วิชญธรรม
ผศ. ดร. สิริวิชญ์ เตชะเจษฎารังษี

บันทึกสำหรับผู้ที่ไม่กลัวตาย...


ที่แน่ๆเรามัวแต่ไป ”ทำประกันชีวิต” กันซะมากมาย วงเงินไม่รู้เท่าไหร่ ทำไมเราไม่คิดที่จะมาปฏิบัติธรรมเพื่อ ”ทำประกันจิต” เราบ้างครับ??

 

เมื่อคิดถึงตอนสมัยผมยังหนุ่มๆ (เดี๋ยวจะมีคนแซว มันนานมากเลยนะครับ ...จารย์ย์....) สมัยผมยังเป็นวัยรุ่นสนุกสนานไปวันๆ สมัยนั้นผมมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งคือ

คนเราจะกลัวตายไปทำไม?? ถึงเวลาเราก็ต้องตาย การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทุกคน ดังนั้นเวลามีใครถามผมถึงเรื่องนี้ ผมจะยืนยัน นั่งยัน แม้แต่นอนยันได้เลยว่า  ผมไม่กลัวความตาย!!!!  ถึงเวลาเราก็ต้องตาย!!!!

ในสมัยที่ผมเรียนมัธยมปลาย (จำไม่ได้ อีกแล้ว <ประจำ> ว่าตอนไหนแน่ๆ เอาเป็นว่าเวลาประมาณนี้ล่ะเด้อ) ด้วยความที่ว่าอยากลองไปพักและใช้ชีวิตต่างจังหวัดดูในช่วงปิดเทอม ผมและเพื่อนสนิท (ฉายาเรา  “ติ่งกับตาบ...พากันไปเตะตะกร้อ” คุณครูวิชาช่าง ไม่รู้คุณครูคิดได้ยังงัย!! เอาเหตุการณ์ที่เพื่อนผมต้องเข้า รพ. ผ่าตัดไส้ติ่ง รวมกับครูเห็นเราไปซ้อมตะกร้อเพื่อสอบวิชาพละฯ ที่หลังโรงเรียน  ผมก็เลยเป็นคุณ “ตาบ” ไปโดยปริยาย เป็นฉายาให้เพื่อนเราล้อกันสนุกไปเลย  <ทีเรื่องนี้...กลับจำได้แม่นหลายเด้อ> ดังนั้น เรื่องบางเรื่อง คำพูดบางคำ อาจทำให้เด็กจำไปจนตลอดชีวิตเขาเลยนะครับ คุณครูทั้งหลายครับ  แต่เรื่องนี้เราไม่ได้คิดมากอะไร เป็นเรื่องเล่าตอนเพื่อนเก่าๆมาเจอหน้ากัน อื่ม...ผมขอกลับเข้าเรื่องกันดีกว่า)

