วิวัฒนาการ คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือคลี่คลายไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นหรือเจริญขึ้น และหากกล่าวเฉพาะลงไปถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตแล้ว สามารถให้ความหมายได้ว่ามันคือการที่สิ่งมีชีวิตแบบดั้งเดิมเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยอย่างต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาวะแวดล้อมที่
เหมาะสม
ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. ความแปรผัน
2. การคัดเลือก
3. การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
การศึกษาวิวัฒนาการมี 2 ระดับ
1. Microevolution : ศึกษาระดับประชากรของสิ่งมีชีวิตแต่ละ species ศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของขน สี
2. Macroevolution : ศึกษากลุ่มสิ่งมีชีวิตระดับ species ขึ้นไป โดยการเปลี่ยนแปลงนำไปสู่ความหลากหลายในปัจจุบัน
แนวคิดการเกิดสิ่งมีชีวิต
1. สิ่งมีชีวิตเกิดจากเหนือธรรมชาติ
2. สิ่งมีชีวิตเกิดจากสปอร์ของโลกอื่น
3. สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเอง
4. สิ่งมีชีวิตเกิดจากสิ่งมีชีวิต
5. สิ่งมีชีวิตเกิดจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ
การกำเนิดสิ่งมีชีวิต
ชอง ลามาร์ก (Jean Lamarck, พ.ศ. 2287-2372) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส เป็นคนแรกๆที่ได้นำเสนอแนวคิดปฏิวัติเรื่องวิวัฒนาการจากการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของสิ่งมีชีวิตในยุคนั้นกับหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ในพิพิธภัณฑ์ ลามาร์กได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการที่สำคัญในสองประเด็นอันเป็นที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย
แนวคิดของลามาร์ก ประเด็นที่ 1
แนวคิดของลามาร์กประเด็นแรกกล่าวว่า สิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปมีความซับซ้อนมากขึ้นและสิ่งมีชีวิตมีความพยายามที่จะอยู่รอดในธรรมชาติซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสรีระไปในทิศทางนั้น “หากอวัยวะใดที่มีการใช้งานมากในการดำรงชีวิตจะมีขนาดใหญ่ ส่วนอวัยวะใดที่ไม่ใช้จะค่อยๆลดขนาดและอ่อนแอลง และเสื่อมไปในที่สุด” แนวคิดดังกล่าวนี้ เรียกว่า กฎการใช้และไม่ใช ้ (Law of use and disuse)
แนวคิดของลามาร์ก ประเด็นที่ 2
ประเด็นที่สองมีความเกี่ยวเนื่องต่อจากประเด็นแรกที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงของ
สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการใช้และไม่ใช้นั้นจะคงอยู่ได้ และสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดลักษณะที่เกิดใหม่นี้ไปสู่รุ่นลูกได้” แนวคิดดังกล่าว เรียกว่า กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่ได้มาขณะมีชีวิตอยู่ (Law of inheritance of acquired characteristic)
ลามาร์กอธิบายแนวคิดของตนโดยยกตัวอย่างยีราฟ ซึ่งปัจจุบันมีคอและขาที่ยาวขึ้น
ดาร์วินพบว่านกฟินช์แต่ละชนิดมีขนาดและรูปร่างของจงอยปากที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมแก่การที่จะใช้กินอาหารแต่ละประเภท ตามสภาพแวดล้อมของเกาะนั้นๆ ดาร์วินเชื่อว่าบรรพบุรุษของนกฟินช์บนเกาะกาลาปากอสน่าจะสืบเชื้อสายมาจากนกฟินช์บนแผ่นดินใหญ่ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาจนทำให้หมู่เกาะแยกออกจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดการแปรผันทางพันธุกรรมของบรรพบุรุษนกฟินช์ เมื่อเวลายิ่งผ่านยาวนานขึ้นทำให้เกิดวิวัฒนาการกลายเป็นนกฟินช์สปีชีส์ใหม่ขึ้น
|
หมู่เกาะกาลาปากอส
จงอยปากของนกฟินช์ที่แตกต่างกันตามความเหมะสมในการกินอาหาร
ที่มา http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/150charles-darwin/Less3_1.html
หลักฐานทางวิวัฒนาการ
1. ซากฟอสซิล
2. กระดูก
3. ดูอายุ ดูจากกัมมันตรังสี คาร์บอน 14
Speciation
1. Anagenesis คือ การเปลี่ยนจากสปีชีส์หนึ่งไปเป็นอีกสปีชีส์หนึ่งตามกาลเวลา
2. Cladogenesis คือ เกิดความแตกต่างกันทางพันธุกรรมตามกาลเวลา ทำให้ 1 สปีชีส์ แยกออกได้ 2 สปีชีส์ ถือว่าเป็นการเพิ่มสปีชีส์อย่างแท้จริง
รูปแบบการเกิดSpeciesใหม่
1. Allopatric speciation เป็นรูปแบบการเกิดสปีซีส์ใหม่ที่เป็นผลมาจากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์โดยอาจมีแนวกั้นทางภูมิศาสตร์ เช่น เทือกเขา แม่น้ำ เป็นแนวกั้นป้องกันไม่ให้ประชากรติดต่อกันได้ (ป้องกันไม่ให้เกิดยีนโฟลวระหว่างประชากร) เมื่อประชากรถูกแบ่งแยกด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวทำให้ประชากรสะสมความแตกต่างทางพันธุกรรมอันเป็นผลมาจาการปรับตัวที่แตกต่างกันต่อสภาพแวดล้อมหรือการสะสมความแตกต่างทางพันธุกรรมจากการมีทิศทางการวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน เมื่อเวลาผ่านไปประชากรจะสะสมความแตกต่างเหล่านี้จนในที่สุดมีพันธุกรรมที่แตกต่างกันมากจนไม่สามารถที่จะผสมพันธุ์กันได้อีกต่อไปแม้แนวกั้นทางภูมิศาสตร์จะถูกทำลายไปก็ตาม ซึ่งถือว่าประชากรแบ่งแยกเป็นสอง
สปีซีส์ในที่สุด
2. Parapatric speciation เป็นรูปแบบการเกิดสปีซีส์ใหม่ที่ประชากรมีการกระจายทางภูมิศาสตร์ที่ติดต่อกันและไม่มีแนวกั้นทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนแต่ประชากรมีความแตกต่างของแหล่งอาศัย เช่น ประชากรที่อาศัยบนยอดเขาและตีนเขาซึ่งมีความแตกต่างทางนิเวศวิทยาทำให้ประชากรมีการปรับตัวที่แตกต่างกัน เมื่อเวลาผ่านไปประชากรมีการสะสมความแตกต่างทางพันธุกรรมจนกระทั่งไม่สามารถที่จะผสมพันธุ์กันได้และกลายเป็นสปีซีส์ที่ต่างกันในที่สุด
3. Sympatric speciation เป็นรูปแบบการเกิดสปีซีส์ใหม่ที่ประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ภายในพื้นที่แหล่งอาศัยมีความหลากหลายของสภาพแวดล้อมทำให้ประชากรมีการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและนำไปสู่ความแตกต่างทางพันธุกรรมของประชากรจนไม่สามารถที่จะผสมพันธุ์กันได้และกลายเป็นสปีซีส์ที่ต่างกันในที่สุด ตัวอย่างเช่นแมลงที่อาศัยในป่าแห่งเดียวกันแต่อาศัยในต้นไม้คนละสปีซีส์ เป็นต้น
ที่มาhttp://cyberclass.msu.ac.th/cyberclass/cyberclass-uploads/libs/html/44080/u206.html
การพัฒนา สิ่งมีชีวิต พัฒนาต่อเนื่อง ตลอดเวลา
ขอบคุณ บทความดีดีนี้นะคะ
ในประเทศไทยมีการค้นพบสายพันธ์ใหม่หรือชนิดใหม่ปีละประมาณเท่าไรครับ ลองหาดูตั้งแต่ปี 2548 -2553 ครับ และได้แต่ชนิดไหนบ้างครับ