เรียนรู้การเก็บข้อเท็จจริงอีกครั้งและแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจากที่ทำไปเมื่อวาน ติดอยู่นิดเดียวตรงที่จั่วหัวว่าใครบันทึก และบันทึกวันที่เท่าไรนี่แหละ (สติและความรอบคอบจงอยู่กับเรา)
ไม่รู้เมื่อวานนี้ไปทำอะไรมาเลยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืนส่งผลให้มาทำงานสายเลย สมองปั่นป่วน(หรือว่าผลเอสเปรสโซ่สองแก้วนั่น)
วันนี้รู้สึกสนุกสนานกับการจัดเรียงข้อมูลตามกรณีศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เรียนรู้ว่าเอกสารบางอย่างนั้นยังรวบรวมมาไม่ครบอาจจะขาดสำเนาบัตรประชาชนหรือ สำเนาทะเบียนบ้าน หรือ สูติบัตร เช่นนี้แล้ว หากขาดเอกสารใดเอกสารหนึ่งไป ข้อเท็จจริงก็จะต้องถือว่ายังไม่ยุติ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายก็จะยุ่งยากมากขึ้น และขาดพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าจริงหรือตามการกล่าวอ้างหรือไม่ ตอนนี้เริ่มเห็นถึงความสำคัญของพยานเอกสารแล้ว
รู้สึกว่านานมากแล้วที่กลับเข้าที่พักแล้วจะได้ทบทวนการบ้าน อย่างตอนเด็กๆตอนเรียนชั้นประถมเนี่ยขยันขันแข็ง แล้วพอโตขึ้นความขยันก็เริ่มหายไปเรื่อยๆๆ ต้องคอยแรงกระตุ้นอะไรซักอย่างผลักดันให้เราทำโน่นนี่นั่น แต่เมื่อวานนี้ตอนเข้าที่พักแล้วก็นั่งทบทวนข้อเท็จจริงที่ศึกษามาทั้งวันเหมือนกลับบ้านไปทำการบ้านเลย ลองร่างแผนการจัดเรียบเรียงข้อมูลสถานะบุคคลให้เป็นลำดับขั้นตอน อะไรขึ้นต้น อะไรลงท้าย บุคคลคนหนึ่งมีหลักฐานแสดงสถานะอะไรบ้าง (บางกรณีบอกว่ามีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ในแฟ้มข้อมูลกลับไม่มีสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนอยู่ เราคิดว่าตรงนี้เป็นเอกสารที่น่าจะต้องมีนะหรือบางกรณีเอกสารก็ขัดแย้งกันเองก็มี) มีพยานเป็นใคร มีชีวิตอยู่หรือไม่ ใช้เป็นพยานยืนยันในประเด็นใด
ณ ตอนนี้แรงกระตุ้นอะไรซักอย่าง(ที่ทำให้กลับไปทบทวนความรู้)ที่ว่านั่น น่าจะเป็น"ความท้าทาย" เหมือนกับมีความรู้สึกว่า น่าจะลองทบทวนสิ่งที่เราเรียนมาวันนี้ซักหน่อยนะ มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเลยซักหน่อย ไม่มีอะไรเสียหายนี่ที่จะลองทบทวนดู พรุ่งนี้อะไรๆมันจะได้ง่ายขึ้น
อยู่ดีๆก็มีความคิดแวบหนึ่งว่ากฎหมายเป็นสิ่งผสมผสานระหว่างความคิดและความเป็นจริง คิดแล้วทำให้มันเป็นจริง ไม่รู้ว่าความคิดนี่จะถูกหรือผิด ค้นหาคำตอบต่อไป
Set Piority ของการทำงานให้ดีดี มีชัยไปกว่าครึ่ง นะคะ
ขอบคุณมาก สำหรับบทความดีดีนี้นะคะ
ดีค่ะ ทบทวนวิีธีคิดวิธีทำงาน อาจเกิดสูตรใหม่ในการทำงาน
รวบรวมเก็บเอกสารให้ได้มาก ทุกอย่างล้วนแต่มีประโยชน์กับลูกความทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เราเก็บเท่านั้น ลูกความก็ต้องเก็บเอกสารของลูกความให้ดีด้วย