ผม “ตาบ” และเพื่อน “ติ่ง” ก็ชวนกันว่าปิดเทอมนี้เราก็ไปเรียนพิเศษที่ Math Center ที่จังหวัดขอนแก่นกัน (ขอความกรุณาผู้อ่านหยุดความคิดที่ว่า “Math Center อะไรหรือ!!??  มันสมัยไหนว้า?!%$?” ไปก่อนนะครับ เอาเป็นว่าเป็นที่เรียนพิเศษชื่อดังๆแห่งหนึ่งใน ขอนแก่น ยุคโน้นนน...) ติ่งกับตาบก็เลยมาเช่าหออยู่แถบชานเมืองใกล้ๆกับ ที่เรียนพิเศษ เช้าก็เดินไปเรียน เย็นก็กลับหอพักผ่อน นอน พอตกเย็นแถวนั้นสมัยก่อนไม่ค่อยมีอะไร รถยังไม่ค่อยมีเร็วเลยครับ (เป็นถนนตัด ข้างๆ รพ. ศูนย์ขอนแก่น ถ้าคนพอคุ้นเคยสถานที่ แต่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วโน้น.......นานมากกก) ห้องที่เราเช่าอยู่ท้ายซอย เป็นบ้านไม้แบบเพิงหมาแหงน ชั้นเดียว พื้นไม้ มีใต้ถุ่น โล่งแต่หญ้าขึ้นงกมากทำอะไรไม่ได้ มีระเบียงหน้าห้องพร้อมที่นั่งไม้ยาวไว้นั่งห้อยขาได้  ฝ้าตรงระเบียงเป็นไม้ระแนงตี ห่างๆกัน เป็นช่องๆ พอให้เห็นว่ามีตุ๊กแกอยู่กันตรึม!! ตกเย็นถ้าเงยหน้าขึ้นมองฝ้าระแนง พี่ตุ๊กอยุ่เพรียบ! ข้างหลังห้องพักเป็นทุ่งนา ลองคิดดูว่าเจ้าตุ๊กแกมันจะไปอยู่ไหนครับพี่น้อง พี่ “แก” ก็หลบแดดใต้หลังคาสบายกันไปเลยพี่น้องครับ   ผมจะเรียกว่าเป็นหอพักก็ไม่ค่อยจะเหมาะสักเท่าใด เอาเป็นว่าเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังคาสังกะสี มีสามห้องนอนเรียงติดกันและห้องน้ำรวมเป็นห้องอยู่ริมสุด ห่างจากห้องน้ำประมาณ 1-2 เมตร ก็เป็นผนังกำแพงด้านหลังของตึกแถว นี่ก็เป็นผนังชุมนุมของพี่ตุ๊กแกเช่นกัน บางวัน “ติ่งกับตาบ” ก็เอาไม้ยาวๆไปรังแกพี่“แก” เพื่อดูว่าเขาจะกัดหรือจะเป็นยังงัย สรุปว่าพี่เขาดุมาก (คิดถึงแล้วก็ต้องขอแผ่เมตตาให้เขาหน่อย ขออโหสิกรรมกันนะครับ) บรรยากาศก็เย็นสบายดีตอนกลางคืน ตาบอยู่ติ่ง สองคนในห้องติดกับห้องน้ำ ส่วนห้องตรงกลางก็มีเพื่อนโรงเรียนเรียนห้องเดียวกันพักอยู่คนเดียว (ฉายา ซาเล้ง = 3 ล้อ อย่าเพิ่งไปรู้เลยนะครับว่าที่มาเป็นอย่างไร เอาเรื่องเราให้จบก่อน มันเริ่มจะยาวเกินไปแล้ว เดี๋ยววัยรุ่นจะไม่ยอมอ่านบันทึกนี้ เพราะผมสังเกตว่า  ถ้าเขียนลงหัวข้อ ศาสนา..หรือปรัชญา อะไรทำนองมักจะขายไม่ออก ดอกไม้น้อย .. อ้าว...ไปกันใหญ่แล้วเรา ฮิฮิ)  

อยู่มาวันหนึ่ง ผมเข้าใจว่าเป็นช่วงวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ ซึ่งปกติมักจะ ผิด...อิอิ) ไม่มีการเรียนพิเศษ ตอนตกเย็น ประมาณหกโมงถึงทุ่ม พระอาทิตย์เริ่มตก  เริ่มที่จะมืด ติ่งกับตาบกันนั่งเล่นตรงระเบียง  ระแวงระวังมองหาตำแหน่งพี่ตุ๊กแกว่าประจำอยู่ที่ใดบ้าง ข้าน้อยจะได้อยู่ห่างๆพี่ท่าน พอเริ่มมืด ติ่งก็เดินไปเปิดไฟ ตอนนั้นเป็นหลอดไส้ (เป็นหลอดไฟหัวกลมๆ มีขดลวดต้านทาน เป็นขดๆให้แสงสว่าง ...อธิบายเอาใจวัยรุ่นหน่อย เผื่อว่าอีก 50-60 ปีข้างหน้าเขามาอ่านบันทึกนี้จะได้เข้าใจ....สำหรับคนคิดกาลไกลอย่างเรา)   

