เช้าวันนี้เป็นอีกวันที่ผมได้เรียกพนักงานมาพูดคุยเกี่ยวกับการหยุดงาน โดยน้องผู้หญิงคนนี้ชื่อ ปุ้ย มีประวัติการลาหยุดงานวันจันทร์บ่อยมาก
ลีดเดอร์บอกผมว่า ปุ้ยโทรมาลาป่วยเหมือนทุกๆวันจันทร์ แต่ถ้าคราวนี้หากยื่นลาโดยไม่มีใบแพทย์ขอให้ผมช่วยเรียกตักเตือนและไม่ควรอนุมัติใบลา โดยให้เป็นหยุดโดยไม่รับค่าจ้าง
หลังแปดโมงลีดเดอร์ก็เดินมาพร้อม ปุ้ย มาถึงหน้าโต๊ะผมก็แจ้งให้ทราบถึงประวัติการลาหยุด
"ปุ้ย เมื่อวานลาป่วยแต่ทำไมมายื่นเป็นพักร้อน" ผมถามแบบตรงๆ ปุ้ยเงียบไม่พูดอะไร ก้มหน้ายอมรับ
"ที่จริงการลาพักร้อนทุกคนก็ทราบกันดีว่าต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวัน และยิ่งโทรมาบอกป่วยแต่มาพักร้อนอย่างนี้ก็ยิ่งไม่ถูกต้องนะ" ผมพูดยาวขึ้น
"อย่างนี้พี่ต้องเรียกทุกคนมาคุยด้วยสิ ไม่ใช่หนูคนเดียว"ปุ้ยเสียงสั่นตาเริ่มแดง
"ใช่ ทุกคนที่ขาดลาโดยไม่แจ้งพี่จะเรียกคุยทุกคน และประชุมหลายๆครั้งก็เน้นเรื่องระเบียบการหยุดการลาอยู่แล้ว ทุกคนก็ทราบกันดีทำไมจะต้องเรียกคุยบ่อยๆ และครั้งนี้จริงๆก็ไม่เรียกคุยยังได้เลย"
" แต่ที่เรียกคุยเพราะต้องการรับทราบว่าเรามีปัญหาเรื่องสุขภาพมั๊ย มีปัญหาในการเดินทางหรือเปล่า หรือมีปัญหาส่วนตัวหรือเปล่า จะได้รู้ว่าเหมาะกับงานที่ทำอยู่มั๊ยและจะหาทางออกกันยังไง" ผมเริ่มร่ายยาว
"ไม่มีค่ะ หยุดเฉยๆ" ปุ้ยตอบ
"ถ้าไม่มีปัญหาที่จะช่วยแก้ไขกรณีคนอื่นที่ถูกเรียกคุยหากยังขืนประพฤติซ้ำเดิมอีก พี่ก็ให้หนังสือเตือนไปแล้วสองคนในเดือนนี้"
"พี่ไม่ได้เรียกเราเพียงคนเดียวหรอก"ผมพยายามชี้แจง
ปุ้ยนิ่งเงียบ มือเริ่มปาดน้ำตา ผมเห็นดังนั้นก็เลยต้องเงียบ อึ้ง ใจไม่ดี ที่เห็นน้องเขาร้องให้
"เอางี้ก็แล้วกันครั้งนี้เรียกคุยเพื่อทวนความเข้าใจต่อระเบียบวินัยของเราก่อน พี่อนุมัติให้พักร้อนได้ แต้ครั้งต่อไปจะให้หยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ทศมีอะไรเสริมมั๊ย"ผมเริ่มตัดบทให้กระชับโดยโยนความเห็นให้ลีดเดอร์ เพื่อจะได้สรุปเรื่องให้สั้นลง
"อ่า ก็ ปุ้ยเป็นคนมีประสบการณ์ในการทำงานที่ดีคนหนึ่ง ก็อยากให้ตั้งใจมากกว่านี้"ลีดเดอร์กล่าวสั้นๆ
"พี่โด่ง มีอะไรเสริมไหมครับ"ผมโยนให้หัวหน้าใหญ่ที่นั่งนิ่งฟังอยู่ข้างๆ
"ก็ตามนั้น..."หัวหน้าใหญ่ขึ้นประโยคเหมือนทุกๆครั้งแล้วก็ต่อด้วยเรื่องระเบียบวินัยที่พนักงานทุกคนต้องรับรู้รับทราบ ซึ่งก็เหมือนย้ำคำพูดที่ผมเพิ่งพูดเสร็จไป เสริมด้วยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทีมงานอีกมากมายหลายอย่าง ดูเหมือนจะไปย้ำบ่อน้ำตาของ ปุ้ย ให้ไหลออกมาอีก
พอได้จังหวะหัวหน้าหยุดเว้นระยะการพูด ผมจึงต้องตัดบทอีกครั้ง
"เอาล่ะ ต่อไปก็ตั้งใจทำงานเพราะพักร้อนเราก็เหลือไม่กี่วันแล้ว เราหยุดมันก็ทำให้ขาดรายได้นะ ถ้าป่วยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่มีใครอยากป่วยหรอก ใช่มั๊ย แล้วนี่อีกสองสามเดือนก็จะถึงฤดูการประเมินผลงานประจำปีแล้ว"ผมพยายามสรุปสั้นๆแต่ก็ยังยาวอยู่
"เดี๋ยวทศอยู่คุยต่อ ปุ้ยไปทำงานได้ " ผมสรุปจบ
ปุ้ย เดินก้มหน้าจากไป โดยทิ้งความสงสัยให้กับผมว่าเธอร้องให้ทำไม เพราะอะไร ผมผิดไหมที่เรียกคุยแบบนี้ และมันจะมีผลกระทบต่อการทำงานต่อไปยังไงกับเธอ
ผู้รู้ช่วยบอกทีครับ......
บางครั้งการร้องไห้ก็ทำให้รู้ว่า ทุกข์ มีอยู่ในโลกนี้
ร้องไม่มีเหตุผล มันอยากร้อง เหตุผลมันยุ่งเหยิงในหัวจนไม่รู้ว่าอะไรทำให้ร้อง
คงต้องให้คนสนิทคุยกับเจ้าตัวละค่ะ
งานนี้เล่นเอาคุณพิชัยของเราใจเสียเลยนะคะเนี่ย....
สู้ๆ ค่ะ
การร้องไห้ บอกได้หลายสถานะ ดีใจ เสียใจ การได้ระบายความทุกข์
ขอบคุณมากสำหรับบทความดีดีนะคะ
ผมเห็นด้วยกับทุกท่านที่ร่วมแสดงความเห็นครับ
*การร้องไห้ บอกได้หลายสถานะ ดีใจ เสียใจ การได้ระบายความทุกข์
**เพียงแค่ใส่ใจ มีคำถามว่าเธอร้องไห้ทำไม ก็แสดงถึงความมีเมตตากรุณาอยู่ทีเดียว
***เรื่องราวที่เขียนเป็นเรื่องเครียดมาก...แต่การเขียนสามารถถ่ายทอดเรื่องราวให้ชวนติดตามราวกับเป็นเรื่องสั้นครับ...
"จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง....สวัสดีครับ
ที่ร้องไห้ เขาอาจมีปัญหาในใจที่บอกใครไม่ได้ หรือไม่กล้าบอก อาจมีปัญหาจริงๆ ที่เราคาดคิดไม่ถึงก็ได้นะคะ ต้องให้คนที่น้องเขาไว้วางใจที่สุดไปคุยด้วย เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่า มีอะไรในใจอยู่ไหม...ขอบคุณเรื่องเล่าดีๆ นะคะ