เสาร์-อาทิตย์ ๓๐ มิถุนายน - ๑ กรกฏฎาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ผมกับพี่ๆน้องๆกลุ่มหนึ่ง นัดไปพบปะกันที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเบิกฟ้าธรรมาศรม ตำบลองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
แต่เดิมเลยนั้น ก็เป็นการจัดวาระให้กับตนเองของผมและกลุ่มที่ไปเจอกัน เพื่อได้เป็นโอกาสไปเยี่ยมยามสารทุกข์สุกดิบและคารวะครอบครัวของพี่วริชฌิตา ปลั่งสำราญ และพี่ปรีชา ก้อนทอง ซึ่งได้รู้จักและทำกิจกรรมชมรมชีวเกษมด้วยกันที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และพุทธมณฑล มาเกือบ ๑๕ ปี ก่อนที่จะขยายมาบุกเบิกก่อตั้งและดำเนินการศูนย์ปฏิบัติธรรมเบิกฟ้าธรรมาศรมมากว่า ๗ ปี กระทั่งย้ายออกจากศาลายา มาพำนักอยู่ในศูนย์ปฏิบัติธรรม ณ ที่ตั้งดังปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ก็จะถือเป็นโอกาสได้นั่งสนทนากัน ถอดบทเรียนตนเอง ทบทวนชีวิตการงานย้อนหลังกลับไปกว่า ๑๐ ปี นับแต่ที่ได้มาจากคนละตำแหน่งแหล่งที่ แล้วได้มาเจอกันบนเวทีชมรมชีวเกษมสำหรับทำกิจกรรมต่างๆด้วยกัน ควบคู่ไปกับการต่างก็ทำการงาน ดำเนินชีวิต และประกอบสัมมาชีพของแต่ละคนแต่ละครอบครัว เพื่อที่จะนำไปสู่การริเริ่มและทำสิ่งต่างๆต่อไปอีก ตามแต่เหตุปัจจัยจะเอื้อให้ทำกันได้
วันแรกก็ได้ถอดบทเรียน ทบทวนชีวิตการงานย้อนหลัง ทำวัตรสวดมนต์และเจริญสติภาวนา อยู่กับการเดินจงกรม การถือศีลและปฏิบัติธรรม ปิดท้ายกระบวนการของวันที่สอง ก็ได้ถอดบทเรียนเสริมทักษะวิชาการ และปรึกษาหารือการจัดระบบการทำงานต่างๆด้วยกัน รวมทั้งได้ร่วมกล่าวอนุโมทนา เสริมพลังใจ และสร้างพลังชีวิตให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์ปฏิบัติธรรมเบิกฟ้าธรรมาศรม แหล่งพบปะของเราในครั้งนี้ ก่อตั้งและดำเนินการโดยคู่ชีวิตของสองท่าน พี่วริชฌิตา ปลั่งสำราญ กับพี่ปรีชา ก้อนทอง ซึ่งได้ย้ายจากการทำร้านหนังสือเบิกม่าน ที่หน้ามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ไปบุกเบิกผืนดินทำไร่สร้างเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมอย่างค่อยคิดค่อยทำมากว่า ๗-๘ ปี เป็นแหล่งให้การศึกษาเรียนรู้และเผยแผ่แนวปฏิบัติเพื่อการเจริญสติภาวนาสติปัฏฐาน ๔ ในแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พี่ทั้งสองเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนที่ไป และแนวการอุทิศชีวิตการงานเพื่อส่งเสริมพระศาสนา รวมทั้งการสร้างพื้นที่สำหรับพัฒนาชีวิตด้านในให้กับผู้คนทั่วไป ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่ทุกคนให้ความศรัทธา ร่วมให้การส่งเสริมสนับสนุนมาอยู่เสมอ และถือเป็นพื้นที่ในการสร้างสุขภาวะของชีวิตด้านใน
ครอบครัวของชัยกับรี วรชัย-สุสินีย์ วรศรีโสทร เป็นครอบครัวเจ้าของกิจการ ขณะเดียวกันก็เป็นครอบครัวเรียนรู้การดูแลสุขภาพตนเองในแนวการแพทย์แบบผสมผสาน ผมได้รู้จักครอบครัวนี้ในเวทีชมรมชีวเกษม และร่วมทำกิจกรรมต่างๆด้วยกันมาอย่างสืบเนื่องมากกว่า ๑๐ ปี นับแต่ลูกของน้องทั้งสองนี้ยังเป็นเด็ก กระทั่งเติบโต เข้าเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จนจบและไปทำปริญญาโทต่อที่อเมริกา และทุกวันนี้ ก็ใช้ชีวิตหาประสบการณ์เป็นมืออาชีพอยู่ในวงการระดับโลก สนิทสนมกับกลุ่มพวกเราเหมือนกับเป็นหลานคนหนึ่ง ส่วนพ่อแม่ก็ได้ใช้ชีวิตทำงานอาสาให้กับส่วนรวมและกลุ่มเป้าหมายพิเศษกลุ่มต่างๆ เช่น ผู้คนที่ไร้โอกาส กลุ่มคนชายขอบ กลุ่มสิทธิสตรี กลุ่มทำงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผู้คนที่เรียนรู้เพื่อสร้างสุขภาวะต่างๆด้วยการพึ่งการปฏิบัติของตนเอง
น้องรีผู้ภรรยานั้น ต่อมาก็ชอบทำงานเชิงสังคมด้วย จึงได้ศึกษาต่อปริญญาโทสาขาสตรีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้น ก็เป็นผู้ช่วยวิจัยและทำงานวิชาการอิสระทางด้านเอดส์ สิทธิสตรี และเครือข่ายภาคประชาชนทางด้านสุขภาพ
พี่วัชรี วัชรมัย (กางเกงขาสั้น คล้องผ้าพันคอสีดำ) จบปริญญาโททางประชากรศาสตร์ จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นนักวิจัยทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนที่ต่อมาจะออกไปทำงานในภาคเอกชน ปรกติแล้ว หากได้ร่วมกิจกรรมต่างๆด้วยกัน พี่วัชรีก็จะมาพร้อมกับสามี อาจารย์ชัยวัฒน์ วัชรมัย นักวิชาการสอบของกระทรวงศึกษาธิการ และผมรู้จักครอบครัวนี้ เมื่อ ๗-๘ ปีก่อน อาจารย์ชัยวัฒน์เจ็บป่วยเป็นมะเร็ง ทั้งสองท่านเป็นเครือข่ายกิจกรรมชมรมชีวเกษมและได้เป็นเพื่อนชีวิตดูแลกันมาได้เกือบสิบปี ก่อนที่จะถึงแก่กรรมเมื่อเดือนที่ผ่านมานี้ ครอบครัวของรีและชัย เป็นเพื่อนดูแลจิตใจและอำนวยความสะดวกให้พี่วัชรีได้มาร่วมเวทีเล็กๆในครั้งนี้
อาจารย์ณัฐพัชร์ ทองคำ จบปริญญาโทสาขาเทคโนโลยีการศึกษา จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นคนทำงานที่มีประสบการณ์ในการทำงานแนวจิตอาสาในสถานการณ์ปัญหาเอดส์และประเด็นที่เป็นวาระเชิงสังคมที่สำคัญหลายด้านมาอย่างต่อเนื่องกว่า ๒๐ ปี เป็นกลุ่มอาสาสมัครกลุ่มบุกเบิกร่วมทำงานกับวัดพระบาทน้ำพุในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของสังคมไทย เป็นกลุ่มทำงานด้านเอดส์กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร เป็นนักวิจัยและทีมวิจัยในแนวชุมชน เป็นวิทยากรและอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัย ชุมชน และหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งเป็นเครือข่ายวิชาการและทีมนักวิจัยของผมในหลายโครงการ ปัจจุบันเป็นทีมวิจัยสุขภาพชุมชนและทีมวิชาการของสถาบันสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล
งานนี้ เมื่อไปถึงและนั่งถอดบทเรียนย้อนหลังของแต่ละคนแล้ว อาจารย์ณัฐพัชร์ก็ทำให้พวกเราได้ความประทับใจและเกิดความปลื้มปีติไปด้วยอย่างไม่ได้คาดหมายและไม่รู้กันมาก่อนมากมาย โดยบอกให้พวกเราได้ทราบว่ามาร่วมกิจกรรมต่างๆในครั้งนี้เพื่อทำให้เป็นของขวัญเนื่องในวาระครบรอบวันเกิดของตนเองด้วย โดยนอกจากจะร่วมกิจกรรมต่างๆไปด้วยกันแล้ว ก็ขอสมาทานศีลแปดและนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรมเพื่อให้บทเรียนอีกชุดหนึ่งเป็นของขวัญให้กับตนเอง
ตกบ่ายและพลบค่ำก่อนร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็นและนั่งเจริญสติภาวนา ก็มีสมาชิกมาสมทบอย่างไม่ได้นัดหมายกันอีก ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่นำโดยอดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ ดร.จิตประภา ศรีอ่อน กับนักศึกษา ๒ คนที่สนใจเรียนรู้การสร้างสุขภาวะกับการเจริญสติภาวนา กับผู้ปกครองและล่ามภาษามือ
อีกคนหนึ่งที่ไปสมทบในภายหลัง ก็คือบี คุณสินีย์ โชติบริบูรณ์ นักวิจัยและพัฒนาเครือข่ายเผยแพร่ส่งเสริมการจัดการโภชนาการชุมชน จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
