ก่อนที่เราจะบอกได้ว่า เราสามารถนำพุทธศาสนามาเป็นปรัชญาในการจัดการศึกษาได้หรือไม่ ขอทุกท่านศึกษาหลักการ จุดมุ่งหมาย และแนวทางของพุทธศาสนาก่อนครับ
หลักการ / จุดมุ่งหมาย / แนวทางพุทธศาสนา
๑. ชีวิตมนุษย์เป็นเพียงภพหนึ่ง ช่วงหนึ่งของกระบวนการชีวิต ที่สืบต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาของจิต ถ้าจิตที่ไม่ได้รับการอบรมให้มีปัญญา หรือ จิตปุถุชนก็จะผลักดันชีวิตให้ดำเนินไปตามอวิชชา > ตัณหา > กิเลส > กรรม >วิบาก > แล้วก็ย้อนไปสร้างกิเลส กรรม วิบาก นำพาการเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
๒. ความเป็นไปแห่งชีวิตมนุษย์ ขึ้นอยู่กับผลของการกระทำที่เกิดจาก “เจตนา” ของตัวมนุษย์เองทั้งในอดีต และปัจจุบัน (กรรมเก่ากรรมใหม่) รวมทั้งเป็นไปตามจิตที่ยังมีอวิชชา ตัณหาผลักดันอยู่
๓. ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ในโลกล้วนไม่มีความจริง เป็นเพียงมายาภาพที่เกิดจากจิตของมนุษย์ที่เข้าไปปรุงแต่งเท่านั้น การเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่มีสติ และปัญญาดีพอ จะทำให้เกิดผลเสียหายต่อตัวเองและสังคมอย่างกว้างขวาง
๔. จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต ควรหาทางไม่ให้มาเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ อีก คือ ตัดวงจรชีวิต หรือยุติกระบวนการสืบต่อเนื่องของจิตให้ได้
๕. ชีวิตที่ถูกต้อง คือ ชีวิตที่พยายามฝึกอบรมจิตใจให้มีสติปัญญามากขึ้น จนจิตสามารถรู้เท่าทันทุกสิ่งตามความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริงนั้น ไม่ฝืนความจริง ฝึกทำจิตใจให้เป็นกลาง ไม่บังคับปรุงแต่งจิตให้คิดแต่เรื่องดีๆ หรือบังคับจิตให้หลบหนีความจริงที่ประสบ หรือไม่ปล่อยจิตใจให้ไหลตามอารมณ์ของกิเลส ตัณหา พยายามเฝ้าดูจิต สังเกตจิตจนเข้าใจได้ว่า ที่เรามีทุกข์ มีปัญหาก็เพราะเมื่อเวลาจิตคิดอะไร รู้สึกอะไร เรามักเข้าไปช่วยมันคิด หรือปรุงแต่ง แต่ถ้าเราไม่เข้าไปช่วยมันคิด หรือปรุงแต่ง ไม่ช้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต ก็จะดับไปเองในไม่ช้า
๖. มนุษย์สามารถฝึกฝนสติ ปัญญาได้ด้วยตนเองจากความรู้ที่ได้รับการแนะนำจากการฟังจากผู้รู้จริง หรือจากการอ่านหนังสือต่างๆ (สุตามยปัญญา) หรือจากการคิดพิจารณาไตร่ตรองทุกสิ่งที่ประสบ ด้วยโยนิโสมนสิการ (จินตามยปัญญา) และจากการสร้างสถานการณ์ของตัวเองที่ทำให้เกิดความกลัวต่างๆ เช่น กลัวตาย กลัวชีวิตลำบาก กลัวเสียหน้า กลัวไม่มีใครยอมรับหรือยกย่อง เป็นต้น หรือเกิดความสังเวชใจ จนจิตเข้าใจและยอมรับไตรลักษณ์ได้ (ภาวนามยปัญญา) ก็จะปล่อยวาง หมดทุกข์ไปตามลำดับ
๗. ในการเรียนรู้ ครูอาจารย์เป็นแต่เพียงผู้แนะนำ ชี้แนะ ให้รู้คุณรู้โทษและอบรมให้รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ตามใจตนเอง แต่จะได้ผลมากน้อยขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติเอาจริงตั้งใจจริงของผู้นั้น
๘. ในโลกนี้ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่มีคุณ มีโทษ มีดี มีชั่ว มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์ ไม่มีระบบการปกครองใดดีที่สุด ไม่มีสิ่งใดดีที่สุด หรือเลวที่สุดต่อมนุษย์ ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจของมนุษย์เองที่ไปกำหนด หรือต้องการ หรือรับรู้ ยอมรับสิ่งนั้นมันเอง (สำหรับทางโลก ตัวตัดสินสิ่งเหล่านี้ คือเป้าหมายที่มนุษย์ หรือสังคมนั้นต้องการ)
.................