 

เล่าต่อครับ ..... พอเริ่มมืด ติ่งก็เดินไปเปิดไฟระเบียง พอเปิดไฟเสร็จ เขาก็ยืนนิ่งไปพักใหญ่  เดินถอยหน้า ถอยหลัง จนผิดสังเกต สีหน้าเขา ซีด......เป็นไก่ต้มของแท้ 

เขาเดินมาข้างผมแล้วถ้าว่า “ข้ามองไม่เห็นเงาหัวตัวเองวะ ช่วยดูให้หน่อยซิ “

ผมก็หัวเราะเข้าใจว่าเพื่อนอำเล่น “ จะบ้าหรือ เอ็งอย่าทำเป็นล้อเล่นนะโว๊ย มาใช่เรื่องที่จะมาเล่นกันแบบนี้นะโว๊ย “

ผมพูดต่อว่า “ติ่ง” เสร็จ ก็ก้มลงมองดูที่เงาเขา โอ้....เจอแล้วตู!!!!  ผมมองมาเห็นเงาศีรษะเขาจริงๆ ไม่ว่าผมจะเดินไปอยู่มุมไหนของระเบียง หรือจะให้เขาย้ายไปอยู่มุมไหนของบ้าน แต่ผมก็ยังบอกเพื่อนไปว่า “ โอ้...เอ็งอย่าไปคิดมากไม่มีอะไรหรอก ” (ตอนนั้นคงเป็นเพราะนั่นไม่เงาศีรษะเราเองที่หายไป เราเลยพูดได้สบาย “ไม่มีอะไร ไม่เป็นไรเพื่อน”)

ไอ้เพื่อนเจ้ากรรม มันดันถามผมต่อว่า “แล้ว เงา เอ็งล่ะ ??”  อันนี้งานเข้าเลยครับ! ผมก้มลงมองเงาตัวเอง เห็นแต่ส่วนของลำตัวของตัวเอง ไม่มีส่วนหัว มีเงาลำตัวถึงหัวไหล่ แล้วก็หยุดแค่นั้น เหมือนกับเพื่อนจริงๆ  ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนของบ้าน  ความกังวลของผมกับเพื่อนเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ  งานนี้ของแท้ ทั้งผมและเพื่อนตกใจมาก ผู้คนแถวนั้นก็ไม่รู้ไปไหนหมด สุดจะบรรยายถึงความเงียบจริงๆ ไม่มีวี่แววคนแถวนั้นเลย ไอ้ซาเล้งมันก็ออกไปข้างออก เราได้เดินดูเงาตัวเองอีกหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นมุมไหน ก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้

“ทำไงดี” เพื่อนผมถาม

“ลองไปเอากระจกมาดูซิ” ผมบอก

เราก็เข้าไปในห้องเอากระจกออกมองส่องดู ค่อยยังชั่ว ยังเห็นหน้าตัวเองอยู่..... แต่เมื่อเราลองมองเงาตัวเองผ่านกระจก โอ้......เงาศีรษะเราก็ยังไม่เหมือนเดิม  แย่แน่แล้วคราวนี้ เรากลัวมากจนกระทั่งเวลาจะเข้าห้องน้ำก็ต้องให้อีกคนนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ คนนั่งเฝ้าก็กอดวิทยุเล็กๆอยู่เครื่องหนึ่ง เปิดเสียงซะดังลั่นเลย กลัว!!! แค่วิทยุเครื่องนี้ เราก็ทำเหมือนมันเป็นเพื่อนรักกันมานาน กอดซะแน่นเลย

ลองนึกภาพดูนะครับว่า วันหนึ่งเราเดินไปแล้วมองดูเงาตัวเอง แล้วมองไม่เห็นเงาหัวตัวเอง มันน่าตกใจมากขนาดไหน

