ธรรม มีลักษณะเดียวคือ ไม่เป็นตน ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" โดยมีจุดแยกคือ หากสภาวธรรมใด แม้จะเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เรียกว่า สังขตธรรม ส่วนสภาวธรรมใด ทรงตัวอยู่อย่างนั้น ไม่ขึ้นต่อเหตุปัจจัย เรียก อสังขตธรรม ตามการรจนาของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ถ้าเป็นอสังขตธรรม หรือ วิสังขาร คือนิพพาน ก็ชัดอยู่แล้วว่า นิพพานนั้นเป็นธรรมธาตุอันดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน มีอยู่ ตามธรรมดาของสภาวะที่ไม่เกิดจากปัจจัย เป็นนิสสัตตะนิชชีวะ มิใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่เป็นของใคร ไม่ขึ้นต่อใคร ไม่มีใครกำกับบังคับควบคุม ไม่มีตัวทำการที่จะดลบันดาลอะไรแก่ใครๆ
ส่วนสังขตธรรม คือ สังขารทั้งหลาย อันได้แก่ขันธ์ ๕ ก็ชัดอยู่แล้วเช่นเดียวกัน คือ ทุกอย่างนั้น ดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน มีอยู่เป็นไปตามธรรมดาของมัน แต่เป็นธรรมดาของสังขตธรรม ซึ่งตรงข้ามกับธรรมดาของอสังขตธรรม กล่าวคือ มีอยู่ ตามธรรมของสังขตธรรม ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งก็ไม่เป็นไปตามปรารถนาของใคร ไม่มีตัวตนอะไรสิงซ้อนอยู่อาศัยที่จะเป็นตัวทำการในการเสพเสวย สั่งบังคับ หรือ มีอำนาจบงการบัญชาให้ขันธ์ ๕ นั้น ไม่ว่าทั้งหมด หรือ แต่ละอย่าง ให้เป็นไปตามความต้องการของตน โดยเป็นอิสระจากการทำตามหรือทำที่เหตุปัจจัย
พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) พุทธธรรมฉบับปรับขยาย (พิมพ์ครั้งที่ ๓๒)หน้า ๙๐ ๙๑
ครับ ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรปรวน ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้หลุดพ้นได้ยากยิ่ง ใช่ไหมครับ คุณณัฐรดา (ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อไม่มีเหตุ ผลก็ไม่มี เมื่อดับเหตุได้ พระนิพพานก็อยู่ไม่ไกลครับ)