เมื่อเราทราบหลักการ จุดมุ่งหมย และแนวทางของพุทธศาสนาแล้ว เราก็จะนำไปเปรียบเทียบ กับพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือท่านผู้ใดพอมีเวลาจะไปนำหลักสูตรทุกฉบับที่ผ่านมาของไทย หรือของต่างประเทศ มาเปรียบเทียบก็ได้ ก็จะช่วยให้เห็นความชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกครับ
เปรียบเทียบการจัดการศึกษาตามหลักพุทธศาสนา และ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
กระบวนการจัดการศึกษา | หลักการทางพุทธศาสนา | แนวการจัดการศึกษา ตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ๒๕๔๒ |
๑. ความหมายการศึกษา (Meaning of Education) | การฝึกจิตใจให้มี “สติ-ปัญญา” มากยิ่งขึ้นจนขจัดอวิชชาได้ (ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ) | มาตรา ๔ “การศึกษา” หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต |
๒.เป้าหมายสูงสุดการศึกษา (Ultimate gole of Education) | นิพพาน ชีวิตที่พ้นทุกข์ หมดกิเลสตัณหาไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป | มาตรา ๖ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข |
๓.นโยบายพื้นฐานการศึกษา (Education policy) | เป็นไปตามหลักโอวาทปาฏิโมกข์
และ
(อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔) | มาตรา ๘ การจัดการศึกษาให้ยึดหลัก ดังนี้
(๑) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน (๒) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา (๓) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง |
๔.หลักการการจัดการศึกษา (Method of Education) | พิจารณาขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ตามแนวไตรลักษณ์ ๓ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) และอริยสัจ ๔ โดยศึกษา
| มาตรา ๒๒ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า “ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ” |
๕.จุดมุ่งหมายการศึกษา (Aims of Education) | ถึงพร้อมด้วย “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน” สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ หรือ ได้พัฒนาตนจนเจริญก้าวหน้าตามลำดับ
| มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ๓. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พศ. ๒๕๕๑) |
๖.แนวการจัดการศึกษา (How to organize the Education) | ฝึกฝนไปตามความแตกต่าง เช่น ๑. อธิมุติ วาสนา บารมี ๒. วิบากกรรม ๓. จริต ๖ ๔. บุคคล ๔ ๕. อินทรีย์ ๕
โดยฝึกปฏิบัติ ดังนี้ ๑. อนูปวาโท ไม่ว่าร้าย ไม่โจมตี ไม่นินทาใคร ๒. อนูปฆาโต ไม่ฆ่าฟัน ทำให้ใครเดือดร้อน ๓. ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร สำรวมระมัดระวังจิต ๔. มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ รู้จักพอกิน-พออยู่ ๕. ปนฺตญฺจ สยนาสนํ หาที่สงัดฝึกจิตให้เต็มที่ ๖. อธิจิตฺเต จ อาโยโค เพียรฝึกจิตให้ละคลายความยึดมั่น (อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔) | มาตรา ๒๓ การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้ (๑) ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (๒) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน (๓) ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา (๔) ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง (๕) ความรู้ และทักษะในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข |
๗. หลักสูตร (Curriculum) | คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ เน้น
| มาตรา ๒๘ หลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสำหรับบุคคลตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ต้องมีลักษณะหลากหลาย ทั้งนี้ ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับโดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ สาระของหลักสูตร ทั้งที่เป็นวิชาการ และวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุล ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม สาหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่ง และวรรคสองแล้วยังมีความมุ่งหมายเฉพาะที่จะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูงและการค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาสังคม ......... ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้ ๕. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พศ. ๒๕๕๑) |