คืนนั้น ผมคิดไปต่างๆนานาเลย ถ้าเราตายคืนนี้จะทำยังไงดี? พ่อ แม่ เราจะเป็นยังไง? แล้วพี่ๆเราล่ะ?  แล้วทำไมต้องมาตายไกลบ้านขนาดนี้?   ไม่มีคนมาดูแลเราเลย?     จะทำยังไงดี ?   แล้วจะตายหัวขาดแบบไหน? เรายังมามีโอกาสบอกใครเลย? (ตอนนั้น Iphone 5 ยังไม่ออกครับ samsung galaxy III ก็ยังไม่ผลิต ตู้โทรศัพท์สาธารณะ(สงสัย)เสียอีก จะบ้าตาย ตอนนั้นผมคิดว่าเราพยายามหาทางติดต่อที่บ้านแต่ทำไม่ได้)

ก่อนหน้านี้ผมกล้าที่จะคิด ที่บอกคนอื่นว่า ผมไม่กลัวตาย ความตายก็แค่ตายจะมีอะไรมากมาย ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ไม่กลัว พอมาเจอเหตุการณ์นี้ ผมต้องบอกว่าที่พูดมา มันดีแต่ปาก เจอของจริงเลยสำนึก ความกลัว ความกังวลต่อความตายในตอนนั้นมันสอนผมอย่างมาก ในตอนนี้

ยกตัวอย่างนะครับ ท่านลองจำลองสถานการณ์ว่า ท่านกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะตก เที่ยวบินนี้ท่านไม่รู้จักผู้โดยคนไหน หัวเครื่องบินเริ่มดิ่งลงพื้น ท่านจะคิดถึงใคร?   ท่านจะคิดอะไรอยู่? 

หรือลองนึกดูว่าหากท่านรู้ว่าในไม่กี่นาทีข้างหน้าท่านกำลังจะตาย ท่านจะมีเรื่องกังวลอะไรที่ยังต้องคิดถึงไหม? คนทางที่รอท่านกลับไปจะกังวลไหม??  ท่านมีภาระอะไรค้างไว้ ที่จำเป็นต้องทำก่อนตายหรือไม่?  ?  ?  ?  ?  ?

สำหรับผมแค่คำถามตัวเองว่า ทำไมต้องมาตายอยู่ห่างคนที่เรารักด้วย? เลื่อนเวลาไปตายที่บ้านได้ไหม?  แค่นี้ก็ทำให้ผมกลัวที่จะต้องตายมากที่สุดในชีวิต

คืนนั้นเราสองคนกลัวมาก นั่งรอเพื่อนอีกคนกลับ พอเห็นเพื่อนเดินเข้ามา เราดีใจมากเป็นพิเศษ ทำเหมือนกับว่าไอ้ซาเล้งนี้เรารักมันมากที่สุดดดด  ในโลกเลย  เราก็เล่าเรื่องให้เขาฟัง พามันสังเกตเงาตัวเอง “เอ็ง ไม่มีเงาหัวเหมือนกันเลย” 

ไอ้ซาเล้งมันตอบว่า “ไร้สาระ” แล้วมันก็เดินเข้าห้องนอนตัวเองไป  ผมกับเพื่อนหันมามองหน้ากัน แล้วบอกกันว่า “ไอ้เวร (วันอังคาร) มันไม่สนใจเลยงะ !!!!”

พอตอนเช้าเราตื่นขึ้นมา ดีใจยังไม่ตาย ก็เลยมาสำรวจพื้นที่ดีๆ ปรากฏว่า เจ้าไม้ระแนงที่เขาตีเป็นซีกๆ เว้นช่องห่างๆกัน บนฝ้าเพดาน กับ ระแนงที่ทำบังแดด ทำให้เงาที่เกิดจากแสงไฟหลอดไส้นั้น ลบเอาเงาส่วนบนของเราให้เลื่อนไปนั้นเอง   ....(อยากจะเขกหัวตัวเองหนึ่งรอบจริงๆๆๆๆ)    

ถึงตอนนี้ ถ้ามีใครมาพูดกับผมว่า “ผมไม่กลัวตายหรอก”  ผมก็ต้องคิดในใจว่า “ยังก่อน ยังไม่แน่ คุณฝึกมาพร้อมหรือยัง? “

ขณะที่เรากำลังจะตาย จิตกับกาย (ร่างกาย) กำลังจะแยกออกจากกัน ท่านคิดว่าท่านจะทำจิตใจอย่างไร? กังวลไหม? คิดถึงใครไม?

การที่เรามาปฏิบัติธรรมทั่ง หลวงปู่  อาจารย์อมรา พี่ๆของผม บอกผมว่าก็เพื่อที่ เรามาฝึกจิตใจของเรา ฝึกสติของเราให้แนบกับใจ เพื่อเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพื่อเป็นหลักประกันว่า จิตของเราที่ไวมากๆ ไม่แวบไปคิดถึงสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เราไม่ชอบ แม้กระทั่งคนหรือสัตว์ที่เรารักหรือเกลียด เพราะเราก็จะไปเป็นภพภูมิตามวาระจิตสุดท้ายที่เราคิดถึง (สำหรับคนที่เชื่อเรื่องนี้นะครับ)

ที่แน่ๆเรามัวแต่ไป ”ทำประกันชีวิต” กันซะมากมาย วงเงินไม่รู้เท่าไหร่   ทำไมเราไม่คิดที่จะมาปฏิบัติธรรมเพื่อ ”ทำประกันจิต” เราบ้างครับ??

_____________________________________________

นิสสัตโต = คนเราก็ไม่ได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน

ปล:  งานนี้ขอความกรุณาอย่านำ ฉายา มาล้อกันเล่นนะครับ ผู้ปฏิบัติธรรมมือใหม่ อาจตบะแตกได้นะครับ

 

หมายเลขบันทึก: 494497เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2012 23:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2013 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

ดูๆไป บันทึกนี้ยาวมากเลย วัยรุ่นแถวนี้จะยอมอ่านมั้ยหนอ???

ผมแหละคนหนึ่งที่อ่าน สนุกดีครับ แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง ก็คงไม่ต่างกันนะครับอาจารย์

ชลัญ เป็นวัยรุ่นตอนปลาย อ่านจบแล้ว ฮา.......มากกว่ากลัวตาย .........555555555 หนุกดี

กระตุกต่อมคิดครับอาจารย์ที่จะทำประกันจิต

พอวันไหนจิตตกก็ไปเคลมกับบริษัท ธรรม

ขอชื่นชมกับวัยรุ่นทั้ง สไลด์น้อย และคุณชลัญ ครับ ที่ผ่านด่านแรกได้ครับ

ท่าน ผู้เฒ่า วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei บริษัท ธรรม ของท่านคงเคลมประกันได้ตลอด 24 ช.ม. เลยนะครับ จะได้ขอเพิ่มวงประกัน

ขอบคุณครับ :):)

เลยวัยรุ่นมานานนนนนนนนนนแล้วววววววววว แต่อ่านแล้วก็ชอบ อิอิ

บันทึกนี้ดีนะ เขียนแบบมีโครงสร้างมากกว่าเล่าไปเรื่อยๆ ล่ะก็จะดีกว่านี้ อาจได้ขึ้นเป็น "บันทึกแนะนำ" เลยนะคะ   :)

Ico48 บ่เข้าใจครับ ...  เขียนแบบมีโครงสร้างมากกว่าเล่าไปเรื่อยๆ ล่ะก็จะดีกว่านี้  

พี่green โปรดชี้แนะเพิ่มเติมครับ....:)

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวน่ะค่ะ คนอ่านบล็อกส่วนหนึ่ง (ยึดตัวเองเป็นหลัก) มักจะชอบอ่านเรื่องที่สั้นกระชับ เนื่องจากการอ่านจากจอคอมพ์ ไม่เหมาะที่จะอ่านนานๆ ดังนั้นสั้นกระชับ ได้ใจความ แบ่งช่วงเว้นบ้าง จะทำให้อ่านง่ายขึ้น มีภาพประกอบยิ่งดี (เกี่ยวบ้างไม่เกี่ยวบ้าง ก็ดึงให้เกี่ยวจนได้...อิอิ)

