยอะมาก อาทิเช่น Mission Control ของ Mac นี่ผมปรับเวลาให้เหลือเพียง 0.1 วินาที จากเดิมที่มากกว่านี้มาก ขี้เกียจหาว่าจริงๆ เท่าไหร่ สมมติว่า 0.25 วินาทีก็แล้วกัน ผมก็ลดเวลาในการใช้งานคอมฯ ลงไปได้ไม่น้อยในแต่ละวันทีเดียว เพราะผมต้องใช้ Mission Control วันละหลายร้อยหนในการสลับระหว่างงานที่ทำเพราะผมเปิด Desktop ไว้ 10 desktops เป็นปกติครับ
วันนี้ได้แง่คิดว่า "เวลา" คือมูลค่าที่แท้จริงของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ยิ่งกว่านั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่จริงแล้วเป็นภาพมายาของอัตราแลกเปลี่ยนเวลาของมนุษย์และทรัพยากรต่างๆ นั่นเอง
เวลาเป็นสิ่งสำคัญจริงๆครับ ปรับลดบางอย่างออก ชีวิตก็ง่ายขึ้นครับ
สวัสดี..เจ้าค่ะ..(ยายธี..ก็เคย..แอบคิดเล่นๆ..ตามประสา..คน..ไม่รู้จัก..เวลาร่ำเวลาว่า...เมื่อไร..จะหยุด..ซื้อ..ขายเวลาซักกะที..ทั้งๆที่มันเป็นเพียง..มติสมมุติ เท่านั้น..และค่าคงที่..คือ..สูญ=ศูนย์..)...
หลังจากทนทู่ซี้ทดลองใช้ Ubuntu 12.04 LTS มานาน วันเสาร์ที่ผ่านมาผมก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยน os ของเครื่องที่ใช้ประจำซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2006 (P4) ไปเป็น lubuntu 12.04 จาก unity มาเป็น lxde เพราะสุดที่จะเข็นต่อไปได้อีกแล้ว(เริ่มมีอาการไม่ดี) หากจะถือว่าลดระดับไปก็คงไม่ผิดนะครับ แต่ก็ไม่คิดว่าถอยหลังไปเพราะยังใช้ kernel รุ่นเดียวกันอยู่
ผมว่านี่เป็นสัจธรรมนะครับ ว่าวันหนึ่ง hardware ที่เราเคยคิดว่าทันสมัยที่สุดเมื่อถึงวันหนึ่งก็จะถึงจุดที่รองรับพัฒนาการของ software ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าตายไปเลยนะครับเพียงแต่มันต้องหยุดย่ำอยู่กับที่ไม่สามารถไล่ตามลูกเล่นใหม่ๆได้เท่านั้นเอง
เมื่อครั้งที่ผมไปประเมินสถานศึกษาในรอบแรก สิ่งที่พบแล้วรู้สึกเสียดาย(ทรัพยากร)มากๆอย่างหนึ่งก็คือ ทุกที่เราจะเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตกรุ่นถูกกองทิ้งอย่างไร้คุณค่า(ไม่เสียนะครับ) ทั้งๆที่หากนำมาใช้กับ os และ application software ที่เหมาะสมมันยังสามารถใช้งานเพื่อพัฒนาเด็กได้อีกยาวนาน นี่คือสิ่งที่เราอยู่กับเทคโนโลยีแต่ไม่รู้จักเทคโนโลยี มีโอกาสได้ใช้แต่ไม่รู้จักใช้
มี linux distro เป็นร้อย หลายตัวสร้างมาเพื่อใช้กับเครื่องเก่าๆ (บางตัวใช้ได้กับ 80386 ด้วยซ้ำไป) นอกจากจะใช้งานฟรีแล้ว ประสิทธิภาพยังไม่ด้อยกว่าโปรแกรมรุ่นล่าสุดที่ใช้กันในตอนนี้เลย
อยากให้พวกเราใน G2K ลองเอาเรื่องนี้ไปคิดกันดูนะครับ ไม่แน่ว่าบางทีพวกเราอาจช่วยกันชุบชีวิตคอมพิวเตอร์หลังห้องเหล่านี้ให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องซื้อหา ไม่ต้องจ่ายค่าซอฟท์แวร์ แต่ได้เครื่องมาให้เด็กๆใช้เหมือนได้เปล่าอีกมากมายหลายแสนตัวเชียวนะครับ
ที่สำคัญคือเด็กเราจะได้ไม่ต้องจมอยู่กับซอฟท์แวร์ผูกขาดเจ้าเดียวอยู่อย่างนี้ ซึ่งนั่นจะเหมือนกับการเปิดกรอบให้เด็กของเราออกไปสู่อิสระเสรีที่เป็นพื้นฐานให้เข้าใจเทคโนโลยีจริงๆที่หลากหลายไม่จำกัดด้วยตนเองเสียทีครับ
If "time" is that important to you and you live for "all the time" (of your life) -- What do you really do with "time"? Do you use "time" "to save time"? Or do you use "life" "to save life"?
Is it not true that when we run out of time, we run out of life?