๘.วิธีการจัดการเรียนการสอน (Methodology) | เน้นการฝึกฝน อบรม ขัดเกลาจิตใจ
| มาตรา ๒๔ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (๒) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (๓) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (๔) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (๕) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ (๖) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ |
๙. แหล่งเรียนรู้ (Learning resources) |
| มาตรา ๒๕ รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล แหล่งการเรียนรู้อื่นอย่างพอเพียง และมีประสิทธิภาพ |
๑๐. คุณสมบัติของครู (Teacher Qualifications) |
|
|
๑๑. คุณลักษณะนักเรียน (Student qualifications) |
| มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พศ. ๒๕๕๑) |
๑๒. การวัดผลประเมินผล (Evaluation of Education) | วัดผล จิตละสังโยชน์ ๑๐ ได้หรือไม่ ประเมินผล จิตใจมีกิเลส อวิชชา ตัณหา ทุกข์เบาบางหรือไม่ | มาตรา ๒๖ ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา และให้สถานศึกษาใช้วิธีการที่หลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ และให้นำผลการประเมินผู้เรียนตามวรรคหนึ่งมาใช้ประกอบการพิจารณาด้วย |
เมื่อท่านผู้อ่านได้เห็นการเปรียบเทียบหลักการ จุดมุ่งหมาย และแนวทางของพุทธศาสนา กับ พระราชบัญญัติการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วตามหัวข้อดังกล่าว น่าจะสามารถสรุปได้ว่า พุทธศาสนาไม่สามารถนำไปเป็นปรัชญาการศึกษาของสังคมใดๆ หรือของประเทศไทย หรือของชาติใดๆได้เลย เพราะหลักการและจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา ไม่สอดคล้องกับความหมาย หลักการ จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาที่สังคมชาวโลกปกติต้องการ ซึ่งชาวโลกปกติเขาต้องการจะจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ มีทักษะ มีสมรรถนะ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์จะได้นำไปประกอบอาชีพ พัฒนาอาชีพตนเองให้ดีขึ้น และดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมทั้งนำประกาศนียบัตรที่ทางภาครัฐรับรองไปยกระดับสถานภาพชีวิตตนเองได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในเมื่อเราไม่สามารถนำหลักการ จุดมุ่งหมาย และแนวทางพุทธศาสนาไปเป็นปรัชญาการศึกษา หรือหลักการจุดมุ่งหมายในการจัดการศึกษาของไทยได้ แต่...ดูเหมือนว่าบางอย่าง เช่น แนวความคิดในลักษณะองค์รวม เช่น การมุ่งพัฒนาสติปัญญา(แม้คำ "สติปัญญา" จะมีความหมายต่างกัน) การที่มุ่งพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ (วิชชา จรณสมปันโน) หรือ หลักการจัดการศึกษาที่ทางพุทธศาสนาเน้นที่ปัญหาหรือทุกข์ หรือแนวการจัดการศึกษาที่เน้นตามความแตกต่างของบุคคล การจัดการเรียนการสอน คุณสมบัติครู คุณสมบัตินักเรียน จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับแนวทางการจัดการศึกษาของชาติได้เป็นอย่างดี และสามารถนำมาช่วยการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพขึ้นได้อีก
ซึ่งแนวทางปฏิบัติบางอย่างที่ดีของพระภิกษุในการสอนศิษย์สมัยก่อนจะมีเทคนิค วิธีการที่ดีหลายประการ โดยที่บรรพบุรุษของเราได้สอดแทรกลงไปในการดำเนินการของการจัดการศึกษาของสังคม และในโรงเรียนอยู่แล้ว เช่น การไหว้ครู การไหว้ การทำความเคารพครูก่อนเรียน การใช้คำต่างๆ ทางพุทธศาสนามาใช้ในการจัดการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ นักเรียน ศิษย์ การศึกษา หลักสูตร ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้กัน หรือทำอยู่ แต่บางอย่างใช้ หรือทำไม่ตรงวัตถุประสงค์เดิมไปบ้างก็มี
.
ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอเสนอ "การจัดการศึกษาไทยตามแนวทางของพุทธศาสนา" ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณี ค่านิยม ทัศนคติ วิถีชีวิต ที่บรรพบุรุษคนไทยนำหลักทางพุทธศาสนาเข้ามาสอดแทรกในวิถีชีวิตคนไทยตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนี้
กระบวนการจัดการศึกษา | หลักการทางพุทธศาสนา | การจัดการศึกษาไทยตามแนวทางพุทธศาสนา |
1. ความหมายของการศึกษา (Meaning of Education) | การฝึกพัฒนาจิตใจ(สิกขา) ให้มี “สติ-ปัญญา” มากยิ่งขึ้นจนขจัดอวิชชาได้ (ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ) | การศึกษา หมายถึง การฝึกฝนพัฒนากาย จิตใจ ความคิดจนเข้าใจชีวิต สังคม และโลก เพื่อพัฒนาศักยภาพ และสมรรถภาพในการดำรงชีวิต |
2.เป้าหมายสูงสุดทางการศึกษา (Ultimate goal of Education) | นิพพาน ชีวิตที่พ้นทุกข์ หมดกิเลสตัณหา ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป | เกิด “องค์ความรู้” ต่อชีวิต สังคม โลกอย่างถ่องแท้ จนนำไปบูรณาการพัฒนาชีวิตให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มีปัญหาชีวิตความทุกข์น้อยลง |
3. นโยบายการศึกษา (Education policy) | โอวาทปาฏิโมกข์
และ
(อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔) |
เพื่อพัฒนา : 1. พุทธิศึกษา – พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) 2. จริยศึกษา – จิตพิสัย (Affective Domain) 3. หัตถศึกษา – ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ๔. พลศึกษา (Capacity, Physical education) |
4. หลักการการจัดการศึกษา (Method of Education) | พิจารณาขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ตามแนวไตรลักษณ์ 3 (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) และหลักอริยสัจ 4 โดยศึกษา
|
|
๕. จุดมุ่งหมายการศึกษา (Aims of Education) | ถึงพร้อมด้วย “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน” สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ หรือ ได้พัฒนาตนจนเจริญก้าวหน้าตามลำดับ
| คาดหวังให้ผู้เรียน :-
|
6. แนวการจัดการศึกษา (How to organize the Education) | ฝึกฝนไปตามความแตกต่าง เช่น 1. อธิมุติ วาสนา บารมี 2. วิบากกรรม 3. จริต 6 4. บุคคล 4 ๕. อินทรีย์ ๕ โดยฝึกปฏิบัติ ดังนี้ 1. อนูปวาโท ไม่ว่าร้าย ไม่โจมตี ไม่นินทาใคร 2. อนูปฆาโต ไม่ฆ่าฟัน ทำให้ใครเดือดร้อน 3. ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร สำรวมระมัดระวังจิต 4. มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ รู้จักพอกิน-พออยู่ 5. ปนฺตญฺจ สยนาสนํ หาที่สงัดฝึกจิตให้เต็มที่ 6. อธิจิตฺเต จ อาโยโค เพียรฝึกจิตให้ละคลาย (อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔) | จัดตามความแตกต่าง
2. พัฒนาผู้เรียนตามหลักจิตวิทยา และไตรสิกขา -ขั้นพื้นฐาน (อายุ 7-12 ปี) เน้นฝึกวินัย(ศีล), ความรู้พื้นฐาน, ทักษะชีวิตพื้นฐาน -ขั้นมัธยม (อายุ 13-18 ปี) เน้นฝึกสมาธิ, ใฝ่รู้, ฝึกทักษะการเรียนรู้,ทักษะการคิด,ทักษะอาชีพพื้นฐาน -ขั้นอุดมศึกษา (อายุ 19–22 ปี) เน้นฝึกสติ-ปัญญา, พัฒนากระบวนการเรียนรู้, ฝึกทักษะการคิดชั้นสูง, ฝึกการทำโครงการ/วิจัย, พัฒนาทักษะอาชีพชั้นสูง |
๗. หลักสูตร (Curriculum) | คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ เน้น
| หลักสูตร ต้องสร้างขึ้นตามความหมาย หลักการ นโยบายจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาที่กำหนดไว้ และควรมีลักษณะ หลากหลาย สอดคล้อง ทั่วถึง ครอบคลุม เหมาะสม ยืดหยุ่น เพิ่มพูน โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิต ศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที่ โดยมีสำคัญ ดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมาย/ตัวชี้วัดที่แสดงถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งความรู้ ทักษะ เจตคติ สมรรถนะ ศักยภาพ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับผู้เรียนอย่างชัดเจนตามธรรมชาติและพัฒนาการตามวัย 2. เน้นให้ผู้เรียนรู้จักชีวิต, เข้าใจสังคม, ตระหนักถึงคุณค่าของสังคม/ท้องถิ่นตนเอง และรู้เท่าทันสังคมโลกในทุกๆด้าน 3. เน้นการบูรณาการ, สร้างองค์ความรู้, ผลิตผลงาน/สร้างสรรค์นวัตกรรม ที่ส่งเสริมพัฒนาทักษะการคิด, ทักษะชีวิต, ทักษะการเรียนรู้, ทักษะการทำงาน และกระบวนการทำงานด้วยกัน ๔. มีแนวทางในการเรียนรู้ หรือการปฏิบัติจริงแต่ละด้าน โดยให้เห็นถึงกระบวนการขั้นตอนการเรียนรู้หรือปฏิบัติอย่างชัดเจนตามลำดับธรรมชาติการเรียนรู้ และจิตวิทยากทางการศึกษา ๕. ระบุแนวทางการวัดผลประเมินผลที่สอดคล้องกับเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของหลักสูตรแต่ละด้านตามสภาพจริง |
๘. วิธีการจัดการเรียนการสอน (Methodology) | เน้นการฝึกฝน อบรม ขัดเกลา จิตใจ
"คุณภาพการศึกษา ขึ้นอยู่กับ คุณภาพครู" | เน้นเรียนฝึกจากชีวิตจริง ลงมือทำจริง 1. ฝึกตั้งใจฟังคำสอน คำอธิบาย คำชี้แนะ เนื้อหาความรู้จากการสาธิต จำลอง หรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน 2. จัดทัศนศึกษาตามสถานที่ต่างๆ หลายรูปแบบ และสถานการณ์จริง เพื่อฝึกการใฝ่รู้ การสังเกต การรวบรวมข้อมูล การอ่าน การฟัง อย่างต่อเนื่อง แล้วนำมาวิพากษ์ วิจารณ์ สรุป 3. จัดกิจกรรม ให้ฝึกปฏิบัติ คิดหาวิธีทดลองด้วยตนเองตามทักษะกระบวนการเรียนรู้/การคิด/การทำงานในรูปแบบโครงงาน หรือรูปแบบใดก็ได้ที่มีขั้นตอนชัดเจนตามสถานการณ์จริง หรือชในชีวิตจริง จะได้ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบบูรณาการและมองเห็นองค์รวมชีวิต/สรรพสิ่ง 4. ฝึกสนทนา โต้ตอบ ซักถาม วิเคราะห์ วิจารณ์สังเคราะห์ สรุป อภิปรายผล โดยใช้หลักปุจฉาวิสัชนา ธรรมสากัจฉา หรือกระบวนการโยนิโสมนสิการ เพื่อให้เกิดความตระหนักและเข้าใจจริง 5. ฝึกเรียนรู้การแก้ปัญหาชีวิต หรือสังคมโดยใช้กระบวนการอริยสัจ 4 หรือกระบวนการวิจัย หรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการจัดการ การวางแผนเผชิญสถานการณ์ และป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาชีวิต และสังคมในอนาคตได้ 6. ฝึกการเข้าแถวตามลำดับอาวุโส ชั้นโตอยู่หน้า ชั้นเล็กอยู่หลัง ฝึกการไหว้ การกราบแบบพระภิกษุ 7. จัดให้มีการสวดมนต์ไหว้พระ แบบทำวัตรเช้า-เย็นแบบพระภิกษุ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 8. จัดให้กิจกรรมพิธีไหว้ครู ในตอนต้นปีการศึกษาเป็นไปในลักษณะ "พิธีมอบตัวเป็นศิษย์" และ "ไหว้พระคุณครู" ในวันปัจฉิมนิเทศ ก่อนปิดปีการศึกษา 9. จัดกิจกรรมในสถานศึกษาต่างๆ ตามแนวทางของพุทธศาสนาจริงๆ ไม่ใช่แค่นุ่งห่มผ้าขาว นั่งสมาธิ รับศีลไม่กี่นาที ทำให้ครบตั้งแต่ฝึกทำกับข้าวอาหารมาถวายทาน รับศีลอุโบสถ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนาในชั่วโมงแรก ของวันที่สถานศึกษากำหนดเป็นชั่วโมงประชุม หรือ ชั่วโมงจริยธรรม อย่างเป็นกิจลักษณะ และทำตลอดปีการศึกษา หรือตลอดจนจบช่วงชั้น โดยการสอนพยายามให้เป็น
|
๙. แหล่งเรียนรู้ (Learning resources) |
|
|
๑๐. คุณสมบัติของครู (Teacher Qualifications) |
|
๑. แนะนำให้เป็นคนดี |
๑๑. คุณลักษณะนักเรียน (Student qualifications) |
| มีอิทธิบาท ๔ ๑. ฉันทะ ใฝ่เรียนรู้, (รักที่จะเรียน ใฝ่ที่จะรู้) ๒. วิริยะ ขยัน, หมั่นเพียร, มีวินัย, ตั้งสัจจะ ๓. จิตตะ เอาใจใส่จริงจังในสิ่งที่เรียนรู้ ๔. วิมังสา หมั่นคิด หมั่นหาเหตุผล ไตร่ตรองละเอียด และปฏิบัติตนตามทักขิณทิศ (ศิษย์บำรุงดูแลครู)
|
๑๒. การวัดผลประเมินผล (Evaluation of Education) | วัดผล จิตละสังโยชน์ 10 ได้หรือไม่ ประเมินผล จิตใจมีกิเลส อวิชชา ตัณหา ทุกข์เบาบางหรือไม่ | การวัดผล วัดจากความรู้ความสามารถ หรือผลงาน / ผลผลิตตามเป้าหมาย/ตัวชี้วัดที่มีเงื่อนไขหรือเกณฑ์ตัดสิน และระดับคุณภาพ ด้วยเครื่องมือที่เป็นปรนัย และอัตนัยตามสภาพเนื้อหา/งานที่เป็นไปตามธรรมชาติวิชา การประเมินผล เป็นการประเมินความประพฤติ หรือพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เห็นถึง “พัฒนาการ” เพื่อนำไปจำแนก, เปรียบเทียบ, จัดตำแหน่ง, จัดลำดับ, เพื่อนำไปวิจัยหาสาเหตุ วิธีการปรับปรุง, พัฒนา |
ขอบคุณค่ะ
ข้าพเจ้าได้ทดสอบรวมถึงการเรียนรู้ของเด็ก เช่น นั่งสมาธิก่อนเรียน มีการใช้ประคำนับ บริกรรมพุทโธ ยุบหนอ อื่น ๆ และเข้าเรียนโดยไม่ต้องเตรียมอะไร พูดอย่างเดียว และการเตรียมอุปกรณ์การสอน การนันทนาการก่อนเรียน ใช้รูปแบบหลายอย่าง สรุป ที่ได้ผลมาก 1. นั่งสมาธิก่อนเรียนทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที 2.การนำเข้าสู่บทเรียนต้องทำความสบายหรือความคุ้นเคยแบบเป็นกันเอง 3. อุปกรณ์การเรียนการสอนต้องมีท้ังครูและเด็กจะต้องสอนแบบมีอุปกรณ์เท่าน้ัน 4. ก่อนสอนทุกครั้งจะต้องมีหัวข้อกำหนดและอธิบายความหมายของหัวข้ออย่างชัดแจ้ง 5. จัดลำดับและดึงความสนใจให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นอยากทำ 6.ในเวลาเรียนหรือสอนอย่าดึงความสนใจไปอย่างอื่น เด็กจะสับสน นอกจากนิทานเพื่อผ่อนคลาย 7.มีการทบทวน บอกเป้าหมาย ถ้ามีการจดจำต้องอธิบายหลักการจำด้วย และครูจะต้องแม่นละเอียด ไม่สร้างความยากให้เด็ก การบ้านอย่าให้ถ้าเด็กไม่เข้าใจ