การศึกษาดูงาน (Study tour) เป็นกระบวนการหนึ่งที่ถูกนำมาขับเคลื่อนในกิจกรรม “1 หลักสูตร 1 ชุมชน”
กรณีดังกล่าวนี้ ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา ผู้รับผิดชอบหลักโครงการ “จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน อบต.หนองบัว” ของสาขาสารสนเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ ก็ได้นำเอากระบวนการ “ศึกษาดูงาน” เข้ามาหนุนเสริมกิจกรรมหลักด้วยเช่นกัน โดยในวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ได้นำบุคลากรจากองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม จำนวน 30 คนเข้ามาศึกษาดูงานเรื่อง “การจัดเก็บและสืบค้นสารสนเทศท้องถิ่น” ในศูนย์อีสานสิรินธร ณ สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
โครงการ “จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน อบต.หนองบัว” ประกอบด้วยวัตถุประสงค์หลัก คือ (1) จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (2) รวบรวมเผยแพร่ ความรู้ภูมิปัญญาของชุมชน ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น สถานที่สำคัญ สถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิต และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน การดำรงชีวิต การสร้างงาน อาชีพ พัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกันในชุมชน (3) พัฒนาระบบการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศในศูนย์การเรียนรู้ชุมชน
ทั้งนี้ทั้งนั้น โครงการ หรือกิจกรรมดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมอันหลากหลายที่คณะวิทยาการสารสนเทศได้บูรณาการสหสาขาวิชา (Inter-discipline) ต่างๆ ลงสู่ชุมชน อบต.หนองบัวด้วยกันทั้งหมด เป็นต้นว่า
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า โครงการดังกล่าวได้เริ่มต้นด้วยกระบวนการที่แตกต่างไปจากโครงการอื่นอยู่ไม่ใช่น้อย เนื่องจากส่วนใหญ่มักกำหนดให้กิจกรรม “ศึกษาดูงาน” (ทัศนศึกษา) เกิดขึ้นในห้วงระยะสุดท้ายของการดำเนินการ เป็นการหนุนเสริมพลังความคิดและแรงบันดาลใจหลังจากขับเคี่ยวกับการเรียนรู้ใน “ภาคทฤษฎี หรือเชิงปฏิบัติการ” มาแล้วระยะหนึ่ง เมื่อไปศึกษาดูงานก็จะช่วยให้มองภาพ “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต” หรือเรื่องราวต่างๆ ได้แจ่มชัดมากขึ้น
หากแต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นการพาชาวบ้านมาศึกษาดูงานก่อน จากนั้นก็กลับสู่พื้นที่ เพื่อปั้นแต่งรูปแบบ (Model) อันเป็น “ศูนย์การเรียนรู้” ของตนเองอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะจัดให้มีการศึกษาดูงาน “ก่อน” หรือ “หลัง”กระบวนการทั้งหมด ต้องยอมรับในเนื้อแท้ว่าการศึกษาดูงานคือกลไกหนึ่งของการพัฒนาขีดความสามารถของคน (Capacity Building) ส่วนจะถูกกำหนดไว้ในระยะใดของการขับเคลื่อนกิจกรรม ย่อมอยู่ที่แนวคิดการออกแบบแต่ละโครงการฯ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ “...เมื่อศึกษาดูงานแล้ว ย่อมหลีกไม่พ้นการ “ถอดบทเรียน” เพื่อให้เห็น “องค์ความรู้” ที่จะนำกลับไปประยุกต์ใช้กับชีวิตและการงานของตนเอง...”
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ต้องดำเนินไปด้วยความมุ่งมาดปรารถนาของชุมชนเป็นที่ตั้ง หากชุมชนไม่เห็นความสำคัญ หรือยังมองไม่เห็นความสำคัญ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมไปโดยปริยาย และเมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ศูนย์เรียนรู้ที่จัดทำขึ้น จึงยากต่อการเติบโตเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้”
เหนือสิ่งอื่นใดโครงการ “จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน อบต.หนองบัว” ที่ว่านี้ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ในการขับเคลื่อน เพราะศูนย์การเรียนรู้คงไม่ใช่แค่การจัดกระทำกับข้อมูลที่มีอยู่ หรือการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ เป็นหมวดหมู่เท่านั้น แต่คงต้องคำนึงถึงการปรับแต่งให้ศูนย์การเรียนรู้มี “ชีวิต” สามารถบูรณาการความเป็นวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้อย่างลงตัว มีระบบข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน สืบค้นได้รวดเร็ว มีเนื้อหาครอบคลุมบริบทในท้องถิ่น สื่อให้เห็นถึง “รากเหง้า” ของท้องถิ่นนั้นๆ มากกว่าการเสนอข้อมูลที่ไม่เป็น “อัตลักษณ์” ของชุมชนและท้องถิ่น จนพลอยให้เกิดความรู้สึกที่ว่าเป็น “ศูนย์การเรียนรู้ที่ไร้ราก...”
ยิ่งเป็นโมเดลที่ต้องอาศัยการบูรณาการสหสาขาวิชาต่างๆ จากภายในคณะ ออกสู่การเรียนรู้และสร้างสรรค์สังคมแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน ผมว่านั่นแหละคือโจทย์ที่ท้าทายที่มหาวิทยาลัยกับชุมชนต้องจับมือกันขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและทำกันอย่างเป็นระบบ รวมถึงการไม่ละวางที่จะสร้างความเข้าใจในสถานะของการให้และรับ (Give and Take) อย่างถูกต้องไปพร้อมๆ กัน
หมายเหตุ :
ภาพโดย สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไม่มีความเห็น