บีนั้น นอกจากเดินทางแบบแบกเป้ขึ้นรถประจำทางไปร่วมเวทีของเราแล้ว ก็ขนของฝากจากผู้คนชุมชนศาลายา อำเภอพุทธมใณฑล ไปฝากศูนย์ปฏิบัติธรรมเบิกฟ้าธรรมาศรมหลายรายการ หอบหิ้วไหลบัวหลวงฉัตรแดง ของฝากจากผู้ใหญ่อาภรณ์ ช้อยประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๓ บ้านศาลาดิน ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ไปฝากพี่ปรีชากับผม แล้วก็หอบเอาผลิตภัณฑ์ชุมชนไปแจกจ่ายในเวที จากนั้น ก็ร่วมนุ่งขาวห่มขาวสมาทานศีลแปดกับอาจารย์ณัฐพัชร์ ทำสิ่งต่างๆที่ดีๆให้กับตนเอง พร้อมกับร่วมกิจกรรมต่างๆไปด้วยกันกับทุกคน
นอกจากนี้ ก็มีผู้เข้าโครงการปฏิบัติธรรมที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องก่อนที่พวกเราจะไปทำกิจกรรมกลุ่มย่อยๆด้วยกันในวันเสาร์อาทิตย์ ยังคงอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมและเจริญสติภาวนาให้กับตนเองอย่างเข้มข้นอีก ๒ คน เมื่อปฏิบัติก็ปลีกตัวไปเดินจงกรมและอยู่กับตนเอง เมื่อทำวัตรสวดมนต์ กวาดลานศูนย์ปฏิบัติธรรม และรับประทานอาหารมื้อต่างๆ จึงจะมาร่วมกับคณะของเรา
จากที่ต่างก็เดินทางไปไม่กี่คนโดยไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์สิ่งใดมากนัก ก็กลายเป็นกลุ่มกิจกรรมเล็กๆกว่า ๑๐ คน จึงเกิดกระบวนการที่ดำเนินไปเองตามความสะดวกผสมผสานให้ได้หลายอย่างไปเองโดยไม่ได้คาดหมาย ได้ถอดบทเรียน ทบทวนชีวิตการงาน และเพิ่มพูนทักษะทางวิชาการให้กันเพื่อกลับออกไปทำงานให้ดียิ่งๆขึ้น ได้เยี่ยมเยือนสันถวะกัน ได้ปฏิบัติธรรม เจริญสติภาวนา สร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกันดังญาติพี่น้อง ได้ปรึกษาหารือเพื่อเชื่อมโยงการทำงานให้ส่งเสริมสนับสนุนกันและก่อเกิดผลดีต่อสังคมให้มากขึ้น ได้ปลูกบัว และได้อนุโมทนากับสิ่งดีๆที่สมาชิกผู้ร่วมเวทีพากันทำและทำให้กับตนเอง
ผมเองนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมแล้วก็กลับเชียงใหม่ พร้อมกับถุงใส่ไหลและเหง้าบัวหลวงฉัตรแดงหรือบัวสัตตบงกช ของฝากที่ผู้ใหญ่อาภรณ์ ช้อยประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๓ บ้านศาลาดิน อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม งมขึ้นมาจากนาบัวของตนเองและฝากบีหิ้วจากนครปฐมไปสุพรรณบุรีไปให้ผมกับพี่ปรีชา บ้านผมที่สันป่าตองมีบัวฉัตรขาวแล้ว กำลังอยากได้บัวฉัตรแดงไปปลูกอยู่พอดี.
สะอาด สบาย สุข สงบ
เรียนอาจารย์ วิรัตน์ บรรยาเหมาะแก่กรานั่งทบทวนตนเอง ถอดบทเรียนตนเอง
สวัสดีครับบังวอญ่าครับ
บรรยากาศดีมากครับ เป็นการทำบ้านให้เป็นอาราม
และการไปพบกัน ก็เป็นการทำให้โอกาสการเสวนาสันถวะกัน
ได้เป็นการนำเอาประสบการณ์ชีวตการงานมาเรียนรู้
พร้อมกับอยู่กับตนเอง ในบรรยากาศที่ดีๆไปด้วย ดีมากเลยครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือนครับ
อาจารย์หมอเจ๊ คนสวย, คุณหมอธิรัมภา, คุณหมอทิมดาบ, บังวอญ่า, และอาจารย์ศิลา-พีรชยา
มีความสุขมากๆทุกท่านครับ
สวัสดีครับอาจารย์ศิลาครับ
ถือว่าเป็นการได้นำความสุข ความสบายใจ ความรื่นรมย์ใจ
มาแบ่งปันให้กันอย่างหนึ่งนะครับ
แนวคิด และการลงมือทำน่าชื่นชมครับ
สวัสดีครับหมอศุภรักษณ์ครับ
กลุ่มเล็กๆ ที่ทำกระบวนการอย่างนี้ด้วยกันนี่ก็ดีมากไปอีกแบบเลยนะครับ
ได้ความอะเอียดและเน้นเข้มข้นได้ดี สภาพแวดล้อมและสถานที่ก็ช่วยมากครับ
คนทำงานมีวงจรชีวิตอย่างด้วยนี่ นอกจากเป็นการดูแลตนเองเป็นอย่างดีด้วยแล้ว
ก็เป็นการสร้างเครือข่ายผู้นำการเปลี่ยนแปลงในอีกแนวหนึ่งที่เหมาะกับปัจจุบันดีมากเลยนะครับ