เหมือนเราฟังอาจารย์สอน... พี่จะชอบอาจารย์ที่บอกโครงสร้างของเรื่องที่จะเรียนก่อน ว่าจะเรียนเรื่องอะไร มีกี่ตอน กี่บท ว่าด้วยเรื่องอะไร ... แล้วจึงค่อยลงรายละเอียด  เพราะธรรมชาติของการรับรู้/สนใจของมนุษย์ จะมีช่วงจำกัดแตกต่างกันไปตามวัย เวลา สุขภาพ ความสนใจ ฯลฯ  

แต่ที่เหมือนกัน... คือ จะสนใจติดตาม (ได้ง่าย) หากตนเองรู้ภาพรวมทั้งหมดก่อน ... ทำนองนี้น่ะค่ะ  

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นกับแต่ละคนด้วย อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของคนชอบอ่านและชอบสังเกตวิธีการนำเสนอของนักเขียนค่ะ   :)

Ico48  พี่ Green ข้าน้อยขอคารวะครับ :)

ขออภัยนะคะ หากทำอวดรู้เกินตัวไป

ที่บอกเพราะถาม และลุ้นว่า การเขียนเรื่อง "เส้นทางธรรมะ" ที่ดี ๆ สร้างแรงบันดาลใจและจะเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นได้อีกมาก เพียงแต่ต้องค้นหาวิธีที่จะ "เข้าถึง" คนอ่าน/ผู้รับสาร ได้ก่อนค่ะ

หากได้รับรางวัล หรือ ขึ้นเป็นบันทึกแนะนำ เมื่อไหร่ อย่าลืมมาคารวะสัก 1 จอก (กาแฟ) นะคะ  ฮาๆๆๆ  :)

แลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับ  แต่ผมกับงานเขียน จะสอนยากพอๆกับการเข้าใจธรรมะ ประมาณนั้นครับ ......

บันทึกแนะนำ หรือไม่........  ข้าน้อยก็ต้องคารวะท่านสัก   1 จอก (กาแฟ) แน่ๆ ถ้ามีโอกาส ฮาๆๆๆ  :)

1. คนมีบุญ จะมีคนช่วยบอกจิตให้แจ่มใสไร้กังวลก่อนไปสวรรค์ เรื่องเทวดาดลใจที่เคยเห็นกับตา

2. ส่วนคนที่มีบูญแต่บุญซ่อนอยู่ ก็มักจาำกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เรื่องเล่าที่เคยมีคนส่งมาให้ทางเมล แต่ลบทิ้งไปแล้ว

3. ส่วนคนทำบาป ก่อนจากไปมักจะแสดงอาการของบาปที่เคยทำไว้ เขาพูดกันว่า ไม่รู้ไปแอบทำไว้ตอนไหน เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ก็เห็นดีๆ   หาอ่านได้ตามอินเทอร์เน็ต เคยอ่านผ่านตา มีเขียนไว้หลายคนค่ะ


สวัสดีค่ะอาจารย์....ดิฉันมีความกลัวตายทุกครั้งที่นั่งเครื่องบินเพราะระยะทางของเที่ยวบินไกลกว่าอเมริกา...แต่จะบอกกับตัวเองว่า...ต้องยอมรับสภาพความตายที่จะมาถึง...ไม่ดิ้นรนหนีให้พ้นจากความตาย...เพราะสุดท้ายจะตายเร็วตายช้าคนเราต้องตายทุกคน...คิดได้ก็นอนหลับสบาย จนเครื่องบินถึงที่หมายค่ะ...

สาธุค่ะ  

บันทึกได้ขนาดนี้ อาจารย์ไม่ธรรมดาจริง ๆ ต้องรีบทำประกันจิตเสียแล้ว

แว๊บ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท