จริงแท้ คือ อนัตตา เรามิได้เป็นใคร แค่ภพ แค่ชาติ ที่เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป


ในระยะ 2-3 ปี ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสอ่านธรรมะจากหนังสือท่านพุทธทาสจำนวนหลายเล่ม ทั้งไปหาซื้อเอง และมีญาติธรรมส่งมาให้ หลายเส้นทาง

รวมทั้งหนังสือที่ผมเตรียมแจกในโอกาสเกษียณอายุราชการ ผมก็ใช้หนังสือธรรมะเช่นเดียวกัน

เมื่อผมแจกให้คนอื่น ผมก็ต้องอธิบายว่าหนังสือเหล่านั้น ดีอย่างไร ทำไมจึงควรอ่านและทำความเข้าใจ

ทำให้ผมได้มีโอกาสน้อมจิตตัวเองเข้าหาหลักธรรมะอย่างชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ที่เคยอ่านเพื่อใช้พัฒนาตัวเองมากว่า 40 ปี

นอกจากนี้

ผมยังมีโอกาสได้กล่าวคำไว้อาลัยกับญาติที่ล่วงลับไป ที่ผมได้เปลี่ยนเป็นกล่าว "มุทิตา" แทน เพราะผมทราบมาว่า ท่านเหล่านั้นได้สร้างความดีอะไรไว้บ้าง และท่านไปดีกว่าที่เป็นอยู่เมื่อก่อนจะจากไป

ที่สมควรจะแสดงความยินดี กับการทำดีและไปดีของท่านเหล่านั้น

ถ้าเรามีบุญ วาสนาที่เกี่ยวข้องกัน คงจะได้พบพานกันอีก ในภพหน้า ชาติหน้า

เมื่อทบทวนเรื่องนี้บ่อยๆ ทำให้ผมยิ่งตระหนักอย่างชัดเจนว่า

เรามิได้เป็นอะไร ที่เห็นก็แค่ภพ แค่ชาติ ตามเวร ตามกรรม ตามกุศลที่เรามี

ดังนั้น ถ้าเราชอบแบบไหน เราก็ทำแบบนั้น ผลก็จะเกิดเช่นนั้น

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องดีใจ ทุกอย่างมีที่มา และมีที่ไป ด้วยเหตุและปัจจัยของมันเอง

ผมจึงมาเริ่มเข้าใจคำว่า "อนัตตา" ที่ผมเจอมาตั้งแต่อ่านหนังสือครั้งแรกๆ สมัยเด็กๆ

ผมจึงใช้คำนี้มาแปลให้ทุกคนที่มีทุกข์ ให้คลายทุกข์ และเข้าใจความจริงของชีวิต

ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง จะเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัยของมันเอง

เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่ควรจะกังวลเรื่องอะไรที่เราทำไม่ได้

เพราะยังไงเราก็ทำไม่ได้มากกว่านั้น กังวลไปก็ไม่มีใครได้อะไร

มีแต่เสียกับเสีย

แต่ถ้าไม่กังวล มีแต่ได้กับได้

และผมก็มาเริ่มเข้าใจเพลง "เย้ยฟ้าท้าดิน" ที่ว่า

ข้าขอลิขิต ชีวิตข้าเอง ไม่เกรงดินฟ้า

เพราะ เมื่อสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราก็สร้างกรรมที่จะทำให้เราดีกว่าเดิม

แล้วฟ้าดินจะทำอะไรเราได้ จริงไหมครับ

สมกับวรรคต่อไปของเพลง

"...ข้ากระทำแต่กรรมดี มีหรือจักกลัว มิใช่ใจชั่ว ลืมตัว หลงลำพอง..."

ขนาดผมชอบเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก ผมก็เพิ่งเข้าใจเพลงนี้แบบ "จริงๆ" เมื่อไม่นานมานี้เอง

วาสนาผมช่างน้อยเหลือเกิน ต้องทนทุกข์กับความไม่เข้าใจของตัวเองมาตั้งนานแสนนาน

ดังนั้น วันนี้

ผมจะอธิบาย ปลอบใจคน ให้คลายทุกข์ต่างๆ ด้วยหลักการนี้เลยครับ

เรามิได้เป็นใคร เราเป็นแค่ภพ แต่ชาติ ตามเหตุและปัจจัยเท่านั้นเอง

เมื่อเหตุและปัจจัยหมดไป เราก็จะละสังขารนี้ไปสู่ภพและชาติใหม่ ที่ยังมี จนกว่าจะหมดเวร หมดกรรม ที่สร่างไว้ครับ

ใครยังอยากเวียนว่ายตายเกิด ก็สร้างเวรสร้างกรรมไว้มากๆ

อยากมีชีวิตที่ดี ก็สร้างกรรมดี ก็เท่านั้นเอง

ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ

ท่านผู้รู้มากกว่าผมก็คงจะเข้าใจมากกว่า และมีชีวิตที่ดีกว่าผมแน่นอน

สาธุ

หมายเลขบันทึก: 492567เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2012 07:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน 2012 23:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

I like to say "saadhu", too.

I agree and accept what you explain -- without thinking about past lives, next lives, just "here and now".

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท