นำสายความรู้ ต่างๆมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยการพิจารณาทั้ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ มวลสาร ศิลปะ พัฒนาการ และความนิยมของคนในสังคมเข้าด้วยกัน เพื่อนำมาใช้ในการศึกษา ที่จะทำให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบด้านและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
การเล่นพระมีสามสายใหญ่ๆ และหนึ่งแนวคิดเชิงบูรณาการ คือ
-
ไสยศาสตร์ที่ใช้กันมานาน จึงมีแนวคิดแยกย่อยออกไปมาก หลายสาย เช่น
-
แบบเผด็จการให้ผู้นำ (ในนามของ “เซียน”) เป็นผู้ตัดสิน แล้วแต่ผู้นำจะว่า ทั้ง
- การฟันธงว่าแท้ไม่แท้ นิยม ไม่นิยม หายากหาง่าย หรือจะเป็นการกำหนดราคาซื้อขาย
- การประกวด และตัดสิน ว่าสวยไม่สวย และ
- การออกใบรับรองด้านต่างๆ
-
แบบสังคมนิคม ที่ใช้หลักความเป็นเอกฉันท์ “ดูร้อยตาแท้ร้อยตา” ที่ภาษาวงการเรียกว่า “การแห่” ถ้ามีคนติคนเดียวก็ถือว่าไม่ผ่าน ที่ใช้กันทั้งระดับวงการระดับสูง ลงมาจนถึงระดับล่าง
-
แบบประชาธิปไตยใช้หลักการของเสียงส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ของคนในกลุ่มนั้นว่าอย่างไร ก็ว่าตามนั้น ที่มีทั้ง
- กลุ่มเพื่อน
- กลุ่มอาชีพ กลุ่มธุรกิจสาขาต่างๆ
- กลุ่มสมาคม ชมรม
- กลุ่มอินเตอร์เน็ต
-
แบบชนกลุ่มน้อย เน้นความนิคมของกลุ่มคนในสังคมเฉพาะที่ ไม่เกี่ยวกับสังคมส่วนใหญ่ มักเล่นกันในวงแคบๆ เฉพาะพื้นที่ เฉพาะกลุ่มคนที่นับถือ ว่ากันเป็นสายๆไปเลย จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเฉพาะในกลุ่มที่มีความเชื่อเดียวกันเป็นส่วนใหญ่
-
ศิลปะศาสตร์ เน้นจำรูปแบบของพุทธศิลป์เป็นหลัก ที่มีจำนวนปานกลาง เนื่องจากมีความใกล้เคียงของสายวิชาการทางด้านการศึกษาศิลปะเป็นพื้นฐาน กลุ่มนี้จะมองศิลปะได้ชัดเจน แต่อาจจะมีจุดอ่อนด้านการดูเนื้อ มวลสาร และพัฒนาการของมวลสาร
-
วิทยาศาสตร์ ที่มีน้อย เพราะคนที่ศึกษาสายพระเครื่องนี้ส่วนใหญ่มาจากสายศิลปศาสตร์ โบราณคดีไปโน่น เน้นการใช้หลักวิทยาศาสตร์ของมวลสารและการพัฒนาการมาใช้ในการตัดสินพิจารณา ที่พอแบ่งย่อยออกได้
-
แบบปรากฏการณ์ ศึกษาจากที่เห็นบนองค์พระ เน้นศึกษาสิ่งที่เห็นด้วยสายตา จากรูปลักษณ์ภายนอก
-
แบบกระบวนการ ศึกษาจากการพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการตามธรรมชาติ
-
แบบบูรณาการ ผสมผสานทั้งกระบวนการและปรากฏการณ์เข้าด้วยกัน
-
บูรณาการศาสตร์ นำสายความรู้ ต่างๆมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยการพิจารณาทั้ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ มวลสาร ศิลปะ พัฒนาการ และความนิยมของคนในสังคมเข้าด้วยกัน เพื่อนำมาใช้ในการศึกษา ที่จะทำให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบด้านและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม