469. Learning Organization ตอนห้าเล่ม ห้าเรื่อง


เป็นจุดส่งการบ้านของลูกศิษย์ดร.ภิญโญที่ลงวิชา Business Environment ในหัวข้อ Learning Organization ครับ

AI สอนผมในเรื่องที่สำคัญที่สุดของชีวิตครับคือ..ด้วยคำถามดีๆ..เราสามารถค้นเจอเรื่องราวดีๆ..ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้นได้เสมอครับ..เรื่องราวต่างๆ ล้วนมีอยู่ทุกคนอยู่แล้วครับ..

เช่น..ผมเอง..รู้สึกจังเลยว่าตัวเองสำคัญ..ชอบมีคนไกล้บ้านมาขอความรู้ เขาทำธุรกิจครับ.พี่เขาบอกว่าเขาเรียนไม่สูง ไม่มีความรู้...ผมเองก็ได้ให้ความรู้ไปเยอะ..ถ้าลูกเขากลับมาบ้าน ก็มีการพามาคุยด้วยครับ..

...

แต่เอ..เด็กสองคนนี่เก่ง..น่ารัก..คนหนึ่งเรียนจบจุฬา คนหนึ่งกำลังเรียน ABAC ตั้งแต่เด็กเลย...เดินผ่านผม..จะเป็นเด็กสองคนในซอย..เพียงสองคน..ที่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน..อย่างอ่อนน้อม..เด็กอื่นๆ นี่อย่าไปหวังเลยครับ..ก็เหมือนเด็กรุ่นใหม่ทั่วไป..

น้องคนเล็ก เรียนปีหนึ่งก็เริ่มลงทุนซื้อคอนโดให้คนเช่า..คนโตจบจุฬามาก็ลงทุนส่งออกเครื่องปรับอากาศไปอาหรับ...(ครอบครัวนี้เป็นมุสลิม เป็นชาวอิสลามที่น่ารักมากๆ คุณพ่อเป็นอิหม่าม) ...

....

วันหนึ่งพี่ผู้หญิง ถามผมว่า..อาจารย์มีเคล็ดลับการเลี้ยงลูกอย่างไร..

....

ผมเกือบตอบ แล้วก็พลันนึกได้ครับ

"..ลูกผมแปดขวบเองพี่..ผมน่ะชื่นชมลูกพี่มาตั้งนานแล้ว..ชอบนิสัยมากๆ..อยากให้ลูกสาวผม โตมาเหมือนลูกสาวพี่นี่แหละ เป็นไอดอลเลย..พี่น่ะเลี้ยงลูกอย่างไร.."

...

"ก็ธรรมดาๆ นะอาจารย์.."

"พี่สอนปีละเรื่อง เน้นปีละเรื่อง เช่นปีนี้เน้นความเคารพ..ก็เน้นไปเลย พูดสอน ย้ำ..ปีต่อมาก็วินัย..ก็ย้ำ ปีต่อมาก็เรื่องการเงิน ก็พาเก็บเงินไปธนาคาร...ฝากออมสิน.."

"เน้นเรื่องดีๆ ปีละเรื่องอาจารย์กว่าจะโตลูกก็จะมีนิสัยดีๆ สิบกว่าด้าน...ก็พอแล้วอาจารย์ เพราะที่เน้แต่ละปีก็จะเป็นนิสัยไปเลย..ไม่ลืม"

...

โอ..พี่ เทพมากๆ...

...

ส่วนพี่บัง พี่ผู้ชาย

"ผมสอนลูกให้เคารพคนอื่นครับ..เพราะถ้าลูกเราเคารพคนอื่น..เขาจะดูแลลูกเรา ทั้งข้างหน้า และข้างหลัง..ดูแลแทนเราเลย"

...

เทพอีกครับ..

...

นี่ไงครับ..เป็นอาจารย์ จะไปรู้ทุกเรื่องได้ไง..ก็เรียนรู้เรื่องดีๆ จากศิษย์นั่นแหละครับ...

ผมได้แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้มากๆ ครับ...เอาไปทำเลย..

...

ครับ..อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจครับ 

...

เมื่อวานเลยถือโอกาสบอกนักศึกษาที่เรียนเรื่อง Learning Organization จากหนังสือห้าเล่ม ให้เขาเล่าเรื่องดีๆ..คนละห้าเรื่อง..

100 คนก็ห้าร้อยเรื่อง..เขียนคนละห้าบันทัด...ห้าเรื่องก็ 25 บรรทัด..100 คนก็ 2,500 บรรทัด..เชื่อว่าจะเป็นความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจเรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ดียิ่งครับ. 

 

เชิญนักศึกษา MBA KKU ที่ลงวิชา Business Environment กับผม เล่าเรื่องราวดีๆ ตามแนวคำถามห้าข้อ..ที่ให้ไป เพื่อแบ่งปันให้สังคมเลยครับ..

หมายเลขบันทึก: 492010เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 07:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มิถุนายน 2012 19:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (141)

*Personal Mastery

- มีวันหนึ่งเป็นวันแรกของการเรียนการสอนของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ผมได้เข้ามาเริ่มเรียนในรั่วของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่คณะวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ผมก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนมากนักเพราะผมยังอยู่ ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ตอนนั้นผมยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต พอเวลาผ่านไปๆ จนมาถึงเวลาสอบปลายภาค (ของชั้นปีที่ 1) (พอสอบเสร็จ) พอสอบเสร็จ ผลที่ได้ก็คือ เกรดที่ออกมานั้น ไม่ได้มีมากกว่า D+ เลย สักตัว !! และแล้วก็มาถึงวันที่ต้องโดนด่า (มีจดหมายมาที่บ้าน "นั้นคือใบเกรดที่ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ส่งมานั้นเอง") พอพ่อกับแม่เห็น ก็เริ่มไม่พอใจกับเกรดของผม เลยทำให้ผมโดน ดุด่าว่ากล่าว ชุดใหญ่ (จึงทำให้ผมคิดได้) ว่า เป้าหมายของผมนั้นคือ ? เวลาผ่านไป 20 นาที ผมก็เริ่มคิดได้ว่า เป้าหมายของผมคือ ไม่อยากโดนพ่อกับแม่ด่าแบบนี้อีกต่อไป !  "จึงจะต้องเรียนให้ได้เกรดดีๆ ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง จึงจะไม่โดนด่าอีก!!"

*Dialogue

- เมื่อกลางเดือน ธันว่าคม 2548 ที่ผ่านมา ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ผมรู้สึกว่าผมเริ่มอยากได้มอเตอร์ไซค์มากเพราะผมเห็นเพื่อนๆของผมเขามีรถมอเตอร์ไซค์กันแทบจะทุกคนและแต่ละคนนั้นก็ พากันแต่งรถมอเตอร์ไซค์ส่วยๆกันทั้งนั้นเลย (ผมรู้สึกอิจฉาเพื่อนของผมมาก) และวันต่อมาผมจึงตัดสินใจว่าจะลองขอคุณพ่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ผม (เพราะผมอยากมีเหมือนเพื่อนๆของผมบ้าง) และทันใดนั้นเองพ่อก็ทำสีหน้า (โกรธเคืองผมมาก) แล้วพ่อก็เอ่ยปากด่าผมว่า "ทำไมหรอ อยากได้มากใช่มั่ยไอ้ รถมอเตอร์ไซค์ " (ด้วยสีหน้าไม่พอใจ) ไม่เห็นรึไงที่ออกข่าวทุกวันที่ว่า "เด็กแว่นแข่งรถมอเตอร์ไซค์แล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะว่าเสียงของท่อไอเสียบ้าง หรือทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บเพราะแข่งมอเตอร์ไซค์กัน จนไปชนกัยรถคันอื่นเข้า" แล้วคำสุดท้ายพ่อของผมได้พูดว่า (พ่อคงไม่ซื้อให้หรอกน่ะเพราะเรายังเด็กอยู่และอีกอย่างพ่อกับแม่ก็ไปรับ-ส่งที่โรงเรียนอยู่ทุกวันอยู่แล้ว) และที่สำคัญ " ที่พ่อไม่ซื้อให้ก็เพราะว่าพ่อ เป็นห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกเป็นอันตราย " (พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง) นับแต่นั้นมาผมก็ไม่ได้เอ่ยปากขอมอเตอร์ไซค์อีกเลย แล้วผมก็คิดได้ว่าที่พ่อไม่ยอมซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ผมนั้นก็เพราะว่าพ่อเป็นห่วงผม(ผมเลยเติมโตมาจนทุกวันนี้) !!

*Mental model

- มีอยู่ช่วงหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ขึ้นชั้นปีที่ 2  ซึ่งผมได้กลับบ้านอยู่กับพ่อและแม่ไปวันๆ (โดยไม่ออกไปไหนเลยอยู่แต่ในบ้าน) พอวันเวลาผ่านไปๆ ผมก็ยังอยู่แต่ในบ้านเหมือนเดิมไม่ได้ออกไปไหนเลย และพอเข้าเดือน เมษายน ก่อนวันสงกรานต์ เพื่อนของผมคนหนึ่ง ชื่อว่า แอ๊บ ได้โทรมาชวนผมว่า "เออ! ไนซ์ไปเล่นสงกรานต์ กับเพื่อนๆมั่ย " (ซึ่งตัวของผมเองไม่เคยเล่นสงกรานต์มาก่อน แล้วความรู้ศึกของผมก็รู้สึกว่าไม่อยากเล่ยน้ำสงกรานต์) และแล้ววันนี้ก็ผ่านไป ! พอวันต่อมาซึ่งได้เขามาใกล้วันสงกรานต์ มาขึ้นๆ เพื่อนๆของผมก็ได้โทรมาหาผมอีกว่า " ไนซ์ไปเล่นน้ำเถอะมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ไนซ์คิดน่ะ สาวๆน่ารักๆ เยอะน่ะเว๊ยย" ผมก็เงียบไปสักพัก ..... แล้วเพื่อนผมก็พูดอีกว่า "ไปกันเยอะๆจะได้สนุกๆไง " ทันใดนั้นก็รู้สึกรำคาญเพื่อนของผมมากที่เอาแต่พูดๆ ผมก็เลยตัดสินใจเพื่อตัดปัญหาว่า "เอ๊อๆ ! ไปก็ได้ว่ะ" แล้วเรื่องก็จบลง !! พอถึง วันสงกรานต์ เพื่อนๆก็ขับรถมารับผมที่บ้านของผม เพื่อที่จะออกไปเล่นวันสงกรานต์กัน ! แล้วพอผมได้เล่นน้ำวันสงกรานต์ ผมก็รู้สึกขึ้นว่า (เออ!ว่ะมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมคนก็เยอะดี สาวๆก็น่ารักๆ อย่างที่เพื่อนผมบอกด้วย) ผมได้หันไปคุยกับเพื่อนว่า อืม....ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาขึ้นเยอะเลย ขอบใจพวกเองมากเลยน่ะ !!

*Team Learning           

- มีวันหนึ่งผมได้รับมอบหมายจากคุณแม่ ให้เป็นตัวแทนจัดเลี้ยงพบปะสังสรรค์ กันระหว่าง ญาติผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้จะจัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ อย่างไร แล้วพอวันต่อมาผมได้คิดหาทางออกว่า (ผมต้องมีทีมของผมเองเพื่อที่จะทำให้งานเลี้ยงเกิดขึ้นให้ได้) และแล้วผมก็ได้ตัดสินใจที่จะชวนเพื่อนของผมที่มีอยู่ด้วยกัน 4 คน คนแรกที่ว่า อ๊อด เขาเก่งในด้านการจัดสถานที่ คนที่สอง ชื่อว่า เจ๊ก คนนี้เขาจะถนัดในเรื่องของการจัดสวนดอกไม้และการจัดดอกไม้ในแจกัน  คนที่สาม ชื่อว่า โอ๊ต โอ๊ตจะเป็นช่างทางเทคนิคจะมีความสามารถในเรื่องของการจัดอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ เครื่องเสียง ไมค์ และ TV โปรเจคเตอร์  ส่วนคนสุดท้าย ชื่อว่า ป๋อ เขารู้จักร้านอาหารอร่อยๆ ที่รับทำโต๊ะจีน (และมีราคาถูก) ส่วนตัวผมนั้นจะเป็นคนนัดหมาย เชิญ ญาติผู้ใหญ่ มางานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ และแล้วอีกเพียงแค่สองวันก็จะถึงวันงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ และตอนนั้นเองผมได้นัดเพื่อนของผมมาตกลงกันว่าจะออกแบบงานเลี้ยงในรูปแบบไหน (เวลาได้ผ่านไป 1 ชั่วโมง) ก็ได้ข้อสรุปว่าจะจัดงานเลี้ยง ในรูปแบบ ย้อนยุค หน่อยๆ (ยุคเอลวิส) และต่อมาเพื่อนของผมแต่ละคนได้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง จนกระทั่ง งานเลี้ยงได้เสร็จเต็มรูปแบบ  (2วันต่อ) ได้ถึงวันงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ ญาติผู้ใหญ่แต่ละท่านก็ได้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก และคุณแม่ก็พอใจกับงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ ที่ผมและทีมของผมได้สร้างขึ้นด้วยความสามัคคีกัน !!

*System Thinking

- มีวันหนึ่งผมได้นัดเพื่อนไปกินข้าวที่เซ็นทรัลขอนแก่น  พอมาถึงเซ็นทรัล ผมก็ถามเพื่อนว่า วันนี้จะกินอะไรกันดี (ผมก็คิดอยู่นาน.....) และแล้วผมก็เปิดดูในกระเป๋าตังค์ บังเอิญไปเจอส่วนลด ที่ร้านอาหาร MK สุกี้ พอดี ก็เลยชวนเพื่อนไปกินกันที่ MK สุกี้ พอเข้าไปนั่งผมก็ สังเกตุได้ว่าระบบการทำงานของ MK สุกี้  บางทีคนรับรายการอาหาร ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินไปที่ เค้าเตอร์เพือที่จะส่งรายการอาหาร  (แต่เขาจะมีเครื่องมือในการจดรายการอาหาร) และสามารถที่จะส่งรายการอาหารที่เราสั่งนั้นไป  ส่งไปยังเค้าเตอร์ได้เลย จึงไม่ต้องเสียเวลาในการเดินไปส่งรายการอาหารอีก ! และพอเรายืนยันรายการที่เราสั่ง เขาจะส่งรายการอาหารไปที่เค้าเตอร์ทันที  แล้วทางเค้าเตอร์ก็จะดูรายการอาหารที่เราสั่ง และสามารถให้พนักงานอีกคน เดินไปส่งอาหารได้ทันทีโดยไม่เสียเวลา !!

*ลืมพิมพ์ชื่อครับ*
นาย คฑา  โพธิสาร  555740021-4

นางสาวบัณฑิตา ด้วงปาน 555740050-7 Sec.12

-------------------------------------------------------------------------------------------- Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น? ตอนเด็กๆวันๆหนึ่งก็ได้แต่เล่นๆ เรียนๆ ไม่ค่อยได้คิดอะไร ไม่เคยถามตัวเองเลยว่าเรียนไปทำไม คิดว่าเค้าให้เราเรียนก็เรียนไป พอถึงช่วงเวลาสอบเข้า ก็สอบๆไป ได้ก็ดี จนเมื่อเข้ามัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ได้เรียนวิชาแนะแนว เป็นวิชาที่ชอบมากๆ เพราะเหมือนเราได้ศึกษาตัวเอง ทั้งเรื่องนิสัย สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราต้องการจะทำ ได้รับคำปรึกษาจากอาจารย์ ถึงแนวทางของชีวิต ซึ่งอาจารย์มักจะเน้นให้เรารู้จักตนเองเพราะถ้าเราทำในสิ่งที่เราชอบและเราถนัด มันจะทำให้เราทำสิ่งนั้นได้เป็นอย่างดี จากนั้นฉันเริ่มที่จะตั้งเป้าหมายตามสิ่งที่ฉันนั้นสนใจ รู้สึกเหมือนตัวเองมีจุดประสงค์ต่างๆมากขึ้นในการที่จะทำอะไรๆแต่ละอย่าง จนตอนนี้ยังจำชื่ออาจารย์ที่สอนอยู่เลย ชื่ออาจารย์ สมศรี เตียวย่อง (ไม่แน่ใจว่าพิมพ์นามสกุลถูกหรือไม่) แต่ตอนนี้อาจารย์เกษียณไปแล้ว พูดไปแล้วก็คิดถึงอาจารย์จริงๆ^^

Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี? ตอนเด็กๆ ฉันมักจะติดคำพูดที่ว่า “ทำไม่ได้” , ”ไม่ได้เก่งไม่ได้อัจฉริยะเหมือนคนอื่น”,”ทำไมฉันไม่เก่งเหมือนคนอื่น” ,”อยากเก่งเหมือนคนอื่นจัง” แล้วฉันก็ไม่ทำอะไรเลย เวลาทำอะไรเองก็ได้แต่ท้อว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก จนวันหนึ่งได้คุณกะพ่อ แล้วร้องไห้ในความท้อใจออกมา พ่อบอกว่า ”ลองทำดูก่อน ทำไม่ได้ก็ลองพยายาม ถ้าพยายามแล้วมันไม่ได้จริงๆก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เป็นคนมีความพยายาม อย่าท้อ อย่าบอกกับตัวเองว่าทำไม่ได้ พ่อเป็นกำลังใจให้ลูกเสมอ” หลังจากนั้นฉันเริ่มที่จะพยายามทำ อย่างน้อยฉันก็รู้สึกภูมิใจที่รู้ว่าตัวเองพยายามแล้ว เต็มความสามารถของฉันแล้ว เมื่อโตขึ้นไม่ว่าเรื่องเรียนหรืองเรื่องอะไรก็ตาม ฉันทำทุกอย่างด้วยความพยายาม พยายามที่สุดแล้ว แม้ว่ามันจะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ฉันก็ภูมิใจที่ได้พยายาม

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น? เคยดูข่าวพวกข่าวคนไข้ติดเอดส์ ข่าวคนไข้ที่ติดยา แล้วเกิดคำถามขึ้นมามากมาย ซึ่งคำถามเป็นคำถามในเชิงไม่ค่อยดี อีกทั้งมันค่อยๆทำให้ความรู้สึกต่อคนเหล่านั้นไปในทางที่แย่มาก ว่าต้องเป็นคนไม่ดี ไม่มีความคิด ทำไมเราต้องไปช่วยเหลือ พวกนี้เป็นภาระของสังคม ติดอยู่กับแนวคิดแบบนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง เนื่องด้วยพ่อแม่เป็นข้าราชการเกี่ยวกับทางด้านสาธารณสุขจึงได้ไปดูงานเลยได้ตามพ่อกับแม่ไป สถานที่บำบัดคนเหล่านี้ อาทิเช่นวัดถ้ำกระบอกที่บำบัดผู้ป่วยยาเสพย์ติด วันพระบาทน้ำพุที่บำบัดผู้ป่วยด้านโรคเอดส์ แรกๆนั้นยอมรับเลยว่าไม่กล้าที่จะเข้าไป จนแม่มาตามแล้วกับฉันว่า “ลองเข้ามาดู มาคุยกับเค้าดู บางคนก็น่าสงสารนะ แฟนพามาติดบ้าง ไม่ได้ตั้งใจบ้าง สถานการณ์มันบังคับบ้าง หลายๆอย่าง” จึงได้ลองเข้าไปดู ก็พบว่าที่แม่พูดมานั้นเป็นจริง คนไข้ทุกคนใจดี เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังเพื่อให้เป็นกระสบการณ์จะได้ไม่โดนหลอก ทำให้ความรู้สึก ความคิดของฉันที่มีต่อคนไข้เหล่านี้เปลี่ยนไป อีกทั้งฉันยังรู้สึกประทับใจในความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ของคุณหมอและพยาบาลที่นี่ ซึ่งตอนนั้นหมอเป็นอาสาสมัครชาวเยอรมัน ส่วนพยาบาลมีอยู่ไม่เพียงพอ ทั้งที่ที่นั่นให้เงินเดือนสูง แต่ก็ไม่มีใครกล้ามา คนที่ทำงานที่นี่ เค้าคงต้องทำด้วยจิตใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ ฉันคิดว่าคนอื่นๆคงยึดถือกับแนวคิดแบบเก่าของฉัน อยากให้ลองมาเจอด้วยตัวเองจริงๆ ทุกๆสิ่งอาจไม่ได้แย่อย่างที่คิด Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย? เรื่องที่ประทับใจที่สุด สำหรับการทำงานเป็นทีม ตอนนั้นกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมันจะมีละครเวทีที่มีเป็นประเพณีทุกๆปีเพื่อต้อนรับพี่ๆบัณฑิต หรือที่เรียกว่า Nourneer ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับฝ่าย Dance ซึ่งซ้อมหนักมากแทบจะตีสามตีสี่ ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นคนเต้นเก่งแต่อย่างใด ยิ่งเต้นเซ็กซี่อยู่ในขั้นที่ว่า “ไม่เป็นเลย” พี่ๆแทบจะสอนใหม่หมด ในการเต้นนั้นทุกคนต้องทำให้พร้อมเพรียงกัน มีการเก็บท่า ยืนเรียงแถวเพื่อดูว่ามือยกระดับเท่ากันหรือไม่ อารมณ์ในการเต้น และอื่นๆอีก เรียกได้ว่ายากมากกว่าจะพร้อมเพรียงกัน( เต้น cover เพลงเกาหลี) เรียกได้ว่าต้องทำงานกันเป็นทีมอย่างมาก เพื่อให้เต้นได้อย่างพร้อมเพรียง ได้อย่างกลมกลืนกัน อีกทั้งยังได้มิตรภาพจากเพื่อนๆ กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะแทบจะได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาในช่วงระยะเวลานั้น เวลามีปัญหาเรื่องท่าหรือเรื่องการเปลี่ยนโซน เราก็จะมีการปรึกษากันเพื่อช่วยกันหาวิธีแก้ไข เมื่อถึงวันแสดงเราก็ร่วมกันทำอย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่ฉันและเพื่อนๆสนุกอีกทั้งภาคภูมิใจ เป็นช่วงเวลาที่ถึงเหนื่อย แต่เราก็รู้ว่ายังมีกัน ช่วยกัน มีความสุขจริงๆค่ะ

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี? เนื่องจากฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด(สงขลา) เวลาจะเดินทางมาขอนแก่น เพื่อให้ประหยัดเวลาและสะดวก จึงเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งแรกๆนั้น ก็ได้ลองอยู่หลายบริษัท จนมาถึงบริษัทของการบินไทย ระบบการบริการดี สะดวกรวดเร็ว ไม่ล่าช้า พนักงานบริการดีมาก และมีเหตุการณ์นอกเหนือจากนี้อีกที่ประทับใจ คือเคยทำของตกไว้ตอนลงจากเครื่อง ทางบริษัทก็พยายามตามหาฉัน จนฉันได้สิ่งของคืน ทั้งเรื่องตอนไม่สบายแล้วต้องเดินทางกลับ ทั้งที่ไม่ได้บอกพนักงานแต่พนักงานก็สังเกตเห็นแล้วเอาผ้าห่มมาให้ คอยบริการดูแล สุดท้ายทุกครั้ง ฉันจะใช้บริการของการบินไทย แม้ราคามันจะแพงกว่าบริษัทอื่นๆซักหน่อย แต่ฉันรู้สึกประทับใจในการบริการของสายการบิน

นางสาวพัชราภรณ์ โคตรประทุม

 MBA Y.14 sec12 รหัสนักศึกษา 555740059-9

Persomal mastery:The Lemmimg Dilemma ฉันเรียนจบสายบริหารธุรกิจมา อาชีพที่ฉันใฝ่ฝันคือสาวธนาคาร แต่เกรดในตอนนั้นเข้าขั้นแบบคาบเส้นตายประมาณ 2.5 ก่อนเรียนจบฉันได้คิดและวางแผนว่าจะไปสมัครสอบในเว็ปไซด์ของธนาคาร ปัญหาก็เกิดขึ้นคือบางเว็ปก็สมัครไม่ได้ แอบคิดในใจว่าทำไมเขาถึงไม่เปิดโอกาสในเราบ้าง บางเว็ปสมัครไปอินเตอร์เน็ตก็มีปัญหา จนแอบรู้สึกท้อใจนิดๆ จนมีธนาคารกรุงไทยผู้ใจดียังให้โอกาสเราให้สิทธิ์เราสอบข้อเขียน ผลสอบปรากฏว่า...สอบ ไม่ ติด ไม่ มี แม้ แต่ ราย ชื่อ ทำยังไงดีหล่ะ ไม่ยอมๆๆดิฉันก็เลยคิดว่าเอาใหม่ ดิฉันก็ได้ไปหาอ่านแนวข้อสอบมาลองทำดู ธนาคารที่2ที่เดินทางไปสอบคือธนาคารกสิกรไทย สาขาสนามเป้า คนเยอะมาก แต่ดิฉันสอบภาคบ่าย ก่อนสอบพี่พนักงานเขามีคลิปเกี่ยวกับธนาคารมาให้ดูเกี่ยวกับการทำงาน ค่านิยม และวิสัยทัศน์ของว่าที่พนักงานใหม่ และก่อนสอบพี่พนักงานที่คุมห้องสอบได้พูดขึ้นว่า “น้องๆที่ได้ดูคลิปแล้วคิดว่างานบริการนี้ยังไม่ตรงกับบุคลิกภาพของตัวเอง อนุญาตให้เดินออกจากห้องและไม่มีผลประการใด” เวลานั้นฉันแอบคิดในใจว่า จะมีใครออกไหม ??? แต่ไม่มีใครเดินออกสักคน เพราะคนทุกคนตั้งใจที่จะมาสอบและทุกคนมีเป้าเดียวกันคือต้องสอบให้ได้ และฉันก็นั่งทำข้อสอบอย่างเต็มที่จนกระทั่งถึงวันที่ประการผลออกมามีเลขบัตรประชาชนของฉันอยู่ด้วย ดีใจจัง สรุปว่าการที่เรารู้จักตั้งเป้าหมายของตนเอง รู้จักวางแผน ผลที่ได้ออกมาคือความสำเร็จของบันไดขั้นแรก

Dialogue:Listening to the Volcano ฉันเป็นลูกสาวสุดท้องและน้องเล็กที่สุดของครอบครัวและญาติพี่น้อง10กว่าคน ซึ่งพี่ๆแต่ละคนห่างฉันประมาณ 10-20 ปี ตอนเด็กฉันใช้ชีวิตสนุกสนานไม่ค่อยวางแผน หรือมีเป้าหมายในชีวิต ห่วงเล่น ไม่ชอบอ่านหนังสือ ดูแต่การ์ตูน(อารมณ์ในตอนนั้น) จนกระทั่งฉันอยู่ ป.2 พี่ๆของฉันก็เริ่มที่จะเข้ามหาวิทยาลัยกันแทบจะทุกคนแล้ว เหลือแต่ฉันยังเป็นเด็กประถม จนกระทั่งพี่ๆและพี่ชายของฉันจบและรับปริญญา ฉันก็ยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากมาย จนกระทั่งขากลับจากรับปริญญาพี่ ฉันสังเกตเห็นคนแก่และเด็กเดินขายพวงมาลัยตามสี่แยกไฟแดง และที่สำคัญแดดร้อนมาก เหนื่อยแต่ละคน ดูแล้วน่าสงสารมาก ....สงสัยแม่คงหาโอกาสมานานแล้ว...ประมาณว่าเห็นไหมไม่ตั้งใจเรียนเลยได้ทำงานหนักๆ เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน(นั่นไงออกแนวคติพจน์มาซะงั้น)ถ้าไม่อยากขายพวงมาลัยก็ตั้งใจเรียน เพราะคนที่เรียนสูงๆจะได้ทำงานไม่เหนื่อย(จริงหรือเปล่า)ไม่ร้อน ฉันก็เลยคิดว่าฉันต้องขยัน และเรียนสูงๆจะได้ไม่ต้องมาขายพวงมาลัย จนกระทั่งฉันก็เรียนจบปริญญาตรีมาหนึ่งใบ และกำลังจะเข้ารับพระราชทานที่บางเขนในเดือนหน้านี้

Mental model:Shadows of the Neanderthal ตอนเด็กๆฉันชอบดูการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจมาก ไม่ยอมรับข่าวสารต่างๆ แม่จะดูข่าวก็ไม่ได้ดู....จนกระทั่งแม่บอกฉันว่า... “ดูแต่การ์ตูน เดี๋ยวมีคนบอกไปเอาเงินล้านจะไม่ได้กับเขานะ”(ตอนนั้น)ฉันกลัวมากๆกลัวจะไม่ได้เงินล้านกับเขา ฉันก็เลยเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมลองดูข่าวบ้างที่มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นแต่ละวันว่าเกิดอะไรขึ้น (ใคร ทำ อะไร ที่ไหน) บางเรื่องเป็นสาระเกร็ดความรู้ บางเรื่องเป็นการสอนทำอาหาร บางเรื่องสอนการป้องกันตัวเองจากภัยต่างๆ ซึ่งฉันเองก็เริ่มที่จะเรียนรู้และรับฟังข่าวสารในรูปแบบต่างๆว่าสิ่งที่ข่าวเสนอไปนั้นดีหรือไม่ดี สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ ซึ่งทำให้ฉันเริ่มสนุกต่อการรับฟังข่าวสารและเปิดโลกการเรียนรู้ที่กว้างขึ้นในการรับรู้และทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

Team Learning:Outlearning the Wolves ตอนช่วงปี4เทอมสุดท้ายได้มีโอกาสจัดสัมมนา ซึ่งเป็นวิชาบังคับ ไม่ทำไม่ได้เพราะจะไม่จบ ดิฉันและเพื่อนๆอีก5คน ซึ่งในตอนนั้นงานเยอะมาก ทั้งปัญหาพิเศษ เรียน และกิจกรรมบังคับต่างๆจึงไม่ค่อยมีเวลาได้ทำอะไรเต็มที่....(ออกแนวเด็กมีปัญหา หรือ วงเวียนชีวิตอะไรประมาณนั้น ) ...(งานสัมมนา อ.ประจำวิชาสั่งงานแล้วก็เดินออกไป โดยไม่ได้บอกรูปแบบการจัดเลย)ดิฉันคิดว่าออกแนวโหดร้ายมาก.... เวลาผ่านไปเรื่อยๆ รอให้เพื่อนจัดงานสัมมนาก่อน รอแล้ว รอ...และก็รอ สรุปว่าไม่มีดังนั้นกลุ่มดิฉันจึงจัดชุดเล็กแบบเบาๆลองดูว่าจะเป็นยังไง(เป็นเวรกรรมแท้ๆ) กลุ่มดิฉันใช้เวลาในการเตรียมงาน 3 อาทิตย์ก่อนจัดงานจริง โดยแบ่งกันทำหน้าที่แต่ละหน้าที่ในการจัดเตรียมขอใช้สถานที่และนัดหมายกับวิทยากร ในการทำงานกลุ่มเราได้แบ่งการทำงานตามความถนัดและความเหมาะสม ซึ่งใครที่น้ำเสียงดี ก็จะรับหน้าที่เป็นพิธีกร ใครเก่งทำโปสเตอร์และแผ่นพับก็จะรับหน้าที่นั้น บางคนก็จะจัดเตรียมสถานที่และตกแต่งและดูแลความสะดวกในการดำเนินงาน พอถึงงานวันจริงกลุ่มดิฉันก็ทำงานเต็มที่ ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดบ้างแต่เราก็ทำอย่างเต็มที่ พอวันนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้รับคำติชมจากอาจารย์ว่า เป็นกลุ่มแรกที่ถือว่าดีและยังไม่ที่สุด(ในใจดิฉันบอกว่า โล่งซะทีจะได้ไปทำงานชิ้นอื่นบ้าง) ผลลัพธ์ที่ได้คือเราทำงานเสร็จและไม่ต้องเร่งรีบเหมือนกลุ่มอื่น เพราะเรามีการวางแผนกลุ่มที่ดี (ลืมบอกนะค่ะ ว่าวิชานี้ 1 หน่วยกิต แต่เอาเกรดยากกว่าวิชา3หน่วยกิตซะอีก และได้ Aด้วยรู้สึกภูมิใจมากๆเลยค่ะ)

System thainking:The Tip of the Iceberg ช่วงเมษาที่ผ่านมามีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัว โดยสายการบินนกแอร์ค่ะ เพราะมีอยู่สายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินไปเชียงใหม่ คือ อุดรธานี-เชียงใหม่ ส่วนสายการบินอื่นๆมีจุดมุ่งหมายคือ กรุงเทพ ตอนแรกดิฉันเช็คราคาตั๋วเครื่องบินผ่านเว็ปไซด์ เพราะเคยลองถามเพื่อนๆดูว่าถ้าเราโทรไปจองจะมีราคาสูงกว่าหน้าเว็ป ดิฉันจึงตัดสินใจจองตั๋วและชำระเงินทันที พอชำระเงินเสร็จแล้วเขาก็มีบริการแจ้ง SMS วัน เวลา การเดินทาง ทั้งทางมือถือและอีเมล์ ดิฉันคิดว่าระบบการบริการดูแลเราดี พอช่วงที่โปรโมชั่นต่างๆ ทางนกแอร์ก็จะมีการแจ้งผ่านทางมือถือหรืออีเมล์เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ตลอดเวลา

สิรินทรา ใจฉลาด 555740093-9 Sec. 11

Personal Mastery

ฉันทำงานเป็นพยาบาล หัวหน้าศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลเอกชน ตั้งใจ ทุ่มเททำงาน  ได้เงินเป็นเดือนๆ ในใจก็คิดว่า “เราจะเป็น “มนุษย์เงินเดือน”อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหรอ?” ทำงานหนักแค่ไหนก็ได้เงินเท่าเดิม ผลที่เราทุ่มเท ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือ เจ้าของกิจการ…

แล้วทำไมเราไม่...เปลี่ยน.... เปลี่ยนความทุ่มเทของตนเอง..ให้กับธุรกิจของตัวเอง.. ฉันจึงตัดสินใจ..ลาออก จากงานที่ทำประจำ และมาเรียน MBA เพื่อความฝันที่ชัดขึ้น...

Dialogue

ฉันเป็นลูกคนโตจากพี่น้องสามคน ถูกเลี้ยงดูมาแบบที่ตนเองไม่เข้าใจนัก ทุกครั้งที่มีปัญหาต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญของชีวิต เราก็มักอยากให้พ่อแม่ช่วยคิดและตัดสินใจ ตั้งแต่เด็กๆ จนโต พอถามคำถามกับพ่อ พ่อจะตอบกลับมาว่า “ คิดเอง ตัดสินใจเองสิลูก ”   เสมอๆ เดิมๆ ทุกครั้ง  บางครั้งฉันโกรธ เสียใจ และทะเลาะกับพ่อ รู้สึกว่าพ่อไม่รักเรา ทำไมไม่ช่วยเราเลย....แม้ในยามที่เราลำบาก 
วันหนึ่งมีคนหนึ่งบอกฉันว่า “ พ่อรักโอ๋มากนะ รักที่สุด แต่พ่อไม่เคยเลี้ยงลูกมาก่อน ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกยังไง จะช่วยลูกยังไง...พ่อของโอ๋เติบโตมาด้วยตนเอง ฝ่าฟันอุปสรรคเพียงลำพัง จากคนไม่มีอะไร จบแค่ ป.4 จนสำเร็จถึงทุกวันนี้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อจะเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง คือ พ่อภาคภูมิใจในตัวโอ๋มากนะ...” พอฉันได้ยินฉันได้แต่ร้องไห้และร้องไห้ และก็นั่งนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา..

สิ่งที่ฉันได้จากพ่อ..มาตลอด คือ ฉันเข้มแข็งและยืนได้ทุกครั้งที่ชีวิตล้มเหลว ฉันยิ้มได้เมื่อมีเรื่องทุกข์เข้ามา ฉันกล้าคิด กล้าตัดสินใจทำในสิ่งต่างๆ และเมื่อเกิดปัญหาฉันสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง.. ชีวิตเดินไปได้...ด้วยตัวเราเอง

Mental model

เรามีชีวิต เติบโตมาอยู่ในตัวเมือง... อาจเห็นต้นไม้ สัตว์ ธรรมชาติบ้าง..แต่ก็ไม่ลึกซึ้ง

เมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อนชวนไปเที่ยว..น้ำตกทีลอซู จังหวัดตาก การเดินทางช่างยาวไกล...ผ่านเขาหลายลูก.... เมื่อไปถึง..มันเป็นป่า..เราตั้งแคมป์ใกล้ริมธารน้ำ ที่นั่นได้ยินแต่เสียงสัตว์แปลกๆ เสียงน้ำไหล ตอนกลางคืนเห็นดาวเต็มฟ้าไปหมด จนหาดาวลูกไก่ หรือดาวไถ ที่เคยเห็นในตัวเมืองไม่เจอด้วยซ้ำ ฉันประทับใจมากไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน พอตอนเช้าฉันแปลงฟันริมธารน้ำ เจอพี่ผู้ชายสองคน เขาชื่อพี่จอร์จและพี่รุ่งสุริยา เป็นนักวิจัยสังคมพืช พี่เค้าอยู่ป่ามาตลอดตั้งแต่เรียนจบมา 20 กว่าปี สิ่งที่ทึ่งคือ พี่เขารู้เสียงสัตว์ แค่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นสัตว์อะไร สายพันธ์ไหน บอกเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ และสามารถวาดภาพสัตว์นั้นออกมาได้ พี่เขาพาเดินเที่ยวในป่า ดูสัตว์ พืช ต้นไม้ ดอกไม้ต่างๆ ในป่า (ฉันตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ มาก) และสอนการใช้ชีวิตในป่า...

จากนั้นมา ฉันเลยชอบเดินป่ากับเพื่อนๆ เที่ยวแหล่งธรรมชาติต่างๆ และชอบดูสารคดีสัตว์และธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจนับแต่นั้นมา.....

Team Learning

ฉันได้รับมอบหมายให้ทำกิจกรรมวันลอยกระทงของโรงพยาบาล ฉันคัดเลือกทีมมา 5 คน เราคุยกันจนได้หลักการของงานนี้คือ “เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่อยู่เวรและผู้ป่วยได้ลอยกระทง” (โดยงบมีจำกัด) ซึ่งงานนี้ประสบความสำเร็จด้วยดีและเป็นที่ประทับใจของลูกค้า(ผู้ป่วย) และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลมาก 
เนื่องด้วยความร่วมมือและเสียสละของทุกคนในทีม แต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัวในแต่ละแบบ  สองคนมีความสามารถด้านศิลปะได้วาดรูปและจัดทำฉากได้สวยงาม อีกสองคนจัดสถานที่ประดับด้วยต้นไม้และอ่างน้ำขนาดใหญ่พร้อมไฟเล็กๆ เต็มพื้นเหมือนดาวบนท้องฟ้า คนสุดท้ายติดต่อประสานงานประชาสัมพันธ์ขอความช่วยเหลือจากพนักงานทุกคนเพื่อเตรียมอุปกรณ์มาทำกระทงและช่วยกันทำกระทงหลายร้อยกระทง ถึงวันงานเรานำกระทงไปมอบให้ผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้ทุกท่านได้ลอยกระทงในคืนที่เจ็บป่วย...       

System thinking

มีโอกาสได้ไปเที่ยว ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland) ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประทับใจตั้งแต่ลานจอดรถ พอลงจากรถก็มีพนักงานวิ่งเหยาะๆ เข้ามาทักทายต้อนรับ นอกจากจะประทับใจพนักงานที่ยิ้มแย้ม กระตือรือร้นตลอดเวลาแล้ว (มีบัตรเข้าแบบเดียว คือ เข้ามาแล้วเล่นอะไรก็ได้ กี่รอบก็ได้ ไม่จำกัด) ตอนไปถึงที่เครื่องเล่นต่างๆ แถวยาวมากๆๆๆ 
- มีพนักงานตะโกนเรียกให้เข้ามาเล่นทั้งๆ ที่แถวก็ยาวมากแล้วนะแต่เขาก็เรียก..เรื่อยๆ  
- มีระบบไฟบอกว่าคุณจะรอกี่นาทีถึงจะได้เล่น (แต่ละเครื่องเล่น รอมากกว่า 60 นาที)  
- ขณะรอก็ไม่น่าเบื่อเลย จะมีตัวการ์ตูนต่างๆ เข้ามาทักทาย ให้เราถ่ายรูปด้วยอยู่เรื่อยๆ 
- สร้างบรรยากาศให้เราดูและสัมผัสได้ขณะต่อคิว เหมือนเรากำลังผจญภัยอยู่   

-เมื่อถึงคิวเรา พนักงานจะถามว่าเรามากี่คน เพื่อจะได้เล่นรวมกัน ไม่แยกกัน ซึ่งจุดนี้เขาให้ความสำคัญมากๆ

ฉันรู้สึกและสัมผัสได้ ถึง “ระบบ” ที่เขาวางไว้เป็นขั้นเป็นตอน.. อย่างกับว่า เขารู้ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรขณะรอเป็นชั่วโมงๆ แต่เขาก็จัดการกับปัญหานี้ได้อย่างดีเยี่ยมเลย..

นายชาคริต หลายทวีวัฒน์

นายชาคริต หลายทวีวัฒน์ เซค12 รหัส 555740610-5

Personal Mastery : :The Lemmimg Dilemma :: ผมเคยเป็นคนที่เกลียดภาษาอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิต เนื่องจากข้อสอบที่ยาก แกรมม่าที่ซับซ้อน ทำให้ผมไม่ค่อยสนใจกับวิชานี้ซักเท่าไหร่ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด อย่างมาก แต่หลังจากที่เพื่อนผมคนหนึ่ง สามารถสอบติดโครงการ AFS ซึ่งเป็นโครงการเด็กแลกเปลี่ยน แล้วเค้าก็มาเล่าให้เพื่อนๆฟังอย่างเค้าได้ครอบครับดีอย่างไรบ้าง จึงทำให้ผมรู้สึกอยากไปบ้าง เพื่อนคนนี้จึงเป็นแรงบันดาลอย่างมากในการทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนเรียน ศึกษาอย่างจริงจัง ในทุกๆ ทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งทำให้ผมนั้น สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งมันเป็นพื้นฐานที่ทุกคนสมควรมี จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าเห็นชาวต่างชาติทุกวันนี้ผมแทบจะกระโดดใส่ (เข้าไปทักทายอะครับ)

Dialogue :Listening to the Volcano ::: พ่อผมเป็นคนที่ทุกครั้งที่ผมฟังแล้วจะรู้สึกว่าได้อะไรดีๆ กลับมาเสมอ อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ซึ่งผมเป็นคนที่ตรงข้ามพ่ออย่างสิ้นเชิง จึงเป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลงโดยง่าย แต่ผมก็พยายาม โดยปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ทำอะไรด้วยความเร่งรีบ สักแต่ทำให้เสร็จก็พอ มีครั้งหนึ่งได้ทำกิจกรรมกับพ่อแล้วผมก็ออกไอเดียไปแบบลวกๆง่ายๆ พ่อเลยบอกกลับมาว่า "มักง่าย จะได้ยาก" ซึ่งคำนี้ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะ จากเป็นคนที่ทำอะไรลวกๆง่ายๆ ก็ต้องคิดก่อนทำทุกครั้ง คำนวณผลลัพท์ที่จะออกมา ว่า จะเป็นเช่นไร และทุกครั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้นในธุรกิจก็จะไปปรึกษาพ่อ พ่อก็จะบอกว่า"ไม่เป็นไรหรอก" ตามด้วยเหตุผลดีๆซึ่งเป็นการคิดในแง่บวก สิ่งเหล่านี้มันปลูกฝังจนทำให้ผมเป็นอีกคนที่ดีขึ้นครับ

Mental model:Shadows of the Neanderthal :::: ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวแพ็คแบ็คกับเพื่อนครับ เราเดินทางไปประเทศเวียดนามกันมีกันสามคน ต่างคนต่างก็แชร์ ความรู้และประสบการณ์ ต่างๆ ในการเดินทางแบบนี้ไปต่างประเทศ ซึ่งเราช่วยกันหาข้อมูลในการเดินทาง เส้นทางการท่องเที่ยว การแลกเงิน แบ่งแยกหน้าที่กัน มีการเตือนถึงภัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย แต่พอถึงเวลาที่ออกเดินทางจริง บางอย่างที่แพลนไว้ กับที่ๆเกิดขึ้นจริง มันคนละเรื่องเลย เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ การเอาตัวรอดจากมิจฉาชีพ ชาวบ้านที่คิดจะโกงเงิน แม่ค้า ความเป็นอยู่วิถีชีวิตของชาวเวียดนาม และได้เจอสถานที่ๆสวยงาม แปลกตา และเราไม่ลืมที่จะศึกษาด้านการค้าขาย เศรษฐกิจ ว่าแต่ต่างจากบ้านเรายังไง รวมถึง ช่องทางและโอกาสในการจะเกิดธุรกิจที่นี่ ประเทศเวียดนาม

Team Learning:Outlearning the Wolves ::::: สมัยที่เรียน ป.ตรี ที่ม.เกษตรบางเขน ผมเคยได้ทำกิจกรรมกับ สโมสรนิสิต ซึ่งสมัครเป็นสตาฟ ของโครงการที่มี ชื่อว่า นิวเวฟ เป็นโครงการเพื่อเพิ่มทักษะความเป็นผู้นำให้กับรุ่นน้อง กลุ่มสตาฟ ก็มีกัน10 คนด้วยกันซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เยอะ ยิ่งเยอะก็ยิ่งมากความคิดเห็น โดยภารกิจหน้าที่ ของเราคือการที่เราต้องคิดกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดเป็นเวลา สามวันสามคืน ให้กับน้องๆ ซึ่งแน่นอนว่า กิจกรรมต้องมากมายมหาศาล แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ และเข้าใจการทำงานแบบเป็นกลุ่ม เราไม่มีหัวหน้าแต่ เราพร้อมจะรับฟังความคิดเห็น และช่วยกันตัดสินใจว่า ความคิดใครเป็นประโยชน์ต่อ ทีม มากที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุด และ ผลลัพท์จะออกมาดีที่สุด แม้ว่าวันจริงจะมาถึง ปัญหาระหว่างวันที่เกิดขึ้น เราก็สามารถทำมันออกมาได้ดี แม้จะไม่ดีที่สุด แต่ก็มีประสิทธิภาพมากจนได้รับคำชมจากอาจารย์ที่ปรึกษาและรุ่นพี่ว่า สตาฟ รุ่นนี้มีความเป็นทีมมากที่สุดทีมหนึ่งทีเดียว

System thainking:The Tip of the Iceberg หลังจากที่เรียนจบผมได้มีโอกาสร่วมงานกับบริษัทตรีเพชร อีซูซุ สำนักงานใหญ่ ที่กรุงเทพในตำแหน่ง Marketing Communication โดยเป็นตำแหน่งที่ทำงานร่วมกับบริษัทเอเจนซี่โฆษณาอีกที โดยแผนกผมจะช่วยกันคิด project มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีหัวหน้าเป็นลำดับๆ ในการคอย prove งานเป็นทอดหลังจากที่ ผ่านการกรองงาน ได้ส่งต่อให้บริษัทเอเจนซี่ รับช่วงงานต่อ แล้วเราก็ไปคุมงานตามที่ได้ประชุมกันเรียบร้อย ซึ่งการที่ผมได้ร่วมงานกับบริษัทใหญ่ๆเช่นนี้ทำให้ผมได้เห็นระบบการทำงานที่ดี มี การประสานงานกันอย่างดี แต่คอยตรวจสอบความผิดพลาด มีการ rotate งาน ทำให้ พนักงาน มีความสามารถรอบด้าน สามารถทดแทนกันได้เมื่อคนไม่อยู่ ระบบที่ดีแบบนี้ก็ทำให้ผมมีประสบการณ์ในการทำงานที่เป็นระบบส่งผลให้เป็นพื้นฐานที่ดีต่อไปครับ

น.ส.ไอลดา ศรีประเสริฐ MBA sec 11 รหัส: 555740102-4

Dialogue: “ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการ เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี” เนื่องจากได้เรียนมาทางด้านภาษา และวันหนึ่งได้มีโอกาสไปฟังกับครูเคท เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชยโย ครูสอนภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียงบรรยาย ช่วงแรกก็ไม่ได้สนใจฟังแต่พอเริ่มฟังก็รู้สึกว่า สิ่งที่ครูเคทพูดนั้นมีประโยชน์มาก และครูเคทก็เล่าเรื่องของตนเอง ซึ่งมีประโยคหนึ่งทำให้คิดย้อนถึงตัวเองนั่นคือ “ครูเคทเองก็เป็นเด็กไทยที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมาแต่เกิด อาจแย่กว่าใครบางคนในที่นี้ตอนอายุเท่านี้ด้วยซ้ำ แต่ครูอาศัยการฝึกฝนและใฝ่รู้ เราเรียนรู้ได้ตลอกชีวิต” ประโยคนี้ทำให้เราย้อนมองตัวเองและเริ่มคิดว่าเราเอาแต่บ่นว่าไม่เก่ง ไม่ได้ ทั้งๆที่ก็อยากจะเก่ง อยากจะทำให้ได้อย่างนี้ แต่ก็ไม่ฝึกฝน ไม่พัฒนา เมื่อกลับมาจึงตั้งใจที่จะเรียนรู้มากขึ้น ใฝ่รู้ รู้จักค้นคว้ามากขึ้น เปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น

Personal Mastery: “ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น” โดยปกติแล้วก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่มีเป้าหมายและก็ไม่เคยคิดว่ามันสำคัญ จนจะต้องสอบเอนทรานซ์ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ วันหนึ่งระหว่างทางกลับบ้านกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง เราได้คุยกันและทำให้รู้ว่าเค้ายากจะเข้าอักษรศาสตร์ จุฬา ซึ่งโดยส่วนตัวก็เชื่อว่าเค้าทำได้แน่ๆเพราะเค้าเก่ง แต่พอเค้าหันมาถามเรา เรากลับไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร เลยตอบส่งๆไปว่าอยากเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่เค้ากลับบอกว่า “จะเรียนได้เหรอ มันต้องเก่งระดับนึงถึงจะสอบได้น่ะ” เราจึงอึ้งเพราะรู้ดีว่าเราไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เรามีเป้าหมาย เพื่อลบคำสพประหม่า จึงพยายามจนได้เข้าเรียนอย่างที่ตั้งใจไว้

Mental model: “ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น” ” เคยได้มีโอกาสไปดูงานตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีเหล่านักเจรจาด้านการค้ามาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง ก็รู้สึกว่าได้รู้อะไรเยอะขึ้นเพราะได้รู้ว่างานนี้เป็นงานที่ท้าทายและต้องอาศัยความรอบรู้ทางด้านภาษาและการเป็นนักต่อรอง ซึ่งการได้มาซึ่งทักษะเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีความรอบคอบ รอบรู้และทันคน ไม่เช่นนั้นประเทศเราอาจต้องเสียเปรียบด้านการค้าได้ เช่น ในห้องประชุมการค้านานาชาติ นักเจรจาต้องหัวไวและการทำหนังสือสัญญานั้นต้องเขียนให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาช่องโหว่ได้ เพราะเพียงแค่ลืมเติม s เพียงตัวเดียวก็อาจทำเราขาดทุนไปได้กว่าร้อยล้านบาท นี่เป็นครั้งแรกที่รู้เรื่องพวกนี้เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสนใจหรือคิดว่าน่าสนใจ แต่หลังจากได้มาดูงานครั้งนี้ก็รู้สึกว่ามีอีกหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้

Team Learning: “ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด” เมื่อตอนใกล้จะจบจากมหาวิทยาลัยก็ได้มีโอกาสทำวิทยานิพนธ์ฉบับเล็กๆเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน ก่อนจบ ตอนอาจารย์สอนก็เกิดต่อต้านเพราะมันดูเหมือนจะยากและวุ่นวาย เมื่อได้เริ่มทำก็รู้สึกว่ามันยากจริงๆอย่างที่คิด ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะเริ่มจากตรงไหน ควรเลือกหัวข้ออะไร เราแบ่งงานกันไปทำคนละส่วน แต่ก็ยังเสนออาจารย์ไม่ผ่านสักที จนจะเลยเวลาส่งเค้าโครงแล้ว เราจึงตัดสินใจมาเริ่มทำตั้งแต่แรกด้วยกัน ปรากฏว่าทำกันทั้งคืน แต่งานก็ผ่านไปได้ด้วยดี เราจึงใช้วิธีนี้อีก และสุดท้ายเราก็ทำสำเร็จ งานได้คะแนนดี และทุกคนภูมิใจมาก เพราะงานนี้เป็นงานชิ้นใหญ่ในความรู้สึกของทุกคนและเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรก จึงได้รู้ว่าหากเราระดมสมองกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ งานที่ว่ายากก็จะสามารถทำมันได้

System Thinking: “เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี” เมื่อต้นปีมีโอกาสได้ไปประเทศอเมริกา ไปลงที่สนามบินฮูสตัน แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวมามากมายจากหลายที่ แต่เจ้าหน้าที่สนามบินก็กระจายอยู่ทุกจุดเหมือนกันเพื่อคอยบอกทางเป็นระยะโดยที่ผู้โดยสารแทบไม่ต้องถามเลย ทั้งๆที่มีป้ายบอกทางอย่างชัดเจนอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังคอยช่วยเหลือด้านเอกสารอย่างเป็นมิตร และบริการสำหรับผู้พิการ ผู้สูงอายุ ชาวต่างชาติ คนท้อง และผู้ป่วย แม้แต่ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เค้าก็จัดคนมาพาไปส่งถึงหน้าเกทเลยโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้เห็นว่าเค้าวางระบบไว้เป็นอย่างดี ช่วยอำนวยความสะดวกแก่คนทุกประเภท ทุกเชื้อชาติ

นายวรุฒ วรปัญญาสถิต sec 12 รหัสประจำตัว 555740075-1

Personal Mastery

    ช่วงสมัยม.2 ผมได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาเล่นผมก็เล่นมันอยากสนุกและเมาส์มัน จนอยู่มาวันหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหาคือ ลำโพงไม่ดังทำให้ไม่สามารถฟังเพลง รวมถึงการเล่นเกมส์ได้ถึงอารมณ์ ผมจะงัดเจ้าลำโพงตัวนั้นออกมาดูแผงวงจร แล้วก็สงสัยว่ามันทำงานอย่างไร จากนั้นก็พบว่ามันมีส่วนประกอบบางส่วนของมันดูผิดปกติ ผมเลยจัดการปัดฝุ่นแล้วก็ใส่แผงวงจรนั้นกลับเข้าไปที่ลำโพงอย่างเดิม โดยไม่คิดว่ามันจำแก้ไขอะไรได้ แต่พอประกอบเสร็จแล้วลองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ปรากฏว่ามันมีเสียงออกมา ทำให้ผมประหลาดใจมาก หลังจากนั้นผมพยายามค้นคว้าวิธีการซ่อมแซมเครื่องคอมพิวเตอร์มากขึ้น รวมถึงซื้อหนังสือเกี่ยวกับงานซ่อมคอมพิวเตอร์มาอ่าน และเริ่มสนใจด้านงานซ่อมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่นั้นมาครับ

Dialogue

    ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับ”ประวัติบุคคลสำคัญของโลก” แล้วเจอรูปบุคคลคนหนึ่งซึ่งผมเห็นรูปเขาบ่อยๆตามสติ๊กเกอร์ท้ายรถสิบล้อหรือเสื้อยืดสกรีน เขาชื่อว่า “เออร์เนสโต เกวารา เดอ ลา เซอร์นา” โดยเขามีพฤติกรรมที่น่าชื่นชมคือ การที่เขาได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ยากไร้จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต เขาเรียนจบหมอมาและเขาได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยไม่เคยขอเงินเลย เขาพอใจในการทำงานเสมอ โดยไม่รับค่าตอบแทน ครั้งหนึ่งเมื่อลูกและภรรยาของเขาขอรถไปโรงพยาบาล เขาบอกให้ภรรยาและลูกว่าให้นั่งรถประจำทางไปเหมือนคนอื่นๆ  เพราะน้ำมันรถของเขาเป็นของประชาชน จึงมีไว้ใช้เพื่อกิจการส่วนรวมเท่านั้น มิใช่ใช้ธุระส่วนตัว โดยสุดท้ายเขาตายด้วยการประหารเพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนทหารชาวโบลิเวียสามคนที่เสียชีวิตไปในการต่อสู้กับกองกำลังปฏิวัติ โดยก่อนตายเขาเคยกล่าวไว้ว่า “การทำงานเพื่อคนอื่นเป็นความสนุกที่สุกที่คนจะพึงมี”  สำหรับผมแล้ว เขาก็คือบุคคลที่เท่ และน่าชื่นชมทั้งทางพฤติกรรมและความคิด

Mental modal

    เมื่อสมัยกำลังศึกษาปริญญาตรีผมได้ศึกษาด้านคอมพิวเตอร์จนรู้สึกว่าตนเองมีความชำนาญพอที่จะไปคุยกับพวกที่เขาเรียนมาด้านนี้รวมถึงการแชร์ประสบการณ์ และสอบถามปัญหากับพวกเขาได้ จนอยู่มาวันหนึ่งผมได้เจอกับเพื่อนที่คุยกันทางอินเตอร์เน็ตเขาเรียนสายคอมพิวเตอร์มาโดยตรงและเรากำลังนัด เพื่อไปเจอกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกันมากขึ้น แต่ผมก็แอบสบประหม่าเขาไว้ด้วยนิดๆเพราะดูจากภายนอกรวมถึงสถาบันที่เขาศึกษายังไม่ดูสนใจเท่าไร แต่แล้วเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะเขาสามารถตอบคำถามที่ผมเคยสงสัยมานานมากได้เพียงไม่กี่คำ รวมถึงเขาเข้าใจระบบที่ผมเคยสงสัยมานานที่ผมยังหาผู้ช่วยไขปัญหาข้อนี้ยังไม่ได้ ทำให้ผมคิดว่าเวลาเรายังไม่ได้เจอใครหรือคุยกับเขาแล้ว อย่าเพิ่งด่วนสรุปเอาจากสภาวะแวดล้อมของเขา ทำให้ผมรู้สึกเปิดกว้างต่อโลกที่เคยมีมากขึ้น

Team Learning

    เมื่อสมัยเรียนปริญญาตรีมีกิจกรรมรับน้องที่หอพักในมหาวิทยาลัยและผมก็เพิ่งเข้าไปพักในช่วงปี 1 ของการศึกษา ผมไม่เคยรู้เลยว่าการรับน้องที่นี้จะเป็นอย่างไรเพราะมันเป็นครั้งแรกสำหรับผมทั้งหมดนับจากตรงนี้ ผมได้เจอเพื่อนร่วมรุ่น แต่เราก็ยังไม่สนิทกันเท่าไรนัก จากนั้นรุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าหอพัก เขาก็เริ่มจากการรับน้องแบบที่เราไม่คาดคิดมาก่อน  มันคล้ายๆกับการฝึกรด. แต่โหดกว่า รวมถึงการว๊ากใส่รุ่นน้อง ผมก็ไม่แน่ใจว่าการว๊ากจะทำให้คนรักกันได้อย่างไร หรือรุ่นพี่ต้องการระบายอารมณ์กับปัญหาอะไรรึเปล่า ? จากนั้นเพื่อนในรุ่นเดียวกันกับผมก็เริ่มมาคุยกันบ้างตามห้องพักที่ใกล้กัน จากนั้นเมื่อยามว่างเราก็มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น ดูหนัง กินข้าว และเล่นกีฬา แต่อาจจะยังรวมกันไม่ได้เท่าที่ควร แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่รวมกันเป็นหนึ่งคือ การวิ่งในตอนเช้า หลังจากที่วิ่งไปในระยะหนึ่งเพื่อนคนนึง วิ่งแทบจะไม่ไหว และรุ่นพี่ก็เร่งให้วิ่งตามให้ทัน แต่พวกผมคิดว่าเราควรวิ่งประคองเพื่อนแล้วพาเพื่อนเราไปถึงจุดหมายพร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครวิ่งช้า-เร็ว สนใจแต่เพื่อนเราว่าเขาจะวิ่งเท่ากันกับเรารึเปล่า  แล้วสุดท้ายเราก็รวมกันเป็นรุ่นจากการร่วมกิจกรรมรับน้องแบบเต็มรูปแบบ ส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผ่านจุดนี้มาได้คงเกิดจากการที่เราเจอหน้ากันทุกวัน มากกว่าคนที่เรียนอยู่ที่คณะ รวมถึงการเห็นใจกัน การประสานงานช่วยเหลือ และความเข้าใจที่ตรงกันของเพื่อน 

System thinking

    ผมเคยได้ไปดูงานเกี่ยวกับโรงงานแปรรูปอาหารของผลิตภัณฑ์อาหาร CP ซึ่งเป็นโรงงานที่มีคนงานเยอะและมียอดขายสูงมากโรงงานหนึ่งของไทย โดยระบบที่เขาวางไว้นั้นค่อนข้างดูสมดุลและไม่รัดกุมจนเกินไป เพราะผมคิดว่า การเป็นผู้ประกอบการที่ดีไม่ควรเอาเปรียบผู้บริโภคมากนัก ระบบภายในโรงงานดูสะอาดและทันสมัย คนงานมีหน้าตายิ้มแย้ม และดูเป็นมิตรกับเรา รวมถึงการปรับสินค้าที่ผลิตได้มาก กับสินค้าที่คงค้างและขายออกช้า โดยเขาจัดการระบบคือ สิ่งค้าใดที่ผลิตได้มากจะนำไปจำหน่ายรวมถึงอาจลดราคาเพื่อเร่งการผลิตด้วย ส่วนสินค้าใดที่ค้างสต็อกนาน หรือไม่มีความเคลื่อนไหว เขาจะเก็บสินค้านั้นและเปลี่ยนผลิตภัณฑ์อื่นมาขายแทนโดยจะมีฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์คอยส่งสินค้าประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ ทำให้สินค้าของโรงงานนี้ไม่มีปัญหาเรื่องค้างสต็อกนานเกินไปรวมถึงความสด สะอาด และอร่อยก็ยังคงคุณภาพอยู่เช่นเดิม

น.ส. ภัทรภร จีระดีพลัง

น.ส. ภัทรภร จีระดีพลัง

MBA Y#14 Sec.12 รหัสนักศึกษา 555740063-8

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) : เมื่อครั้งที่ฉันจะสอบเอนทรานซ์ ฉันไม่มีความรู้สึกว่าชอบคณะไหนเป็นพิเศษ แต่ที่ชอบคณะการเงินนั้นเป็นเพราะว่าที่บ้านอยากให้เรียนคณะนี้ จึงได้เลือกลองคณะนี้ดู แล้วพอผลประกาศออกมา ก็ได้รู้ว่าสอบติดในคณะนี้ และเห็นพ่อแม่ดีใจมาก ทำให้รู้สึกคิดได้ว่าขนาดสอบเข้าคณะนี้ติด พ่อแม่ยังดีใจขนาดนี้ และถ้าฉันเรียนจบในคณะนี้ พ่อแม่จะดีใจขนาดไหน จึงมีเป้าหมายว่าจะพยายามเรียนให้จบเพื่อพ่อแม่และเพื่อตัวเราเอง และวันนั้นก็มาถึงวันที่เรียนจบภายใน 4 ปี แล้วก็เป็นวันที่พ่อแม่ดีใจและภาคภูมิใจจริงๆ

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) : เมื่อครั้งฉันยังเรียนอยู่ม.2 ซึ่งที่บ้านฉันทำอาชีพค้าขาย ซึ่งเมื่อตอนที่ฉันไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะตื่นสาย อยู่มาวันหนึ่งพ่อกับแม่ฉันต้องไปทำธุระที่บ้านญาติ ซึ่งเมื่อแม่กับป้าฉันกลับมาที่บ้านซึ่งเกือบๆจะเที่ยง ก็พึ่งจะเห็นว่าฉันนั้นพึ่งจะอาบน้ำและเดินลงมาข้างล่าง ซึ่งก็มีคนมารอซื้อของอยู่หน้าบ้าน แล้วไม่มีคนขายของให้ ป้ามาเห็นว่าฉันนั้นพึ่งจะเดินลงมาจากบนบ้าน ก็เลยว่าแม่ฉันว่าทำไมถึงไม่สอนให้ลูกตื่นแต่เช้า แล้วลงมาขายของแทน ซึ่งที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ อยู่แต่แม่บ้าน เดี๋ยวก็โดนขโมยของหรอก ป้าว่าจนแม่ฉันที่นั่งอยู่ข้างๆฉันนั้นร้องไห้ออกมา ฉันจึ่งรู้สึกว่าทำไมป้าของฉันเองไม่ว่าที่ตัวฉันแต่ไปว่าแม่ฉันที่ไม่ยอมสั่งสอนฉัน จึงทำให้ฉันได้คิดว่าขนาดคนที่เป็นญาติกันยังเห็นว่าลูกนั้นทำตัวไม่ดีเพราะพ่อแม่ไม่ยอมสั่งสอนลูก แล้วคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเราล่ะจะรู้สึกยังไง นับจากวันนั้นฉันก็เลยตื่นแต่เช้า ลงมาช่วยแม่ขายของทุกวัน จนแม่ฉันชมว่าฉันนั้นเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เริ่มรู้จักขายของหาเงินเอง เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้นที่สามารถทำตัวให้ประโยชน์ไม่ให้ใครมาว่าเราได้อีก

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) : เมื่อตอนปิดเทอมสมัยมัธยม ฉันนั้นได้มีโอกาสไปเรียนภาษาอยู่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นได้ไปอยู่กับโฮสต์ ฉันนั้นได้ไปเรียนคนเดียวประมาณเดือนกว่า ซึ่งฉันก็ได้เจอกับเพื่อนชาวต่างชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนเวนิซูเอล่า คนญี่ปุ่น คนพม่า คนเวียดนาม คนเกาหลีหรือแม้กระทั่งคนไทยด้วยกันเอง ซึ่งฉันนั้นได้ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆกับเพื่อนใหม่ๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งชาวสิงคโปร์นั้นจะมีชาวจีน ชาวมาเลย์อยู่มาก และยังเคยเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติอีกด้วย ทำให้ชาวสิงคโปร์นั้นสามารถพูดภาษาจีนกับภาษาอังกฤษได้ และเพื่อนคนจีนยังสอนฉันให้พูดภาษาจีนบางคำที่ง่ายๆ ทำให้ฉันรู้สึกชอบภาษาจีนมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ฉันนั้นได้เปิดหูเปิดตาเกี่ยวกับอาหารการกินของชาวจีน หรือมาเลย์ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานเทศกาลของชาวต่างชาติ อาทิ เช่นวันEaster dayและงานสงกรานต์ไทยซึ่งจัดขึ้นในต่างประเทศ ว่าคนไทยในต่างประเทศเวลาจะเล่นน้ำสงกรานต์ต้องไปเล่นอยู่ที่หน้าสถานทูตไทย ซึ่งจะเป็นที่รวมตัวกันของคนไทย ซึ่งในประเทศสิงคโปร์นั้นจะเล่นกันทุกวันที่15 ของเดือนเมษายน แล้วก็จะมีคนต่างชาติที่สนใจได้เข้ามามีส่วนร่วมอีกด้วย

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) : ตอนช่วงม.5 นั้น ทางโรงเรียนได้จัดให้มีงานวันวิทยาศาสตร์ ซึ่งทางโรงเรียนได้กำหนดให้ชั้นม.5 ทุกห้องได้จัดทำแบบจำลองการใช้พื้นที่โดยประมาณ โครงการเศรษฐกิจพอเพียงขนาดเล็ก ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเราเอง และครอบครัว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด (พื้นที่ประมาณ ๙ ไร่) ซึ่งทางโรงเรียนได้ให้เวลาทั้งหมด1อาทิตย์ ทั้งห้องนั้นจึงได้ร่วมมือร่วมใจกันออกเงินกันซื้ออุปกรณ์การทำรูปแบบจำลอง โดยใช้แผ่นโฟมเป็นพื้นที่จำลองขนาด 9ไร่ และนำไม้จิ้มฟันมาทำเป็นโมเดลบ้าน และนำสีมาทาเป็นสระน้ำ และอื่นๆอีกมากมาย และเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด ทางห้องของฉันก็ได้นำแบบจำลองนี้ออกมาตั้งประกวดและอธิบายให้เพื่อนๆในโรงเรียนนั้นได้ฟังและได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น ผลประกาศก็ออกมา ซึ่งแบบจำลองที่ห้องฉันได้ทำนั้น ได้รางวัลที่1 คนในห้องฉันรู้สึกภูมิใจกับผลงานที่ออกมา และมีความสามัคคีกันมากขึ้น และยังได้ทำงานกับเพื่อนที่ยังไม่รู้จัก แถมยังได้เพื่อนสนิทมากขึ้นอีกด้วย

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) : ฉันได้มีโอกาสได้นั่งเครื่องบินการบินไทยไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งฉันรู้สึกว่า ระบบของการบินไทยนั้นเชื่อมโยงและสอดคล้องกันซึ่งตั้งแต่ ฉันได้เข้าไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ

- มีพนักงานเช็คอินตั๋วเครื่องบินสำหรับการขึ้นเครื่องและพนักงานขนสัมภาระขึ้นเครื่อง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนำสานเคมี ของเหลว ของมีคมขึ้นเครื่องบิน

- เมื่อเราจะเดินทางออกนอกประเทศ จะมีคนคอยเช็คตั๋วและนำขึ้นรถบัสเพื่อไปต่อยังเครื่องบิน

- เมื่อเราขึ้นเครื่องบินแล้วจะมีกัปตันพร้อมด้วยลูกเรือคอยยืนต้อนรับหน้าประตูทางเข้า และคอยหาที่นั่งให้และยังเก็บสัมภาระไว้บนที่เก็บสัมภาระ

- ขณะอยู่บนเครื่องจะมีแอร์โฮสเตสและสจ๊วตบนเครื่อง คอยสอนการใช้อุปกรณ์บนเครื่องบิน และคอยเสริฟอาหาร และคอยดูแลเราบนเครื่องบิน

- ขณะเครื่องบินถึงจุดหมายปลายทาง จะมีกัปตันและลูกเรือคอยบอกสภาพอากาศ เวลาท้องถิ่นและยืนต้อนรับขณะเราลงจากเครื่อง

ซึ่งทำให้ฉันรู้ว่าทำไมชาวต่างชาติและคนไทยจึงมั่นใจที่จะเดินทางไปกับสายการบินการบินไทย เพราะว่าระบบของการบินไทยนั้นให้บริการดี คอยดูแลใส่ใจเราเมื่อเรามีปัญหาขณะอยู่บนเครื่องบินจนถึงจุดหมายปลายทาง

วราภรณ์ เอื้ออุมากุล 555740612-1 sec.12
      Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น?

คงมีคนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตนเองอยากเรียนคณะอะไร ฉันเองก็ไม่รู้จึงเลือกเรียนสายวิทย์ก่อนเพราะคิดว่าถ้าไม่ชอบสายวิทย์จริงๆก็สามารถเปลี่ยนมาเลือกคณะทางสายศิลป์ได้ ในช่วงที่เรียนสายวิทย์ฉันพอเรียนได้แต่ไม่มีความสุขในการเรียนเลย จนได้ไปค่ายpre-camp ซึ่งเป็นค่ายของคณะนิติศาสตร์ ฉันจึงตัดสินใจที่จะเข้าคณะนิติศาสตร์ เมื่อฉันตัดสินใจได้แล้วฉันจึงย้ายสายมาเรียนสายศิลป์และมุ่งที่จะอ่านเฉพาะวิชาที่ใช้สอบเข้าคณะนิติศาสตร์เท่านั้น หากฉันยังไม่มีเป้าหมายว่าจะเข้าเรียนคณะใดฉันคงต้องอ่านทุกวิชาซึ่งอาจจะทำให้ทำแต่ละวิชาได้ไม่ดีเท่าที่ควร

      Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี?

เมื่อเข้าสู่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่รุ่นน้องมักจะได้ยินเสมอคือ การได้เกียรตินิยมจากที่นี่เป็นเรื่องที่ได้ยากมาก แต่ฉันกลับคิดว่าหากตั้งใจ มันคงไม่ได้ยากขนาดนั้น ตลอด4เดือน ฉันตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ทำข้อสอบเก่าย้อนหลัง แต่เมื่อประกาศคะแนนวิชาแรก ฉันได้คะแนนไม่ดีเลย วันนั้นฉันร้องไห้แล้วมีเพื่อนเข้ามาปลอบฉันว่า อย่าคิดมากมีรุ่นพี่ตั้งหลายคนที่ได้วิชานี้คะแนนไม่ดี แต่พอปรับตัวได้พี่เขาก็ได้เกียรตินิยมนะ พอได้ยินเช่นนี้ฉันเลยคิดว่าจะมัวเสียใจทำไม เราหนีความจริงไม่ได้ว่าวิชานี้เราพลาดไปแล้วเราต้องเริ่มใหม่ ฉันจึงปรับวิธีการเรียนใหม่ จนในที่สุดฉันก็ทำได้สำเร็จอย่างที่หวัง

     Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น?

ฉันเข้าไปเรียนในกรุงเทพมา2ปีแล้วแต่ฉันเองไม่ค่อยได้ไปไหน ส่วนมากก็อยู่แต่ในมหาวิทยาลัยหรือไปเที่ยวใกล้ๆบ้าง จนวันหนึ่งที่เพื่อนจากขอนแก่นจะมากรุงเทพจึงจะให้ฉันพาเที่ยว ฉันกับเพื่อนจึงเที่ยวตามที่ต่างๆไปกันตั้งแต่เช้าเที่ยวกันจนดึก ได้ไปเจอสถานที่สวยๆ กินของอร่อยๆ วันนั้นฉันรู้สึกว่าฉันเที่ยวกรุงเทพในวันนี้มากกว่าที่ฉันเคยเที่ยวกรุงเทพมาตลอด2ปีซะอีก ถ้าไม่มีเพื่อนมาฉันคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวแบบนี้แน่นอน

     Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย?

ฉันเคยมีโอกาสได้ไปทำค่ายอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งพวกเราเป็นเพียงนักศึกษากลุ่มเล็กๆ แต่ต้องการให้ชุมชนที่ห่างไกลจากความเจริญนี้มีห้องสมุดสำหรับเด็กๆ และมีลานกิจกรรมสำหรับชุมชน แต่การไปทำงานครั้งนี้หากจะมีแต่ฝ่ายสร้างฝ่ายเดียวงานคงไม่สามารถสำเร็จได้ เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง จึงต้องมีฝ่ายสวัสดิการคอยทำอาหารเลี้ยงคนในค่าย มีฝ่ายสอนที่ไปสอนหนังสือแก่เด็กและให้คำแนะนำชาวบ้านในเรื่องกฎหมาย มีฝ่ายสัมพันธ์ที่คอยไปพูดคุยสร้างความคุ้นเคยเและเรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวบ้าน หากค่ายอาสานี้ขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป การสร้างห้องสมุดและลานกิจกรรมนี้อาจจะไม่มีขึ้นเลยก็ได้

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี? สำนักทะเบียนกับนักศึกษา คงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ฉันเองมีโอกาสที่ต้องประสานงานกับสำนักทะเบียนหลายครั้งและกับหลายมหาวิทยาลัย ฉันจึงสัมผัสได้ว่าสำนึกทะเบียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการจัดการที่เป็นระบบที่ดี เนื่องจากการขอหลักฐานทางการศึกษานั้น ในบางมหาวิทยาลัยเมื่อขอไปแล้วต้องรอดำเนินการหลายวัน ซึ่งไม่สะดวกต่อนักศึกษาในการมารับและบางครั้งยังเกิดความผิดพลาดในการเก็บข้อมูล แต่สำนักทะเบียนของธรรมศาสตร์นั้นเมื่อขอหลักฐานทางการศึกษา สามารถรอรับได้เลย หากมีข้อผิดพลาดก็สามารถแก้ไขได้ทันที จึงสะดวกต่อนักศึกษาและเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก

น.ส. จิรัตติกาล มีทอง , 555740003-6 , MBA Y#14 Sec.12

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

    ตอนเด็กๆ นั้นที่โรงเรียนของฉันเค้าจะมีการจัดสอบแข่งขันทางด้านคณิตสาสตร์เพื่อชิงเงินรางวัลทุนการศึกษา  ตอนแรกที่เห็นฉันก็คิดว่าอยากจะลองสอบดูสักครั้ง  ในวันที่สอบแข่งขันนั้นผลปรากฏว่าฉันสามารถสอบได้เงินรางวัลมา  ฉันดีใจมากพอกลับถึงบ้านจึงได้นำเงินรางวัลที่ได้ไปให้พ่อกับแม่ แล้วพ่อกับแม่ก็พูดกับฉันว่าท่านดีใจและภูมิใจมากที่ฉันมีความตั้งใจและสามารถทำได้สำเร็จ  จากเหตุการณ์วันนั้นมันทำให้ฉันมีเป้าหมายว่าฉันจะตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี  เพื่อทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ

Dialogue : ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

    ตอนเรียนมัธยมนั้นฉันมีเพื่อนคนหนึ่งเค้าเป็นคนที่เรียนเก่งมากซึ่งแตกต่างกับฉันที่เรียนไม่ค่อยเก่ง  เวลาเรียนหรือเวลาสอบนั้นเพื่อนคนนี้เค้าจะทำได้ดีเสมอ  วันๆ ฉันก็เรียนๆ ไป โดยไม่ได้คิดอะไร  เพราะฉันคิดว่าคนที่เค้าเรียนเก่งเค้าก็ต้องทำอะไรได้ดีเสมอ ส่วนเราทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว จนอยู่มาวันหนึ่งแม่ได้พูดกับฉันว่า  ที่ว่าทำได้แค่นี้ก็ดีแล้วนั้น  ฉันได้ลองพยายามตั้งใจทำอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง  คำพูดของแม่มันทำให้ฉันกลับมาถามตัวเองว่าเราได้พยายามตั้งใจอย่างเต็มที่จริงๆ แล้วหรือยัง  จากวันนั้นไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ตามฉันจะพยายามตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่  เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลังว่าเราไม่ได้ลองพยายามตั้งใจทำ

Mental Model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

    ฉันเป็นคนที่ติดบ้านมากวันหยุดหรือเวลาว่างๆ ฉันก็จะชอบพักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ชอบออกไปข้างนอก  มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมที่คณะที่ฉันเรียนเค้ามีการจัดกิจกรรมเป็นธรรมเนียมที่พี่ปี 3 จะต้องพาน้องปี 2 ไปเที่ยว  ในตอนนั้นเพื่อนๆ เค้าตกลงกันว่าจะพาน้องไปเที่ยวทะเลกัน  ความรู้สึกของฉันตอนนั้นฉันคิดว่าทำไมเราต้องว่าน้องไปเที่ยวอะไรไกลขนาดนั้น  ไปแล้วจะได้อะไร  แต่พอถึงวันที่ไปเที่ยวกันมันทำให้ฉันได้เห็นว่าการมาเที่ยวครั้งนี้มันทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง นอกจากความสนุกที่ได้รับแล้วมันยังทำให้พี่ๆ น้องๆ ทุกคนรักกันมากขึ้นด้วย

Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

       ในช่วงที่เรียนปี 4 เทอมสุดท้ายนั้นคณะที่ฉันเรียนจะต้องมีการทำโปรเจคจบ  โดยให้ทำงานเป็นกลุ่ม 2 คน ตอนแรกฉันก็มีความรู้สึกว่าโปรเจคใหญ่ขนาดนี้ให้ทำกันแค่ 2 คน จะทำเสร็จได้ไง  พอได้เริ่มทำงานฉันกับเพื่อนก็เจอปัญหาต่างๆ มากมาย  เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มทำจากตรงไหนและทำอย่างไร  ฉันกับเพื่อนจึงได้มาปรึกษากันว่าเรามาลองช่วยกันคิดช่วยกันทำไปด้วยกันดีไหม มีอะไรเราจะได้แก้ปัญหาช่วยกันได้งานหนักจะได้ไม่ตกไปอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง  หลังจากนั้นมาฉันและเพื่อนก็ได้ช่วยกันทำงานด้วยความตั้งใจ  มีปัญหาอะไรเราก็ช่วยกันแก้ไข  จนทำให้โปรเจคนี้เสร็จสมบูรณ์  และทำให้ฉันกับเพื่อนสามารถเรียนจบมาได้ด้วยโปรเจคที่เราช่วยกันทำ

System Thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

       มีครั้งหนึ่งฉันพาพ่อไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  วันนั้นเป็นวันที่มีคนไขที่โรงพยาบาลเยอะมาก  พอฉันกับพ่อไปถึงก็ไปยื่นบัตรเพื่อรอคิวตรวจ  พนักงานที่รับบัตรเค้าก็พูดคุยดีมากเค้าบอกว่าวันนี้คนเยอะมากถ้ายังไม่ทานข้าวก็ให้ไปทานข้าวก่อนเพราะอาจจะต้องรอคิวนานหน่อย  พอมาที่หน้าห้องตรวจนั้นระหว่างรอคิวทางโรงพยาบาลก็มีการจัดบรรยายให้ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับคนไข้และญาติของคนไข้ฟัง  ทำให้การรอนั้นไม่รู้สึกว่านานและยังได้รับความรู้ต่างๆ มากมายอีกด้วย  จากการไปโรงพยาบาลครั้งนี้ทำให้ฉันประทับใจในการดูแลเอาใจใส่คนไข้ของทางโรงพยาบาลและรู้สึกว่าโรงพยาบาลมีระบบจัดการที่ดี

นางสาวถิรตา วรหาญ MBA Y#14 รหัส 555740040-0 sec11

Personal Mastery (ความเป็นเลิศส่วนบุคคล)

เมื่อตอนเรียนปีหนึ่งมีกิจกรรมกีฬาของคณะให้เลือก ก็ได้เลือกกีฬาฟันดาบ เนื่องจากเห็นว่าเป็นกีฬาที่ไม่เคยเล่น เลยอยากลองไปเล่นดูบ้างว่าเป็นยังไงแต่เมื่อได้ไปซ้อมกีฬาฟันดาบ ทำให้รู้ว่ามันเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและเจ็บตัวมาก เพราะต้องใช้ดาบไม้ซ้อมและถูกตีเป็นประจำ ระหว่างที่ฝึกก็จะมีรอยช้ำเพราะถูกตีอยู่เสมอ แต่เมื่อได้ซ้อมขึ้นเรื่อยๆ ก็พบว่าการซ้อมมากขึ้นจะทำให้เก่งขึ้น แล้วสามารถหลบจากการที่ถูกคู่แข่งตีได้ ทำให้ไม่เจ็บตัวบ่อยๆเหมือนตอนแรกที่เล่นไม่เป็น ทำให้มีเป้าหมายว่า จะต้องได้ซักเหรียญจากกีฬานี้ให้ได้ เมื่อมีการแข่งกีฬาระหว่างคณะขึ้น เราก็สามารถชนะจนได้เหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาฟันดาบระหว่างคณะได้ เราก็ดีใจมากเพราะกว่าที่จะเล่นได้ขนาดนี้เราผ่านการฝึกฝนมาเยอะแล้วก็ทำสำเร็จ ทำให้รู้ว่าถ้าเราทำอะไรโดยมีเป้าหมายเราจะมีความตั้งใจมากขึ้น

Dialogue & Conversation (ไดอะล็อกและการสนทนา)

วันหนึ่งได้มีโอกาสไปทำบุญที่บ้านแคนทองกับอาจารย์และเพื่อนๆ ซึ่งเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กที่ครอบครัวมีปัญหาไม่สามารถเลี้ยงดูได้ อาจารย์ได้พาไปซื้ออาหารและขนมมาเลี้ยงเด็ก หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสเล่นกับเด็กๆ ทำให้เราได้เห็นว่ามีเด็กอีกจำนวนมากที่ถูกทอดทิ้ง ทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่มีพ่อแม่คอยดูแล ในขณะที่เด็กพวกนี้ต้องได้รับการดูแลจากคนอื่น จากวันนั้นก็ทำให้เราอยากช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้นเมื่อมีโอกาส ถ้าวันนั้นเราไม่ไปก็จะไม่รู้ว่ามีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่อยู่ใกล้ๆสามารถไปได้ง่ายในขอนแก่น ทำให้รู้ว่ามีเด็กกำพร้าอีกมากนะที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเราสามารถบริจาคเป็นเงิน อาหารและสิ่งของได้

Mental Model (รูปแบบความคิด)

เมื่อก่อนเวลาที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน เราจะแค่ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหน หาเช่ารถตู้แล้วไปเที่ยวเลย หาที่พักเอาข้างหน้า แต่ก็จะมีเพื่อนคนนึงบอกว่าเราควรจะจองที่พักและหาข้อมูลก่อน เพื่อนก็หาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หาว่าโรงแรมไหนดีแล้วก็บอกให้โทรจองล่วงหน้าจะได้ได้พักโรงแรมที่ดี แล้วเพื่อนก็ยังหาร้านอาหารแถวนั้นว่ามีร้านไหนที่ขึ้นชื่อคนบอกว่าอร่อย เพื่อที่เราและเพื่อนจะได้แวะไปกิน สถานที่ท่องเที่ยวไหนน่าสนใจ มีกิจกรรมอะไรบ้าง เมื่อเราไปเที่ยวก็ทำให้รู้สึกว่าดีนะที่เราหาข้อมูลมาก่อน ไม่งั้นเราอาจจะไม่ได้ที่พักที่ดี และอาจจะพลาดที่เที่ยวบางอย่างที่สนุกไปได้

Team Learning (การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม)

สมัยเรียนปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ มักจะมีโปรเจ็คเป็นกลุ่มให้ทำร่วมกัน ภายในกลุ่มต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำโปรแกรมอะไรดี เลยตกลงกันว่าจะเขียนโปรแกรมเป็นร้านขายกาแฟ แล้วก็แบ่งหน้าที่ของแต่ละคน หาข้อมูลแล้วเริ่มออกแบบโปรแกรมว่าต้องการแบบไหน แล้วก็เขียนโปรแกรม แล้วก็มีการปรับแก้โปรแกรมไปเรื่อยๆ จนในที่สุดโปรแกรมก็เขียนเสร็จ ทำพาวเวอร์พอยและรายงาน เมื่อมีการพรีเซนต์โปรเจ็คก็ช่วยกันรายงานและตอบคำถาม อาจารย์ก็ชมแล้วงานก็ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย เกิดจากความร่วมมือของทุกคนที่ช่วยกันคิดและช่วยกันแก้ไขปัญหา ทำให้งานเสร็จและทำงานได้ดี

System Thinking (การคิดเชิงระบบ)

เนื่องจากชอบไปร้านหนังสือ และร้านที่ไปประจำคือนายอินทร์ เรารู้สึกว่านายอินทร์มีระบบจัดการที่ดี คือถ้าเราเป็นสมาชิกเราจะได้รับส่วนลด และเมื่อเราซื้อหนังสือก็จะได้แสตมป์สะสมมาใช้เป็นส่วนลดในครั้งต่อไป ร้านมีการจัดหนังสือเป็นสัดส่วนตามหมวดหมู่ หรือจะถามหาหนังสือที่ต้องการพนักงานก็จะค้นหาในระบบให้ว่ามีหนังสือหรือเปล่า ถ้ามีหนังสือจะอยู่ส่วนไหนของร้าน ถ้าหนังสือหมด ก็สามารถบอกพนักงานเพื่อสั่งหนังสือเพิ่มได้ หรือพนักงานจะโทรไปเช็คกับอีกสาขาว่ามีหนังสือหรือเปล่า เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่ต้องสั่งซึ่งจะต้องรอหนังสือ และสามารถไปซื้อได้จากอีกสาขา ทำให้เรารู้ว่าเขาใส่ใจลูกค้าและการจัดการที่ดี

อิษฎา อังสุพันธุ์โกศล 555740100-8

Personal mastery

เมื่อตอนที่ฉันอยู่ ม.ปลายฉันเรียนสายการตลาด ฉันเป็นเด็กที่เรียนแย่มาก ได้เกรดน้อยแถมยังไม่ตั้งใจเรียน ตอนจะเข้ามหาวิทยาลัยจะมีโควตา ของเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน(โคราช) แต่ฉันก็ไม่ติดโควตา ช่วงนั้นเป็นเวลาโควตาของ มข.พอดี ฉันจึงลงๆไป เพราะเพื่อนลงกัน โดยได้ลง คณะมนุษยศาสตร์ สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา แล้วฉันก็สอบติด ทุกๆคนแปลกใจมาก รวมทั้งฉันด้วย และเมื่อฉันได้มาเรียนที่ขอนแก่น มันทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมากมาย จากที่ไม่เคยทำอะไรเอง ก็ต้องทำเองทุกอย่าง และฉันก็ตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนจบภายใน 4 ปี แล้วฉันก็ทำมันสำเร็จ

Dialogue

เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้เรียนวิชาวิชาหนึ่งของMBA การเรียนวิชานี้ทำให้ฉันเริ่มคิดที่จะ อยากหาธุรกิจสักอย่างทำเป็นของตัวเอง จากเดิมที่คิดว่าเรียนไปเฉยๆเพราะไม่มีอะไรทำ และที่บ้านก็ไม่ให้ทำงาน รวมถึงที่บ้านมีกิจการของตัวเองอยู่แล้ว แต่เป็นระบบกงสี มันทำให้ฉันเริ่มคิดที่จะมีกิจการเป็นของตัวเองมีการควบคุม ดูแล บริหารเองทุกอย่าง แม้ว่าจะมีอุปสรรคก็จะต้องผ่านมาให้ได้ เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ จากที่คิดอะไรแค่เด็ก ๆ ผ่านไปวัน ๆ ทำให้เริ่มคิดถึงอนาคตมากขึ้น จึงถือเป็นการเริ่มต้นในการเปลี่ยงแปลงที่ดี

Mental model

เมื่อตอนฉันขึ้นปี2 ทางสาขาได้มีการจัดค่าย ฉันจึงมีโอกาสได้ไปศึกษาและอยู่กินกับชาวบ้านชาติพันธุ์ไทญ้อ ที่ จ.นครพนม การออกค่ายครั้งนี้เป็นการเปิดโลกกว้างแก่ฉันมากทำให้ได้เรียนรู้ถึงวิถีการดำรงชีวิต ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์นี้ และคืนก่อนกลับพวกเรานักศึกษาก็ได้ร่วมกันแสดงละครให้พวกชาวบ้านและเด็กๆ ดู เมื่อจบพิธีพวกเขาก็ได้ร่วมกันทำพิธีบายศรีให้พวกเราด้วย และก่อนจะกลับชาวบ้านหลังที่ฉันอาศัยอยู่ก็ได้ผูกข้อมือให้ มันทำให้ฉันซาบซึ้งใจมาก เพราะต่างคนต่างไม่รู้จักกัน แต่พวกเขาก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี รวมทั้งให้ที่อยู่อาศัย ทำอาหารให้กิน ราวกับว่าเราเป็นลูกหลาน

Team learning

เมื่อตอน ปี3 ฉันได้เรียนวิชา ระเบียบวิธีวิจัย2 ซึ่งเป็นวิชาที่ยากมาก เพราะเกี่ยวกับการทำวิจัย และต้องทำวิจัย ส่งอาจารย์ด้วย งานวิจัยที่ว่านี้เป็นงานกลุ่ม โดยฉันรวมกลุ่มกับเพื่อน ไปศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์จากการกู้ยืมเงินจากกองทุนหมู่บ้าน ได้ศึกษาชาวบ้านจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในบริเวณหนองกุง(ขอนแก่น) ซึ่งเราต้องไปเก็บข้อมูลที่หมู่บ้าน หลายวัน มีการนัดกันเพื่อช่วยกันทำวิจัย ทำให้ได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีม การแบ่งงานตามหน้าที่ ตามความเหมาะสม เพื่อให้งานออกมาเกิดผลดีที่สุด

System thinking

ฉันมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกับครอบครัว จึงรู้สึกว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบที่ดี แทบจะทุก ๆ ด้าน เช่นประชากรก็จะมีความเป็นระเบียบ มีการเข้าคิวรอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะนิยมเดินและใช้รถไฟฟ้าและทุกคนก็จะเดินเร็วมาก ซึ่งถ้าเราช้าไปนิดเดียวอาจทำให้เราตกระไฟฟ้าก็ได้ สุดท้ายประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาก ให้ความสำคัญแม้กระทั่งห้องน้ำมีห้องน้ำที่สะอาด และที่ชอบที่สุดคงเป็นชักโครกของญี่ปุ่นที่มีความอุ่นเมื่อนั่งลงไปแล้ว มีน้ำอุ่นประระดับได้ และปรับระดับความแรงของน้ำได้

อิษฎา อังสุพันธุ์โกศล

อิษฎา อังสุพันธุ์โกศล 555740100-8 sec#11

ววรุณทิพย์ ศรีพุ่ม

นางสาววรุณทิพย์ ศรีพุ่ม  MBA Y#14 Sec.12 รหัส 555740076-9


Personal Mastery : The Lemmimg Dilemma

Q : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

A : ตอนที่ไปฝึกงานที่หัวหิน บ้านเช่าของฉันและเพื่อนๆ อยู่ใกล้ๆกับสวนศรี สถานที่เที่ยวแบบถนนคนเดินที่มีงานแฮนด์เมด วันหยุดจากการฝึกงาน เราก็ไปเที่ยวกัน ทำให้ฉันได้รู้จักพี่ออย เธอเป็นเจ้าของร้านขายกิ๊บและกระจกแนว Vintage ซึ่งฉันอยากจะซื้อเป็นของฝากให้เพื่อนๆ ด้วยการที่ฉันลืมเอาตุ๊กตาตัวโปรดไปด้วยทำให้นอนไม่หลับ(ไม่มีกลิ่นที่คุ้นเคย) ทำให้ไปสั่งทำ ช่วงที่พี่เค้าทำตุ๊กตาให้ ไม่มีคนขายหน้าร้าน ฉันก็อาสาช่วยขาย ช่วยเชียร์ และช่วยคิดกระจกกระต่ายให้เก๋ๆ ทำให้เราสนิทกัน วันไหนว่างฉันจะมาช่วยขายและตกแต่งช่วย นั้นทำให้ฉันรู้ว่าฉันอยากจะมีกิจการเป็นของตัวเองบ้าง ที่เกิดจากไอเดียและความสามารถของฉัน จากทุนเล็กๆ แต่มาจากความชอบและความตั้งใจจริง

Dialogue : Listening to the Volcano

Q : ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

A : ส่วนใหญ่แล้วฉันมักจะเป็นคนที่พูดมากกว่านั่งฟังคนอื่น บ่อยครั้งฉันมักจะอยู่บ้านคนเดียวกับน้องหมา ทำให้ฉันชอบที่จะฟังเพลง ดูทีวีและอ่านหนังสือ และฉันชอบดูรายการวาไรตี้ของเกาหลี ชื่อว่า We Got Married รายการนี้ดูไร้สาระมากในความคิดของผู้ใหญ่ เพราะจับดารามาแต่งงานกัน แต่ฉันคิดว่าทำไม? ออกจะแตกต่าง ทำให้รู้ว่าคนเกาหลีมีวัฒนธรรมใช้ชีวิตคู่ยังไงด้วย โดยเฉพาะตอนที่ซอฮยอน นักร้องที่ชอบเป็นคู่แต่งงานใหม่ ฉันดีใจมากเพราะเหมือนเราได้รู้จักคนที่เราปลื้มมากขึ้น ตอนแรกที่ออกอากาศ ฉันนั่งดูและก็ทึ่งในความคิดของเธอเกี่ยวกับการอ่านหนังสือประเภท How To ที่ทำให้เราพัฒนาศักยภาพตัวเอง และนับแต่นั้นเธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ฉันอ่านหนังสือประเภทนี้ นอกจากนิยายและหนังสือทำอาหารแบบที่ชอบ และยิ่งติดตามมากเท่าไหร่เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าเธอไม่เคยใช้เวลาว่างแบบไม่มีประโยชน์เลย ทำให้ฉันอ่านหนังสือแล้วก็บันทึกความรู้หรือความประทับใจนั้นๆ เพราะฉันอยากเป็นคนที่ใช้เวลาว่างให้คุ้มค่า

Mental Model : Shadows of the Neanderthal

Q : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

A : เมื่อปีที่แล้ว ช่วงเดือนมิถุนายน มีโอกาสไปเที่ยวเกาหลี ไปกับที่ทำงานของคุณแม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ไปต่างประเทศโดยไม่มีครอบครัวไปด้วยเพราะช่วงนั้นคุณพ่อและคุณแม่ไม่ว่าง พอก้าวแรกที่เหยียบกรุงโซล ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก ชอบทิวทัศน์ที่โซลทาวเวอร์ที่มองเห็นรอบเมือง บรรยากาศรอบๆเกาะนามิและร้านต่างๆออกแบบได้น่ารักๆ อบอุ่น ชอบคัพเค้กอร่อยๆที่หมู่บ้านฝรั่งเศส แต่อาหารที่ชอบ คือ บูลโกกิ(เนื้อห่อผัก) เพราะว่าไม่เลี่ยน ประทับใจที่สุด คือ ศูนย์โสม เพราะได้ความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับสุขภาพ ทำให้คิดว่าไปเที่ยวครั้งนั้นมีความสุขมากจนเป็นแรงบัลดาลใจให้อยากไปเที่ยวแบคแพคเกอร์

Team Learning : Outlearning the Wolves

Q : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

A : ช่วงที่ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัย เดือนตุลาคมจะมีงานอบรมยุวหมอดินทั้งหมด 4 รุ่น โดยฉันได้รับมอบหมายให้เป็นพิธีกรร่วมกับพี่ๆวิทยากรและช่วยเพื่อนๆรวบรวมรูปและข้อมูลทำเนียบรุ่น เวลาอบรมมี 3 วัน แต่เราจะต้องถ่ายรูปนักเรียนและอาจารย์ให้เสร็จ ส่งให้ร้านพิมพ์ภายในวันแรก เพราะต้องแจกพร้อมใบประกาศนียบัตรในวันสุดท้าย แต่การถ่ายรูปเดี่ยวให้คนร้อยกว่าคนและยิ่งเป็นเด็กๆมันยุ่งยากเหมือนกัน เพราะเราต้องรู้ว่ารูปว่าใครเป็นใคร โรงเรียนอะไร ทำให้ต้องแบ่งงานกันชัดเจน และฉันมีสองหน้าที่ทำให้ใช้เวลาที่วิทยากรให้ความรู้มาช่วยตกแต่งภาพให้เสร็จ ในแต่ละรุ่นล้วนแต่มีปัญหาที่ต่างกัน หลังจากการอบรมเสร็จสิ้น ฉันและเพื่อนๆภูมิใจในศักยภาพในการทำงานกลุ่มและสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม

System Thinking : The Tip of the Iceberg

Q : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

A : ตอนที่เรียนอยู่ปีสาม สาขาที่เรียนพาไปสัมมนาที่กรุงเทพฯ ไปดูงานตามที่ต่างๆ แต่ประทับใจที่สุดที่เลอ กอร์ลอง เบลอ ที่ดุสิต เนื่องด้วยสถานที่ที่ไปเป็นส่วนภัตตาคารสำหรับนักศึกษาใช้ฝึกงานจริง เขาให้เรียนรู้ทุกแผนกภายในร้าน ทุกคนต้องทำได้หมด ทั้งเสริ์ฟ ล้างจาน ทำอาหาร แคชเชียร์ เครื่องดื่ม ต้อนรับ และไม่ใช่เรียนรู้อย่างเดียวแต่ต้องทำได้ดีด้วย โดยที่ทุกแผนกจะเปลี่ยนทุกเดือน ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งมากๆ โดยเฉพาะตอนที่ไปดูผู้ช่วยเซฟทำน้ำซุป เขาบอกว่าต้องคน ชิม ทุกสิบนาที ถ้าขาดหรือเกินไปถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะอาหารถือเป็นหัวใจของร้าน ส่วนการบริการเป็นหน้าตา

น.ส. นาตาช่า ฟราซง , 555740048-4 , MBA Y#14 Sec.11

Personal Mastery: ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้

ตอนเรียนอยู่ฝรั่งเศส อยากกลับมาเรียนที่เมืองไทยมากกว่าเพราะว่าพ่อก็จะย้ายมาอยู่ที่ไทยแต่ว่าคิดไปคิดมาก็เลยเปลี่ยนใจ เพราะ ว่าถ้าเราเรียนอีกสามปีเราก็จะจบ High school แล้วเราก็จะได้เรียนสิ่งที่เราชอบเพราะไม่รู้ว่ากลับมาที่ไทยแล้วชิวิตจะเป็นยังไง ฉันก็เลยเลิกที่จะอยู่ที่ฝรั่งเศสต่ออีกสามปี เหตูผลก็คือ หลังจากเปรียบเทียบ ความต้องการ ที่อยากกลับมาเมืองไทยเพราะคิดถึง แล้วก็ชอบ สิ่งนี้คืออารม กับ เหตุผลหนึ่งที่มีความหนักแน่นกว่า ก็คือ เพื่อ อนาคตที่ดีกว่า กานตัดสินใจครั้งนี้เลยทำให้ฉันมีเป่าหมายมาก ขึ้นเพราะหลังจากนั้นฉันได้ Plan ชิวิต ของฉันในสามปี่ข่างหน้าว่าจะทำไร ที่ไหน...

Dialogue: ครั้งไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

วันหนึ่งที่รู้สึกไม่ค่อยดีก็เลยไปปรึกษาคนๆหนึ่ง เค้าก็เลยอ่านถ้อยคำพวกนี้ให้ฟัง - มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือความล้มเหลว เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์ เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด" เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส" เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์ จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้ มันก็เลยทำไห้ฉันคิดว่าหากมีจิตใจคิดแต่สิ่งดี ภายในวิกฤตที่เลวร้าย หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิตที่ซ่อนอยู่.

Mental Model: ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

ตอนอยู่ที่ฝรั่งเศส ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกไป ไหน ไปเรียนแล้วก็กลับบ้าน ถ้าไปไหนก็แค่ช่วงเทศกาล หรือวันหยุดก็จะไปเล่นบ้านเพื่อน จนกระทั่งกลับมาเมืองไทย ฉันได้มาเรียนที่ขอนแก่น มาเจอเพื่อนๆที่มาจากหลากหลายจังหวัด และประเทศ ฉันได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆจากพวกเข้า อย่างเช่น ภาษา ประสบการ วัฒนธรรม. วันไหนมีเวลาว่างหลังเลิกเรียน หรือ วันหยุดก็ไปเที่ยวกัน ที่ต่างจังหวัด ได้เจอ และมีเครือข่ายมากขึ้น .....

Team Learning: ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

ปีก่อนฉันมีโอกาสได้ ไป ฝึกงานที่ Mekong Institute, ที่แผนก Policy organizing ที่นั่นฉันมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับคนที่มาจากหลากหลายประเทศ อย่างเช่น พม่า จีน ฟิลิปิน etc... ในช่วงเรามีงานหนึ่งเข้ามา ก็คือ การ Organize the Mekong Forum ซึ่ง มิอาจจะประสบความสำเร็จถ้า ไม่เราไม่ทำงานเป็นทีมเพราะ ว่ามันมีหลายอย่างมากที่ต้องทำ มันเป็นครั้งแรก ที่ฉันรู้สึกว่าได้ทำงานเป็นทีมจริงๆ เพราะ ทุกคนแบ่งงานกัน แล้วก็ประสานงานกันได้ดีมาก ใครมีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันแล้วก็ ช่วยกันแก้ไข จน ผลงานในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ

System Thinking: เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

มีร้านเหล้าหนึ่งที่จะเปิดในไม่ช้า โดยหุ่นส่วน สี่คน หนึ่งในนั้นมีแฟนฉัน แล้วเค้าก็มาพูดคุยเกี่ยวกับระบบของร้าน อย่างเช่น ให้กานบริกานลูกค้าที่ดีและหน้าประทับใจ โดยใช้อะไรหลายๆอย่าง ฉันคิดว่ามันเป็นระบบที่ดีเพราะว่า ทุกอย่าง ที่จะทำ ได้ รับความ ไตร่ตรอง และ plan ไว้แล้วร่วงหน้า

น.ส ศรัญญา อมรเดชสุริยา 555740332-7 Y#14 Sec.12

 Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

- สมัยเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี1 ได้เปิดไปเจอรายการนึงใน UBC ชื่อรายการนั้น คือ Hello Morning ซึ่งเป็นรายการที่นำเอานักร้องหญิงวงนึงของญี่ปุ่นมาแสดงละคร เล่นเกมส์ในรายการ ตอนนั้นรู้สึกชอบว่าทำไมน่ารักดีจัง ก็ติดตามรายการมาเรื่อยๆ จนชอบมากๆ และรู้สึกว่า อยากฟังพวกนี้คุยกันรู้เรื่องจัง ต้องฟังให้ออกให้ได้ ก็เลยเริ่มซื้อหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นมาหัดเรียนเอง หัดไปหัดมา ก็รู้สึกว่าเราชอบหลายๆอย่างทั้งวัฒนธรรม ภาษา การ์ตูน แฟชั่น ของญี่ปุ่น พอปีสองก็เลยไปลงเรียนภาษาญี่ปุ่นของคณะมนุษ(มข) ด้วยความที่ชอบมากก็เลยตั้งใจเรียนเพื่อจะได้รู้เรื่องในภาษาญี่ปุ่น จนได้Aทุกตัวเลย (ลงภาษาญี่ปุ่นต่อกัน6ตัวจนจนปี4)

Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

- ปกติคุณยายของฉันจะเป็นคนขี้บ่นมากตามประสาคนแก่ เวลาบ่นไรมา ฉันมักไม่ค่อยฟัง ทำหูทวนลม คุณยายมักชอบชวนไปทำบุญ บอกให้พาไปหน่อย ฉันก็ไม่ชอบพาไปเพราะขี้เกียจ แต่พอเวลาฉันทะเลาะกับแม่ ก็จะมาเล่าให้ยายฟัง ยายก็จะรับฟังแล้วพูดสอนว่าเราเป็นเด็ก ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และเราเป็นชาวพุทธต้องรู้จักเข้าวัดบ้าง อย่างน้อยเวลาได้ทำบุญจะได้สบายใจ หลังจากนั้นมาฉันก็เริ่มพายายไปวัดบ้าง ไปทำบุญกับยายบ้าง ไปเลี้ยงอาหารเด็กพิการบ้าง แล้วก็รู้สึกสบายใจอย่างที่ยายสอนจริงๆด้วย

Mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น

- ไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อสี่ปีที่แล้ว แล้วได้เห็นเทคโนโลยีล้ำๆเช่น เครื่องเล่น 4D มีควัน มีน้ำ พุ่งใส่หน้า รู้สึกว่าเจ๋งจังเลย นอกจากนั้นยังได้เห็นอะไรแปลกๆที่ไม่มีในประเทศไทย แพคเกจที่ห่อขนมทำใส่กล่องมีลายน่ารักๆทำให้ดูน่ารัก น่ากินน่าซื้อกลับไปฝากๆเพื่อนๆ เห็นตู้กดน้ำของญี่ปุ่นพูดได้ด้วย ทำให้รู้สึกว่าการที่เราได้ไปที่ต่างๆได้เห็นอะไรแปลกๆใหม่ๆที่ไม่เคยเห็น บางทีทำให้เราเกิดไอเดีย หวังว่าสักวันถ้าได้มีโอกาสไปที่ใหม่ๆอีก อาจจะได้ไอเดียมาใช้ในการทำธุรกิจของที่บ้านต่อไปค่ะ

Team Learning ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย

 - ก่อนไปออกค่ายตอนปี3 ตอนแรกทุกคนก็มาประชุมกันว่า ใครจะทำหน้าที่อะไร ทุกคนก็แบ่งหน้าที่กันเป็นฝ่ายต่างๆ ระหว่างการออกค่าย ก็เกิดปัญหาเรื่องเวลา คือ ในการออกค่ายจะมีทั้งกิจกรรมสันทนาการ พาน้องๆทำแลปฟิสิกส์ง่ายๆ สอนทฤษฎีฟิสิกส์ และมีการจัดโชว์ต่างๆทางฟิสิกส์เพื่อให้น้องๆเข้าใจฟิสิกส์มากขึ้น โดยจะให้ทุกคนตื่นตั้งแต่ตี5 มาเต้นแอโรบิค และกว่ากิจกรรมสุดท้ายจะเสร็จในแต่ละวันก็เกินเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้เกิดปัญหานอนไม่พอ ตื่นไม่ทันขึ้น ตอนแรกที่เกิดปัญหาแต่ละฝ่ายก็ถกเถียงกันว่าฝ่ายไหนใช้เวลาเกิน ในคืนนั้นก็เลยประชุมกัน โดยให้แต่ละฝ่ายช่วยกันออกความเห็นว่าเรายังมีข้อผิดพลาดตรงไหน จนสุดท้ายก็พบว่า ปัญหาเกิดจากช่วงเวลาที่ให้น้องๆพักอาบน้ำ ห้องน้ำหญิงไม่พอ เพราะบางห้องส้วมก็เต็ม ทำให้เสียเวลาต่อคิวกันอาบน้ำ พอพวกเรารู้ว่าปัญหาเกิดจากตรงนี้ ก็เลยหาทางออก คือ รุ่นพี่ฝ่ายจัดสถานที่ไปขัดส้วมให้ห้องที่ส้วมเต็ม และแบ่งห้องน้ำบางห้องที่ตอนแรกจัดให้เฉพาะผู้ชายใช้ ให้เปลี่ยนเป็นผู้หญิงใช้แทน

System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

- เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวโดยไปกับทัวร์ แล้วรู้สึกประทับใจเพราะรู้สึกว่าระบบการทำงานของทัวร์นี้ดีมาก ไกด์ก็เป็นกันเอง แบ่งสรรเวลาได้ดีมาก และที่ประทับใจสุดๆก็เพราะว่าป๊าของหนูพอถึงญี่ปุ่นดันลืมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้สนามบิน มารู้ตัวว่าลืมก็ตอนไปพักที่โรงแรมแล้วหาเสื้อผ้าไม่เจอ เช้าวันต่อมาก็เลยบอกไกด์ ไกด์จึงโทรไปประสานงานกับสนามบินที่ญี่ปุ่นให้ จนในวันที่กลับจากญี่ปุ่นก็เลยได้กระเป๋าเสื้อผ้าคืน(ได้คืนที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะญี่ปุ่นเขาตีกลับให้) คิดว่าทัวร์นี้มีระบบที่ดี เตรียมการล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดีค่ะ

น.ส.ภัทรวดี ฉัตรธนะพานิช MBA Y#14 Sec.12 รหัส 555740064-6

น.ส.ภัทรวดี  ฉัตรธนะพานิช   MBA Y#14 Sec.12 รหัส  555740064-6

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) :เมื่อดิฉันเรียนจบและมีโอกาสได้ทำงาน ดิฉันได้เรียนรู้ได้เห็นมุมมองในหลายๆเรื่องได้เห็นพี่ที่ทำงานหลายๆคน บางคนก็ประสบความสำเร็จในเรื่องหน้าที่การงานได้เลื่อนตำแหน่งได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น และในทางกลับกันก็เห็นพี่ที่ทำงานบางคน อายุงานมากแต่ตำแหน่งหน้าที่การงานยังคงเท่าเดิมไม่ก้าวหน้า ดังนั้นดิฉันจึงหันกลับมามองตัวเองในวันนี้ว่า ตอนนี้เราพึ่งอยู่จุดเริ่มต้นพึ่งได้เข้ามาทำงาน เราจะทำยังไงให้เราประสบความสำเร็จในอนาคต ดังนั้น ดิฉันควรที่จะต้องเริ่มตั้งเป้าหมายคิดวางแผนชีวิตในอนาคตไว้ ดิฉันจึงตั้งเป้าหมายไว้กับตัวเองว่า ดิฉันทำงาน ต้องเกิดความก้าวหน้าไม่ใช่อยู่กับที่หรือถอยลง ดิฉันต้องได้ประสบการณ์จากการทำงานและงานดิฉันต้องก้าวหน้าภายใน 2 ปี โดยดิฉันควรตั้งใจทำงาน และสร้างผลงานให้ดี

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ดิฉันยังเป็นเด็ก ดิฉันมีพี่1คน พี่และดิฉันต้องทำงานบ้านร่วมกันแต่ดิฉันกับพี่ชอบเกี่ยงงานกันทำ ไม่ช่วยกันทำงาน งานไม่เสร็จ แถมโดนแม่ว่าอีกต่างหาก แต่มีวันหนึ่งแม่เห็นเราเกี่ยงงานกันแม่เลยพูดขึ้นมาว่า หากเราไม่ช่วยกันทำงานงานก็จะไม่เสร็จสักที หากเกี่ยงงานกันหรือพยายามที่จะไม่ทำงานนั้น ต่อไปเราก็จะทำอะไรไม่เป็น และอีกอย่างหากเรา รีบทำงาน รีบทำรีบเสร็จ ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเอาเปรียบ งานเราก็จะเสร็จเร็ว และไม่แน่อีกฝ่ายที่ไม่ทำงานเลยเค้าก็อาจจะเกิดความละอายใจไปเอง และแม่ยังพูดอีกว่า “ลูกอยากสบายวันนี้แต่ลำบากวันหน้า หรือยอมลำบากวันนี้แต่สบายในวันหน้า” แม่บอกว่าให้ลูกเลือกเอาเองว่าอยากเป็นแบบไหน ตั้งแต่วันนั้นดิฉันหากได้ร่วมงานกับใครดิฉันทำงานเต็มที่มาตลอด

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ดิฉัน เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย การที่ได้เข้ามาเรียนครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ดิฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย ที่จริงดิฉันไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆบ่อยครั้งนัก ไม่เคยอยู่คนเดียว ส่วนใหญ่แล้วตอนที่ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย ดิฉันเรียนเสร็จก็กลับบ้าน อยู่กับพ่อแม่และพี่สาว ไม่เคยทำอะไรคนเดียวเพราะส่วนใหญ่จะมี พ่อ แม่ และพี่สาวอยู่ด้วยเสมอ แต่พอเข้ามาเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้เรียนรู้และรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ได้เห็นสังคมที่หลากหลาย ได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนได้ไปดูงานกับเพื่อน ได้เพื่อนใหม่ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ ซึ่งความรู้เหล่านี้ไม่ได้มีสอนอยู่ในห้องเรียน สิ่งที่ดิฉันพบเห็นหรือได้เรียนรู้นั้นเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับดิฉันทุกอย่าง

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเรียนปี4 เรียนรายวิชา TRADITIONAL THAI WISDOM AND BUSINESS เป็นวิชาเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจ OTOP 1 ตำบล1ผลิตภัณฑ์ โดยอาจารย์ให้แบ่งกลุ่มๆละ 3คน ให้นักศึกษา หาผลิตภัณฑ์OTOP ที่ไหนก็ได้และเอามาวิเคราะห์และพัฒนา กลุ่มดิฉันมีดิฉันและเพื่อนอีกสองคน ในช่วงแรกดิฉันกับเพื่อนๆ ได้ทำผลงานออกมาแต่การทำงานช่วงแรกนั้นยอมรับเลยค่ะว่าเราไม่ได้ทำงานกันเป็น Team ต่างคนต่างแบ่งหัวข้องานแล้วไปทำ แล้วค่อยเอางานมารวมกัน ซึ่งการเสนองานครั้งแรกล้มเหลวค่ะ เนื่องจากเกิดข้อมูลผิดพลาดลักษณะโครงงานที่เขียนขึ้นมันผิด ลักษณะงานไม่สอดคล้องกัน ทำให้เราโดนอาจารย์ติชุดใหญ่ เราทั้งสามคนจึงมานั่งคิดและทำงานชิ้นนี้ใหม่โดยการทำงานครั้งนี้เรานั่งทำงานร่วมกัน ช่วยกันออกความคิดเห็นในแต่ละหัวข้อ ซึ่ง ทำให้ชิ้นงานชิ้นนั้นออกมาดีขึ้น ซึ่งในการทำงานครั้งนี้ทำให้ทราบถึงความถนัดในการทำงานว่าแต่ละคนใครถนัดอะไร เพื่อนคนแรกถนัดการนำเสนองาน พูดเก่ง พูดคล่อง นำเสนองานได้ดี เพื่อนอีกคน เก่งในเรื่องการเก็บรายละเอียดในรายงาน ส่วนดิฉัน ถนัดในเรื่องการหาข้อมูล และสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้คือการวิเคราะห์งาน ดังนั้นการทำงานครั้งนี้จึงทำงานร่วมกันโดยแบ่งตามความถนัดใครถนัดอะไรมาก คนนั้นก็ทำหน้าที่นั้นมากหน่อย แต่งานทุกอย่างเราทั้งสามคนทำช่วยกัน ดังนั้นสรุปผลงานชิ้นนี้พวกเราทำออกมาได้ ดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่ทำค่ะ จนทำให้เราทั้งสามคน ได้ Aในรายวิชานี้

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) :การไปดูงานที่ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเป็นโรงงานผลิตสินค้า ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีระบบและการจัดการที่ดี เนื่องจาก เขาแบ่งหรือว่างแผนผังโรงงานได้เป็นอย่างดีทางบริษัทมีการแนะนำโรงงานตั้งแต่เริ่มต้นโดยเริ่มจากกระบวนการแรก กระบวนการหาวัตถุดิบ วัตถุดิบที่นำมาใช้ได้มีการตรวจสอบและวิจัยผลออกมาเป็นอย่างดีก่อนำมาผลิตสินค้า กระบวนการผลิตสินค้า ขั้นตอนนี้ มีหลายขั้นตอนในการผลิต ในแต่ละขั้นตอนนอกจากที่บริษัทจะใช้คนในการควบคุมดูแลการผลิตและตรวจสอบคุณภาพโรงงานยังมีเครื่องจักรที่เอาไว้ผลิต และช่วยตรวจสอบคุณภาพอีกด้วย ซึ่งบริษัทมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอยู่เป็นประจำ และขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดจำหน่าย โรงงานมีแผนกงานหลากหลายและชัดเจน การรับผิดชอบแต่ละหน้าที่ แตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ขั้นตอนในการทำงานนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการที่ดิฉันได้เข้าไปดูงานทำให้ได้รู้ว่า ระบบการทำงาน เป็นอย่างไร เพราะทุกระบบเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันหมด

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น? ในช่วงกำลังเรียนอยู่ในช่วงปริญญาตรีนั้น ผมก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรมากมาย ไม่ได้คิดว่าจบไปจะทำอะไร อาจารย์ที่ปรึกษาก็พยายามชวนให้เรียนต่อ แต่ผมก็ยังคิดว่า ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการมากนัก ในช่วงที่กำลังทำโปรเจค ปี 4 ผมก็เห็นเพื่อนๆเขียนใบสมัครงาน หางานในอินเตอร์เน็ต ผมก็แค่ทำตาม เผื่อไว้ ให้เราได้มีทางเลือกหลายๆด้าน เพราะก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าอยากเรียนต่อ หรือทำงานมากกว่ากัน ในขณะนั้นอาจารย์ก็คุยเรื่องเรียนต่ออยู่เป็นประจำเช่นกันว่าจะทำการศึกษาอะไรต่อจากปริญญาตรี รวมทั้งเพื่อนที่ทำโปรเจคด้วยกันก็ชวนให้เรียนต่อเป็นเพื่อน แต่แล้ว บริษัท ดับเบิลเอ ที่จังหวัดปราจีน ก็ได้โทรมาบอกว่า ให้ไปสัมภาษณ์ ที่บริษัท โดยเค้าเรียกกันว่า Getting ผมก็รู้สึกตื่นเต้นมากที่มีบริษัทติดต่อมา และผมก็ได้ไปสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ของบริษัทนี้จะเน้นในเรื่องการเข้ากับคนอื่น การแสดงความคิดเห็น หรือการมีส่วนร่วมในองค์กร ผมก็พยายามที่จะแสดงความสามารถและการเข้าร่วมกับสังคมเป็นอย่างดี หลังจากกลับมา ผมก็รออยู่หลายเดือน และคิดว่า ผมคงไม่ได้งานนี้แล้ว คงต้องเรียนต่อ แต่แล้วก็มีโทรศัพท์เข้ามา และบอกให้ไปตรวจร่างกาย ผมก็รู้สึกดีใจมาก และรู้แล้วว่าเราอยากจะทำงานมากกว่า รู้แล้วว่าจบปริญญาตรีอยากจะหาประสบการณ์ทำงานมากกว่าจะทำงานวิจัย ผมจึงทำโปรเจคจบอย่างมีเป้าหมายว่า เรียนจบปุ๊ป ก็เดินทางไปทำงานปั๊ป...^^

Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี? ด้วยความที่แม่และญาติๆนั้น เคยผ่านธุรกิจขายตรงมาเยอะแยะมากมาย แต่เรานั้นก็ได้แค่ฟังคำวิจารย์จากคนในครอบครัวว่า ธุรกิจนั้นไม่ดีอย่างนู้น มีข้อเสียแบบนี้ ทำให้เรานั้นรู้สึก ต่อต้านธุรกิจขายตรงไปโดยปริยาย แต่พอเราโตขึ้น และครอบครัวเริ่มศึกษาการทำงานในธุรกิจขายตรงอย่างถูกต้อง และมีธุรกิจขายตรงหลายอันที่พยายามให้คนมีส่วนร่วม และแสดงเจตนารมณ์ที่ดี ให้คนได้เข้าใจในธุรกิจขายตรงในทางที่ดี และเพื่อนๆผมหลายคนก็เริ่มทำธุรกิจขายตรงบ้างแล้ว ดังนั้น ผมจึงเริ่มเปิดใจในธุรกิจขายตรง เข้าไปฟังบรรยายของธุรกิจขายตรง ฟังโปรแกรมการได้กำไร การขาย คุณสมบัติของสินค้า และวิสัยทัศน์ของบริษัท ทำให้เรารู้ว่า ยังมีธุรกิจขายตรงดีๆอีกเยอะ ที่ต้องการให้คนมีรูปร่างดี สุขภาพดี และมีรายได้ดีไม่ว่าจะเรียนจบมาสูงหรือน้อยแค่ไหน เป็นธุรกิจที่เราลงทุนน้อย เสี่ยงน้อย ผมจึงเริ่มสนใจในธุรกิจขายตรง เพราะธุรกิจขายตรง ไม่กระทบกับการทำงานของผม ไม่ต้องทำงานเป็นเวลา แค่ใช้เวลาว่างที่มีอยู่ ได้รายได้เพิ่มเติมจากที่ทำอยู่

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น? หลายคนชอบดูหนังหรือซีรี่เกาหลี ผมก็เช่นกัน ทุกคนที่ดูซี่รี่นั้น ผมว่าล้วนแล้วแต่มีความฝันว่าอยากจะไปเกาหลี บางคนก็อยากจะไปตามรอยซีรี่ อยากไปช๊อปปิ้ง และผมก็ได้มีโอกาสไป เนื่องจากธุรกิจขายตรงที่ผมทำอยู่หาทัวร์ราคาถูกมาให้ ผมตื่นเต้นมาก และรู้สึกว่าเป็นอีกสิ่งนึงที่ผมอยากไป นั่งเครื่องประมาณ 4 ชั่วโมง ครั้งแรกที่ได้สัมผัสอากาศเย็น 10 องศา มันเย็น แต่เราก็มีความสุข ควันออกปาก หน้าแดง หลังจากนั้น ก็ไปตามตารางการเที่ยว กินกิมจิแท้ หมูย่างสไตล์เกาหลี เรียนทำกิมจิ ใส่ชุดฮันบก ได้ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น แหล่งช๊อปปิ้งกลางคืน ไร่สตรอเบอร์รี่ วัด ได้เจอผู้คนตั้งแต่เด็กอนุบาลขาวๆใสๆที่มาดูสถานโบราณ วัยรุ่นในวันเรียน แม่กระทั้งการใช้ชีวิตของผู้คนในแถบชนบท ได้กินปลาหมึกหันสดๆ ปลิงทะเล เหล้าระเบิด เป็นอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำ ไม่เคยคิดจะลอง แต่มาทั้งที ต้องให้มันสุดๆไปเลย...^^

Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย? ในช่วงของการเรียนปริญญาตรีนั้นก็จะมีกิจกรรมหลายอย่างที่ทำร่วมกัน แต่ละกิจกรรมนั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้เพื่อนเพิ่มมากขึ้นว่า เพื่อนแต่ละคน มีความสามารถในด้านไหนกันบ้าง บางคนเต้นเก่ง บางคนประดิษฐ์เก่ง บางคนมีกำลังในการยกของ บางคนมีความเป็นผู้นำ เป็นคนประสานงาน ทำให้งานแรกๆอาจจะมีอุปสรรค์บาง แต่เมื่อจำนวนกิจกรรมมากขึ้น การทำงานของเราก็จะง่ายขึ้น จะถึง กิจกรรมที่ผมรู้สึกว่า เป็นทีมมากที่สุด และทำงานได้อลังการที่สุด คืองาน ราตรีบัณฑิต ที่เราร่วมแรงร่วมใจทำเพื่อเป็นการแสดงความยินดีให้กับพี่ๆบัณฑิตทุกคน ทุกคนต่างแบ่งงานได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องคิดว่ากลุ่มไหนจะเป็นคนทำอะไร เราแบ่งงาน นัดกันทำงาน แผนกจัดซื้อ แผนกจัดเวที มีกลุ่มร้องเพลง แสงสี เราทำงานอย่างรวดเร็ว และไม่มีอุปสรรคมากมาย งานจึงออกมาดี มีพรมแดง จัดซุ้มถ่ายรูป เหมือนงานเปิดตัว ที่ดาราฮอลิวูด เค้าโชว์ตัว ผมเองก็เป็นส่วนนึงที่ได้แสดงการเต้นลีลาศเปิดงาน งานจบลงด้วยดี นี้แหละคัฟ ข้อดีของการทำงานเป็นทีม

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี? จากที่เคยทำงานในบริษัทนั้น เคยได้ทำงานในส่วนของ พนักงานกะ ซึ่งเป็นส่วนของการตรวจสอบในระหว่างกระบวนการผลิตว่าได้ตรงตามสเปกหรือไม่ เพราะแต่ละขั้นตอนนั้นสำคัญ เพื่อใช้ในการคำนวณการเติมปริมาณสารเคมีลงไป ในช่วงแรกของการเรียนรู้การทำงาน 1 กะ จะประกอบไปด้วย 3 คน ซึ่งแต่ละคนจะทำหน้าที่ต่างกันในแต่ละตำแหน่ง แต่สารตัวอย่างที่นำมาทดสอบนั้น บางการทดลอง ก็ต้องใช้ทั้ง 2 ตำแหน่ง อย่างเช่น ตรวจสอบคุณภาพเยื่อกระดาษนั้น 1 ตัวอย่าง จะตรวจสอบความเป็นกรดเบส ตรวจสอบความขาวของเยื่อ และปริมาณสารสีน้ำตาลที่ยังหลงเหลืออยู่ในเยื่อ ซึ่งทั้ง 3 ตำแหน่งจะต้องรู้หน้าที่ว่า ให้จะนำตัวอย่างนี้ไปทำก่อน ใครเป็นคนต่อไป ใครเป็นคนสุดท้าย และแต่ละครั้งที่ส่งตัวอย่างนั้น จะไม่เหมือนกัน จึงจำเป็นจะต้องทำงานเป็นระบบอย่างมาก เพราะในแต่ละครั้งของการส่งตัวอย่าง 1 ตำแหน่งจะต้องทำหลายอย่างให้เสร็จ เพื่อที่จะทำตัวอย่างอื่นต่อไปด้วย นับว่าเป็นการทำงานที่ต้องใช้ความชำนาญ และต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบอย่างแท้จริง

ลืมบอกรหัสนักศึกษาคัฟ พีรพงศ์ โชติโกศัยกานนท์ 555740062-0 sec.12 คัฟ

พิสุทธิวัฒน์ ศรีบุรินทร์ MBA Y#14 Sec.11 รหัส 555740061-2

Personal Mastery สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตมากขึ้น นั้นคือการได้ฝึกงานที่ธนาคารกรุงไทย สาขามะลิวัลย์ การฝึกงานเปรียบเสมือนการได้ฝึกงานจริง ซึ่งไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง ตอนแรกเป้าหมายคือการเป็นเทรลเลอร์(Teller) เนื่องจากเรียนการเงินจึงมุ่งไปในทางนี้อย่างเดียว แต่เมื่อได้ฝึกงานได้ลองทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นเป้าหมายนั้นกลับไม่ใช่ แต่หากเป็นอิกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมาก่อนซึ่งคือ การทำงานทางด้านสินเชื่อต้องมีการพูดคุยกับลูกค้า มีการประเมินลูกค้า และถือเป็นงานที่ไม่จำเจ ซึ่งตรงกับบุคลิกภาพของตนเอง คือ ชอบพูดคุย รู้สึกสนุกเมื่อได้พบปะลูกค้า

Dialogue

จากการฝึกงานนั้นเองที่ได้พบกับคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า ต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นและเก่งขึ้น คนๆนั้นเป็นผู้ดูแลการฝึกงาน และมักจะใช้สายตาและคำพูดที่ค่อนข้างตรง มักจะมีคำพูดที่ดูเหมือนจะดูถูกว่าเราไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆ ทำงานไม่ได้ประสา หลังจากกลับจากการทำงานในสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน และสายตาที่ทำให้ฉุกคิดได้ว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองต้องทำให้คนนั้นเห็นว่าเราสามารถทำงานได้ทุกอย่างและทำได้ดีด้วย  หลังจากสัปดาห์แรกของการฝึกงาน หลังจากการฉุกคิดนั้นจากการทำงานอย่างหนักเอาเบาสู้ ทำตามที่หัวหน้าสั่งงานทุกอย่าง ถูกต้อง คงมีผิดบ้างในครั้งแรก แต่ก็ไม่ผิดพลาดในครั้งต่อๆมา หลังจากนั้นบรรยากาศในในการทำงานก็ดีขึ้น จากที่เคยสายตาและคำพูดที่ดูถูกก็กลายเป็นสายตาและคำพูดที่เป็นมิตร คลายความรู้สึกกดดันไปได้มาก  และในวันสุดท้ายของการฝึกงาน คนๆนั้นที่ทำให้ไม่อยากมาฝึกงาน รู้สึกกดดันก็ได้เดินมาจับที่ไหล่และพูดว่าเธอทำได้ดีมาดนะ เกินกว่าที่คาดไว้ จากคำพูดของคนที่เคยทำให้หน้าบึ้งตึง ในวันนี้ก็กลับมีคำพูดที่ทำให้ยิ้มและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

Mental model

โดยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนมาไหนนัก แต่มีครั้งหนึ่งที่ประทับใจและได้เห็นอะไรมากขึ้น คือการเดินทางไปเชียงใหม่ ถือเป็นการเดินทางท่องเที่ยวเพียงคนเดียวครั้งแรกซึ่งเดินทางโดยรถทัวร์ หลายๆคนที่ไปเชียงใหม่น่าจะเข้าใจกับเส้นทางในการเดินทางต้องผ่านเขาที่คดเคี้ยว กว่าจะถึงก็สายๆกว่าจะได้เข้าที่พัก และนั่งรถประจำทางที่ชาวเชียงใหม่เรียกกันว่า “รถแดง” สิ่งแรกที่แตกต่างจากบ้านเราคือ ที่นั่งของรถประจำทางโดยจะแบ่งเป็น 3 แถว การนั่งรถแดงขึ้นดอยสุเทพนั้นถือว่าน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง การไปที่ดอยสุเทพทำให้เห็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาถือว่างดงามมาก และอิกหนึ่งสถานที่ที่ใครไปเชียงใหม่ต้องไป นั่นคือ “ถนนคนเดิน” เชียงใหม่นั้นเอง การเดินถนนคนเดินจะทำให้เราพบศิลปะล้านนา ภาษาเหนือที่ได้ฟังแล้วรู้สึกดีและอบอุ่น การเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้ทำให้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปถึงต่างประเทศ เราก็จะได้พบวัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเราแล้วนั่นเอง

Team Learning

ในตอนที่ยังเรียนปริญญาตรีที่คณะวิทยาการจัดการ มีวิชาหนึ่งที่ต้องเรียนและทำงานเป็นทีม นั่นคือ วิชาจิตอาสา ทางกลุ่มจึงทำจิตอาสาโดยการไปสอนหนังสือและบริจาคหนังสือให้โรงเรียนบ้านคำไฮ ก่อนที่จะไปสอนหนังสือเด็กๆนั้นทางกลุ่มได้มีการวางแผนว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ช่วยกันคิดสันทนาการสำหรับน้องๆอนุบาล ช่วยประดิษฐ์อุปกรณ์การสอนเพื่อให้น้องๆสนุกในการเรียนมากขึ้น โดยส่วนตัวได้รับหน้าที่ในการเล่านิทานให้น้องๆฟังซึ่งทำให้น้องๆสนุกสนานกันมาก การทำงานครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีทั้งจากน้องๆและเพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือกัน แม้จะหนักบ้าง เบาบ้างแต่ทุกคนก็ช่วยเหลือกัน ปรึกษากัน อาจมีโกรธเคืองกันบ้าง แต่ก็จะมีคำว่าอภัยตามมาเสมอ ถือว่าเป็นการทำงานที่ทำให้รู้สึกมีความสุขและนึกถึงอยู่ตลอดเวลา

System Thinking

อาหาร Fastfood ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องรวดเร็ว ถ้าบอกถึงอาหารประเภทนี้ เราก็มักจะนึกถึง KFC,Mcdonalds เพราะร้านอาหารประเภทนี้ทั้งสะดวกและรวดเร็ว แต่ส่วนใหญ่ร้านอาหารเหล่านี้ก็จะตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้า กว่าจะได้กินหรือซื้อแต่ละทีก็ต้องเข้าไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้า กว่าจะหาที่จอดรถ กว่าจะหาที่ตั้งของร้านเจอ อาหาร Fastfood ก็ไม่ Fastfood สมชื่อซะแล้วแต่ในระบบของ Mcdonalds มีร้านอาหารที่เรียกว่า Thu-driver ที่ลูกค้าสามารถขับรถเข้าไปซื้อได้อย่างสะดวก โดยที่ลูกค้าไม่ต้องลงจากรถ ระบบจะเริ่มจาก สั่งอาหารจากจุดที่ 1 จ่ายเงินในจุดที่ 2 รับอาหารในจุดที่ 3 ทั้งสะดวกและรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งจะเห็นได้ว่า การจัดระบบแบบนี้ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาและได้รับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบที่ดีและรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจและอยากกลับไปใช้บริการอีก

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) :

ทุกอย่างมันเริ่มมาจากงานอดิเรกที่สนใจครับ เป็นคนชอบอ่าน ชอบงานกวี วาดภาพ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดอิสระ แต่ทุกอย่างคงจะเป็นเพียงงานอดิเรกธรรมดาและคงไม่อาจเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้  จนกระทั่งหลายปีมาแล้ว มันเป็นเช้าธรรมดาๆ ในขณะผมนั่งทานอาหารเช้าบนเตียงและมีคอมพิวเตอร์แลปท็อปอยู่บนตัก ผมก็ไปเจอกับเวปไซต์แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ HIV โดยมีลักษณะเป็นกระดานสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีกระทู้หนึ่งที่อธิบายความในใจของพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีน้องสาวถือศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องติดเชื้อ HIV จากแม่สู่ลูก (ตัวของพี่ชายไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ) เนื้อความระบุถึงความยากลำบากในการดูแลน้องสาวเมื่อน้องสาวของเขาเริ่มเติบโตขึ้น มีความคิดมากขึ้น และสงสัยในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ผู้เป็นพี่ชายนั้นไม่กล้าที่จะบอกความจริง ด้วยความที่กลัวน้องจะรับไม่ได้ ถึงแม้จะรู้สึกสงสารครอบครัวนี้อย่างมาก แต่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ โดยการแต่งนิยายสั้นเรื่องหนึ่งขึ้นมา โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับครอบครัว แล้วมีสมาชิกคนหนึ่งในบ้านเป็นโรคร้ายที่น่ารังเกียจกับสังคมโรคหนึ่ง(ในกรณีนี้ขออนุญาตสมมติให้ชื่อ ก. ครับ) แต่ความรักของครอบครัวที่มีให้ ก. มันไม่เกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ อีกทั้งพยายามให้กำลังใจ จนกระทั่ง ก. อาจรู้สึกแปลกแยกกับคนในสังคมบ้าง แต่ครอบครัวคือโลกทั้งใบ และเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับ ก.  โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าจุดสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่ตัวโรคที่น่ารังเกียจ ประเด็นอยู่ที่การทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแปลกแยกให้น้อยที่สุดมากกว่า (ตามความคิดของผมซึ่งเป็นบุคคลที่สาม) ผมไม่เคยติดตามกระทู้นี้อีกเลยเนื่องจากไม่ชอบเรื่องเศร้าในชีวิตจริงโดยส่วนตัว เวลาผ่านไประยะหนึ่ง วันหนึ่งผมก็ได้รับอีเมล์ลึกลับที่ส่งมาจากบุคคลปริศนาที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ หลังจากอ่านเนื้อความในจดหมาย ผมก็ได้ทราบว่าเป็นจดหมายขอบคุณจากพี่ชายของเด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนั้น เขาระบุว่าน้องของเขานั้นทราบแล้วว่าเป็นโรคอะไร และเขาขอขอบคุณในนิยายเชิงเปรียบเทียบของผมที่ทำให้เขาค้นพบว่าควรจะทำอย่างไร (ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง ในมุมมองของผม นิยายเรื่องนั้นอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนอ่านกระทู้นั้นด้วยซ้ำ) เขาเล่าว่าน้องสาวของเขายังรู้สึกรับไม่ได้ แต่น้องไม่รู้สึกแปลกแยกกับคนในครอบครัว ยังคงทำตัวสนิทสนมเหมือนเดิม อีกทั้งยังเปิดใจมากขึ้นด้วย

ผมไม่เคยคิดว่านิยายที่ผมแต่งในครั้งนั้นสมควรจะได้รับรางวัลสาขาการเขียนดีเด่นใดๆ เพราะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบวรรณกรรมคนหนึ่งเพียงจดหมายขอบคุณจากนิยาย ผมถือว่านี่เป็นรางวัลทางใจชิ้นหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตครับ

                ทุกวันนี้ผมยังคงทำงานอดิเรกอย่างเดิมๆ ในโลกไซเบอร์ที่ผมอาศัยอยู่ในเช้าวันหยุด บนเตียงๆเดิม พร้อมกับคอมพิวเตอร์แลปท็อปสัปรังเคเครื่องเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคงจะมีแค่ความพยายามของผมที่มากขึ้น โดยพยายามจะสร้างกำลังใจให้กับคนที่หมดกำลังใจคนอื่นๆกระมังครับ

 

 

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) :

เรื่องนี้อาจเริ่มต้นมาจากคำพูดที่ไม่สร้างสรรค์ แต่สามารถเปลี่ยนชีวิตของผมได้…. สืบเนื่องจากตอนเรียนจบม.6 ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกคนคงกำลังวุ่นวายกับการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ในคณะที่ตัวเองชอบ สำหรับผมเองซึ่งขณะนั้นไม่มีความคิดจะสอบ เพราะมีความตั้งใจอย่างสูงที่จะเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในจ.กรุงเทพมหานครฯ ผมสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้ตามที่ตั้งใจครับ ปัญหาอยู่ที่ ณ ขณะนั้น ผมเกลียดวิชาเกี่ยวกับการคำนวณมากครับ และหนึ่งในวิชาที่ผมต้องเจอก็เป็นวิชาคำนวณวิชาหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจลาออกอย่างไม่คิดอะไรมากหลังจากโทรศัพท์ปรึกษากับพ่อและแม่  

ผมไม่มีตัวเลือกสำหรับมหาวิทยาลัยปิดอื่นๆ เนื่องจากไม่มีคะแนนสอบในเวลานั้น ตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมตอนนั้นจึงเป็นมหาวิทยาลัยเปิดที่มีชื่อเสียง ย่านหัวหมาก ซึ่งเพิ่งก่อตั้งหลักสูตรนานาชาติมาได้เพียงไม่กี่ปี ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นและไปได้ด้วยดี จนกระทั่งถึงวันรวมญาติ

ครอบครัวทางคุณพ่อของผมเป็นครอบครัวชาวจีนครับ เครือญาติสนิทกันมาก และอาจมีบทสนทนาที่ไม่เหมาะสมครับ “อย่างมึงมันได้แค่นี้แหละนัท” อาเจ็กของผมพูดหยอกล้อกับผมอย่างสนิทสนม พร้อมตบหัวเบาๆ เพราะในจังหวะนั้นลูกพี่ลูกน้องของผมซึ่งเป็นลูกชายของแกเพิ่งจะสอบได้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆของประเทศ ย่านสามย่าน ผมทราบดีครับว่าอาเจ็กของผมไม่ได้มีเจตนาจะทับถมหรือเจือความประสงค์ร้าย ผมจึงตอบกลับเบาๆในใจพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กๆว่า “เจ็กก็คอยดูแล้วกัน ดูไว้ให้ดีๆนะ” อาเจ็กแกอาจไม่คิดว่าผมคิดมาก ซึ่งผมก็คิดว่าแกอาจจะคิดถูก ผมแค่อยากพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น

ในเวลา 3 ปี กับอีก 4 เดือนต่อมา จากแรงผลักดันของคำพูดของอาเจ็กของผมในวันนั้น ผมก็สามารถเรียนจบหลักสูตรนานาชาติ ในระดับปริญญาตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เกรดเฉลี่ยรวมสะสม 3.79 คล้องด้วยรางวัลประกาศนียบัตรนักศึกษาผู้ได้รับทุนการศึกษาจากการมีผลการเรียนยอดเยี่ยม 2 ปีซ้อน…

ลองทายดูสิครับ ใครคือคนแรกที่ผมอัดรูปรับปริญญาขนาดใหญ่เท่าครึ่งฝาบ้านด้วยกรอบสีทอง และสำเนาสีของเกียรตินิยมของผมส่งไปให้… : )

 

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) :

                ผมชอบท่องเที่ยวครับ ระหว่างที่เรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี ผมมีเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง เขาเป็นคนลำปาง และมาจากหมู่บ้านบนภูเขา หมู่บ้านนั้นชื่อว่าหมู่บ้าน ’สามขา’ ครับ ครั้งหนึ่งมีบริษัทปูนซีเมนต์ชื่อหนึ่งจะไปสร้างฝายร่วมกับหมู่บ้าน ผมจึงได้รับการเชิญชวนให้เข้าไปร่วมด้วย คำถามแรกในความคิดของผมที่ผุดขึ้น แต่ไม่ได้พูดออกไปก็คือ “มีทีวีมั้ยวะ? มีคลื่นโทรศัพท์ไหม? ผับอยู่ที่ไหน? สระว่ายน้ำ? แล้วร้านอินเตอร์เน็ทล่ะ!?” แต่ผมก็ตอบตกลงไปดื้อๆ เพราะตัวผมเองคิดว่าอย่างน้อยๆก็เป็นการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมครับ ผมและเพื่อนคนอื่นๆตัดสินใจจะเดินทางด้วยรถไฟ เพื่อจะได้ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติไปด้วย กำหนดการร่วมกันสร้างฝายของพวกเราในครั้งนี้จึงจะใช้เวลาทั้งสิ้น 3 วันครับ คือ เดินทางจากกรุงเทพมหานครฯ ไปลำปาง 1 วัน ก่อสร้างฝาย 1 วัน และ เดินทางกลับอีก 1 วัน ตลอดเวลาการชีวิตบนรถไฟของผมมันยากลำบากมากครับ เพราะผมใช้ชีวิตอย่างคนเมืองมาตลอด แต่ผมกลับค้นพบว่าในอีก 2 วันที่เหลือนั้น  ผมยังหายใจครับ ผมยังมีชีวิตอยู่ แขนและขาของผมยังคงทำงานได้ดี สายตาของผมไม่ได้ฝ้าฟางลงไปแต่อย่างใด แต่หัวใจของผมมันกลับสดชื่อมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ผมค้นพบว่า การที่เรารีบนอนตั้งแต่ 1 ทุ่ม เพราะชาวบ้านใช้เทียนไข ทำให้เราตื่นนอนแต่เช้า ด้วยร่างกายที่สดชื่น และพบหมอกเมฆอันสวยงามในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น  อีกทั้งการที่เราได้นอนบนพื้นไม้ที่ปูเสื่อธรรมดา ทำให้เรานอนได้อย่างเย็นสบาย ถึงจะไม่นุ่นนิ่มถึงขนาดว่านอนลงไปแล้วตัวยุบหายไปในที่นอนเหมือนเวลาอยู่อพาร์ตเมนต์ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่ทำให้เราปวดหลัง ผมได้รู้ว่าการใช้ชีวิตแบบที่คนทั้งหมู่บ้านรู้จักกันทั้งๆที่บ้านห่างกันหลายสิบเมตรเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ตอนอยู่กรุงเทพฯ ผมไม่เคยแม้แต่จองมองหน้าคนที่อยู่ข้างห้องกันด้วยซ้ำ และที่ผมซาบซึ้งที่สุด ผมก็ได้ค้นพบความหมายของการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งว่า เงินซื้อความสุขเชิงกิเลสได้ แต่มันหาซื้อความสงบในชีวิตไม่ได้ครับ : )

                ทุกวันนี้ผมยังคงชอบท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติอยู่ครับ และก็ยังไม่ลืมที่จะชักชวนคนอื่นๆให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์แบบนี้ด้วยเช่นกันครับ เพราะสุดท้ายแล้วคนเราไม่เคยหยุดอยู่กับที่ โลกยังหมุนอยู่ฉันใด คนก็ยังแสวงหาสิ่งใหม่ๆอยู่ฉันนั้น

 

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) :

                ผมเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงครับ เมื่อก่อนผมชอบคิดว่าความคิดของผมถูกที่สุดและดีที่สุดเสมอมา แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าสมมติฐานของผมไม่ได้เป็นความจริงเสมอไปครับ

                สมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมต้น (ขอโทษจริงๆครับ จำไม่ได้ว่าประถมไหน 1 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ) ในวิชางานบ้านงานประดิษฐ์ คุณครูให้ผลิตเครื่องดนตรีจากฝาน้ำอัดลมครับ โดยการนำเอาฝาน้ำอัดลมมาเจาะรูตรงกลาง ร้อยเป็นพวงติดกับลวดเส้นใหญ่ โดยจะทำเป็นกลุ่มก็ได้ หรือจะทำเป็นงานเดี่ยวก็ได้ ผมซึ่งในเวลานั้นจัดได้ว่าเป็นเด็กแบบ perfectionist กล่าวคือเด็กที่มีความคิดว่า ไม่ดีที่สุดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ดีที่สุดก็ไม่เอา ก็อยากทำงานเดี่ยวครับ เพราะอยากผลิตผลงานที่ดีที่สุด ทำมาจากวัตถุดิบที่ดีที่สุด (ฝาน้ำอัดลมที่มีรอยบิดน้อย และสีไม่ถลอกแม้แต่นิดเดียว) เจาะรูได้เฉียบที่สุด ดัดลวดได้สวยงามที่สุด แล้วได้ผลลัพธ์เป็นเสียงเวลาเขย่าที่ไพเราะที่สุดอีกด้วย!

ณ ตอนนั้นผมเฝ้าหาสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเอามาทำเครื่องดนตรีของผมสำเร็จครับ เรียกได้ว่า มันตรงกับแผนที่วางไว้ในทุกอย่างๆ ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว คุณครูใจร้ายคนนั้นไม่เคยบอก… ว่าจะต้องทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จในเวลาคาบเดียว (50 นาที) เด็กตัวเล็กๆอย่างผมในเวลานั้นจึงได้แต่ทำอย่างตาลีตาเหลือกจนใกล้หมดเวลา เพื่อนผู้หญิงตัวเล็กๆหลายคนกลุ่มข้างๆ (ซึ่งผมเคยเปรียบเหมือนตัวประหลาดที่ไร้ความปราณีตในงานศิลปะในเวลานั้น) เห็นผมทำไม่เสร็จสักที หนึ่งในนั้นเลยถามว่า “เธอๆ มาอยู่กลุ่มกับเราก็ได้นะ เราโอเค” ไม่มีเสียงคัดค้านจากสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆครับ ผมค้นพบว่าผมเป็นเด็กที่ใจแคบเองที่ตัดสินพวกเธอแบบนั้นในตอนเริ่มงานประดิษฐ์ครั้งแรก ผมตัดสินใจเข้าร่วมกับพวกเธอ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และผมจะได้ 0 คะแนน

ผลลัพธ์งานของพวกเราออกมาได้อย่างสวยงาม ด้วยคะแนน 10/10 กลุ่มเดียวในห้องครับ ซึ่งผมภูมิใจมาก เพราะผมเองก็ได้ใช้วัสดุอันแสนจะเพอร์เฟคของผม กับฝีมือที่ผมคิดว่าดาดๆ ธรรมดาๆ (ในขณะนั้น) ของพวกเธอเหล่านั้น ถึงแม้ผมจะไม่ทราบก็เถอะว่าเกณฑ์ตัดสินของคุณครูในขณะนั้นคืออะไร ผมได้เรียนรู้ในที่สุดครับ การจะยืนอยู่บนยอดของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ใช่แค่มีความสมบูรณ์เพียงอย่างเดียว เพราะความสมบูรณ์ของคนๆเดียว มันเทียบอะไรไม่ได้จากผลลัพธ์ของความตั้งใจของคนหลายๆคน

ทุกวันนี้ผมรู้สึกดีใจที่ได้อยู่ท่ามกลางคนมากมายครับ เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่ามนุษย์ทุกคนก็ล้วนแต่มีศักยภาพในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน ไม่มีใครที่เก่งรอบด้าน หรือแม้ถ้ามี คนๆนั้นก็น่าสงสารมาก ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมครับ : )

 

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) :

                เพราะผมชอบอ่านหนังสือ ผมจึงชอบเข้าร้านหนังสือมากครับ สมัยที่เรียนอยู่ที่กรุงเทพมหานครฯ ผมชอบร้านหนังสือที่ชื่อออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งย่านใจกลางกรุงครับ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาจัดระบบได้ดี ก็เริ่มมาตั้งแต่ทำเลเลยครับ เพราะตั้งอยู่ตรงนั้น เขาจึงขายหนังสือได้หลายภาษาเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แถมยังมีร้านกาแฟตั้งอยู่ใกล้ๆอีกด้วย เหมาะสำหรับการเลือกซื้อหนังสือแล้วอ่านเลยยิ่งนัก

ด้านการจัดชั้นหนังสือก็เป็นอีกเรื่องที่ผมประทับใจครับ ไม่ใช่แค่หนังสือที่ขายดีเท่านั้นที่จะอยู่ในตำแหน่งเด่นๆ หนังสือที่ดูมีความน่าสนใจก็มักจะรวมอยู่ในนั้นด้วยครับ ผมเองชอบมากกับหนังสือที่มีปกน่าสนใจ หรือวางเลย์เอาท์ภายในสวยๆ ผมค้นพบว่าในตู้หนังสือที่บ้าน มีหนังสือที่สวยงามมากมาย แต่เป็นภาษาที่อ่านไม่ออกก็เยอะ หรือบางเล่มอ่านออกแต่เนื้อหาธรรมดาก็มีเยอะครับ (โดยส่วนตัวไม่โทษใครครับ เพราะสิทธิ์จะซื้อเป็นของผู้ซื้อ เราซื้อเพราะเราเลือกเอง)

 การตกแต่งในร้านเป็นแบบสงบๆครับ ทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ไม่เน้นสีฉูดฉาด ทำให้เรารู้สึกถูกเร้าจากโลกภายนอกน้อยลง มีสมาธิจดจ่อกับหนังสือหลายๆเล่มตรงหน้ามากขึ้นมาก ถ้าเทียบกับร้านที่ใช้สีฉูดฉาดๆ โดยส่วนตัวผมชอบร้านนี้มากกว่าครับ (ผมเข้าใจครับว่านี่คือมุมมองส่วนตัว แต่ผมเองคิดว่าต้องมีคนอื่นที่คิดแบบนี้ด้วยแน่ๆ)

ที่ร้านนี้มีหนังสือที่อิมพอร์ตจากต่างประเทศด้วยครับ ผมชอบดูหนังสือประเภท Typography และ Illustrations จากประเทศญี่ปุ่นมาก ผมค้นพบว่าร้านนี้มีหนังสือประเภทนี้มากที่สุด หาซื้อง่ายที่สุด ราคาเป็นธรรมที่สุด เหมือนเขาจับจุดได้ ว่าหนังสือแนวนี้ไม่ได้รับความนิยมจากคนหมู่มาก ไม่ต้องมีคู่แข่ง แค่ทำให้ดี คนก็ซื้อ ผมจึงรู้สึกว่า ไม่ว่าหนังสืออะไรก็ตามที่อยากอ่าน ถ้าผมอยู่กรุงเทพฯ จะต้องเป็นร้านนี้เท่านั้น เพราะมีหนังสือประเภทนี้ ทำให้ร้านนี้สามารถดึงดูดเงินจากกระเป๋าผมได้มากมาย เพราะในบางโอกาสนั้นผมแค่ตั้งใจจะเข้าไปซื้อหนังสือพิมพ์ แต่พอเห็นหนังสือแนวที่ชอบ ผมก็ไม่สามารถรักษาเงินในกระเป๋าไว้ได้เลยครับ

สิ่งเล็กๆอีกอย่างที่ทำให้ผมชอบร้านนี้ก็คือ ร้านมีบริการห่อปกหนังสือฟรีด้วยครับ ซึ่งจุดนี้เองผมถือว่าเป็นการคืนกำไรให้ผู้ซื้อ ถึงปกใสจะมีราคาที่ถูกมาก แต่สำหรับร้านหนังสือแล้ว ผมถือว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อเลยครับ

นอกจากนี้ผมเองไม่แน่ใจว่าการคัดสรรค์บุคลากรของร้านด้วยหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่เข้าไปแล้วเจอพนักงานแนะนำหนังสือ ผมจะพลาดท่าจะได้หนังสือชุดกองโตๆมาด้วยทุกครั้งไป  ไม่ว่าเขาตั้งใจจะฝึกฝนพนักงานแนะนำหนังสือให้ออกมาในรูปแบบนี้หรือไม่ก็ตาม หรืออาจเป็นพรสวรรค์ของพนักงานเอง แต่ผมก็รู้สึกว่าร้านหนังสือแห่งนี้เหมือนกับสวรรค์บนดินของผมไปแล้วละครับ : )

 

นายโชกุล วิริยาธนาโชติ 555740030-3

เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2555 ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ผมจะต้องจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน อืม...ลืมบอกไปว่า ผมทำอาชีพค้าขายโดยการเปิดปั้มเล็กๆ ขายปุ๋ยนิดๆหน่อยๆ (ใครที่มีความรู้ในการบริหารจัดการ ตกแต่งปั้ม และขายส่งปุ๋ย สามารถให้คำแนะนำ ชี้แนะผมได้ครับ ผมน้อมรับเสมอ) พนักงานปั้มของผม มีอยู่สองคนด้วยกัน ชื่อ น้ายศ และน้าสน และเหตุการณ์ต่อจากนี้คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงมุมมองของผมแหละครับ มันน่าตื่นเต้นมากสำหรับผม เพราะมันอาจจะประสบผลสำเร็จ หรืออาจจะไม่ส่งผลอะไรเลยในการทำธุรกิจของผมเลยก็ได้ วันนั้นหลังจากปิดปั้ม เช็คยอดน้ำมัน และยอดปุ๋ยแล้ว ผมได้พูดกับน้าทั้งสองคนนี้ว่า (เหตุที่ผมเรียกพนักงานว่าน้า เพราะอายุของแกมากแล้ว และอีกอย่างผมไม่อยากให้คิดว่าเป็นการทำงาน แต่ผมอยากให้คิดว่ากำลังทำกิจกรรมในครอบครัว ซึ่งจะดูใกล้ชิด สนิทสนม และเป็นกันเองมากด้วย) “วันนี้ผมขอเวลาประมาณ 5 นาที ในการประชุม” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกพวกน้าๆ มาประชุมอย่างจริงจังและเป็นทางการครั้งแรก

“วันนี้ผมมีเรื่องอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่จะพูดคือ เรื่องแรก ผมจะปรับขึ้นเงินเดือน โดยเริ่มจากวีคหน้าเป็นต้นไป (ผมจ่ายเงินเดือนเป็นวีคๆล่ะ 15 วัน) และสอง ผมจะให้พวกน้าพยายามสอบถามลูกค้าว่า “ลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไรที่เข้ามาใช้บริการ และต้องการให้เราทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้ท่านเกิดความประทับใจมากยิ่งขึ้น”” ผมพูด

แล้วผมก็ได้พูดต่ออีกว่า “และผมมีอีกข้อที่อยากถามพวกน้า คือ สมมุติพวกน้าต้องการไปเติมน้ำมัน น้ายศ และน้าสน จะเลือกเข้าปั้มน้ำมันแบบไหน เพราะอะไร???”

น้ายศตอบว่า “น้าต้องดูก่อนว่าราคาเป็นไงถูกหรือแพงกว่าปั้มอื่นไหม และการบริการของพนักงานเป็นอย่างไร”

ส่วนน้าสนตอบว่า “ของผมก็คล้ายๆกับน้ายศแหระครับ แต่ผมอยากเข้าปั้มที่ดูดี มีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ”

ผมเลยถามน้าสนต่อว่า “แล้วปั้มเราดูดีหรือยัง มีมาตรฐานเพียงพอไหมต่อความน่าเชื่อถือ”

“ผมว่าก็ดูดีแล้วนะครับ ปั้มเราก็ผ่านการตรวจชั่งวัดระดับน้ำมันแล้วด้วย”น้าสนตอบแบบอมยิ้ม

“แล้วทำไมปั้มของเราจึงยังมีลูกค้าบางรายที่ขับผ่าน โดยไม่ใช้บริการของเราอีกอยู่ล่ะ”ผมถามและก็ส่งยิ้มให้น้าสน และน้ายศ

ซึ่งคำถามสุดท้ายนี้ผมถามตอนมันเหลือ ครึ่งนาทีของการประชุม ทำให้ผมต้องปิดการประชุม โดยทิ้งคำถามนี้ให้เป็นการบ้านของน้ายศ และน้าสน

คุณผู้อ่านล่ะครับคิดว่าทำไมถึงมีลูกค้าขับผ่าน และยังไม่มาใช้บริการของปั้มผมอีกครับ (สำหรับผู้ที่มีข้อเสนอแนะ และคำแนะนำดีๆ ในการให้บริการน้ำมัน และขายปุ๋ย ให้คำแนะนำผมได้ครับที่เบอร์ 087-4376654)

Personal Mastery การประชุมของผมในครั้งนี้มันมีค่ามาก เพราะมันจะทำให้ผมสามารถทราบถึงความต้องการของลูกค้า และสามารถเรียงลำดับความสำคัญในการพัฒนาปั้มของผมได้อีกด้วย

Dialogue การให้น้ายศ และน้าสน ไปสอบถามความต้องการของลูกค้า ว่าลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไร จะทำให้ผมสามารถพัฒนาจุดเด่น และปรังปรุงจุดด้อย ของปั้มน้ำมันผมได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผมจะได้ไม่ต้องคิดไปเองว่า จุดเด่นและจุดด้อยของปั้มผมคืออะไร

Mental model การพูดคุยในครั้งนี้ทำให้ผมเปิดโลกทัศน์ของผมเองอย่างมาก เพราะแต่ก่อนผมอาจคิดไปเองว่าผมทำดีที่สุดแล้ว น้ายศ และน้าสนต้องทำอย่างนู้น ต้องทำอย่างนี้นะถึงจะดี แต่ตอนนี้มันไม่มีคำว่าดีที่สุดอีกต่อไป เราต้องพัฒนาและรักษาระดับความพึงพอใจที่ลูกค้ามีให้เรามากที่สุด

Team Learning การประชุมในครั้งนี้ผมยังได้พูดกับน้ายศ และน้าสนในเรื่องการทำงานว่า การทำงานกับคนนั้นบางทีอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ซึ่งทำให้ผมต้องพยายามที่จะพูดกับน้ายศ และน้าสน ให้เข้าใจว่า “เราต้องเปิดใจรับฟัง ในขอเสนอแนะของลูกค้า และเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นคำชม หรือคำติ” เพราะผมคิดว่าถ้าเขาไม่รักเรา ไม่เอ็นดูเรา เขาไม่ต้องมาบอกอย่างนี้ก็ได้ให้มันเสียเวลา ดั้งนั้นเราจึงต้องขอบคุณในคำติ และรักษาไว้ซึ่งคำชม และมาพัฒนาปั้มเราต่อไป

System thinking ระบบที่ดีจะมาพร้อมปัญหาที่หนักแสนหนัก ซึ่งปัญหาของผม ณ ตอนนี้คือ “ทำไมปั้มของผมจึงยังมีลูกค้าบางรายที่ขับรถผ่าน โดยไม่ใช้บริการของเราอยู่อีก” ผมจึงรู้สึกได้ว่าการแก้ปัญหาในครั้งนี้โดยการสอบถามความต้องการของลูกค้าให้ได้มากข้อที่สุด จะทำให้การแก้ปัญหาของผมสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด เกาได้ถูกที่(อาจจะ)มากที่สุด ก็เป็นได้

โชกุล วิริยาธนาโชติ 555740030-3 Sec 12 นะครับ

นางสาววาศิณี สืบเมืองซ้าย MBA Y#14 Sec.11 รหัส 555740009-4

1.Personal Mastery ตอนอายุประมาณ 9 ขวบ ฉันเป็นเด็กที่ไม่ชอบวาดรูปเอาซ่ะเลย วาดทีไรออกมาไม่สวยตลอด มีอยู่วันหนึ่งคุณครูสั่งให้วาดรูปส่ง ฉันก็วาดเสร็จไปแล้วรอบหนึ่ง เลยลบออกเพราะคิดว่าไม่สวย วาดเท่าไหร่ก็ไม่สวย เลยไปขอให้เพื่อนผู้หญิงในห้องวาดให้ ปรากฏว่า เขาวาดตามเส้นเดิมที่ฉันวาดไว้ตั้งแต่ทีแรก ภาพในนั้นวันฉันเสียใจเป็นอย่างมากและจดจำได้ดีมาตลอด หลังจากนั้นฉันได้ตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่า “ฉันจะต้องวาดรูปให้สวย ถึงจะไม่สวยมาก แต่ยังไงก็จะต้องสวยกว่าเพื่อนคนนั้นให้ได้”

2.Dialogue

บ้านฉันประกอบอาชีพค้าขาย แต่ละวันต้องพูดคุยกับผู้คนมากมาย สมมติว่า 20 คนที่มาซื้อของ จะมี 7-8 คนที่ชอบพูดไม่รู้เรื่อง พูดจาหยาบคาย ไม่มีเหตุผล และอีกมากมาย จนมีอยู่วันหนึ่ง ฉันได้นั่งคุยกับพ่อว่า “พ่อไม่อยากทำแล้ว จะไปทำงานที่ไม่ได้เจอคน เบื่อคน พูดแล้วพูดอีกก็ไม่รู้เรื่อง เหนื่อยใจ” พ่อจึงตอบกลับมาว่า “อย่าคิดแบบนั้นสิ เราทำในสิ่งที่มีให้ดีที่สุดล่ะดีแล้ว อย่าไปคิดว่าไม่ชอบ ไม่อยากทำ ถ้าเราคิดแบบนี้ก็จะทำให้เราไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ ลูกต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คิดซ่ะว่า รัก รัก ฉันรักงานนี้ แล้วเราก็จะทำงานได้อย่างมีความสุขๆไม่ต้องทุกข์ใจ หรือเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำอยู่” หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อตั้งแต่วันนั้น ฉันก็พยายามคิดว่าซ่ะว่า ถึงลูกค้าหรือคนงานจะเหวี่ยง จะดุ จะด่า จะว่าอะไร สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นสีสันของชีวิตอีกแบบหนึ่ง  ที่มาเพิ่มให้ฉันมีความอดทนและเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น 

3.Mental model

ปกติแล้วชีวิตวันหนึ่งๆฉันมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลร้านขายของที่บ้าน มีโอกาสได้พาอาไปยื่นซองประมูลงานก่อสร้างบ้าง ก่อนหน้าที่ไม่เคยไป ในความคิด ฉันคิดว่า เวลาจะยื่นซองประมูลกัน ต่างคนต่างลงจำนวนราคาที่คิดว่า น่าจะอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม แล้วพอถึงเวลายื่นก็ยื่นซองเลย แต่นี้ที่ฉันไปเห็นไม่ใช่เลย มาถึงต้องรอ รอ รอที่ว่าคือ รอให้ตกลงกันได้ก่อนว่าใครจะเอางาน ถ้าเอาต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ตกลงกันไม่ได้ก็ยื่ฟันราคาของใครของมัน หรือแม้กระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งแต่งตั้งตัวเองขึ้นมา มีงานประมูลที่ไหนต้องเจอผู้ชายคนนี้ตลอด แถวบ้านชอบเรียกเขาว่า ผู้จัด..... กว่าจะตกลงกันได้ ต้องมีการแบ่งงาน มีข้อตกลงมากมาย รวมไปถึงมีปากมีเสียงในสถานที่ราชการ....

4.Team Learning

ตอนที่ฉันเรียนอยู่ปี 4 อาจารย์ได้มอบหมายให้นิสิตปี 4 ทุกคนต้องติววิชา บัญชีบริหาร ให้กับน้องปี 2 รวมถึงตัวดิฉันด้วย เพื่อเป็นการเก็บคะแนนอีกวิธีหนึ่ง หากน้องติด F คะแนนในส่วนนี้ก็จะเป็น 0 ผลปรากฏว่า น้องๆติด F เป็นแถว ดร็อปเกือบครึ่งห้อง อาจารย์เลยให้โอกาสใหม่อีกครั้ง คือ 1.จัดกิจกรรมบัญชีตามโรงเรียนต่างๆ หรือ 2.ส่งเสริมการทำบัญชีครัวเรือนตามหมู่บ้านต่างๆ ห้องของฉันจึงตกลงกันเลือกข้อ 2 เราได้แบ่งงานกันทำเช่น รับผิดชอบการประสานงานต่างๆ จัดทำรูปเล่มและเอกสารเสริมความรู้ นำเสนอโครงการให้แก่อาจารย์ กิจกรรมสันทนาการต่างๆ เป็นต้น 

5.System Thinking

ฉันได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่ศูนย์โตโยต้า ชลบุรี (จำไม่ได้ว่าอำเภออะไร) ได้เห็นระบบการผลิตที่น่าสนใจมาก คือ จะมีคล้ายๆกับรถไฟวิ่งส่งอะไหล่ตาม Line ผลิตต่างๆ การผลิตของเขาได้เริ่มต้นตั้งแต่ การจุ่มสี ประกอบชิ้นส่วน ประกอบน็อตตัวเล็กมากมายหลายตัว เช็คความเรียบร้อย ฯลฯ และจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ที่สุด จนกว่า จะมีพนักงานนำรถที่ประกอบเสร็จไปทำการทดสอบขับในลานทดสอบของเขาเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ทรัพยากรบุคคล เขาจัดให้มีการพักเบรก ให้ออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกำลังกายในโซนออกกำลังกายเยอะมาก เพราะการทำงานของเขาต้องยืนตลอดเวลา และต้องทำงานแข่งกับเวลา หากหยิบชิ้นส่วนอะไหล่ จากสายชิ้นส่วนที่ลำเลียงชิ้นอะไหล่ไม่ทัน ก็ต้องเสียเวลาทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมงานไปด้วย

พรจิตรา สุกขันต์ MBA Y#14 Sec.11 รหัส 555740055-7

Personal Mastery ดิฉันเกิดในครอบครัวคนไทยที่มีพี่น้อง2คนรวมถึงตัวดิฉัน ดิฉันเป็นลูกสาวคนโตของบ้าน ตอนเด็กๆถึงตอนมัธยมมีผลการเรียนอยู่ในระดับดีมาตลอด ทุกคนในครอบครัวรวมทั้งญาติๆต่างมีความคาดหวังในตัวดิฉันสูง ตอนที่เรียนดิฉันรู้สึกว่าอึดอัดและกดดันกับความคาดหวังนี้ ดิฉันเหมือนเด็กคนอื่นๆที่อยากเกเรบ้าง อยากไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กบ้าง แต่ดิฉันก็ฝืนทนเรียนจนเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยดิฉันได้ทำตามความต้องการของตนเอง และดิฉันได้กลับมาย้อนมองตนเองว่าทำไมไม่มีเป้าหมาย หลังจากวันนั้นที่ได้คิดทบทวนตนเองอยู่นาน จึงสร้างเป้าหมายแรกคือการตั้งใจเรียนให้จบปริญญาตรีตามเกณฑ์ให้ได้ หลังจากนั้นจะเรียนต่อปริญญาโทเลย แล้วเรียนจบออกมาดูแลพ่อแม่ เป้าหมายชีวิตที่คิดไว้วันนั้น นอกจากจะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จแล้ว ยังทำให้ครอบครัวภูมิใจในตัวดิฉันที่ทำได้เกินความคาดหวังของทุกคนอีกด้วย

Dialogue ในอดีตดิฉันเป็นคนไม่ชอบดนตรี ไม่เคยรู้จักชื่อและชนิดดนตรี ไม่ชอบใช้เวลาว่างในการฟังเพลงเหมือนวัยรุ่นคนอื่น รู้สึกว่าการฟังเพลงเป็นอะไรที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ จนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ดิฉันได้มีโอกาสรู้จักและเพื่อนสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งรวมทั้งครอบครัวเพื่อนด้วย ซึ่งครอบครัวของเพื่อนคนนี้ มีความสงบและสนใจทางด้านดนตรีเป็นพอเศษ จากการสนิทสนมและได้เข้าไปคลุกคลีทำให้ดิฉันได้ซึมซับดนตรี และนำดนตรีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยอัตโนมัติ จากการที่ได้เปิดใจรับดนตรีเข้ามาทำให้ดิฉันเห็นคุณค่าและประโยชน์ของการมีดนตรีในชีวิตมากขึ้น เช่น ดนตรีสามารถบำบัดอารมณ์หงุดหงิด ขุนหมองของดิฉันได้ ดิฉันเป็นคนใจเย็นลง มองโลกในแง่ที่สวยงามมากขึ้น ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ถ้าหากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ดิฉันไม่ได้รู้จักกับเพื่อนคนนี้ ตอนนี้ดิฉันอาจเป็นผู้หญิงที่มองโลกในแง่ร้ายคนเดิมก็เป็นไปได้

Mental Model ตั้งแต่เด็กจนโตดิฉันเกิดและโตในเมือง ชีวิตพบเจอแต่ความวุ่นวายของการจราจร พบแต่ความเร่งรีบ พบการแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดของสังคมในเมือง ชีวิตดิฉันไม่ค่อยได้ออกไปชนบทเท่าไหร่นัก เพราะด้วยที่เกิดและโตในเมืองจึงเป็นคนติดวัตถุอยู่พอสมควร เวลาจะไปชนบทจึงเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากไป ด้วยความเชื่อที่ผิดๆ มีอยู่วันหนึ่งคุณพ่อของดิฉันได้พาไปเยี่ยมญาติที่ต่างอำเภอซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นชนบทแห่งหนึ่งของประเทศไทย เหตุผลที่ถือว่าเป็นชนบทได้นั้นเพราะที่สถานที่ที่นั้น คลื่นโทรศัพท์ไม่มี ใช้น้ำบาดาลแบบโบราณ ชาวบ้านทุกคนต่างมีน้ำใจให้กัน อยู่กันแบบญาติพี่น้องซึ่งมีแต่ความรักความจริงใจให้กัน ต่างจากสังคมในเมืองที่ดิฉันเกิดและเติบโต ภาพที่ได้ไปสัมผัสกับน้ำใจของคนชนบทในวันนั้น ทำให้ดิฉันเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อชนบทจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

Team Learning การเรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรีในสาขาวิชาการเงิน คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดิฉันได้มีโอกาสทำงานกลุ่มวิชาสัมมนา ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของการศึกษา เป็นการเลือกนำเอาบริษัทที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมา 1 บริษัท โดยให้วิเคราะห์งบการเงินของบริษัทนั้นๆ อาจารย์ที่ปรึกษาประจำวิชาให้นักศึกษาจับแบ่งกลุ่มกัน กลุ่มล่ะ 5 คน โดยรายงานเล่มนี้มีทั้งหมด 5 บท ความตั้งใจของอาจารย์คือให้นักศึกษาแบ่งกันทำคนละบท แต่กลุ่มดิฉันตัดสินใจกันว่าจะช่วยกันทำทีละบทแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยกันทำทุกวัน เป็นเรื่องปกติของการทำงานเป็นทีมที่จะมีการทะเลาะกันเป็นธรรมดา แต่ทุกครั้งที่เกิดการทะเลาะกันจะทำให้ทุกคนเกิดความสามัคคีและร่วมกันทำงานมากขึ้น จนงานสำเร็จลงในช่วงเดือนสุดท้ายของเทอม ผลการเรียนของรายวิชานี้ออกมาทำให้รู้สึกภูมิใจที่มีเพื่อนทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทำงานจนประสบความสำเร็จ

System Thinking วันหนึ่งในขณะที่ดิฉันและครอบครัวได้มีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดโดยนำรถส่วนตัวของครอบครัวไประยะทางในการเดินทางที่แสนไกลทำให้ทั้งคนขับรถและผู้โดยสารเกิดอาการอ่อนล้า จำเป็นต้องหยุดพักรถ พักร่างกายคน เพื่อให้สามารถเดินทางต่อไปได้อีก ครอบครัวของดิฉันตัดสินใจและพักปั๊ม ปตท. ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันที่มีบริการหลากหลาย ทั้งร้านสะดวกซื้อ (7-Eleven) , ปั๊มน้ำมันสะอาด อีกทั้งยังมีน้ำมันที่เป็นพลังงานธรรมชาติ มีจอดรถขนาดใหญ่ มีร้านกาแฟ ต่างจากปั๊มน้ำมันอื่น และต่างจากปั๊มปตท. ในอดีต สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเพราะปั๊มปตท. ได้เปลี่ยนระบบการจัดการใหม่ที่ดีขึ้น สังเกตได้จากผู้เดินทางส่วนใหญ่ หากจะพักรถหรือเติมน้ำมัน จะคิดถึงปั๊มปตท. เป็นอันดับแรก

น.ส.จิตตานันทิ์ หลักทรัพย์ MBA Y#14 Sec.11 รหัส 555740023-0

Personal Mastery

สมัยเด็กๆดิฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ดิฉันได้มาอยู่หอ ดิฉันกลายเป็นคนติดเพื่อน ทำตามค่านิยม ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ จนกระทั่งติดF ในวิชาหนึ่ง เมื่อพ่อแม่ได้รับผลการเรียนของดิฉัน แทนที่พ่อแม่จะดุด่าว่ากล่าวดิฉัน แต่ครอบครัวดิฉันกลับให้กำลังใจและปลอบโยนดิฉัน ทำให้ดิฉันยิ่งรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ ที่ทำให้ท่านผิดหวังในตัวดิฉัน จึงปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น กลับมาตั้งใจเรียนและลงเรียนแก้ ซึ่งแก้แล้วได้เกรดB+ เป็นที่ยินดีของครอบครัว และต่อมาดิฉันเห็นเพื่อนบางคนเรียนจบก่อนเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้ดิฉันมีความวิตกกังวลว่าจะไม่จบตามเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้ดิฉันมีเป้าหมาย คือ การเรียนให้จบปริญญาตรีตามหลักสูตรที่กำหนด เพื่อให้ได้รับใบปริญญา เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ และเป็นที่ยอมรับของสังคม เนื่องจากความรู้เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเท่ากับเป็นเครื่องมือที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ซึ่งปัจจุบันดิฉันจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะวิทยาการจัดการ สาขาการเงิน ตามเกณฑ์ที่กำหนด

Dialogue

ดิฉันมีบ้านอยู่ชนบท พอเรียนจบประถมศึกษา ดิฉันก็ได้สอบเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น แต่ดิฉันไม่อยากไปเรียน เพราะรู้สึกว่าคนเมืองชอบเห็นแก่ตัว ชอบหวังผลประโยชน์จากคนอื่น ไม่มีความจริงใจ และมันกว้างใหญ่เกินไปสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างดิฉัน แต่พ่อแม่กลับมองว่าการที่ได้มาศึกษาต่อในโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จะทำให้ดิฉันรู้จักปรับตัวเข้าหาสังคม มีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และเมื่อดิฉันได้เรียนในโรงเรียนแห่งนี้ก็ทำให้ดิฉันมีความรู้ที่ดี มีเพื่อนที่ดีมีน้ำใจ คอยช่วยเหลือดิฉันเมื่อดิฉันเดือดร้อน และยังมีสื่อการเรียนการสอนโดยการนำเทคโนโลยีต่างๆเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการสอน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการเรียน

Mental model

ในอดีตหากคนๆหนึ่งมีรอยสักตามร่างกาย คนในสังคมมักจะเหมารวมเอาว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่ดี จึงทำให้ดิฉันไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวคนที่มีรอยสักมากนัก จนกระทั่งดิฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเปิดร้านสักลาย ตอนแรกดิฉันก็รู้สึกแปลกๆที่สนิทกับคนที่มีรอยสักเต็มตัว แต่เขาทำให้ดิฉันเห็นว่า ถึงเขาจะมีรอยสักเต็มตัว แต่เขาก็เป็นคนดี สามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวได้ นอกจากนี้แล้วรอยสักก็อยู่คู่กับคนไทยมาแต่โบราณ ซึ่งจุดประสงค์ในการสักก็แตกต่างกันหลายประการ เช่น สักลงบนตัว เพื่อความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือเพื่อความสวยงาม และในปัจจุบันการสักก็ถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งทำให้ดิฉันรู้ว่ารอยสักยังบ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่มีลวดลายละเอียดอ่อนช้อย งดงามเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ และรอยสักไม่ได้สะท้อนอุปนิสัยใจคอของคนเราได้ อย่ายอมให้เปลือกนอกสร้างความเข้าใจผิด

Team Learning

จากการที่ได้เรียนวิชาจริยธรรมธุรกิจและบรรษัทภิบาลโดยอาจารย์มอบหมายให้ทำงานกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งกลุ่มของดิฉันได้มีการวางแผนและปรึกษากันรวบรวมความคิดเห็นของแต่ละคน จนในที่สุดก็ตกลงกันจะไปปรับปรุงโรงอาหารให้กับโรงเรียนบ้านหนองขามสมบูรณ์ เนื่องจากมีสภาพทรุดโทรมอย่างมาก ทำให้ทุกคนต้องการไปพัฒนาปรับปรุงโรงอาหาร เพื่อส่งเสริมให้โรงอาหารถูกสุขลักษณะอนามัย ซึ่งจะส่งผลให้น้องๆมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือกระทำ ทุกคนนัดวันเวลาเพื่อที่จะไปทำงาน แต่บางคนก็ไม่มา ทำให้บางคนไม่พอใจและรู้สึกว่าทำไมเราไม่สามัคคีกัน จึงมีการพูดคุยเสนอความคิดเห็นกันเพื่อหาข้อสรุปในการทำงานเป็นทีม เนื่องจากงานจะประสบความสำเร็จได้ต้องทำงานเป็นทีมและมีความสามัคคี เมื่อหาข้อสรุปได้และเพื่อนก็มาครบ ทุกคนก็ช่วยก็ปัดกวาดเช็ดถู ทาสีผนัง และตกแต่งโรงอาหารใหม่ จนทำให้โรงอาหารเก่าๆกลายเป็นโรงอาหารใหม่ที่สวยงาม ซึ่งการทำงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เพราะการทำงานเป็นทีม และนอกจากนี้ยังทำให้ดิฉันและเพื่อนๆทุกคนรู้สึกดีใจที่ได้มอบความสุขให้กับเด็กๆอีกด้วย

System Thinking

ระบบการจัดการร้านสะดวกซื้อของพี่ชายดิฉันในอดีตต้องการพนักงานจำนวนหลายคนในการเช็คสต๊อกสินค้า ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในการจ้างพนักงาน เสียเวลามากในการเช็คสต๊อกสินค้า และยังสามารถเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานได้อีกด้วย แต่ในปัจจุบันมีการใช้ระบบบาร์โค้ดในการเช็คสต๊อกสินค้าแทนการใช้คนนับ ซึ่งร้านสะดวกซื้อต้องการพนักงานเพียง 1 คน ในการเช็คสต๊อกสินค้าให้เรียบร้อย และการดำเนินงานในแต่ละวัน ในอดีตถ้ามีการขนส่งสินค้า 20 กล่อง จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายนาทีในการจดรหัสสินค้า นับจำนวนสินค้า แต่ระบบบาร์โค้ดแบบในปัจจุบัน จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการสแกนบาร์โค้ด นอกจากประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากรบุคคล ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานแล้ว ระบบบาร์โค้ดยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานเป็นอย่างมาก และยังช่วยให้การคิดเงินได้ถูกต้องแม่นยำ จึงสามารถบริการลูกค้าได้รวดเร็ว ทำให้ดิฉันพบว่าการทำงานอย่างมีระบบมีความสำคัญและทำให้การจัดการสินค้าง่ายขึ้นด้วย

น.ส.รินรชา สมรรัมย์ MBA Y#14 Sec.12 รหัส 555740070-1

Team Learning ตอนอยู่ม.5 ได้ทำเชียร์กีฬาสีในโรงเรียนและทำเชียร์กีฬาจังหวัด ตอนนั้นได้ลงแรงลงใจช่วยกันทำงานกับเพื่อนในห้อง ช่วยกันทำงานทั้งห้อง เสียสละเวลาเรียนบางคาบ (โดยการขออาจารย์บ้าง ร่วมมือร่วมใจกันโดดเรียนทั้งห้องบ้าง) หลังเลิกเรียน และในวันหยุดก็จะมาช่วยกันทำ เป็นการทำงานที่สนุกมาก ถึงจะเหนื่อย มีความคิดเห็นขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็มีความสุขดี ทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็ช่วยกันทำงานทุกคน ไม่มีใครอู้ และผลจากการทำงานร่วมกันเป็นทีมก็ส่งผลตอบแทนกลับมา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รางวัลชนะเลิศ ได้รองอันดับที่สองมาในการทำเชียร์กีฬาสี และรองลำดับที่หนึ่งในการทำเชียร์กีฬาจังหวัด ทุกๆคนก็ก็ภาคภูมิใจในสิ่งที่ทุกคนได้ร่วมกันทำค่ะ

Dialogue หลังจากที่ได้เรียนในระดับปริญญาตรีในชั้นปีที่4 เทอม2 พ่อกับแม่ก็ยิ่นคำขาดกับดิฉันว่า ต้องเรียนจบภายในปีนี้ ถ้าไม่จบจะไม่ส่งเงินให้ใช้ และจะไม่ส่งเรียนต่อ นั่นเป็นการยื่นคำขาดที่โหดร้ายมากสำหรับลูกสาวคนเดียวแบบดิฉันที่ไม่เคยได้ทำงานหรือลำบากมาก่อน ในเทอมสุดท้ายของการเรียนในระดับปริญญาตรีนั้น ดิฉันจึงตั้งใจเรียนมากเป็นพิเศษ จากปกติชอบโดดเรียนบ้าง ไม่อ่านหนังสือบ้าง ก็เปลี่ยนเป็นเข้าเรียนทุกคาบ อ่านหนังสือตั้งแต่ยังไม่จบคอร์ส อ่านหลายๆรอบ และผลตอบแทนที่กลับมาก็คือเทอมสุดท้ายได้Aเกือบทุกวิชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันและครอบครัวภาคภูมิใจมาก

Personal Mastery วันที่เกรดตัวสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรีปีที่4ออก และวันที่ทางมหาวิทยาลัยอนุมัติให้จบการศึกษาอย่างเป็นทางการ เป็นวันที่ต้องรู้ว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว จากวันนี้ไปต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเอง ต้องหางานทำแล้ว เสมือนมีแรงผลักดันจากรอบข้าง ทั้งจากครอบครัว เพื่อน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว หลังจากนั้นก็เริ่มสมัครงาน ทั้งจากทางอินเตอร์เน็ต ตามประกาศต่างๆ และประกาศตามกระทรวงแรงงาน หลังจากที่ลำบากไปสัมภาษณ์งานหลายที่ ในที่สุดก็มีที่ทำงานที่ไปสัมภาษณ์ทิ้งไว้ติดต่อกลับมาให้ไปเริ่มงานได้ทันที และแล้วในที่สุด ดิฉันก็มีงานทำแล้วคะ

Mental Model หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี ก็มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งาน ครั้งแรกที่ไปสมัครงานและสัมภาษณ์งาน ก็คิดว่าต้องได้งานแน่ๆ มั่นใจตัวเองพอสมควร ขณะที่นั่งรอสัมภาษณ์งานอยู่ ก็เห็นคนมาสัมภาษณ์งานในตำแหน่งเดียวกันเยอะมาก และบางคนก็เคยมีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว จบการศึกษามาดี เกรดเฉลี่ยดี ทุกคนมีจุดเด่นแตกต่างกันไป และขณะที่ได้สัมภาษณ์งาน(หลังจากที่ซักซ้อมมาอย่างดี) ก็มีบางครั้งที่ตอบคำถามสะดุดไป และถูกติมาว่าทำตัวเป็นเด็กจัง จึงรู้ตัวโดยอัตโนมัติว่าไม่ได้งานนี้แน่นอน หลังจากนั้นมาดิฉันก็ต้องปรับปรุงบุคลิกภาพของตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ และจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงรู้ว่า ผู้คนที่เราแค่เจออยู่ในชีวิตไม่ได้มีแต่นี้ ยังมีคนอีกมากมายที่ยังตกงานอยู่นะ ทุกๆคนก็มีดีในตัวแตกต่างกันไป ตัวเราเองมีคุณสมบัติเพียงเท่านี้ถ้าเทียบกับสังคมใหญ่ๆแล้วก็แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

System Thinking หลังจากที่ดิฉันได้งานทำ เมื่อเริ่มเข้ามาทำงาน หน้าที่ของดิฉันก็คือออกใบเสร็จและเก็บเงินลูกค้าที่มาใช้บริการ ในตอนเช้าของวันถัดมาหลังจากวันที่ดิฉันทำงานเสร็จในวันก่อนหน้านั้น จะมีคนที่ทำงานแผนกเดียวกันกับดิฉันมาตรวจสอบอีกครั้งว่า ใบเสร็จเขียนถูกไหมและนับจำนวนเงินที่ดิฉันทำส่งให้ว่าถูกต้องหรือเปล่า ถ้าผิดพลาดก็แก้ไขให้ ก่อนจะส่งเงินให้ผู้จัดการ ผู้จัดการก็จะให้เลขาตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งเพื่อนำเงินส่งบริษัท และที่บริษัทจะมีแผนกการเงินมาตรวจสอบอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย จากประการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา จึงรู้ว่าในการทำงานนั้น จะมีการทำงานเป็นระบบ มีขั้นตอนในการตรวจสอบหลายขั้นตอน เป็นระบบอย่างแท้จริง เพื่อให้บริษัทอยู่รอดต่อไป

นางสาวอภิญญา ธรรมกิจ MBA Y#14 sec 11 no.555740096-3

Dialogue (ใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) = ตอนเรียน ป.ตรี ตอนปีหนึ่งไม่ค่อยสนใจอะไรเลย เล่นแต่เกมส์ เรียนก็ไม่ค่อยไป สอบก็ไม่ไปสอบ ตารางสอบผิดก็ไม่รู้ ไม่เคยสนใจกับการเรียนเลย เกรดเฉลี่ยรวมออกมาเกือบไทร์ ในความคิดตอนนั้นคือเราไม่ไทร์ ไม่สนใจ แต่พอเกรดไปถึงบ้านพ่อกับแม่โทรมาหา แม่บอกว่าเสียใจมากไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ พ่อเลยบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องไปสนใจเกรด ว่าแต่ไม่โดนไทร์พ่อแม่ก็ดีใจแล้ว พอได้ฟังพ่อกับแม่พูด ถึงกับอึ้ง ถึงพ่อกับแม่จะพูดแบบนั้นแต่ความรู้สึกเรา บอกได้เลยว่า การกระทำของเราทำให้ท่านเสียใจ จากนั้นก็เลยเริ่มปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ตั้งใจเรียนจนจบ ป.ตรี

Personal Mastery (ครั้งใดทำอะไรแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น) = ตอนเป็นเด็กครูมักจะถามเสมอว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เป็นคำถามที่ไม่เคยคิดอยากจะตอบสักครั้ง เพราะเราไม่เหมาะกับงานอะไรเลย คิดแต่ว่าไม่อยากเป็น ขี้เกียจ ยากเกินไปหากเป็นนั้นเป็นนี่ เราก็ไม่สนใจทำอะไร ตอนสอบแอดมิชชั่นยังไม่ไปเทียบคะแนนเพื่อเข้ามหาลัยไหนเลย จนกระทั่งพี่สาวสองคนลูกของป้ามีงานทำเป็นครูกับพยาบาล ตอนนั้นความคิดของเรา ถ้าเราไม่คิดว่าเราจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่เราจะคิดยังไงเมื่อพี่สาวสองคนมีงานทำที่ดีทั้งคู่ เราจึงอยากเป็นนักบริหาร อยากเรียนจบสูงๆ มีหน้าที่การงานที่ดี จึงวางแผนมาเรียน MBA

Mental Model (ทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) = ตอนเรียน ป. ตรี จะมีกิจกรรมไปเที่ยวสุโขทัยของสาขาจัดขึ้น โดยไปรวมกันตั้งแต่ปีสองถึงปีสี่ ในความคิดของเราคือไม่ค่อยอยากไปขี้เกียจมาก ไกลก็ไกล แต่เพื่อนก็บอกว่า ไปเถอะปีสุดท้ายแล้วเดี๋ยวก็ไม่ได้ไปเที่ยวกันแบบนี้อีกแล้ว ห้องเราไม่เคยไปไหนหมดห้องสักที เราจึงตกลงไป ในหัวของเราตอนนั้นคิดแต่ว่าไปทำไม ถ้าไปแต่เพื่อนไม่ว่าหรอก รุ่งน้องก็ไปด้วย จึงไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่นัก พอไปแล้วไม่คิดเลยว่าจะได้รู้ได้เห็นอะไรดีๆ มุมมองใหม่ๆของเพื่อนๆน้องๆ ทั้งยังทำกิจกรรมกันสนุกสนาน ทำให้เห็นว่าถ้าเรารู้จักเปิดใจกับเรื่องหลายๆเรื่องหลายๆมุมเราอาจจะได้เรียนรู้สิ่งนั้นๆได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

Team Learning (ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) = ตอนเรียน ป.ตรีจะมีเรียนวิชาโปรเจค ซึ่งในการเรียนวิชาจะแบ่งกลุ่มละ 5 คน โดยครูจะให้ทำโครงการต้นกล้าสีขาวของธนาคารกรุงไทยส่งด้วย ครูที่สอนบอกว่าหากทำแล้วเข้ารอบจะให้คะแนนด้วย ทีมเราเลยทำโครงการส่งโดยร่วมกันวางแผน ร่วมกันคิดหัวข้อ ไปสถานที่ที่จะทำโครงการ แล้วมาร่วมแสดงความคิดเห็นด้านต่างๆ ซึ่งทำให้เราได้แนวคิดใหม่ๆ เกิดความสามัคคี เมื่องานเสร็จเราจึงส่งไปยังธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่าโครงการของทีมเราได้รับคัดเลือกด้วย ทำให้เรารู้ว่าหากช่วยเหลือกันไม่ว่ายากแค่ไหนก็ผ่านไปได้

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) = เคยไปดูงานที่ฟาร์มโชคชัย พอไปถึงเขาจะพาเราไปดูประวัติความเป็นมาเพื่อเกริ่นเล่าถึงเนื้อเรื่อง แล้วพาเรานั่งรถเพื่อดูฟาร์ม จึงได้รู้ว่าระบบงานของที่นี่ดีมาก มีการรักษาความสะอาดเป็นอย่างมาก เวลาจะเข้าไปดูฟาร์มต้องมีฆ่าเชื้อก่อนจึงจะสามารถเข้าไปได้ พอเข้าไปสัมผัสข้างในฟาร์มจึงรู้ว่าฟาร์มจัดสรรระบบอย่างดี มีทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เอง สารถนำพืชที่ปลูกและสัตว์ที่เลี้ยงไปใช้ประโยชน์ในเรื่องต่างๆ เช่น ข้าวโพดให้สัตว์กิน เอานมมาทำไอศกรีม เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้มีประสิทธิภาพสูง จัดวางโรงงานต่างๆไว้เชื่อมโยงกันบริเวณต่างๆมีความเป็นธรรมชาติทำให้รู้สึกสบายตา สบายใจ มีการบริการในด้านข้อมูลสินค้าต่างๆได้ดี

น.ส.อภิญญา นาคเหลา 555740097-1 sec.12

Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

-เมื่อก่อนดิฉันเมื่อถึงวันเกิดพ่อหรือแม่ดิฉันจะต้องเก็บเงินเพื่อซื้อของหรือทำการ์ดให้ โดยเงินที่เก็บก็มาจากเงินที่แม่ให้ใช้ แต่ในปีนี้ก่อนถึงวันเกิดพ่อ ในวันที่16 มกราคม ดิฉันมีเป้าหมายที่จะซื้อเสื้อให้พ่อโดยที่ไม่ใช้เงินเก็บจากเงินที่แม่ให้ใช้ แต่อยากใช้เงินซื้อเสื้อให้พ่อจากการทำงานหาเงินเองจึงไปลงชื่อทำงานที่งานแนะแนวมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อไปทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยติวเตอร์สอนเด็ก ม.6 โครงการของ อบจ.วันละ 200 บาท ทำทั้งหมด 5 วันได้เงินมาหนึ่งพันบาทจึงไปซื้อเสื้อให้พ่อเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด และรู้สึกดีใจมากที่หาเงินได้ครั้งแรกในชีวิตและทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้สำเร็จ

Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

-ในช่วงปี 1 เทอม 2 ซึ่งผลการเรียนของดิฉันติด F ถึง 2ตัวและเกรดไม่ถึง 2.00 ดิฉันคิดว่าจะสอบเข้าเรียนในสาขาใหม่ที่ไม่ใช่การเงิน จึงได้คุยกับแม่ถึงเรื่องนี้ แม่ได้ถามตัวดิฉันว่า จะไปสอบเรียนสาขาอะไร ดิฉันได้แต่นิ่งและแม่ได้พูดขึ้นว่าใครที่เคยบอกว่าอยากเรียนการเงิน อยากเป็นนักการเงิน แม่บอกให้ดิฉันเปิดใจกับมันและสู้กับมันอีกครั้ง ติดเอฟก็สามารถลงเรียนใหม่ได้ อย่าท้อแม่และพ่อเป็นกำลังใจให้และสิ่งที่แม่พูดในวันนั้น ทำให้ดิฉันตั้งใจเรียนขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น วิชาไหนไม่เข้าใจก็จะให้เพื่อนช่วยสอน จึงทำให้ดิฉันเรียนจบในสาขาวิชาการเงินภายในเวลา 4 ปีได้

Mental Modal ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

  • ดิฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ได้ไปไหว้สักการะพระธาตุพนมและสัมผัสชีวิตริมฝั่งโขง คือการได้อาบน้ำริมแม่น้ำโขง ได้นั่งเรือชมธรรมชาติและได้เห็นวิถีชีวิตที่ชาวบ้านจับปลาและปลูกผักริมแม่น้ำ ตอนเย็นก็เก็บผักไปประกอบอาหาร มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่ในสังคมปัจจุบันมันคงจะไม่ได้เห็นวิถีชีวิตแบบนี้มากเท่าไร

Term Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย

-ปี 4 เทอม 2 ดิฉันต้องลงเรียนวิชาสัมมนา และต้องทำรายงานกลุ่มเสนออาจารย์ โดยกลุ่มของดิฉันเลือกที่จะศึกษาบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในการทำงานทุกคนมีหน้าที่ต้องหาข้อมูลของบริษัทช่วยกัน รวมถึงแบ่งงานกันทำ และทำงานร่วมกันด้วย เวลามีปัญหาในเรื่องต่างๆก็จะปรึกษาหารือกันโดยให้เพื่อนทุกคนมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็น แนวทางต่างๆ เมื่อถึงวันที่จะต้องรายงาน เพื่อนในกลุ่มต่างช่วยเหลือกันและเตรียมความพร้อมหาข้อมูลเสริมเพื่อประกอบการรายงาน ทำให้งานวิชาสัมมนาผ่านไปด้วยดี

System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

-ช่วงซัมเมอร์ปี3 ตัวดิฉันได้ไปฝึกงานที่เทศบาลที่หนองเรือ จ.ขอนแก่น ในตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีของกองคลัง จึงได้รู้ว่าที่เทศบาลมีการจัดระบบการทำงานที่ดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเอกสารของทางราชการ เรื่องระบบการจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องงานการศึกษา ซึ่งแต่ละแผนกมีเจ้าหน้าที่คอยรับผิดชอบประสานงานกันให้งานมีประสิทธิภาพและในส่วนของกองคลังที่ข้าพเจ้าไปฝึกงาน จะเกี่ยวข้องกับบัญชีและดูแลเรื่องงบประมานการเงินต่างๆซึ่งเชื่อมโยงกับทุกแผนกจึงต้องมีความชัดเจน ตรวจสอบได้

จิรวัฒน์ ไกรวิเชษฐ์ MBA Y#14 Sec.11 รหัส 555740025-6

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?)

    ตอนที่ฉันเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทลัยรังสิตฉันไปสมัครเรียนโดยไม่มีเป้าหมายแค่คิดว่าไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ที่เดิม จึงอยากไปหาสิ่งใหม่ๆ เพียงแค่คิดว่าเรียนๆเล่นๆไปวันๆ โดยไม่ได้ถามความคิดเห็นของพ่อและแม่เลย ตอนที่ไปช่วงแรกๆฉันใช้เงินเป็นจำนวนมากอยากได้อะไรก็ซื้อ อยากไปเที่ยวไหนก็ไป เงินหมดก็โทรไปขอใหม่ แต่มีวันหนึ่งฉันโทรไปหาแม่เหมือนทุกวัน แล้วถามแม่ว่าแม่ทานข้าวรึยัง? แม่ตอบมาว่า"ยังไม่ทานเก็บเงินไว้ให้ลูก" ซึ่งทำให้ฉันร้องไห้ว่าเป็นเพราะฉันทำให้แม่ไม่ได้ทานข้าว ถึงขนาดคิดว่าจะลาออกแล้วกลับไปช่วยงานที่บ้าน แต่เมื่อแม่รู้ว่าร้องไห้แม่ก็ง้อ แล้วพูดว่าล้อเล่นเพื่อทำให้ฉันสบายใจ แต่ฉันรู้ว่ามันคือเรื่องจริง จากวันนั้นทำให้ฉันวางเป้าหมาย ว่าจะต้องรีบเรียนให้จบ และต้องได้เกรดดีๆ เพื่อไม่ทำให้พ่อและแม่ผิดหวัง แล้ววันนี้ฉันก็ทำได้ สามารถเรียนจบในเวลา สามปีครึ่งและได้เกรดเฉลี่ยเป็นที่น่าพอใจ ต้องขอบคุณวันนั้นที่ทำให้มีวันนี้ และเป้าหมายจากนี้คือ ทำให้พ่อและแม่ไม่ลำบาก และมีความสุขที่มีลูกคนนี้..... 

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี)

     พ่อของฉันเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนครอบครัวของเราลำบากมากยังไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเองเหมือนตอนนี้ ต้องทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาสร้างฐานะ พ่อบอกว่าเมื่อตอนเป็นพนักงานขายรถยนต์มือ 2 มีวันหนึ่งฝนตกลงมาอย่างหนัก เจ้านายของพ่อได้หลบฝนเข้าไปในบ้าน และล็อครถทุกคัน จนพ่อไม่สามารถเข้าไปหลบฝนได้ ทำให้เปียกไปทั้งตัว พ่อจึงมองไปรอบๆตัวเองและมองสิ่งต่างๆ พ่อคิดว่าสักวัน พ่อต้องมีของพวกนี้เป็นของตัวเองให้ได้ ทั้งบ้านและรถ ต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จนพ่อใช้ทั้งความพยายาม ความอดทน ความประหยัด และซื่อสัตย์ จนวันนี้พ่อมีทุกอย่างมาได้ พ่อยังบอกอีกว่า อย่าอยากได้ของคนนี้ แต่จงสร้างของต่างๆด้วยมือของเรา อย่าริษยาเอาของๆคนอื่น หากเราสร้างได้เองเราจะมีความภาคภูมิใจและมีความสุขกับมันนี้ถึงเป็นความมั่นคงที่ยาวนาน และสามารถบอกต่อได้โดยไม่อายใคร และฉันได้นำสิ่งที่พ่อสอนมาใช้ในการทำงาน คือ อดทน ขยัน ตั้งใจทำ ซื่อสัตย์ และเคารพลูกค้าทุกคน ไม่ดูถูกคนที่ด้อยกว่า ไม่เอาเปรียบผู้อื่น จึงจะทำให้เราประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับ จนตอนนี้ร้านเราก็เป็นที่ยอมรับของคนในอำเภอ...

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น)

      เมื่อฉันเรียนม.4 ทางโรงเรียนได้จัดให้มีการไปฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดเวฬุวัน เวลา 4 คืน 5 วัน ซึ่งฉันคิดเลยว่า ตายแน่ๆเราจะอยู่ จะกิน จะนอน จะอาบน้ำยังไง ด้วยความที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ฉันเลยคิดว่าต้องสกปรกมาก และมีผีมาหลอกแน่ๆ จึงคิดว่าจะแกล้งป่วย แล้วไปไม่ได้ แต่เพื่อนๆก็บอกว่าไปกันหมด อยากให้ไปด้วยกัน ฉันเลยต้องตามเพื่อนไป แต่เมื่อไปถึงมองไปรอบๆแล้วเห็นว่าวัดเวฬุวัน สวยมาก สะอาดมาก และดูสงบ ไม่เหมือนในเมืองเลย และเมื่อปฏิบัติไปได้ 1 วันฉันก็รู้เลยว่าไม่เห็นเหมือนอย่างที่คิดในตอนแรกเลย ยิ่ง 3 วันผ่านไป การใช้ชีวิตในนี้กลายเป็นเรื่องง่าย สบาย และสงบสุข ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี ไม่มีอารมณ์ที่รุนแรง และยังสอนให้เรารักพ่อและแม่ สอนถึงความลำบากของพ่อแม่ว่ากว่าจะเลี้ยงลูกแต่ละคนให้โตได้ พ่อแม่ลำบากแค่ไหน เมื่อครบกำหนดแต่ละคนรวมทั้งฉันแทบไม่อยากกลับ แต่เมื่อกลับมาการใช้ชีวิตการเปลี่ยนไป มีสมาธิ มีสติ ช่วยงานพ่อแม่มากขึ้น ทำให้มองเห็นว่าการมีสติและสมาธิดีกว่าการใช้กำลังและความรุนแรง ควรใช้เหตุและผลในการแก้ไขปัญหา...

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย)

      เนื่องจากครอบครัวฉันทำธุรกิจค้าขายปลีก-ส่ง ในช่วงเทศกาลต่างๆ จะขายดีมากเพราะเป็นวันหยุดยาว ทุกคนที่ทำงานในต่างจังหวัดจะกลับบ้าน ทำให้ร้านของฉันแทบไม่ได้ทานข้าวเพราะต้องขายของเกือบทั้งวัน ทั้งไปส่งของตามร้านค้าต่างๆ และขายของอยู่หน้าร้าน ครอบครัวฉันมี 5 คน และลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง ต้องคอยประสานงานกันเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ก่อนการทำงานทุกครั้งพ่อจะวางแผนว่าใครต้องทำอะไรมั่ง และทุกคนต้องให้กำลังใจกัน หากเกิดความผิดพลาดต้องช่วยกันแก้ไข ให้ถูกต้อง และกลับมาทำงาน การทำงานเป็นทีมย่อมสำเร็จเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการคิดคนเดียวทำคนเดียว หากมีความสามัคคีอะไรๆ เราก็จะสามารถผ่านมันไปได้เสมอ เหมือนกับที่ฉันขายของในช่วงเทศกาล แม้จะวุ่นวาย แต่ก็สามารถขายของได้ดีและไม่เกิดความผิดพลาด เพราะทุกคนค่อยช่วยเหลือกันเสมอ.....

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี)

        มีครั้งหนึ่งฉันเคยป่วยแต่ไม่ได้ไปโรงพยาบาล เพราะคิดว่าต้องต่อคิวนาน สกปรก เหมือนโรงพยาบาลทั่วไปที่เคยเห็น จนอาการมันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพี่สาวได้ส่งฉันไปที่โรงพยาบาลขอนแก่นราม พอมาถึงโรงพยาบาลจะมีคนมารับที่รถไปที่ห้องตรวจทันที ทั้งพยาบาลและหมอก็พร้อมรักษาอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ฉันคิดว่าต้องตายก่อนถึงจะได้ตรวจ แต่กลับไม่ได้รอคิวเลย หมอก็ตรวจๆ แล้วส่งเลือดไปทางระบบขนส่งทางท่อ ผลถูกตรวจและส่งกลับมาทางระบบท่อว่าฉันป่วยเป็นไข้เลือดออกขั้นรุนแรง เพราะบ่อยตัวเองมานานไม่รีบมารักษา หมอจึงให้พักที่โรงพยาบาลเพื่อรอดูผล ในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล จะมีพยาบาลและหมอมาดูอาการอย่างใกล้ชิด จนฉันแทบไม่ต้องทำอะไรเองเลย ทำให้รู้ว่าที่นี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อบริการคนป่วยให้ดีที่สุด มีคุณภาพและได้รับมาตรฐาน ทั้งหมอ พยาบาล และบุคคลากรจะมีการทำงานตามหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด.....

นางสาวศุภลักษ์ แลปรุรัตน์ Y#14 Sec. 11 no.555740010-9

*Personal Mastery: (ตรงไหนที่มีเป้าหมายเพิ่มมากขึ้น) ตอนเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยตอนอยู่ ปี 3 นี่เองค่ะ ส่วนมากวิชาที่เรียนเป็นวิชาเอกหลายตัว แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าไรหนังสือก็ไม่ค่อยอ่านเล่นเกมส์บ้างนิดหน่อยเวลาช่วงใกล้สอบก็มักจะอ่านหนังสือไม่ทันอยู่บ่อยๆสอบเสร็จเมื่อไรก็มักจะได้คะแนนน้อยเสมอจนมาตอนปีสามเลยลองเปลี่ยนตัวเองใหม่บ้าง เวลาที่ใกล้สอบก็ปิดโน๊คบุ๊คไปเลย อ่านหลายๆรอบ จนผลปรากฏว่า คะแนนสอบครั้งนั้นได้คะแนนดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ จนที่บ้านทักว่าเกรดเริ่มดีขึ้นจนพาไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่มากหนึ่งมื้อกับซื้อของรางวัลให้อีกหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นมาเกรดก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนตั้งใจไว้ว่าถ้าได้เกรดดีขึ้นจะมาเรียนต่อ ป.โท แล้วก็ได้มาเรียนต่อจริงๆ

*Dialogue: (ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี) ตอนนั้นอยู่ประมาณประถม ครูที่โรงเรียนสอนใช้คอมพิวเตอร์บอกตรงๆนะค่ะ ตอนนั้นใช้ไม่เป็นเลย โปรแกรม Word Excel Power point สำหรับตอนนั้นรู้สึกว่ามันอยากมาก ถึงมากที่สุดช่วงแรกๆที่เรียน รู้สึกว่ามันคงทำไม่ได้แต่พอเรียนไปสักพักก็เริ่มดีขึ้น จนมาอยู่มัธยมต้น ก็ใช้โปรแกรมเหล่านี้เก่งขึ้น เพราะอาจารย์ที่สอนบอกไว้ว่า นอกจากที่อาจารย์สอนแล้วต้องกลับไปหัดใช้บ่อยๆ ถึงจะคล่องถ้าหากมีโอกาสก็ลองซื้อหนังสือหรือแชร์ความรู้การใช้โปรแกรมกับคนอื่นๆดู เพราะการใช้โปรแกรมเหล่านี้เป็นโปรแกรมพื้นฐาน จากนั้นเป็นต้นมาก็เลยไปแชร์ความรู้กับเพื่อนๆ ว่ามีคีย์ลัดบ้างไหม หรือหาวิธีที่เราจะใช้โปรแกรมได้อย่างเร็วที่สุด และดีที่สุดจนปัจจุบันใช้คอมพิวเตอร์ได้คล่องและก็พิมพ์เอกสารเร็วขึ้นมากเลยค่ะ

*Mental model: (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น) เรื่องนี้ผ่านมาไม่นานนี้เองค่ะ ตอนเรียนปริญญาตรีนี่เองได้มีโอกาสไปดูงาน BOI Fair ที่เมืองทองที่ผ่านมา งานนี้ มีเทคโนโลยีใหม่ๆมากทั้งที่ เคยเห็นและไม่เคยเห็น แต่ ไปเจอ SHIELD LIFE ของ SCG รู้สึกประทับใจมากๆเพราะว่า เป็นที่พักชั่วคราวให้กับผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วม ภายในก็จะมีทั้งที่นอน สามารถเก็บอาหารตุนไว้ก็ได้และสามารถที่จะอาศัยอยู่ภายในได้จริง ภายนอกก็จะมีช่องระบายอากาศ มีแผงโซ่ล่าเซลล์ เพื่อที่จะให้เราสามารถใช้ไฟฟ้าได้สามารถอาศัยได้ 1 คน ต่อ 1 SHIELD LIFE ซึ่งโดยทั่วแล้วผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมส่วนมากเวลาที่น้ำมามักจะเก็บของที่สำคัญจริงๆ ไม่ทันส่วนมากจะพัดหายไปกับน้ำจนหมด รู้สึกชอบเพราะมันเป็นอะไรใหม่และมีประโยชน์มากจริงๆในเวลาที่น้ำท่วมเหมือนช่วงปีที่ผ่านมา

*Team Learning : (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมแล้วดีที่สุด เล่าปัจจัย สาเหตุ) ครั้งที่รู้สึกว่าทำงานเป็นทีมทีดีที่สุดก็ตอนเรียนปริญญาตรี ตอนช่วง ปี 1 ตอนนั้นมีงานแสดง 1 ชุดในงานเลี้ยงอำลารุ่นพี่ ตอนนั้นได้เข้าร่วมเต้นเพลงเพลงหนึ่งกับเพื่อนๆในห้องรู้สึกว่าเป็นการแสดงที่ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่ทั้งๆที่ทุกคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเพราะอยากให้รุ่นพี่ประทับใจและเต้นออกมาได้ดีที่สุดแล้วก็เริ่มแบ่งงานกันว่า เพื่อนคนไหนที่เก่งออกแบบท่าเต้นก็จะมาช่วยออกแบบ ส่วนเพื่อนคนไหนที่ถนัดเลือกซื้อเสื้อผ้า ออกแบบชุดก็ไปทำตามที่ตัวเองถนัด ส่วนเพื่อนๆที่เหลือถึงแม่จะเต้นไม่ค่อยเก่ง(รวมไปถึงตัวหนูเองด้วย)ก็ช่วยกันหาสถานที่ในการซ้อมเต้น จนพอถึงวันแสดงจริงทุกคนก็เต้นอย่างเต็มที่จนพี่ๆเอ่ยปากชม

*System thinking : (เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) ตอนเรียนปริญญาตรี มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่บริษัทเย็บชุดชั้นในส่งออก แห่งหนึ่งที่โคราช ตอนนั้นฝึกอยู่แผนกจัดซื้อ ซึ่งตอนนั้นพี่ที่แผนกให้ไปซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน แล้วก็ต้องออกไปซื้อในทุกๆ อาทิตย์เพราะว่า ถ้าซื้อบ่อยกว่านี้จะมีค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น แต่ถ้าซื้อเดือนละครั้ง อุปกรณ์บางอย่างก็จะไม่พอใช้ แต่ละครั้งก่อนที่จะออกไปซื้อก็ต้องสำรวจแต่ละแผนกว่า ต้องการอะไรบ้าง ต้องการเท่าไร โดยเฉพาะกระดาษ (ช่วงนั้น ซื้อบ่อยมาก) แล้วก็ทำเรื่องทั้งเบิกเงิน ทั้งแบ่งสันปันส่วนว่าจะซื้ออะไร จำนวนเท่าไร พอซื้อเสร็จก็ ต้องกลับมาจัดของให้แต่ละแผนกจนครบ ตอนนั้นทำให้รู้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำต้องมีการวางแผนมีระบบที่ดี เพื่อให้งานออกมาเสร็จรวดเร็วและถูกต้องที่สุดแล้วก็ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปปกรณ์สำนักงานด้วย

ทิราภรณ์ น้อยผาง รหัส 555740041-8 MBA Y#14 Sec.11

ทิราภรณ์ น้อยผาง รหัส 555740041-8 Sec.11 MBA Y#14

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

       ฉันเรียนคณะสถาปัตย์ สาขา ออกแบบ (Creative Art)  ปกติแล้วฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ  และไม่ชอบที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากที่เรียนมา หรือที่อาจารย์สอน  และคิดว่าไม่จำเป็น  เพราะสิ่งที่อาจารย์สอนมาก็คงจะดีที่สุดแล้ว  จนช่วงที่เรียนอยู่ได้มีโอกาสไปฝึกงานในกรุงเทพกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำGraphic และตัดต่อรายการทีวี  พอฉันได้ดูพี่ๆที่บริษัททำงาน  จึงทำให้ฉันรู้ว่า  ฉันแย่มาก!   ความรู้ที่ได้ตอนเรียนมันไม่พอและแทบไม่ได้นำมาใช้ในงานที่นี่เลย  มันเหมือนกับฉันเริ่มต้นจากศูนย์  ต้องมาเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมด  ทั้งเทคนิคต่างๆที่ทำให้ทำงานเร็วขึ้น  โปรแกรมใหม่ๆที่ใช้ในการทำงาน  พอฉันเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างมากขึ้น  ทำให้พี่ที่บริษัทเห็นว่าฉันสามารถช่วยงานที่บริษัทได้แล้ว  พี่เค้าก็ให้โอกาสฉันทำGraphic ในรายการ  หลายรายการ  พอฉันเห็นผลงานของตัวเองได้ออกอากาศในทีวีเท่านั้นแหละ  มันก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจทำให้ฉันมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น  และตระหนักได้ว่า  ถ้าฉันอยากเป็นนักออกแบบที่ดี  ฉันก็ควรจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา  ไม่ใช่หยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างที่เคยเป็น

Dialogue : ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

        ปกติฉันจะอยู่กับครอบครัวตลอดเวลา  ไม่เคยไปไหนหรือทำอะไรด้วยตัวเองเลย  ตั้งแต่เล็กจนโตจะมีพ่อแม่คอยดูแลตลอด เวลา  ทำให้ฉันขาดความมั่นใจที่จะตัดสินใจอะไรหลายอย่างในชีวิตแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ  ฉันกลัวที่จะเริ่มต้นและเผชิญกับปัญหาที่เข้ามา  จนมาวันที่ฉันเรียนจบม.6  ฉันตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด  เพราะเริ่มอยากที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง  แต่ทุกคนในครอบครัวไม่เห็นด้วยและเป็นกังวลมาก  เป็นห่วงฉันในทุกๆเรื่อง  กลัวว่าจะอยู่ไม่ได้  กลัวจะลำบาก  แต่ฉันก็ยังคงดึงดันที่จะไป  พอไปเรียนก็เป็นอย่างที่ทุกคนบอกจริงๆ  ยอมรับเลยว่าลำบากและรู้สึกแย่มากๆที่ต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีพ่อแม่ดูแล  ฉันมีปัญหาในการปรับตัวหลายอย่างเพราะต้องอยู่ในสภาพสังคมที่ไม่คุ้นเคย  เลยทำให้เครียดและอยากกลับมาอยู่บ้าน  พ่อก็เลยบอกให้ย้ายกลับมาเรียนที่ขอนแก่นเพราะไม่อยากให้ฉันลำบาก  แต่แม่ก็ขัดแย้งกับเรื่องนี้และพยายามที่จะให้ฉันเรียนต่อที่เดิมให้ได้  แม่ชอบบอกกับฉันว่า ในเมื่อเลือกแล้วจะกลัวอะไร  อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ  ไม่มีอะไรเกินความสามารถของเราหรอก  ลองพยายามดู  คนอื่นเค้าทำได้  แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้  ตั้งแต่วันนั้นฉันก็กลับไปเรียนต่อจนจบ  ฉันเริ่มที่จะเรียนรู้และเข้าใจว่าการเริ่มต้นกับอะไรใหม่ๆ  มันก็ไม่ได้เลวร้ายและน่ากลัวอย่างที่คิด

Mental Model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

        ช่วงที่ฉันเรียนปริญญาตรีอยู่  ฉันมีโอกาสได้ไปsummer ที่อเมริกากับเพื่อนๆ  ตลอดเวลาที่เดินทางฉันค่อนข้างกังวลหลายอย่าง  เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง  แต่พอไปถึงฉันก็เริ่มคลายความกังวลที่มีอยู่  และเริ่มสนุกกับสิ่งที่ได้เจอ  เวลา 3 เดือนที่อยู่ที่นั่น  ฉันได้พบกับสิ่งใหม่ๆ  วัฒนธรรมที่หลากหลาย  มีเพื่อนใหม่หลายเชื้อชาติหลายภาษา  ทุกอย่างดูแปลกตาและน่าตื่นเต้น  ช่วงเวลานั้นมันเป็นอะไรที่สุดๆสำหรับฉัน  มันเหมือนกับว่าฉันได้หลุดออกไปจากวงจรชีวิตเดิมๆได้เรียนรู้และเผชิญกับโลกใหม่ๆที่ไม่เคยเห็น  ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน  มันสนุกมากและเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ฉันไม่เคยลืม

Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

       ตอนที่ฉันเรียนอยู่ปี 4 มีวิชา Creative Design  ตอนนั้นฉันจำได้ว่ากำลังเรียนเรื่องการสร้างแบรนด์  ปกติแล้วอาจารย์จะสั่งทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่มคู่กันไปเพื่อเป็นเป็นการฝึกให้นักศึกษาในสาขาได้เรียนรู้ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น  แต่งานกลุ่มที่ทำในครั้งนั้นมันพิเศษกว่าทุกครั้ง  เพราะสถานการณ์และเวลาตอนนั้นค่อนข้างบังคับและกดดันพอสมควร  เนื่องจากปี 4 จะต้องทำ Senior Project เพื่อจบการศึกษา  ทำให้เราต้องรีบทำงานกลุ่มให้เสร็จจะได้ทำProject ของตัวเอง  ดังนั้นเราจึงเริ่มประชุมเพื่อหาข้อสรุปว่าเราจะทำอะไร (งานที่อาจารย์สั่งคือให้สร้างแบรนด์สินค้าขึ้นมา พร้อมผลงานจริง) เราสรุปได้ว่าเราจะทำแบรนด์เสื้อผ้า ในแนว street wear แล้วเราก็เริ่มแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละคน  ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง  ทุกอย่างลงตัว  งานเสร็จสมบูรณ์ ตามแบบที่วางไว้  ทั้งที่ตอนแรกเราคิดว่าจะเสร็จไม่ทันแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ส่งงาน และpresent งาน ทันเวลาที่กำหนด

System Thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

       ตอนที่ฉันไปsummerที่อเมริกา  ฉันได้ไปทำงานที่ร้าน McDonald's  ปกติฉันไม่เคยทำงานมาก่อน  จึงไม่รู้ว่าการทำงานในร้านอาหารจะต้องทำอะไรบ้าง  พอฉันเริ่มงาน  ได้เห็นระบบการทำงานของที่ร้าน  ก็ทำให้ฉันเข้าใจกระบวนการทำงานได้ทันที  ที่นั่นมีระบบการจัดการทุกอย่างที่ดีมาก  พนักงานทุกคนทำงานเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้  แม้กระทั่งช่วงเวลาเช้าและเที่ยงที่มีลูกค้าแน่นมาก  ทั้งมาทานที่ร้านและdrive through  แต่พนักงานในร้านทุกคนก็ทำงานเป็น Team Work ได้เป็นอย่างดี  สามารถระบายลูกค้าที่แน่นร้านได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

อาจารย์ค่ะ จิตตานันทิ์ ส่งงานใหม่นะค่ะ ลบอันเก่าไม่ได้เลยค่ะพอดีอยากแก้เรื่อง Dialogue ค่ะ

Personal Mastery

สมัยเด็กๆดิฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ดิฉันได้มาอยู่หอ ดิฉันกลายเป็นคนติดเพื่อน ทำตามค่านิยม ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ จนกระทั่งติดF ในวิชาหนึ่ง เมื่อพ่อแม่ได้รับผลการเรียนของดิฉัน แทนที่พ่อแม่จะดุด่าว่ากล่าวดิฉัน แต่ครอบครัวดิฉันกลับให้กำลังใจและปลอบโยนดิฉัน ทำให้ดิฉันยิ่งรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ ที่ทำให้ท่านผิดหวังในตัวดิฉัน จึงปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น กลับมาตั้งใจเรียนและลงเรียนแก้ ซึ่งแก้แล้วได้เกรดB+ เป็นที่ยินดีของครอบครัว และต่อมาดิฉันเห็นเพื่อนบางคนเรียนจบก่อนเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้ดิฉันมีความวิตกกังวลว่าจะไม่จบตามเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้ดิฉันมีเป้าหมาย คือ การเรียนให้จบปริญญาตรีตามหลักสูตรที่กำหนด เพื่อให้ได้รับใบปริญญา เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ และเป็นที่ยอมรับของสังคม เนื่องจากความรู้เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเท่ากับเป็นเครื่องมือที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ซึ่งปัจจุบันดิฉันจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะวิทยาการจัดการ สาขาการเงิน ตามเกณฑ์ที่กำหนด

Dialogue

ตอนฉันอายุ 19 ปี ฉันเริ่มเข้าสังคมมากขึ้น พบเพื่อนหลายแบบ เริ่มติดเพื่อน ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เลี้ยงเพื่อน ซื้อเสื้อผ้า ออกเที่ยวกลางคืน พอกลับบ้านก็เจอพ่อต้องนั่งรอดึกดื่นทุกคืนอย่างกังวลใจ พอเช้ามาก็ไม่อยากไปเรียนหนังสือ ไปมหาวิทยาลัยก็ไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่นอน และเริ่มหนีเรียน ดิฉันทำตัวแบบนี้อยู่พักใหญ่ จนเริ่มรู้สึกแย่เมื่อเห็นพ่อร้องไห้ พ่อทั้งเตือนและดุด่า และพูดอย่างหมดความอดทนว่า “ถ้าเป็นคนดีไม่ได้ก็ตายเสียเลย ดีกว่าไหม” ทำให้ดิฉันตัดสินใจเลือกจะเป็นคนดี เลิกทำตัวเกเร ไม่เที่ยวเสเพล รู้จักเก็บออมรอมริบและตั้งใจจะทำสิ่งสำคัญให้พ่อภาคภูมิใจคือเรียนให้จบปริญญาตรี เพราะคำพูดของพ่อทำให้ฉันเลือกเป็นคนดีซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ ซึ่งดิฉันมีพ่อเป็นแบบอย่างที่ดี พ่อทำงานหนัก ไม่เที่ยว หาเงินมาได้ก็ให้ครอบครัวหมด จนทำให้ดิฉันมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต

Mental model

ในอดีตหากคนๆหนึ่งมีรอยสักตามร่างกาย คนในสังคมมักจะเหมารวมเอาว่าคนๆนั้นเป็นคนไม่ดี จึงทำให้ดิฉันไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวคนที่มีรอยสักมากนัก จนกระทั่งดิฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเปิดร้านสักลาย ตอนแรกดิฉันก็รู้สึกแปลกๆที่สนิทกับคนที่มีรอยสักเต็มตัว แต่เขาทำให้ดิฉันเห็นว่า ถึงเขาจะมีรอยสักเต็มตัว แต่เขาก็เป็นคนดี สามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวได้ นอกจากนี้แล้วรอยสักก็อยู่คู่กับคนไทยมาแต่โบราณ ซึ่งจุดประสงค์ในการสักก็แตกต่างกันหลายประการ เช่น สักลงบนตัว เพื่อความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือเพื่อความสวยงาม และในปัจจุบันการสักก็ถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งทำให้ดิฉันรู้ว่ารอยสักยังบ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่มีลวดลายละเอียดอ่อนช้อย งดงามเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ และรอยสักไม่ได้สะท้อนอุปนิสัยใจคอของคนเราได้ อย่ายอมให้เปลือกนอกสร้างความเข้าใจผิด

Team Learning

จากการที่ได้เรียนวิชาจริยธรรมธุรกิจและบรรษัทภิบาลโดยอาจารย์มอบหมายให้ทำงานกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งกลุ่มของดิฉันได้มีการวางแผนและปรึกษากันรวบรวมความคิดเห็นของแต่ละคน จนในที่สุดก็ตกลงกันจะไปปรับปรุงโรงอาหารให้กับโรงเรียนบ้านหนองขามสมบูรณ์ เนื่องจากมีสภาพทรุดโทรมอย่างมาก ทำให้ทุกคนต้องการไปพัฒนาปรับปรุงโรงอาหาร เพื่อส่งเสริมให้โรงอาหารถูกสุขลักษณะอนามัย ซึ่งจะส่งผลให้น้องๆมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือกระทำ ทุกคนนัดวันเวลาเพื่อที่จะไปทำงาน แต่บางคนก็ไม่มา ทำให้บางคนไม่พอใจและรู้สึกว่าทำไมเราไม่สามัคคีกัน จึงมีการพูดคุยเสนอความคิดเห็นกันเพื่อหาข้อสรุปในการทำงานเป็นทีม เนื่องจากงานจะประสบความสำเร็จได้ต้องทำงานเป็นทีมและมีความสามัคคี เมื่อหาข้อสรุปได้และเพื่อนก็มาครบ ทุกคนก็ช่วยก็ปัดกวาดเช็ดถู ทาสีผนัง และตกแต่งโรงอาหารใหม่ จนทำให้โรงอาหารเก่าๆกลายเป็นโรงอาหารใหม่ที่สวยงาม ซึ่งการทำงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เพราะการทำงานเป็นทีม และนอกจากนี้ยังทำให้ดิฉันและเพื่อนๆทุกคนรู้สึกดีใจที่ได้มอบความสุขให้กับเด็กๆอีกด้วย

System Thinking

ระบบการจัดการร้านสะดวกซื้อของพี่ชายดิฉันในอดีตต้องการพนักงานจำนวนหลายคนในการเช็คสต๊อกสินค้า ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในการจ้างพนักงาน เสียเวลามากในการเช็คสต๊อกสินค้า และยังสามารถเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานได้อีกด้วย แต่ในปัจจุบันมีการใช้ระบบบาร์โค้ดในการเช็คสต๊อกสินค้าแทนการใช้คนนับ ซึ่งร้านสะดวกซื้อต้องการพนักงานเพียง 1 คน ในการเช็คสต๊อกสินค้าให้เรียบร้อย และการดำเนินงานในแต่ละวัน ในอดีตถ้ามีการขนส่งสินค้า 20 กล่อง จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายนาทีในการจดรหัสสินค้า นับจำนวนสินค้า แต่ระบบบาร์โค้ดแบบในปัจจุบัน จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการสแกนบาร์โค้ด นอกจากประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากรบุคคล ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานแล้ว ระบบบาร์โค้ดยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานเป็นอย่างมาก และยังช่วยให้การคิดเงินได้ถูกต้องแม่นยำ จึงสามารถบริการลูกค้าได้รวดเร็ว ทำให้ดิฉันพบว่าการทำงานอย่างมีระบบมีความสำคัญและทำให้การจัดการสินค้าง่ายขึ้นด้วย

จิตตานันทิ์ หลักทรัพย์ MBA Y#14 Sec.11 555740023-0

นายวิศรุต ขาวศรี 555740079-3 Y14 sec 12

Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ? -เมื่อตอนที่ผมศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 1 ตอนนั้นผมคิดเพียงแค่ว่าวิศวกร เป็นอาชีพที่ได้เงินเดือนเยอะ จบมาคงหาเลี้ยงตัวเองได้สบาย แต่พอได้เริ่มเรียนแล้วผมก็รู้ตัวเลยว่าผมคิดง่ายเกินไปจริงๆ ผมเรียนอยู่ได้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ก็กลายเป็นหนึ่งใน 700 คนที่โดนรีไทร์ในปีนั้น พอทางบ้านผมรู้ข่าวนี้ทั้งพ่อและแม่ของผมผิดหวังมาก ผมได้เองก็เสียใจที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่ผิดหวัง จากนั้นผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำยังไงต่อไป จริงๆแล้วเราชอบอะไรกันแน่ ทำไมเราไม่เรียนครูตามที่พ่อแม่ต้องการละ แล้วจะเรียนวิศวะต่อ หรือว่าจะเปลี่ยนคณะไปเลย สุดท้ายแล้วผมเลือกอย่างหลัง ผมย้ายมาเรียนคณะการบัญชีและการจัดการ สาขาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ่อและแม่ของผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับคณะที่ผมเรียนสักเท่าไร เพราะท่านอยากให้เรียนครูมากกว่า แต่พอผมได้เล่าเป้าหมายใหม่ของผมให้ท่านฟัง ว่าผมจะเรียนให้จบแล้วไปเรียนต่อMBA ที่มหาวิทยาลัยของแก่นแล้วก็จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยให้ได้ พ่อและแม่ของผมก็เลยเชื่อว่าผมอาจจะทำได้จริงๆ และก็ตรงกับความต้องการที่อยากให้ลูกของตัวเองเป็นครูและผมเองก็สามารถเดินตามทางเดินของตัวเองได้ ซึ่งตอนนี้ เป้าหมายของผมมันชัดเจนและใกล้เข้ามามากขึ้นถึงแม้การเรียนต่อ MBA จะพึ่งเท่ากับมายืนที่จุดสตาร์ทเท่านั้นก็ตาม
Dialogue
ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ? -ในช่วงสมัยเรียนประถมและมัธยมผมเป็นคนที่ขี้อายมากๆ เวลาต้องตอบคำถามอาจารย์หรือว่าต้องออกไปหน้าชั้นเรียน ผมไม่ชอบออกไปหน้าชั้นเลยจริงๆนะ หลายๆครั้งมันรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก ต่อให้เป็นหน้าหนาวที่อากาศหนาวมากๆถ้าผมได้ออกไปอ่านกลอนสักบทแล้วละก็ เหงื่อท่วมแน่นอน ทุกคนเฮฮากันใหญ่ มันยิ่งบั่นทอนความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดของผมให้ลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือ จนกระทั่งเพื่อนของผมคนนึงที่เป็นคนที่นำเสนองานได้เก่งมากๆ มาบอกผมว่าเคยดูโฆษณาที่มีประโยคที่ว่า”ไม่กล้า ก็ไม่มีวันเดินหน้าหรอก” หรือเปล่า เข้าใจความหมายของมันไหม ? ครั้งหน้าถ้าโดนอาจารย์เรียกก็เริ่มต้นที่ความกล้าก่อนนะ แล้วทุกอย่างจะไปได้สวย ถูกผิดไม่สำคัญ สำคัญคือเรากล้าพูด พยายามเข้านะเพื่อน จากคำพูดนั้นของเพื่อนทำให้ผมเริ่มฝึกพูดหน้ากระจก และพยายามไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เพื่อนล้อ แรกๆก็ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ผมเริ่มกล้าและชินกับการต้องออกไปหน้าห้องมากขึ้น จากการพรีเซ็นหน้าห้องครั้งสุดท้ายตอนม.4 พอผมเดินกลับเข้ามานั่งที่ ผมก็คิดในใจว่าเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ จากคำพูดแค่ไม่กี่คำของเพื่อนคนนั้น ต้องขอบคุณเค้าจริงๆ Mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ? -ตั้งแต่เด็กจนถึงช่วงก่อนที่ผมจะย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนั้นผมเคยไปเที่ยวแต่กับครอบครัวเท่านั้น โดยอย่างมากก็มีครอบครัวของเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ไปด้วย ปีแล้วปีเล่าเพียงแต่ต่างสถานที่เท่านั้น และผมก็มีความสุขดี และทุกครั้งที่เพื่อนชวนผมก็ปฏิเสธไปทุกครั้งเพราะคิดว่าไปกับครอบครัวสบายกว่าเป็นไหนๆ จนกระทั่งผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าในงานฮอนด้า ซัมเมอร์เฟสติวัล ที่หัวหิน เป็นงานเทศกาลดนตรีที่มีผู้คนนับแสนไปสนุกกับคอนเสิร์ตริมทะเลที่เขาตะเกียบ คือผมไม่เคยมาอะไรแบบนี้ เริ่มตั้งแต่นั่งรถไฟฟรีที่ใช้เวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯถึงหัวหินถึง 6 ชั่วโมง ทั้งที่นั่งรถตู้แค่ 2 ชั่วโมงก็ถึง ทั้งที่เคยมาหัวหินกับครอบครัว แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มันเหมือนกับว่าผมไม่เคยมาที่นี่ มีคนมาดูคอนเสิร์ตติดทะเลแสนกว่าคน ไม่มีผู้ปกครอง มีแต่เพื่อนสนิทจากโรงเรียนเก่า 15 คน งานนี้จัดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ผมรู้สึกสนุกและเปิดหูเปิดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ผมคิดได้ว่าบางทีการหาอะไรที่แปลกใหม่มันก็เยี่ยมเหมือนกันนะ Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย -ครั้งที่ผมคิดว่าทำงานเป็นทีมได้ดีที่สุดคงเป็นตอนที่ทำงานกลุ่มเพื่อนนำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบผลิตภัณฑ์ส่งออก ในรายวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ ว่าถ้าหากได้มีโอกาสไปนำเสนอสินค้าที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้มีผู้สนใจซื้อเพื่อนำเข้าประเทศของเขานั้นจะต้องทำอย่างไร เนื่องจากพวกเราร่วมกันทำงานกลุ่มมาหลายงานแล้วจึงรู้กันดีว่าใครถนัดในด้านใด องุ่นกับเคเป็นคนหาข้อมูลทางสังคมและสภาพปัจจุบันของการนำเข้าสินค้าของญี่ปุ่น เอ็มเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้า กล้าเป็นผู้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการนำผลิตภัณฑ์เข้าไปขาย อุ๋ย รวมรวบข้อมูลทำPower Point และจัดรูปเล่มรายงานและคอยคุมคอมพิวเตอร์ ผมคิดบทละครและเป็นผู้นำเสนอและก้องกับยะ เป็นตัวฮาประจำกลุ่ม โดยก่อนการเสนอผมคิดว่าเนื่องจากลูกค้าเป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูง และเขาจะสนใจสินค้าของเรายากมากหากว่าไม่มีภาษาญี่ปุ่นอยู่บนผลิตภัณฑ์ ผมจึงขอให้เอ็มทำตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และการนำเสนอจบลงและถูกประกาศคะแนนให้ได้เยอะที่สุดในSec และได้รับคำชมจากอาจารย์ว่ามีการจัดฉากและนำเสนอได้น่าสนใจที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือมีภาษาญี่ปุ่นอยู่บนผลิตภัณฑ์ และตรงนี้แหละที่เราต่างจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน
System thinking *เรารู้สึกได้ว่าที่เราสัมผัสมีระบบที่สุด -มีช่วงที่ผมฝึกงานอยู่ 3 เดือนที่สำนักงานจังหวัดกาฬสินธุ์ งานที่ทางสำนักงานให้ผมทำก็มีอยู่หลายๆเรื่องแต่ว่าในช่วงบ่ายของแต่ละวันสิ่งที่ผมทำเป็นประจำก็คือการไปธนาคาร ซึงไม่ได้ไปเพียงแค่ธนาคารเดียว ผมต้องไปประมาณ 3 ธนาคารในแต่ละวันหรืออาจจะ 5 ด้วยซ้ำในบางวัน ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นความแตกต่างมากในแต่ละธนาคารก็คือระบบต่างๆ ทั้งการจัดการอำนวยความสะดวก หรือการบริการที่รวดเร็ว ในที่นี้ขอพูดถึงแค่ที่รู้สึกว่าดีที่สุดผมคิดว่าเป็นกสิกรไทย เพราะมีการจัดวางระบบที่กล่าวมาข้างต้นได้อย่างดี เดินเข้าไปมีคนต้อนรับข้างหน้าและสอบถามความต้องการในบริการของคุณ และการวางผังตำแหน่งภายในก็ทำให้สามารถหาแผนกที่เราต้องการมาใช้บริการได้ง่าย และมีความรวดเร็วในการให้บริการมากกว่าหลายๆธนาคารอีกด้วย

นายวิศรุต ขาวศรี 555740079-3 Y14 sec 12

Personal Mastery *ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ? -เมื่อตอนที่ผมศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 1 ตอนนั้นผมคิดเพียงแค่ว่าวิศวกร เป็นอาชีพที่ได้เงินเดือนเยอะ จบมาคงหาเลี้ยงตัวเองได้สบาย แต่พอได้เริ่มเรียนแล้วผมก็รู้ตัวเลยว่าผมคิดง่ายเกินไปจริงๆ ผมเรียนอยู่ได้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ก็กลายเป็นหนึ่งใน 700 คนที่โดนรีไทร์ในปีนั้น พอทางบ้านผมรู้ข่าวนี้ทั้งพ่อและแม่ของผมผิดหวังมาก ผมได้เองก็เสียใจที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่ผิดหวัง จากนั้นผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำยังไงต่อไป จริงๆแล้วเราชอบอะไรกันแน่ ทำไมเราไม่เรียนครูตามที่พ่อแม่ต้องการละ แล้วจะเรียนวิศวะต่อ หรือว่าจะเปลี่ยนคณะไปเลย สุดท้ายแล้วผมเลือกอย่างหลัง ผมย้ายมาเรียนคณะการบัญชีและการจัดการ สาขาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ่อและแม่ของผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับคณะที่ผมเรียนสักเท่าไร เพราะท่านอยากให้เรียนครูมากกว่า แต่พอผมได้เล่าเป้าหมายใหม่ของผมให้ท่านฟัง ว่าผมจะเรียนให้จบแล้วไปเรียนต่อMBA ที่มหาวิทยาลัยของแก่นแล้วก็จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยให้ได้ พ่อและแม่ของผมก็เลยเชื่อว่าผมอาจจะทำได้จริงๆ และก็ตรงกับความต้องการที่อยากให้ลูกของตัวเองเป็นครูและผมเองก็สามารถเดินตามทางเดินของตัวเองได้ ซึ่งตอนนี้ เป้าหมายของผมมันชัดเจนและใกล้เข้ามามากขึ้นถึงแม้การเรียนต่อ MBA จะพึ่งเท่ากับมายืนที่จุดสตาร์ทเท่านั้นก็ตาม

Dialogue *ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ? -ในช่วงสมัยเรียนประถมและมัธยมผมเป็นคนที่ขี้อายมากๆ เวลาต้องตอบคำถามอาจารย์หรือว่าต้องออกไปหน้าชั้นเรียน ผมไม่ชอบออกไปหน้าชั้นเลยจริงๆนะ หลายๆครั้งมันรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก ต่อให้เป็นหน้าหนาวที่อากาศหนาวมากๆถ้าผมได้ออกไปอ่านกลอนสักบทแล้วละก็ เหงื่อท่วมแน่นอน ทุกคนเฮฮากันใหญ่ มันยิ่งบั่นทอนความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดของผมให้ลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือ จนกระทั่งเพื่อนของผมคนนึงที่เป็นคนที่นำเสนองานได้เก่งมากๆ มาบอกผมว่าเคยดูโฆษณาที่มีประโยคที่ว่า”ไม่กล้า ก็ไม่มีวันเดินหน้าหรอก” หรือเปล่า เข้าใจความหมายของมันไหม ? ครั้งหน้าถ้าโดนอาจารย์เรียกก็เริ่มต้นที่ความกล้าก่อนนะ แล้วทุกอย่างจะไปได้สวย ถูกผิดไม่สำคัญ สำคัญคือเรากล้าพูด พยายามเข้านะเพื่อน จากคำพูดนั้นของเพื่อนทำให้ผมเริ่มฝึกพูดหน้ากระจก และพยายามไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เพื่อนล้อ แรกๆก็ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ผมเริ่มกล้าและชินกับการต้องออกไปหน้าห้องมากขึ้น จากการพรีเซ็นหน้าห้องครั้งสุดท้ายตอนม.4 พอผมเดินกลับเข้ามานั่งที่ ผมก็คิดในใจว่าเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ จากคำพูดแค่ไม่กี่คำของเพื่อนคนนั้น ต้องขอบคุณเค้าจริงๆ

Mental model *ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ? -ตั้งแต่เด็กจนถึงช่วงก่อนที่ผมจะย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนั้นผมเคยไปเที่ยวแต่กับครอบครัวเท่านั้น โดยอย่างมากก็มีครอบครัวของเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ไปด้วย ปีแล้วปีเล่าเพียงแต่ต่างสถานที่เท่านั้น และผมก็มีความสุขดี และทุกครั้งที่เพื่อนชวนผมก็ปฏิเสธไปทุกครั้งเพราะคิดว่าไปกับครอบครัวสบายกว่าเป็นไหนๆ จนกระทั่งผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าในงานฮอนด้า ซัมเมอร์เฟสติวัล ที่หัวหิน เป็นงานเทศกาลดนตรีที่มีผู้คนนับแสนไปสนุกกับคอนเสิร์ตริมทะเลที่เขาตะเกียบ คือผมไม่เคยมาอะไรแบบนี้ เริ่มตั้งแต่นั่งรถไฟฟรีที่ใช้เวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯถึงหัวหินถึง 6 ชั่วโมง ทั้งที่นั่งรถตู้แค่ 2 ชั่วโมงก็ถึง ทั้งที่เคยมาหัวหินกับครอบครัว แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มันเหมือนกับว่าผมไม่เคยมาที่นี่ มีคนมาดูคอนเสิร์ตติดทะเลแสนกว่าคน ไม่มีผู้ปกครอง มีแต่เพื่อนสนิทจากโรงเรียนเก่า 15 คน งานนี้จัดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ผมรู้สึกสนุกและเปิดหูเปิดตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ผมคิดได้ว่าบางทีการหาอะไรที่แปลกใหม่มันก็เยี่ยมเหมือนกันนะ

Team Learning *ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย -ครั้งที่ผมคิดว่าทำงานเป็นทีมได้ดีที่สุดคงเป็นตอนที่ทำงานกลุ่มเพื่อนนำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบผลิตภัณฑ์ส่งออก ในรายวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ ว่าถ้าหากได้มีโอกาสไปนำเสนอสินค้าที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้มีผู้สนใจซื้อเพื่อนำเข้าประเทศของเขานั้นจะต้องทำอย่างไร เนื่องจากพวกเราร่วมกันทำงานกลุ่มมาหลายงานแล้วจึงรู้กันดีว่าใครถนัดในด้านใด องุ่นกับเคเป็นคนหาข้อมูลทางสังคมและสภาพปัจจุบันของการนำเข้าสินค้าของญี่ปุ่น เอ็มเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้า กล้าเป็นผู้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการนำผลิตภัณฑ์เข้าไปขาย อุ๋ย รวมรวบข้อมูลทำPower Point และจัดรูปเล่มรายงานและคอยคุมคอมพิวเตอร์ ผมคิดบทละครและเป็นผู้นำเสนอและก้องกับยะ เป็นตัวฮาประจำกลุ่ม โดยก่อนการเสนอผมคิดว่าเนื่องจากลูกค้าเป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูง และเขาจะสนใจสินค้าของเรายากมากหากว่าไม่มีภาษาญี่ปุ่นอยู่บนผลิตภัณฑ์ ผมจึงขอให้เอ็มทำตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และการนำเสนอจบลงและถูกประกาศคะแนนให้ได้เยอะที่สุดในSec และได้รับคำชมจากอาจารย์ว่ามีการจัดฉากและนำเสนอได้น่าสนใจที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือมีภาษาญี่ปุ่นอยู่บนผลิตภัณฑ์ และตรงนี้แหละที่เราต่างจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน

System thinking *เรารู้สึกได้ว่าที่เราสัมผัสมีระบบที่สุด -มีช่วงที่ผมฝึกงานอยู่ 3 เดือนที่สำนักงานจังหวัดกาฬสินธุ์ งานที่ทางสำนักงานให้ผมทำก็มีอยู่หลายๆเรื่องแต่ว่าในช่วงบ่ายของแต่ละวันสิ่งที่ผมทำเป็นประจำก็คือการไปธนาคาร ซึงไม่ได้ไปเพียงแค่ธนาคารเดียว ผมต้องไปประมาณ 3 ธนาคารในแต่ละวันหรืออาจจะ 5 ด้วยซ้ำในบางวัน ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นความแตกต่างมากในแต่ละธนาคารก็คือระบบต่างๆ ทั้งการจัดการอำนวยความสะดวก หรือการบริการที่รวดเร็ว ในที่นี้ขอพูดถึงแค่ที่รู้สึกว่าดีที่สุดผมคิดว่าเป็นกสิกรไทย เพราะมีการจัดวางระบบที่กล่าวมาข้างต้นได้อย่างดี เดินเข้าไปมีคนต้อนรับข้างหน้าและสอบถามความต้องการในบริการของคุณ และการวางผังตำแหน่งภายในก็ทำให้สามารถหาแผนกที่เราต้องการมาใช้บริการได้ง่าย และมีความรวดเร็วในการให้บริการมากกว่าหลายๆธนาคารอีกด้วย

พลอยไพลิน ร่มพฤกษ์

พลอยไพลิน ร่มพฤกษ์ Young 14 sec 12
เลขประจำตัว 555740058-1 


Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น 

ฉันเป็นคนที่เรียนหนังสือแย่มาก ตั้งแต่อนุบาล – ม.6 ไม่เคยได้เกรดดีๆเลย ช่วยม.ปลายเป็นช่วงที่ลำบากลำบนมาก แต่อาจารย์ทุกคนบอกว่าฉันเป็นคนหัวดีแต่ขี้เกียจ ช่วงชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้พ่อแม่ลำบากใจสุดๆ จนถึงช่วงที่ต้องเข้าหมาวิทยาลัย ฉันลงโควตาไว้ 2 ที่ คือ1 มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาลัยขอนแก่นเป็นความฝันของฉัน เพราะพ่อของฉันจบที่นี่ แล้วพ่อก็เป็นไอดอลของฉัน แบบอยากทำเหมือนพ่อมาก แต่ไม่ติด ฉันติดที่มหาลัยมหาสารคาม (คือผ่านแต่ต้องไปสอบสัมภาษณ์และข้อเขียน) ในใจฉันตอนนั้นคิดว่า ยังไงก็ติดเพราะไม่รู้ว่ามีคนไม่ติด พอถึงวันสอบโอเนต ฉันก็ไม่ตั้งใจ คิดว่าติดแล้ว นอนในห้องสอบจนอาจารย์มาดุ ฉันเลยหงุดหงิดมาก วันต่อมาฉันไม่ไปสอบโอเนต เพราะไม่พอใจอาจารย์ ว่าจะมาอะไรมากมายติดมหาลัยก็ติดแล้ว พอถึงวันไปสอบฉันตกใจมาก คนไปสอบก็เยอะเหมือนกัน แล้วนอกจากสอบสัมภาษณ์ก็มีข้อเขียนอีก ตอนนั้นถ้าไม่ติดฉันคงไม่ได้เรียนหนังสือในมหาลัยของรัฐบาลแน่ แต่พอดีว่าฉันโชคดี หลังจากนั้นฉันก็ตั้งใจเรียนเกรดดีกว่าตอนเรียนหนังสือที่โรงเรียนมาก และรู้สึกว่าการศึกษาไม่ใช่เรื่องยาก จากครั้งนั้นฉันก็พยายามไม่ทำอะไร ที่คนอื่นไม่ทำอีกเลย

Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี 

ฉันเป็นคนชอบสัตว์มาก แต่ฉันไม่เคยทำร้ายมันเลยเพราะฉันกลัวบาป เนื่องจากตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่ชอบบอกว่าห้ามรังแกสัตว์ เห็นแต่เพื่อนๆชอบเล่นจับสัตว์ แต่ฉันไม่กล้าไปเล่นด้วย เพราะมีอยู่ครั้นพี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเห็นฉันยืนดูผีเสื้ออยู่เลยบอกฉันว่า “อย่าไปอยู่ใกล้มันนะ” ฉันก็ถามพี่ว่า “ทำไม” พี่ฉันจึงบอกว่า “ผีเสื้อมันมันมีพิษ ถ้าเราไปจับมันมือจะเปื่อยและถ้าอยู่ใกล้ๆกันมาก มันจะฉี่ใส่ตา ตาก็จะบอดด้วย” นับตั้งแต่วันนั้นฉันไม่ใกล้ผีเสื้ออีกเลย และเป็นคนที่กลังแมลงมาก ทุกวันนี้บางทีมีเพื่อนๆมาเล่าให้ฟังว่า ไปวัดบางทีพระทักว่าเคยรังแกสัตว์รึเปล่า เห็นแมลงบินตามตัว เพื่อนก็บอกว่าเคยเผาแมลงตอนเด็กๆอะไรทำนองนี้ ฉันเลยคิดว่าโชคดีมากที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ถึงจะกลัวๆไปหน่อยแต่ก็ไม่ทำบาป คำพูดของพี่เป็นคำพูดที่ธรรมดามากเลย แต่ฉันคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อฉันมากอย่างน้อยก็ทำให้ฉันเป็นคนดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ทำบาป

Mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น 

ตอนที่ฉันกำลังจะจบมหาลัย ฉันเรียนคณะ Ict ได้ไปฝึกงานที่ กทม. บริษัท Bangkok recycle and reuse ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหลายอย่างมากทั้งรับรื้อถอน ซื้อเศษเหล็ก ขายโทรโข่งเครื่องขยายเสียง และยังมีเว็บไซต์ค้าขาย.คอม จากเด็กนักศึกษาที่ไม่เคยลองทำงานจริง ได้ไปทดลองทำงาน บริษัทนี้ให้อะไรกับดิฉันหลายอย่าง ได้พบเจอคนแบบที่ไม่เคยเจอ ช่วงที่ฉันไปทำงานเป็นช่วงที่น้ำท่วม กทม. ช่วงแรกๆฉันรับหน้าที่ web designer ออกแบบและเขียนเว็บ ที่บริษัทนี้มีกิจการหลายอย่าง ก็ต้องมีเว็บไซต์อยู่เยอะเหมือนกัน ฉันได้ทำงานเยอะกว่าที่เรียนมามาก เจ้าของบริษัทเป็นคนใจดี พี่เค้าให้พี่ๆในแผนกซื้อหนังสือ และอะไรๆมาให้เด็กฝึกงานได้เรียนรู้ พี่เค้าบอกว่า มาที่นี่ไม่ใช่มาฝึกงานแต่อยากให้ได้อะไรกลับไปด้วย อะไรที่สนับสนุนการฝึกงาน ก็ให้บอกให้พี่ๆในแผนกจัดมาให้ นอกจากนั้นพอช่วงน้ำลด ฉันยังได้ออกไปตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้ง 7 นิคม เพื่อไปแจกใบปลิวของบริษัท ได้ไปเห็นโรงงานต่างๆ น่าสงสารมาก บางโรงงานได้คุยกับเจ้าของโรงงานเลย เห็นคนหลายๆประเภท บางที่เจ้าของโรงงานนั่งกินข้าวกับพนักงานเป็นคนสิงคโปร์ เข้าไปคุยกะเค้าเหมือนเค้าเศร้ามาก แต่ก็คุยด้วยดี ฉันเข้าไปติดต่อว่าจะรับซื้อเครื่องจักรที่จมน้ำเจ้าของกิจการบอกว่า ไม่มีอะไรแล้วเหลือแต่ตัวเค้า แต่พูดแบบขำๆ พวกฉันเลยขอตัวออกมา บางโรงงานก็ไม่ให้พบ บางโรงงานพูดดี บางโรงงานก็ไล่พวกฉันออกมา ทำให้เห็นคนในแบบต่างๆ การฝึกงานครั้งนี้เลยทำให้ฉันได้เจออะไรใหม่ๆรู้สึกว่าตัวเองได้เปิดหูเปิดตามากขึ้น

Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย

สมัยตอนที่ฉันเรียนอยู่ ม.4 ห้องของฉันเป็นห้องที่มีปัญหามาก ความคิดเห็นไม่เคยตรงกัน ตอนนั้นโรงเรียนฉันมีกิจกรรมกีฬาสี ทุกๆปีเด็กๆ ม.4 ต้องเดินพาเหรด ห้องฉันอยู่สีแดง แต่ปกติสีเขียวจะเป็นสีที่ชนะตลอดไม่ว่าจะเป็นปีไหนๆก็ตาม  ตอนนั้นฝึกซ้อมหนักมากที่ที่มาซ้อมให้เป็นพี่ ม.5 ฉันเป็นคนที่เสียงดังที่สุดในห้องจึงได้เป็นคนสั่งเพื่อนแต่ต่อมาฉันไม่อยากเดินเลยออกจากการเดินพาเหรดเลย (ในห้องนึงมี 45 คนเดินประมาณ 28 คน) ฉันออกมาเป็นสวัสดิการแทน ตอนนั้นก็มีการทะเลาะกัน มีอะไรหลายๆอย่าง จนใกล้จะถึงเวลาแข่งขันแล้ว เหมือนอะไรๆลงตัวมากขึ้นมีการประชุม จากที่เคยด่ากันก็เปลี่ยนเป็นพูดกันดีๆ มี่เหตุผลมากขึ้น ต่างคนทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันคอยดูแลเพื่อนพอทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด งานวันนั้นออกมาดีมากสีแดงได้ที่ 1 ฉันและเพื่อนๆสนุกและดีใจมาก มันทำให้ฉันเห็นสัจธรรมว่าความสามัคคีมันดีจริงๆ

System thinking เรารู้สึกได้ว่าที่เราสัมผัสมีระบบที่สุด 

เมื่อสมัยที่ฉันเรียนอยู่ม.ปลาย ช่วงนั้น hi5 กำลังฮิตมากในหมู่เด็กๆอย่างฉัน ฉันและเพื่อนๆติดเล่น hi5 มาก มันสุดยอด และพอช่วงใกล้ๆจะจบ ม.6 มีเพื่อนคนนึงมาแนะนำให้ฉันเล่น Facebook คือฉันเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมากแล้ว hi5 ก็ตอบสนองความต้องการของฉันได้มาก เนื่องจากมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน แต่เมื่อมีคนแนะนำฉันเลยลองสมัครใช้ facebook ดู พอฉันเข้ามา ก็ทำอะไรไม่เป็นเห็นใครส่งคำขอมาก็รับหมด พอกดหน้าหลักก็มีของคนนั้นคนนี้อัพเดทเต็มไปหมด ทำให้ฉันเกิดอาการ anti facefook จนเข้ามหาลัย ตอนนั้นฉันกับเพอื่นคนนึงในคณะว่างมากเลยลองเล่น facebook ให้ลึกๆดู ปรากฏว่าฉันเจอกับระบบความเป็นส่วนตัวที่ดีโคตรๆ ดีกว่า hi5 อีก (facebook เก่ามันดีกว่า Timeline ตอนนี้) ยิ่งเล่นลึกๆยิ่งเจอเยอะ อย่างเช่นเราสามารถตั้งไม่ให้คนค้นหาเราเจอ ตั้งได้ว่าจะแสดงประวัติส่วนไหนบ้าง ทุกอย่างสามารถออกแบบได้อย่างใจเรา ฉันซึ่งเรียนเกี่ยวกับคอมอยู่แล้วมองว่า facebook สุดยอด mark zuckerberg เป็นคนที่เก่งมากที่ออกแบบระบบได้ดีขนาดนี้แล้วทุกวันนี้ facebook ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เอาจุดเด่นๆของ Social network หลายๆอันมารวมกัน เป็นระบบที่ดีจริงๆค่ะ 

น.ส. ขวัญลดา ไชยจิตร รหัส 555740020-6 sec.12

*Personal Mastery ตอนเรียนมัธยมหนูจะเป็นประเภทที่ว่าบ้าเรียนพิเศษมาก ศูนย์กวดวิชาดังๆไปเรียนมาหมด ในสมองตอนนั้นเหงเพื่อนเรียนเลยอยากเรียนด้วยกลัวน้อยหน้า ช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ขอแม่มาติวที่ขอนแก่นก่าเพื่อนแม่รังเลว่าจะให้มาดีไหม แม่เลยเล่าให้ฟังว่ามีคนมาพูดกับแม่ว่าให้ลูกไปเรียนมากๆไม่รู้มันไปเรียนรึไปเล่น เรียนมากไม่รู้จะเอ็นท์ติดหรือป่าว พอหนูได้ยินอย่างนั้นเลือดขึ้นหน้าเลย หนูเปงประเภทที่ใครดูถูกไม่ได้ด้วยสิ เลยบอกกับแม่ว่าแม่คอยดูนะลูกจะลบคำดูถูกที่เขาเคยดูถูกหนูให้ได้หนูจะทามให้เขาเห็นว่าหนูไม่ใช่อย่างที่เขาพูด หลังจากนั้นนู๋ก้อเริ่มอ่านหนังสือตั้งใจเรียนมากขึ้นกว่าเดิม จนในที่สุดหนูก็สามารถเอ็นท์ติดโควต้าของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และยังได้ทุนของอำเภอเรียนคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยสารคามด้วย

*Dialogue มีครั้งหนึ่งตอนที่หนูอกหัก จำได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความรัก ช่วงนั้นหนูเอาแต่เก็บตัวเงียบ ไม่พูดไม่คุยกับใคร ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนร่าเริงพูดเก่ง แม่เริ่มสังเกตแล้วว่าหนูเป็นอารายทำไมลูกถึงเป็นแปลกๆผิดปกติแม่เลยไปถามพี่สาวเลยรู้เรื่องราวทั้งหมด ปกติหนูจะนอนก่าพี่สาวแต่วันนั้นแม่ไล่พี่สาวออกจากห้องแล้วเข้ามาคุยก่าหนูแม่บอกว่าแม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แม่ไม่อยากให้หนูเป็นแบบนี้ เขาไม่รักเราหนูก้อยังมีพ่อกับแม่มีเจ้อิ๋ม มีฮอทน้องชายและอีกหลายๆคนที่รักหนู การที่หนูทำแบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้เขากลับคืนมารักหนูนะ มีแต่เขาจะสมเพศเวทนาหนูมากกว่า ทำไมหนูไม่หันมาทำให้เขาเสียดายล่ะที่เขาทิ้งหนูไป แม่บอกแม่ไม่เคยร้องไห้ให้กับผู้ชายคนไหนยกเว้นคุณตา แม่รักหนูนะไม่อยากให้หนูเป็นแบบนี้ กลับมาเป็นคนเดิมเร็วๆนะลูก คำพูดวันนั้นทำให้หนูอยากเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้เพื่อให้เขาเสียดายที่ทิ้งหนูไป และผู้ชายคนที่หนูจะร้องไห้ให้ก็จะมีแต่พ่อหนูคนเดียว

*Mental model เมื่อไม่นานมานี้หนูได้แอบไปทำงานพิเศษมาซึ่งที่บ้านไม่ให้ทำ หนูได้ไปเป็นพนักงานร้านเค้กแห่งหนึ่ง ทำงาน10โมงเช้า เลิกงานไม่เปงเวลาบ้างก้อเลิก6โมงเย็น บ้างก้อเลิกตอนร้านปิด ซึ้งงานที่ทามไม่ถือว่าหนักมากแต่ด้วยความที่ต้องเดินบ่อยเลยทำให้เมื่อย วันแรกที่ทามงานกลับมาที่ห้องเดินแทบจะไม่ไหว บางวันก็เจอลูกค้าที่ชอบดูถูกเด็กเสิร์ฟ บ้างก็ใช้สายตา บ้างก็ใช้คำพูดสารพัดเลยล่ะ แต่ทำไงได้ในเมื่อเราอยากทำงานเอง การทำงานครั้งนี้ก้อทำให้หนูเขาใจคำว่าคุณค่าของเงินมากขึ้น กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายไปเท่าไหร่กว่าจะได้มา ได้เรียนรู้การปรับตัวเข้าหาเพื่อนร่วมงาน และอดทนอดกลั้นต่อแรงกดดันรอบข้างที่เราเจอ

*Team Learning
ก่อนเรียนจบป.ตรีได้มีการทำสัมนาการเงินซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายที่ต้องเรียน ซึ่งในกลุ่มจะมีสมาชิก4คนแต่ล่ะคนจะได้ทำในหัวข้อที่ตนเองได้รับมอบหมาย ในช่วงที่ทำสัมนาเราก้อจะมีการนัดหมายกันทำงานร่วมกานเกือบทุวันบางวันจนสว่างก็มี บางวันบ้างก้อมีทะเลาะเพราะว่าความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เราก้อผ่านจุดนั้นมาได้ และเมื่องานของใครเสร็จก่อนก้อจะมาช่วยเพื่อนๆทำงานหรือไม่ถ้าใครหาขอมูแล้วเจอข้อมูลในหัวข้อที่เกี่ยวกับข้อมูลของบริษัทเราก็จะเอาข้อมูลมาแชร์กัน ทำให้การทำงานของเราดำเดินงานไปด้วยดี และงานสัมนาของพวกเราเสร็จทันส่งแถมพรีเซ็นผ่านในวันแรกที่มีการพรีเซ็นเลย

System Thinking มีช่วงประมาณปี2หนูป่วยหนักจนได้เข้าโรงพยาบาล ไปถึงสิ่งเขาก้อให้หนูกรอกประวัติ สอบถามอาการว่าหนูเป็นอะไร แพ้ยาอะไรหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ส่งประวัติหนูเข้าห้องตรวจเพื่อบอกอาการเบื้องต้นให้แพทย์ผู้ตรวจรู้ พอตรวจเสร็จหมอก็บอกว่าหนูต้องค้างคืนนะเพื่อหมอจะได้ดูอาการอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นเขาก็ส่งตัวหนูไปแผนกผู้ป่วยใน หนูนอนที่โรงพยาบาลประมาณ3คืนได้ ตอนกลางคืนก็มีการสลับเวรการทั้งหมอและพยาบาล พอถึงวันที่หนูต้องออกจากโรงพยาบาลหมอได้เข้ามาตรวจครั้งสุดท้ายเพื่อจะดูอาการและสั่งยา ใบสั่งยาหนูถูกส่งไปที่แผนกจ่ายยาแต่ก่อนที่จะรับยาได้ทางโรงพยาบาลให้หนูไปที่ห้องการเงินเพื่อจ่ายตังค์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วนำใบเสร็จจ่ายเงินนั้นมารับยาที่แผนกจ่ายยา จากนั้นหนูรับยาเสร็จแล้วก็กลับบ้าน

คัทรียา ศรีใส MBA Y#14 Sec 11 ,555740002-8

คัทรียา ศรีใส Sec11, 555740002-8

Personal Mastery เมื่อก่อนแม่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าที่บ้านแม่ไม่ใช่คนมีเงินอะไร แม่มีพี่น้อง 4 คนรวมแม่ แม่บอกว่าแม่ต้องทำงานทุกอย่างหาเงินเพื่อส่งตัวเองเรียน พอเรียนจบมาก็หาทางมาสอบบรรจุครูเอง ทำอะไรเองทุกๆอย่าง โดยตากับยายไม่ได้ support อะไรมากมาย แม่ฉันเป็นคนขยันมาก ฉันเห็นแม่ทำงานทุกอย่างโดยไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่แม่และภรรยาที่ดี ในเวลา 24 ชั่วโมงที่เท่ากับทุกคน แม่สามารถบริหารเวลาได้อย่างดีเยี่ยมทั้งงานประจำและธุรกิจแม่จัดการได้หมด (จะพูดง่ายๆ คือแม่หาเงินเก่งมาก) เมื่อฉันเห็นตัวอย่างจากแม่ ทำให้ฉันมองย้อนตัวเอง แต่ก่อนแม่มาจากไม่มีอะไร สู้มาจนทุกวันนี้ให้เรามีทุกอย่างเพียบพร้อมไม่น้อยหน้าใคร แล้วตัวเราซึ่งมาจากครอบครัวที่ดี มีพร้อมทุกอย่าง ทำไมจะได้ดีไม่ได้ ต้องได้ดีกว่าแม่ รวยกว่า มีเงินเยอะกว่า ทำงานที่ดีกว่า ให้พ่อกับแม่สบายกว่านี้ นี่แหละ คือเป้าหมายที่ตั้งใจจะทำมาตลอดและต้องทำให้สำเร็จ

Dialogue สมัยเรียนปริญญาตรี ปีหนึ่งกำลังจะขึ้นปีสอง เกิดประสบอุบัติเหตุถูกรถชน สลบคาที่ สมองบวม แขนซีกซ้ายใช้การไม่ได้ ตอนที่ฟื้นขึ้นมารู้สึกว่าทำไมเราไม่ตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ท้อและเสียใจในชะตาชีวิตมาก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับมาเหมือนเดิมมั้ย ต้องหยุดเรียนเป็นเทอม เพื่อกายภาพตัวเอง ร้องไห้ทุกวัน แม่ต้องลาโรงเรียนเพื่อมาดูแล วันหนึ่งพอดีไปเห็นพ่อร้องไห้สงสารเรา ก็เลยคิดว่า ถ้าเราเป็นแบบนี้ นอกจากสุขภาพจิตเสียแล้ว ร่างกายไม่ดีขึ้น ทั้งยังทำให้คนรอบข้างพลอยสุขภาพจิตเสียไปด้วย ก็เลยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกับความคิดใหม่ เริ่มไม่ร้องไห้ เวลาว่างๆก็กายภาพแขนยกดัมเบล เริ่มจากน้ำหนักน้อยๆแล้วเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนเย็นก็ไปกายภาพที่คลินิก ทำอย่างนี้อยู่ประมาณเกือบครึ่งปี พอร่างกายดีขึ้น ก็ได้กลับไปเรียนเหมือนเดิม

Team learning: เมื่อสมัยเรียนปริญญาตรี ได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวด โครงการกรุงไทยต้นกล้าสีขาว ซึ่ง ณ ตอนนั้นที่คิดจะเข้าประกวด มีสมาชิกในทีมเพียงสองคน คือ ตัวเองและเพื่อนอีกคน เรากับเพื่อนอีกคนจึงคิดได้ว่าต้องหาสมาชิกเพิ่มแล้ว จึงเริ่มขบวนการล่าสมาชิกเข้าทีมเกิดขึ้น สมาชิกคนแรกที่ตามล่ามาได้เป็นนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (พี่นัด) เพราะต้องการคนสำหรับออกแบบป้ายไวนิลและโปสเตอร์และเราก็ได้รุ่นพี่สมาชิกเพิ่มอีกคนพ่วงมาด้วย (พี่ปอง) นิสิตคณะเภสัชกรรมศาสตร์ พี่เค้าดูแลเกี่ยวกับข้อมูลด้านสมุนไพรที่ใช้ในการอบ และสมาชิกคนสุดท้ายจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มาช่วยดูแลเกี่ยวกับการลดการใช้พลังเชื้อเพลิงและหม้อต้มสมุนไพร เราทำโครงการเกี่ยวกับชุมชนโดยร่วมกับวัด เนื่องจากวัดมีห้องอบสมุนไพร แต่มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการระบบเงินของวัด คือ ทางวัดไม่ได้เรียกเก็บเงินในการเข้าอบสมุนไพร เพียงแต่ทำเป็นกล่องรับบริจาค ซึ่งปัญหาที่พบคือ บางคนก็บริจาค บางคนก็ไม่บริจาค ทำให้รายได้ของวัดไม่คงที่ และทางวัดต้องจ้างคนมาดูแลเตาอบสมุนไพรและซื้อสมุนไพรที่ใช้ในการอบ ดังนั้นทางที่แก้ปัญหาได้ทางหนึ่งคือ ต้องหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณคล้ายกัน และสามารถปลูกเองได้ภายในวัด เพื่อลดค่าใช้จ่าย เป็นต้น เป็นการทำงานที่มีปัญหาต้องแก้ไขตลอดเวลา เพราะเราต้องทำงานร่วมกับคนหมู่มาก คือทั้งชุมชนและวัด ซึ่งมีปัญหาคือ มีชาวบ้านที่สนับสนุนให้ทางวัดทำห้องอบสมุนไพรต่อ และฝ่ายที่ไม่ต้องการให้วัดทำห้องอบสมุนไพร เนื่องจากเกี่ยวกับรายได้ของวัดและบริเวณที่ของวัดที่จะนำมาใช้ในการปลูกสมุนไพร แต่เราก็ผ่านมาด้วยดี เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ถือเป็นการทำงานที่ต้องใช้ความร่วมมือของทุกฝ่ายจริงๆ

Mental model เมื่อตอนเรียนปริญญาตรีกำลังจะขึ้นปีสาม ช่วงปิดเทอมเดือนมีนาคม มีโอกาสได้เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาโดยไม่รู้ตัวในช่วงแรก (เพราะแม่ไม่ยอมบอก) มารู้ตอนที่จะไปทำวีซ่า พอถึงวันที่ต้องเดินทาง แม่กับอามาส่งที่สนามบินก็เริ่มคิดว่าเราต้องไปอยู่ที่นั่น 3 เดือนไปพักอยู่กับครอบครัวของป้า (ตอนนั้นรู้สึกไม่อยากไปเลย) เพราะว่าต้องเดินทางไปคนเดียว เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก ในใจก็คิดว่าจะไปถึงมั้ยเนี้ย ภาษาก็ไม่แข็งแรงจะรอดมั้ยเนี้ย พอขึ้นเครื่องเท่านั้น น้ำตาไหลไม่หยุด จากไทยไปญี่ปุ่นประมาณ 5-6 ชั่วโมง ร้องไห้ตลอดการเดินทาง เพราะต้องไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น (นาริตะ) ตอนนั้นรู้สึกว้าเหว่มาก จะไปถามใครเนี้ย โชคดีมากที่เจอพี่คนไทยที่จะไปเยี่ยมลูกที่อเมริกาเหมือนกัน เราก็เลยได้พึ่งพาอาศัยพี่เค้า (ขอบคุณมากๆค่ะ แต่ก็ต้องขอโทษที่จำชื่อพี่ไม่ได้) พอไปถึงสถานบิน Dallas-Fort Worth ป้ากับลุงก็มารับ ตอนนั้นตื่นเต้นมากและรู้สึกดีใจมากที่ได้พบป้ากับลุง (ในที่สุดก็มาถึง) มาอยู่ที่นี่สามเดือนเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรามาก ได้มีโอกาสไปดู Rodeo Show ไปตลาดเวียดนาม (ก๋วยเตี๋ยวชามละสองร้อยกว่าบาท แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าก๋วยเตี๋ยวแชมป์) แล้วก็มีโอกาสได้เห็นหิมะของจริงครั้งแรก ป้ากับลุงพาไปเที่ยวโคโลราโด สนุกมาก พอมานึกย้อนถึงตอนนั้นก็ทำให้รู้สึกว่า “โชคดีจริงๆที่เกิดเป็นลูกแม่” ถ้าไม่มีแม่คงไม่ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา เปิดโลกขนาดนี้ เพราะตัวเองไม่เคยคิดอยากจะไปที่ไหนเลย นอกเหนือจากอยู่ในประเทศไทย

System Thinking ช่วงปีสามจะขึ้นปีสี่ นิสิตต้องไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ซึ่งตัวเราเองได้มีโอกาสไปฝึกงานที่กระทรวงต่างประเทศ ครั้งแรกที่เข้าไปทุกคนต้องแลกบัตรเพื่อที่จะเข้าไปในกระทรวง ตอนที่เดินไปดูเหมือนทุกอย่างกว้างใหญ่มาก (เดินเข้าไปหลายคน แต่ยังไม่รู้จักใครเลย) ในวันแรกทางกระทรวงจะเรียกนักศึกษาฝึกงานเข้ามารายงานตัวและเข้าอบรม เพื่อแยกให้แต่ละคนรู้ว่าเราต้องไปฝึกที่กรมไหน ซึ่งรายชื่อเราไปอยู่ที่ Tica (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) และก็ได้รู้จักกับเพื่อนที่มาจาก มช.และ มน. ซึ่งจะได้มาฝึกที่กรมเดียวกัน ภายในกรมจะมีการแยกแผนกออกย่อยไปอีก (เท่าที่จำได้) จะมี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออก, เอเชียใต้, เอเชียกลาง, เอเชียตะวันตกเฉียงใต้,เอเชียเหนือ ซึ่ง Tica มีหน้าที่ในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนับสนุนด้านทุนการศึกษา โรงพยาบาล ถนน สะพาน การบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น จะเห็นได้ว่างานเยอะมาก แต่ก็สามารถจัดระบบการทำงานในกรมได้อย่างมีระเบียบ มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ทำให้ไม่ทำงานซ้ำซ้อนกัน

น.ส.ฉัฐพร ภูครองหิน Y#14 sec.12 รหัส 555740026-4

Personal Mastery ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีเงินเก็บเป็นของตัวเอง เมื่อเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งซึ่งก็ยังไม่ถึงเป้าที่วางไว้ ก็มักจะนำไปซื้อของที่อยากได้ก่อน ซึ่งมักจะเป็นสินค้าตามกระแสนิยมเพราะที่บ้านจะไม่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยให้ ช่วงปี 3วันหนึ่งไปนั่งตากแอร์เล่น ที่ห้องสมุดของคณะ มองไปเห็นพวกหนังสือแนะนำ เป็นหนังสือของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร “สอนเพื่อนให้รวย” ลองหยิบมาอ่านดู ยอมรับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่อ่านจนจบ รู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก กลับมานึกทบทวนตัวเองดู ตอนนี้มีอะไรบ้าง นอกจากหาเงินเองไม่ได้แล้ว ยังไม่มีเงินเก็บจากที่พ่อแม่ให้อีก จึงเริ่มตั้งเป้าหมาย เริ่มวางแผนให้กับชีวิตอย่างจริงจัง ตอนนี้มีเงินเก็บเป็นของตัวเองและมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว ขอบคุณหนังสือเล่มนี้จริงๆจากใจ

Dialogue เป็นคนเรียนไม่เก่งและไม่ขยัน มักจะคิดอยู่เสมอว่าเรียนให้ผ่านๆไปในแต่ละปี แต่แล้วเมื่อตอนอยู่ปี 4 คุณพ่อเริ่มไม่สบาย ผอมและเหนื่อยง่าย มีประโยคหนึ่งที่คุณพ่อพูดกับคุณแม่ว่า “ถ้าพ่อเกษียณไป พ่อจะเอาบำเหน็จนะ จะเอาไว้ให้ลูก พ่อกลัวว่าพ่อจะอายุไม่ยืน” เราเริ่มกลับมาคิดทบทวนตัวเองว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่?? เป็นจังหวะที่พี่ชายเรียนจบโทและได้กลับมาทำงานใกล้บ้านและได้เงินค่อนข้างดี คุณแม่จึงอยากให้เราเรียนต่อเพื่อให้ได้ดีแบบพี่ชาย เราจึงพยายามตั้งใจอ่านหนังสือ ตอนนี้ถือว่าก้าวข้ามมาอีกขั้น ซึ่งมันทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุขและเราก็รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ได้เรื่องสักอย่าง อย่างน้อยวันนี้ก็ทำให้ครอบครัวได้เห็นว่าเราตั้งใจและทำมันได้

Mental model มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ กท เป็นครั้งแรกที่ไปอยู่ยาวๆเป็น 3-4 เดือน ก่อนไปก็คิดว่าการเดินทางคงลำบากน่าดู เพราะพักบ้านเพื่อนแถวลาดพร้าวแต่ที่ทำงานอยู่สีลม ชีวิตคงเหนื่อยหน่อยแต่ก็ทนๆเอา ช่วงไปอยู่แรกๆก็พยายามหาวิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดและพบว่า การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินช่วยเราได้เยอะมาก ช่วยลดเวลาไปได้เยอะ แต่ชีวิตก็ยังต้องเร่งรีบตามสไตล์คนเมืองอยู่ดี ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยตลอด 3-4 เดือนที่อยู่ กท แต่ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์อย่างมากในการใช้ชีวิตในอีกหนึ่งรูปแบบซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อน ได้ทำอะไรใหม่ๆใช้ชีวิตแบบใหม่ ซึ่งถือว่าประสบการณ์ทุกอย่างที่ได้นำมาปรับใช้ได้ในทุกๆเรื่อง ขอบคุณกรุงเทพมหานคร เมืองที่ไม่เคยหลับ

Team Learning ตอนปี 3 มีเรียนเกี่ยวกับการจัดเลี้ยง อาจารย์ให้สร้างร้านอาหารใต้คณะเปิดขาย 2 วันและแข่งกับเพื่อนอีก 2 ร้าน โดยจะต้องมีรูปแบบร้านที่ชัดเจนตรงตามคอนเซปต์ที่วางเอาไว้ เรามีการวางแผนกันในกลุ่มอย่างชัดเจนว่าใครจะทำอะไรในวันแรกและวันที่สอง ผ่านการขายอาหารไป 2 วัน มีเพื่อนๆหลายกลุ่มที่ขาดทุนเพราะหมดไปกับของตกแต่งร้าน แต่กลุ่มของเราไม่ขาดทุนและได้กำไรนิดหน่อยแต่มันไม่ใช่ประเด็น เพราะแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วเพราะเราได้ร่วมมือกัน ลงทุนลงแรงด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก

System thinking ตอนปี 4 มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่บริษัททัวร์เก่าแก่ที่เน้นการทัวร์ในญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งเจ้าของก็เป็นคนญี่ปุ่น ระบบการทำงานจึงค่อนข้างเป็นระบบและมีระเบียบมาก ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเองและในขณะเดียวกันก็คอยซับพอร์ตคนอื่นไปในตัว ตั้งแต่การสร้างโปรแกรมทัวร์ เคาะราคา ขายลูกค้า แม้ช่วงที่ไปฝึกงานจะมีปัญหาด้านน้ำท่วมแต่ก็ยังลูกค้าเข้ามาตลอด ปัจจุบันมีการเปิดบริษัทในเครืออีก 1 บริษัทเน้นภาพลักษณ์ที่สดใส พนักงานเป็นวัยรุ่น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด เพราะมีลูกค้าบางกลุ่มคิดว่าบริษัทเดิมเปิดมานานจนเป็นทัวร์คนแก่

วรารัตน์ วงศ์เตชะ Sec 12 555740074-3

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น?

  ฉันทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพประจำหอผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นเนลมานานกว่า 3 ปี   มุ่งมั่นและตั้งใจทำงานตามประสาเด็กจบใหม่ไฟแรง  ได้ทำงานในสายงานที่ตนได้ตั้งใจเรียนมาจนจบ แต่เมื่อเวลานานผ่านไป แม้ว่าสวัสดิการและรายได้จะเพียงพอในการดำรงชีวิต ได้ร่วมงานกับองค์กรที่มีระบบที่ดีอยู่แล้ว    แต่ฉันยังมองไม่เห็นทางที่จะทำให้อาชีพของฉันมีความเจริญก้าวหน้า มากกว่าการได้เป็นแค่มนุษย์เงินเดือน        แม้ว่าเราจะดูแลคนไข้ดีเพียงใด  คนไข้ต้องจ่่ายค่ารักษาพยาบาลมากเพียงใดก็ตาม  แต่ผลกำไรทั้งหมดกลับตกอยู่ที่เจ้าของกิจการที่ไม่ใช่ฉันผู้ที่ให้การดูแลคนไข้โดยตรง กับเงินเดือนและค่าตอบแทนที่ได้มา มันคุ้มไหมกับ     การต้องพักผ่อนไม่เป็นเวลาสาเหตุแห่งการบรรธรณ์ร่างกายของตนเอง  หาเวลาส่วนตัวให้ตนเองและครอบครัว    ไม่ได้
  อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่ฉันยังรักและภาคภูมิใจเสมอทุกครั้งที่คิดถึงมัน แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ฉันจึง    ตัดสินใจลาออกเพื่อมาศึกษาต่อ โดยหวังว่าตนเองควรจะมีความรู้ทางด้านอื่นเพิ่มมากกว่ากลับไปศึกษาทางการ   แพทย์ต่อ ฉันจึงตัดใจเลือกเรียนต่อMBAเพื่อหวังว่าจะได้นำความรู้ใหม่ๆที่ได้มาทำให้ได้มีกิจการเป็นของตนเอง  แม้ว่าใครๆก็มักจะพูดกับฉันเสมอว่า  จบทางการแพทย์มาจะเรียนบริหารได้ยังไง หากตั้งใจจะเรียนต่อต้องก็เลือกเรียนต่อทางการแพทย์สิ  ฉันกลับคิดสนทางว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป  และฉันยังคงมีความมุ่งมั่นและตั้งใจเสมอว่าทำไมจะเรียนไม่ได้ นี้เป็นโอกาสอันดีมากกว่าที่จะได้ศึกษาเรียนรู้หาความรู้และสิ่งแปลกใหม่ให้  เข้ามาในชีวิต

Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี?

    กว่าฉันจะเจาะเลือดคนไข้ได้ต้องใช้เวลาในการฝึกนานมาก  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันทำคนไข้เจ็บมากกว่า 1 ครั้งในการเจาะเลือด  คนฉันรู้สึกท้อไม่อยากไปขึ้นหอผู้ป่วยเพื่อฝึกงานและรู้สึกผิดที่ทำคนไข้เจ็บหลายๆรอบ  ในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ในกลุ่มฉันฝึกแค่คนละไม่กี่ครั้งก็ทำได้แล้ว   เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของฉันสังเกตุเห็นว่าฉันเริ่มรู้สึกท้อกับการเจาะเลือด  อาจารย์จึงได้พูดกับฉัน 1 ประโยคว่า  คนเราจะทำอะไรได้ดีสักอย่างต้องเกิดจากการฝึกฝนและต้องสร้างความเชื่อให้กับตนเองก่อนว่าเราาทำได้  หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ทำได้  และทำได้ดีกว่าเพื่อนๆหลายๆคน  จนคนไข้จำได้ว่าหากต้องเจาะเลือดต้องขอให้ฉันเจาะให้เท่านั้นเพราะว่าเจ็บน้อยมาก  ต้องขอบคุณอาจารย์ที่พูดให้ฉันคิดและมุ่งมั่นทำมันจนสำเร็จได้

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น?

     มีโอกาสได้ไปดูงานก่อนเรียนจบที่ รพ.บำรุงราษรฎร์  รู้สึกว่าโรงพยาบาลที่เราเคยเข้าใจ  ที่เคยเห็นตอนฝึกงานว่าเป็นเพียงสถานที่ๆ ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้นจึงจะมา  เป็นสถานที่ที่ใครๆก็ปรารถนาว่าไม่อยากจะมาหากไม่มีความจำเป็น  เพราะสมัยที่ฉันฝึกงานนั้น  ฉันฝึกงานตามโรงพยาบาลรัฐบาล   แต่พอได้ก้าวเข้าไปดูงานที่นี้  ความคิดฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป  โรงพยาบาลที่นี่ให้การบริการระดับ 8 ดาว ให้การดูแลลูกค้าเหมือนโรงแรม  โรงพยาบาลในความคิดของฉันที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วย  น่าสงสาร ก็เริ่มเปลี่ยนไป   เป็นสถานที่ที่ทำให้ทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ดูไม่เครียด  ฉันจึงตั้งใจไว้ว่าห่กเรียนจบจะต้องเข้าทำงานที่โรงพยาบาลนี้  แล้วฉันก็ทำมันได้  รพ.นี้เป็นโรงพยาบาลที่สามารถลบภาพโรงพยาบาลที่แสนน่าเบื่อในแบบที่ฉันเคยเห็นในอดีตมาก่อนได้

Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย?

 จากที่เคยเป็นพยาบาลมาก่อน วันนั้้นจำได้ว่าฉันทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเวร  ขณะที่ทุกคนกำลังปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของตนเองอยู่นั้น ฉันก็ได้รับแจ้งจากแม่ของคนไข้ที่เป็นเด็กผู้ชายอายุ 1 ปี นอนชัก ตาค้างอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย  ฉันในฐานะหัวหน้าเวร ต้องเป็นผู้ประสานงานกับแพทย์เจ้าของไข้  และเจ้าหน้าทางการแพทย์ทุกคนที่เกี่ยวข้องในทีมช่วยชีวิต  ฉันสามารถประสานงานและช่วยเด็กชายคนนั้นกับทีมงานได้เสร็จภายใน 3 นาที โดยทีมแพทย์ได้สรุปว่าเด็กชายคนนี้ชักจากเนื้องอกในสมองเฉียบพลัน  ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน  หากได้รับการวินิจฉัยที่ช้ากว่านี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉันภูมิใจมากที่ตนเองมีส่วนร่วมในทีมในการช่วยชีวิตเด็กชายคนนี้

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี? 

  ได้มีโอกาสได้ไปรับทำงานพิเศษคือดูแลลูกชาวต่างชาติที่มาพักที่โรงแรมแมนดารินโอเรียนเตน     ฉันไปในฐานะ Baby sister ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาพักที่นี่จะมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงพักร้อนจะมีการจัดเวลาในการเที่ยวและใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานครเป็นอย่างดี โดยทางโรงแรมจะออกกฏว่าหากมีเด็กมาด้วย    ห้ามปล่อยทิ้งไว้ในห้องเพียงลำพัง  ลูกค้าต้องการออกไปซอปปิ้งซื้อของฝากกลับประเทศ จึงทิ้งลูกไว้ให้ฉันดูแลทั้งวัน นอกจากฉันจะได้   ดูแลเด็กแล้ว  ฉันยังได้ถือโอกาสนี้ดูการทำงานของพนักงานโรงแรมไปด้วย  มันทำให้ฉันทึ่งและไปโม้ต่อกับเพื่อนๆได้นานเป็นเดือนเลยโดยที่ไม่เบื่อเลยสักครั้งที่พูดถึงมัน  
   เริ่มจากแผนก House-keeping ฉันต้องไปเซนชื่อก่อนเริ่มทำงาน  แม้จะเป็นแค่ back office แต่หนักงานทุกคนใส่เครื่องแบบถูกต้อง ผมรวบตึง จัดทรง ใส่คัทชูทุกคน  ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์หรือต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน จะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษแม้เป็นเพียงการทักทายทั่วไปก็ตาม  โต๊ะทำงานเป็นระเบียบไม่มีแก้วน้ำชากาแฟวางอยู่ข้างๆ เหมือนback officeส่วนใหญ่ที่ฉันเคยเจอ
    Butler จากหน้าตาที่ฉันประเมินได้อายุน่าจะเกิน 40ปีกันหมดแล้ว  คนเก่าคนแก่ที่รักองค์กรและอาชีพ    นี้มาก แค่เสียงลูกบิดประตูห้องพักลูกค้าดัง มือจะต้องไปกดลิฟท์รอโดยอัตโนมัติ ฉันมีโอกาสได้คุยกับbutlerจึงได้ถามไปว่า  ทำไมระบบของพนักงานที่นี่ดีจัง  พี่เขาตอบฉันมาว่า  ทำงานกันแค่วันละ 8 ชม.เอง ยังไงทุกคนก็ต้องเต็มที่กับตรงนี้  
      ฉันมีโอกาสยกตัวอย่างแค่ 2 แผนก  แต่โดยรวมของการให้บริการของที่นี่  เห็นแล้วมันน่าทึิงมาก  เป็นระบบที่ดีจริงๆ

วรารัตน์ วงศ์เตชะ

55500740074-3  sec.12


Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น?      ฉันทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพประจำหอผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นเนลมานานกว่า 3 ปี   มุ่งมั่นและตั้งใจทำงานตามประสาเด็กจบใหม่ไฟแรง  ได้ทำงานในสายงานที่ตนได้ตั้งใจเรียนมาจนจบ แต่เมื่อเวลานานผ่านไป แม้ว่าสวัสดิการและรายได้จะเพียงพอในการดำรงชีวิต ได้ร่วมงานกับองค์กรที่มีระบบที่ดีอยู่แล้ว    แต่ฉันยังมองไม่เห็นทางที่จะทำให้อาชีพของฉันมีความเจริญก้าวหน้า มากกว่าการได้เป็นแค่มนุษย์เงินเดือน        แม้ว่าเราจะดูแลคนไข้ดีเพียงใด  คนไข้ต้องจ่่ายค่ารักษาพยาบาลมากเพียงใดก็ตาม  แต่ผลกำไรทั้งหมดกลับตกอยู่ที่เจ้าของกิจการที่ไม่ใช่ฉันผู้ที่ให้การดูแลคนไข้โดยตรง กับเงินเดือนและค่าตอบแทนที่ได้มา มันคุ้มไหมกับ     การต้องพักผ่อนไม่เป็นเวลาสาเหตุแห่งการบรรธรณ์ร่างกายของตนเอง  หาเวลาส่วนตัวให้ตนเองและครอบครัว    ไม่ได้      อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่ฉันยังรักและภาคภูมิใจเสมอทุกครั้งที่คิดถึงมัน แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ฉันจึง    ตัดสินใจลาออกเพื่อมาศึกษาต่อ โดยหวังว่าตนเองควรจะมีความรู้ทางด้านอื่นเพิ่มมากกว่ากลับไปศึกษาทางการ   แพทย์ต่อ ฉันจึงตัดใจเลือกเรียนต่อMBAเพื่อหวังว่าจะได้นำความรู้ใหม่ๆที่ได้มาทำให้ได้มีกิจการเป็นของตนเอง  แม้ว่าใครๆก็มักจะพูดกับฉันเสมอว่า  จบทางการแพทย์มาจะเรียนบริหารได้ยังไง หากตั้งใจจะเรียนต่อต้องก็เลือกเรียนต่อทางการแพทย์สิ  ฉันกลับคิดสนทางว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป  และฉันยังคงมีความมุ่งมั่นและตั้งใจเสมอว่าทำไมจะเรียนไม่ได้ นี้เป็นโอกาสอันดีมากกว่าที่จะได้ศึกษาเรียนรู้หาความรู้และสิ่งแปลกใหม่ให้  เข้ามาในชีวิต      

Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี?        กว่าฉันจะเจาะเลือดคนไข้ได้ต้องใช้เวลาในการฝึกนานมาก  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันทำคนไข้เจ็บมากกว่า 1 ครั้งในการเจาะเลือด  คนฉันรู้สึกท้อไม่อยากไปขึ้นหอผู้ป่วยเพื่อฝึกงานและรู้สึกผิดที่ทำคนไข้เจ็บหลายๆรอบ  ในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ในกลุ่มฉันฝึกแค่คนละไม่กี่ครั้งก็ทำได้แล้ว   เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของฉันสังเกตุเห็นว่าฉันเริ่มรู้สึกท้อกับการเจาะเลือด  อาจารย์จึงได้พูดกับฉัน 1 ประโยคว่า  คนเราจะทำอะไรได้ดีสักอย่างต้องเกิดจากการฝึกฝนและต้องสร้างความเชื่อให้กับตนเองก่อนว่าเราาทำได้  หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ทำได้  และทำได้ดีกว่าเพื่อนๆหลายๆคน  จนคนไข้จำได้ว่าหากต้องเจาะเลือดต้องขอให้ฉันเจาะให้เท่านั้นเพราะว่าเจ็บน้อยมาก  ต้องขอบคุณอาจารย์ที่พูดให้ฉันคิดและมุ่งมั่นทำมันจนสำเร็จได้           

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น?         มีโอกาสได้ไปดูงานก่อนเรียนจบที่ รพ.บำรุงราษรฎร์  รู้สึกว่าโรงพยาบาลที่เราเคยเข้าใจ  ที่เคยเห็นตอนฝึกงานว่าเป็นเพียงสถานที่ๆ ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้นจึงจะมา  เป็นสถานที่ที่ใครๆก็ปรารถนาว่าไม่อยากจะมาหากไม่มีความจำเป็น  เพราะสมัยที่ฉันฝึกงานนั้น  ฉันฝึกงานตามโรงพยาบาลรัฐบาล   แต่พอได้ก้าวเข้าไปดูงานที่นี้  ความคิดฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป  โรงพยาบาลที่นี่ให้การบริการระดับ 8 ดาว ให้การดูแลลูกค้าเหมือนโรงแรม  โรงพยาบาลในความคิดของฉันที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วย  น่าสงสาร ก็เริ่มเปลี่ยนไป   เป็นสถานที่ที่ทำให้ทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ดูไม่เครียด  ฉันจึงตั้งใจไว้ว่าห่กเรียนจบจะต้องเข้าทำงานที่โรงพยาบาลนี้  แล้วฉันก็ทำมันได้  รพ.นี้เป็นโรงพยาบาลที่สามารถลบภาพโรงพยาบาลที่แสนน่าเบื่อในแบบที่ฉันเคยเห็นในอดีตมาก่อนได้


Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย?     จากที่เคยเป็นพยาบาลมาก่อน วันนั้้นจำได้ว่าฉันทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเวร  ขณะที่ทุกคนกำลังปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของตนเองอยู่นั้น ฉันก็ได้รับแจ้งจากแม่ของคนไข้ที่เป็นเด็กผู้ชายอายุ 1 ปี นอนชัก ตาค้างอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย  ฉันในฐานะหัวหน้าเวร ต้องเป็นผู้ประสานงานกับแพทย์เจ้าของไข้  และเจ้าหน้าทางการแพทย์ทุกคนที่เกี่ยวข้องในทีมช่วยชีวิต  ฉันสามารถประสานงานและช่วยเด็กชายคนนั้นกับทีมงานได้เสร็จภายใน 3 นาที โดยทีมแพทย์ได้สรุปว่าเด็กชายคนนี้ชักจากเนื้องอกในสมองเฉียบพลัน  ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน  หากได้รับการวินิจฉัยที่ช้ากว่านี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉันภูมิใจมากที่ตนเองมีส่วนร่วมในทีมในการช่วยชีวิตเด็กชายคนนี้


System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี?       ได้มีโอกาสได้ไปรับทำงานพิเศษคือดูแลลูกชาวต่างชาติที่มาพักที่โรงแรมแมนดารินโอเรียนเตน     ฉันไปในฐานะ Baby sister ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาพักที่นี่จะมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงพักร้อนจะมีการจัดเวลาในการเที่ยวและใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานครเป็นอย่างดี โดยทางโรงแรมจะออกกฏว่าหากมีเด็กมาด้วย    ห้ามปล่อยทิ้งไว้ในห้องเพียงลำพัง  ลูกค้าต้องการออกไปซอปปิ้งซื้อของฝากกลับประเทศ จึงทิ้งลูกไว้ให้ฉันดูแลทั้งวัน นอกจากฉันจะได้   ดูแลเด็กแล้ว  ฉันยังได้ถือโอกาสนี้ดูการทำงานของพนักงานโรงแรมไปด้วย  มันทำให้ฉันทึ่งและไปโม้ต่อกับเพื่อนๆได้นานเป็นเดือนเลยโดยที่ไม่เบื่อเลยสักครั้งที่พูดถึงมัน         เริ่มจากแผนก House-keeping ฉันต้องไปเซนชื่อก่อนเริ่มทำงาน  แม้จะเป็นแค่ back office แต่หนักงานทุกคนใส่เครื่องแบบถูกต้อง ผมรวบตึง จัดทรง ใส่คัทชูทุกคน  ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์หรือต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน จะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษแม้เป็นเพียงการทักทายทั่วไปก็ตาม  โต๊ะทำงานเป็นระเบียบไม่มีแก้วน้ำชากาแฟวางอยู่ข้างๆ เหมือนback officeส่วนใหญ่ที่ฉันเคยเจอ        Butler จากหน้าตาที่ฉันประเมินได้อายุน่าจะเกิน 40ปีกันหมดแล้ว  คนเก่าคนแก่ที่รักองค์กรและอาชีพ    นี้มาก แค่เสียงลูกบิดประตูห้องพักลูกค้าดัง มือจะต้องไปกดลิฟท์รอโดยอัตโนมัติ ฉันมีโอกาสได้คุยกับbutlerจึงได้ถามไปว่า  ทำไมระบบของพนักงานที่นี่ดีจัง  พี่เขาตอบฉันมาว่า  ทำงานกันแค่วันละ 8 ชม.เอง ยังไงทุกคนก็ต้องเต็มที่กับตรงนี้            ฉันมีโอกาสยกตัวอย่างแค่ 2 แผนก  แต่โดยรวมของการให้บริการของที่นี่  เห็นแล้วมันน่าทึิงมาก  เป็นระบบที่ดีจริงๆ

วรารัตน์ วงศ์เตชะ 555740074-3 sec.12 ด้านบนเขียนรหัสผิดค่ะอาจารย์

นายฐาปนพงศ์ บรรยงค์

นายฐาปนพศ์ บรรยงค์ Y#14 Sec.11 555740031-1

Personal Mastery ผมเป็นลูกคนเล็กจากทั้งหมด 3 คน เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พี่คนโตเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และพี่คนกลางกำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายสายวิทย์ เมื่อถึงคราวที่ผมต้องเลื่อนระดับการศึกษาเป็นชั้นมัธยมปลาย ผมคอยเฝ้าถามตัวเองว่า จะเข้าสายวิทย์เเหมือนที่พี่ๆ เคยร่ำเรียนมาดีหรือไม่ ทั้งๆที่ผมไม่มีหัวทางด้านนี้เลย ผมชอบภาษาครับ ไม่อยากจะทิ้งมัน ผมได้ปรึกษากับพ่อแม่ ท่านไม่ได้ขัดข้อง ท่านบอกว่า "อะไรที่เราชอบ เรามักจะทำได้ดี" คำพูดนั้นเป็นแรงผลักดันให้ผมประสบความสำเร็จครั้งแรกในชีวิต ผมเลือกเรียนที่คณะมนุษยศาสตร์ฯ ภาษาอังกฤษ และเรียนจบในเวลาต่อมา ผมคิดว่าช่วงเวลาสี่ปีในชีวิตนักศึกษาที่ผ่านมาผมมีความสุขมากคับ

Dialogue ผมเคยมีโอกาสได้ดูรายการหนึ่งซึ่งเป็นการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆที่ประสบความสำเร็จ เรื่องราวที่พิธีกรสัมภาษณ์ในวันนั้นเกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด บุคคลนั้นคือ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของธุรกิจหมื่นล้าน ในเทปนั้นท่านได้ทิ้งคำคมเด็ดๆ ไว้หนึ่งคำ "ความคิดคือปััญญา ปัญญาคือพลังที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จและความสุข" หลังจากชมรายการผมจึงเริ่มเฝ้าคิดว่าผมก็มีเป้าหมายในชีวิตที่อยากจะประสบความสำเร็จจากการต่อยอดธุรกิจที่ครอบครัว (หอพัก) ได้สร้างไว้ ซักวันนึงมันต้องเป็นของเราบ้าง เมื่อถึงตอนนั้นผมจะทำให้ธุรกิจของพ่อแม่เติบโตด้วยมือของผมเอง

Mental Model เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรี เคยได้มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการ Work and Travel และได้มีโอกาสได้ไปต่างประเทศครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมเป็นเหมือนกบในกะลา อาจจะเป็นเพราะกลัวการใช้ชีวิตต่างถิ่นเป็นเวลานานๆ เติบโตในขอนแก่น เรียนที่ขอนแก่น และอาจจะตายที่ขอนแก่น ครั้งนั้นเป็นโอกาสแรกที่ได้ไปต่างประเทศ ได้พบปะเพื่อนชาวต่างชาติที่ทำงานร่วมกัน เรียนรู้การดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของวัยรุ่นชาวต่างชาติ จนปัจจุบันก็ยังติดต่อกันหลายทางเช่น e-mail หรือ facebook ต่อมาช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ได้ไปเที่ยวต่างแดนอีกหลายๆ ประเทศ การที่เรากลัว เขิล อาย มันอาจจะทำให้เราไม่กล้าไปตลอดชีวิต บทเรียนที่ได้จะสอนให้เรารู้ว่า เรื่องบางเรื่องมันไม่จำเป็นต้องกลัวเลย

Team Learning ก่อนจะจบปริญญาตรีนักศึกษาทุกคนต้องทำ research เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ 1 เรื่อง โดยจะให้ทำหนึ่งเรื่องต่อ 1 คู่ ผมจับคู่กับเพื่อนคนที่สนิทที่สุด เราเริ่มทำงานแต่มันไม่ราบลื่นนัก การทำงานเป็นคู่ก็เหมือนลิ้นกับฟันที่อาจจะกระทบกระทั่งกันได้ ผมได้ปรึกษากับอาจารย์ผู้สอน ท่านได้บอกว่างั้นก็ควรจะแยกกันทำแต่อณุญาตให้ทำเรื่องเดียวกันได้ เพราะดำเนินงานมาเกินกว่าครึ่งแล้ว ผมเริ่มทำงานคนเดียวต่อไป เมื่องานใกล้จะเส็ดผมเริ่มตระหนักว่างานที่ทำมามันจะมีจุดบอดตรงไหนหรือไม่ ผิดผลาดหรือไม่ เพราะเห็นคนอื่นที่เค้าทำงานเป็นคู่ช่วยกันดูว่างานที่ออกมามันดีจิงหรือไก่กา เอาล่ะสิ!! ผมคิดว่างานผมมันอาจจะไก่กาก็ได้ เลยไปง้อเพื่อน (ตัดสินใจละทิฐิอยู่นาน) เพื่อนก็เข้าใจคับ มันก็กลัวงานมันจะไก่กาเช่นกัน เราช่วยกันดูงานของกันและกัน จนงานออกมาค่อนข้างดี การทำงานคนเดียวเราอาจไม่เห็นจุดบอดคับ ทำเป็นคู่หรือกลุ่มแม้จะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ผมว่ามันก็ยังดีกว่าในหลายๆ เรื่อง

System Thinking ครั้งแรกเมื่อพ่อกับแม่ได้สร้างหอพักมีปัญหาเยอะมากครั้บแทบจะทุกด้านเลยไฟฟ้า ระบบน้ำประปา โดยเฉพาะระบบอินเตอร์เน็ตภายในและ wifi ปัจจุบันนี้ถ้านักศึกษาซึ่งเป็นลูกค้าหลักไม่พอใจกับระบบเน็ตก็มักจะย้ายออกหรือต้องไปใช้บริการที่ร้านอินเตอร์เน็ตเอง มันคงไม่เป็นผลดีนักถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมได้เรียนช่างที่ชำนาญมาแก้ไขหลายครั้งจนช่างขี้เกียจมา ผมเลยได้ศึกษาเพื่อจะแก้ปัญหาระบบด้วยตัวเองจนรู้และเข้าใจว่าถ้าเกิดเน็ตล่มจะแก้ปัญหาอย่างไร ทำให้ปัจจุบัณปัญหาดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นอีกเลย ผมได้ลงวางแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวแล้วได้รับ feedback โดยรวม ลูกค้า happy ผม happy ทุกอย่างมันดูจะโอเค บอกกันปากต่อปากว่าหอผมดี ตอนนี้ลูกค้าเต็มทุกห้องคับ

นางสาวนิธิดา พระยาลอ

นางสาวนิธิดา พระยาลอ Y#14 Sec.11 555740049-2

Personal Mastery
ในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลายคนก็จะไปเรียนพิเศษตามสถาบันสอนพิเศษต่างๆมากมาย ส่วนหนึ่งและถือว่าเป็นส่วนมากและฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไปเรียนตามเพื่อน เพื่อนลงคอร์สไหนก็ลงตามเพื่อนหมด โดยไม่รู้เป้าหมายหรือกำลังหรือจุดประสงค์ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร เรียนตามกระแสไปงั้นๆ ผลที่ตามมา เพื่อนไปเรียนก็ไปเรียน เพื่อนชวนโดดก็โดด ซึ่งส่วนมากจะชวนกันโดดมากกว่า หนังสือที่เรียนพิเศษว่างเปล่า กลับมาเปิดดูทีไรก็ใจหาย เสียดายค่าเทอมที่พ่อแม่ส่งมาเรียน ตอนนั้นพอใกล้ถึงช่วงสอบจริงๆทำให้คิดว่าถ้าเรายังทำตัวแบบนี้อยู่สอบเข้ามหาลัยไม่ได้แน่ๆ จึงตัดสินใจไม่ตามเพื่อน ไปลงสมัครเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง คนเดียว ไปนั่งเรียนคนเดียว ไม่มีเพื่อนไปเรียนด้วย ลองสู้ด้วยตัวเอง ใช้ความมานะบากบั่นด้วยตัวเองให้มากที่สุด พยายามคิดเสมอว่าไม่มีเพื่อนเราก็นั่งเรียนคนเดียวได้ ผลก็คือมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าเรียน เวลาเรียนไม่มีเพื่อนคอยนั่งเม้าท์ จิตใจก็จดจ่อไปกับการเรียนอย่างเดียว คะแนนสอบภาษาอังกฤษออกมาก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ไม่ได้โทษเพื่อนนะคะ แต่ว่าเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเราก็ต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ใช้พลังของเราที่มีออกมาใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ลองดูถึงความพยายาม ความตั้งใจของตัวเองสักครั้ง ว่าวันนี้ต้องไปเรียน เรียนก็ต้องตั้งใจ ขี้เกียจทำการบ้านก็ต้องทำ พยายามทำลายเงื่อนไขที่เราคิดเองเออเองออกให้หมด ลองฝืนความสบาย ความสนุกของเรา และทำตัวให้มีสาระมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้ เรารู้สึกมองเห็นเป้าหมายในชีวิตในหลายๆด้านมากขึ้นด้วยค่ะ

Dialogue
เดี๋ยวนี้เวลาที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกว่ามีปัญหาเข้ามารุมเร้าในชีวิตมากๆ จะเข้าหาทางธรรมเลยค่ะ เข้าวัดฟังธรรม ฟังพระเทศน์ ธรรมะไม่ได้ช่วยให้เราแก้ปัญหา แต่ธรรมะจะช่วยให้เราเข้าใจถึงปัญหา ทุกข์คืออะไร สุขคืออะไร มนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีทุกข์มีสุขคู่กันเป็นธรรมดา เราจะอยู่ร่วมกับทุกข์ยังไงให้มีความสุข การแก้ปัญหายังไม่ใช่ทางออกดีที่สุด แต่การเข้าใจและยอมรับนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ แต่ก่อนเคยคิดว่าการเข้าวัดมากไปบางทีอาจเป็นเรื่องที่งมงาย แต่เมื่อได้ไปสัมผัสเองแล้ว ช่วยเปลี่ยนแปลงแนวคิดไปในทางที่ดีมากๆ เมื่อคิดดี สิ่งที่กระทำ หรือผลของการกระทำก็จะออกมาดีตาม ชีวิตก็จะดำเนินไปอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องดิ้นรนหรือแสวงหาจากเงิน หรือวัตถุสิ่งของใดๆเลย หลังๆมานี้เมื่อรู้สึกท้อแท้กับชีวิตก็จะเปิดฟังธรรมะสอนใจในยูทูป ทำให้สบายใจและรู้สึกปล่อยวางจากอดีตมากขึ้น โชคดีที่มีเพื่อนที่ชอบพาเข้าวัดฟังธรรมทุกวันพระที่วัดเวฬุวัน ยังไงก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆด้วยค่ะ ที่ทำให้ได้พบกับสิ่งดีๆและมีคุณค่ากับชีวิตค่ะ

Mental model
ได้มีโอกาสไปดูการแสดงพื้นบ้านวัฒนธรรมไทยที่โรงละครสยามนิรมิตที่กรุงเทพมา ไม่ได้ตั้งใจจะไป ไม่เคยรู้จัก และถ้ารู้จักคงไม่คิดไปดูโชว์ประเภทนี้แน่ๆ เพราะคิดว่าคงเป็นโชว์ทั่วๆไป โชว์รำ โชว์ช้างที่เกี่ยวกับความเป็นไทย สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติดูเท่านั้น แต่ผิดที่คาดไว้ค่ะ เข้าไปแล้วขนลุก ที่โรงละครสยามนิรมิต เมื่อเดินเข้าไปบริเวณข้างในเขาได้จำลองเมืองและการใช้ชีวิต วัฒนธรรมทั้ง 4 ภาคของไทย ที่แต่ก่อนเห็นได้แต่จากละครในทีวี เป็นคนไทยเดินเข้าไปยังรู้สึกเหมือนย้อนอดีตแล้วกลับชาติมาเกิดยังไงไม่รู้ พอถึงเวลาที่โชว์เริ่มก็ต้องอึ้งกับฉาก แสง สี เสียง อลังการมากๆ การแสดงแต่ละชุดก็จะโชว์ถึงวัฒนธรรมไทยของแต่ละภาค ล้านนา ภาคใต้ อีสาน กรุงศรีอยุธยา ท่องป่าหิมพานต์ นรก สวรรค์ ท่องสู้จินตนาการตามคติความเชื่อของชาวสยาม มองไปรอบๆที่มีแต่ชาวต่างมาดู มีคนไทยไม่ถึง 20 คน ทำให้นึกถึงวัยรุ่นไทยที่น่าจะหาโอกาสมาดูการแสดงถึงความเป็นไทยความเป็นชาติของเราบ้าง ดูไปก็รู้สึกน้ำตาคลอเบ้า ภาคภูมิใจของความเป็นไทย เมืองไทยเราสวยงามมาก ไม่แปลกใจเลยทำไมเวลาทัวร์ชาวต่างชาติมาลงถึงได้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทยมาก ก็อยากแนะนำให้คนไทยถ้ามีโอกาสสักครั้งในชีวิตลองเสียตังค่าบัตรเข้าชมโชว์ที่มีสาระแบบนี้บ้าง ได้ประโยชน์กว่าเสียตังไปดูคอนเสริตทั้วๆไปจริงๆ ราคาคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับมากค่ะไปดูถึงที่มาความเป็นอยู่ของเราสักครั้ง ว่าความเป็นไทยของเรานั้นทรงคุณค่ามากแค่ไหนค่ะ

Team Learning
ประสบการณ์ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ก็คือ การได้เข้าร่วมโครงการวางแผนทางการตลาดให้รถยื่ห้อหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยการร่วมมือในการทำงานเป็นทีมจำนวน 7 คน เพราะนอกจากจะทำเป็นแผนเพื่อการนำเสนอแล้ว ก็ต้องมีการ จัดอิเว้นท์ขึ้นมาจริงภายในมหาวิทยาลัย โดยมีจุดประสงค์ที่ว่าทำอย่างไรให้คนสนใจและเข้ามาดูงานเราได้มากที่สุด ในการทำงานครั้งนี้พวกเราได้ให้ความสำคัญกับสถานที่ที่จะจัดงานมาเป็นอันดับแรก จึงรีบไปจับจอง และทำให้ได้บริเวณที่มีคนพลุกพล่าน ถือเป็นทำเลที่ได้เปรียบที่สุดมาจัดงานในครั้งนี้(มีชัยไปกว่าครึ่ง) หลังจากนั้นก็มีการมานั่งกำหนดธีม คอนเซปต์งาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำอย่างไรให้คนเข้ามางานเราได้มากที่สุด ข้อสรุปที่ได้คือ สมัยนี้คนเห็นสถานที่สวยๆก็ให้ความสนใจและมักจะหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายรูป จึงตกลงกันว่าสร้างสถานที่ที่มีฉากสำหรับถ่ายรูปไว้เยอะๆ เพื่อดึงดูดความสนใจผู้คน และมีกิจกรรมต่างๆเช่น เล่นเกมแจกของสมนาคุณ การวาดภาพ โชว์การแสดง เพื่อเป็นการชะลอเวลาให้ผู้ร่วมงานอยู่ในงานเราเป็นเวลาที่นานขึ้น หลังจากที่ได้ข้อสรุปแล้ว ก็คุยกันว่าแต่ละคนมีทักษะหรือสนใจทางด้านไหนมากที่สุด และได้มีการแบ่งงานตามที่ตนถนัด ถึงใครไม่มีทักษะทางด้านไหนเป็นพิเศษก็อาสาที่จะช่วยเหลือหรือพยายามที่จะทำในรื่องที่จะช่วยได้ จากนั้นก็ให้กลับมาคิดและนำมาเสนอกับคนอีกกลุ่มอีกครั้ง สิ่งที่ประทับใจในการทำงานเป็นทีมครั้งนี้ก็คือ ในขณะที่มีการนำเสนองานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อนแต่คนละในกลุ่มต่างก็ ใส่ใจและให้เกียรติอีกฝ่ายในการนำเสนอ ไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่มีการตั้งแง่ หรือมีความเชื่อที่ว่าความคิดตัวเองเหนือกว่าหรือดีที่สุด มีแต่ข้อแนะนำและแนวคิดที่สามารถต่อยอดกันได้ ทุกคนในทีมต่างเคารพในการตัดสินใจของเพื่อน จากสิ่งนี้นี่เองจึงทำให้ทุกคนในทีมดำเนินงานร่วมกันอย่างราบรื่น มีการยืดหยุ่นให้เพื่อนแต่ละคนในทีมได้มีอิสระทางความคิดเต็มที่ ไม่มีเงื่อนไขว่าทุกอย่างต้องเป๊ะแบบนี้ แต่ขอให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของโครงการ ผลจากการทำงานเป็นทีมในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการทำงานกลุ่มครั้งแรกในชีวิตที่ไม่มีการทะเลาะกันเลย ทุกคนใส่ใจในหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ผลที่ได้คือได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับภาคมาครอง แต่สิ่งที่ภูมิใจที่สุดไม่ได้อยู่ที่รางวัลชนะเลิศ แต่ภูมิใจในการทำงานเป็นทีมครั้งแรกที่ไม่รู้สึกอึดอัดในการแสดงความคิด ที่เป็นไปอย่างอิสระและเต็มที่ขนาดนี้ ทำให้เห็นว่ายิ่งได้แสดงสิ่งที่เราคิดออกมาแล้วได้ทำ ทำแล้วมีความสุขไปกับมัน ผลที่ได้ก็จะประสบความสำเร็จตามที่คาดหมายได้อย่างง่ายดาย

System thinking
เคยไปฝึกงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นค่ะ จบการตลาดมาจึงขอพี่ๆฝ่ายบุคคลให้เราได้ฝึกในฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับการตลาด พี่เขาเลยส่งตัวไปฝึกที่ฝ่ายขายของโรงแรม ทีแรกก็ไม่เข้าใจค่ะว่าฝ่ายขายของโรงแรมจะต้องขายอะไร มีหน้าที่อะไร นึกแต่ว่าโรงแรมเป็นกิจการที่ให้บริการแต่ห้องพักเท่านั้น ลืมไปเลยว่าโรงแรมก็มีส่วนที่ให้บริการหลายส่วน และในฝ่ายขายของโรงแรมก็ถือได้ว่าเป็นสมองสั่งการที่สำคัญที่สุดเลยก็ได้ ฝ่ายขายจะมีหน้าที่คอยให้บริการในเรื่องการจัดห้องประชุม หรืองานแต่งงาน หรืองานต่างๆที่ต้องใช้ห้องภายในโรงแรม การทำงานของฝ่ายขายจึงต้องเป็นไปอย่างมีระบบ เพราะพนักงานขายหรือที่เรียกว่าเซลล์ของโรงแรม จะมีหน้าที่ตั้งแต่ ติดต่อลูกค้า คุยประสานงาน ออกพบลูกค้า ทำข้อตกลงถึงความต้องการของลูกค้า แล้วจะต้องเป็นผู้ออกฟังก์ชันงาน เพื่อที่จะสื่อสารและประสานงานกับทุกฝ่ายทุกแผนกที่เกี่ยวข้องในโรงแรมทราบถึงหน้าที่ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง อาทิเช่น ตั้งแต่
พนักงานรักษาความปลอดภัยต้องอยู่จุดไหน ครัวต้องทำอาหารประเภทไหน แม่บ้านจะต้องจัดดอกไม้อย่างไร อาร์ตต้องทำข้อความหรือรูปภาพที่ใช้ในงานอย่างไร FBต้องควบคุมดูและการจัดวางรูปแบบห้องอย่างไร จนกระทั่งถึงการ ส่งบันทึกข้อความหรือ MEMO ถึงผู้บริหารทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดนี้ฝ่ายขายจะเป็นคนที่ต้องออกฟังก์ชันประสานงานถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดภายในโรงแรม งานจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ หากเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายพลาดในเรื่องการ ออกฟังก์ชัน งานทั้งหมดก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ฝ่ายขายจึงเป็นฝ่ายงานที่ต้องอาศัยการทำงานอย่างเป็นระบบมาก ทำให้รู้ถึงของความสำคัญของฝ่ายขายในธุรกิจโรงแรมว่าเป็นหัวเรือใหญ่ขององค์กร เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของโรงแรมก็มากจากส่วนนี้ เซลล์แต่ละคนถือว่าเป็นหน้าเป็นตาที่ต้องสร้างความประทับใจและ Contac tกับลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อสร้างสัมพันธภาพต่อลูกค้าให้มาใช้บริการในระยะยาวต่อไป

เกนกนก แพพิพัฒน์ 555740019-1 Y#14 Sec.12

 

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น?

แต่ก่อนฉันเป็นคนไม่ตั้งใจเรียนเลย เรียนก็ไม่ค่อยเก่ง ติดเพื่อนติดเที่ยว ทำให้ฉันผลการเรียนตอนฉันจบป.ตรีออกมาไม่ดีเลย ได้เกรดเฉลี่ยแค่2.31 พอฉันจบมาฉันรู้สึกไม่ภาคภูมิใจเลย ได้คุยกะเพื่อนๆที่จบไปทำให้ฉันรู้สึกว่าทำไมเขาเรียนดีจัง ทำไมฉันทำไม่ได้ พอทางบ้านบอกให้ฉันศึกษาต่อป.โท ฉันเริ่มรู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเอง อยากทำให้ดีที่สุด ฉันจึงได้ตั้งเป้าหมายระยะใกล้ๆกับการเรียนป.โทครั้งนี้ว่าฉันจะต้องทำผลการศึกษาไม่ต่ำกว่า3.5ให้ได้

 

Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี?

ตอนฉันจบมหาวิทยาลัย ระดับป.ตรี ฉันอยากจะเรียนต่อระดับป.โท ฉันจึงได้ไปคุยกะพ่อแม่ พ่อแม่ของฉันก็บอกว่าถ้าอยากเรียนก็จะให้เรียน ตั้งใจเรียนนะลูก รถยนต์กะโน๊ตบุคมันจำเป็นต้องใช้เดี๋ยวพ่อแม่จะซื้อให้ ชีวิตนี้เงินที่หามาได้ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ก็อยากไว้ให้ลูก ส่งเสริมลูก พอได้คุยมันทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจมากๆ ทั้งๆที่ผ่านมาฉันทำตัวไม่ค่อยดี เรียนก็ไม่ดี แต่พ่อแม่ก็ยังคอยให้กำลังใจส่งเสริมฉันตลอด มันทำให้ฉันรู้สึกอยากจะทำอะไรดีๆตอบแทนให้เขาบ้าง

 

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น?

ฉันเคยมองคนจากแค่ภายนอก และตัดสินเขาจากเพียงที่เห็น ครั้งนึงตอนฉันเรียนมหาวิทยาลัย ฉันได้พักที่หอพัก และได้มีโอกาสคุยกะน้ายามคนนึงซึ่งแกคุมตึกที่ฉันอยู่ น้ายามเป็นคนขยันมากๆ ทั้งคุมหอ รดน้ำต้นไม้ ซ่อมไฟ และอีกมากมาย ไม่ได้เป็นยามหลับยามนอนเหมือนยามหออื่นๆ ฉันจะชอบทักทายแกเสมอเวลาเจอกัน วันนึงฉันลงมานั่งเล่นใต้ตึกหอได้มีโอกาสคุยกะแก ได้ถามแกว่าทำไมน้ายามเก่งจัง ทำเป็นตั้งหลายอย่าง ทำไมถึงมาทำอาชีพนี้ แกก็บอกว่าบ้านแกจนมาก ไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆเหมือนคนอื่นเขา แกจึงเป็นได้แค่ยาม แต่ถึงแกจะเป็นได้แค่ยามแต่แกก็ทำหน้าที่ของแกให้ดีที่สุด จากแต่ก่อนฉันเคยมองว่าพวกที่เป็นยามเขาต่ำต้อย ไม่เรียนหนังสือ ได้คุยกะแกก็ทำให้ฉันมองแกในทางที่ดีขึ้น แกแค่ไม่มีโอกาสเรียนสูงเหมือนคนอื่นๆนี่เองแกจึงต้องมาเป็นยาม แต่แกก็ทำหน้าที่ยามได้ดีมากเลยทีเดียว

 

Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย?

ตอนที่ฉันเรียนป.ตรี ชั้นปี4 ฉันได้เรียนวิชาระเบียบวิจัยธุรกิจ  และได้อาจารย์ให้จับกลุ่มแบ่งทีมเพื่อทำวิจัย ฉันและเพื่อนส่วนหนึ่งจับกลุ่มกันไม่ได้เพราะเพื่อนไม่ครบ จึงได้เพื่อนที่เหลือที่ไม่มีกลุ่มมารวมทีมกัน อาจารย์ก็กังวลว่าเป็นกลุ่มเศษมารวมกันจะทำงานได้ดีหรอ ฉันได้รับเลือกจากเพื่อนๆให้เป็นหัวหน้าทีม จึงได้เริ่มร่วมมือกันตั้งใจทำงาน แบ่งหน้าที่กันทำงานต่างๆ ทั้งลงพื้นที่ สำรวจข้อมูล และทำแบบสอบถาม ช่วยกันศึกษาการทำวิจัยจากที่เรียนมา และทำข้อมูลต่างๆที่รวบรวมมาช่วยกันทำผลวิจัย  ทุกคนทุ่มเทและตั้งใจมาก ผลจากการตั้งใจและไปปรึกษาอาจารย์ตลอดจึงทำให้งานที่ทำออกมาดีเกินกว่าที่อาจารย์คาดไว้ ทำให้ผลการเรียนในรายวิชานี้คว้าเอมาได้สำเร็จ เหนื่อยมากและภูมิใจมากๆค่ะ

 

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี? 

ฉันได้มีโอกาสใช้สินค้าของindex  ตั้งแต่เดินเข้าร้าน พนักงานต้อนรับดีมาก อยากได้สินค้าตัวไหนเขาก็จะถามว่าใช้งานแบบไหนเหมาะกับบ้านของเรามั้ย เขาก็จะแนะนำ ในระหว่างดูของก็มีน้ำดื่มมาให้ดื่ม พาเดินดูสินค้า และพอตัดสินใจเลือกสินค้าแล้วก็ทำเอกสารซื้อขายกัน แจ้งวันที่เราสะดวกให้ไปส่ง มีบริการไปส่งถึงบ้าน ติดตั้งให้เสร็จเรียบร้อย บริการได้ประทับใจมากๆ ไม่ยุ่งยากอะไรเลย ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นระบบที่ดีของเขา จึงได้เป็นสินค้าที่ติดตลาดมานานจนถึงวันนี้

น.ส.ศิริพันธุ์ กัณหากุล รหัส 555740088-2 sce.12 1. Personal Mastery ในช่วง มัธยมฉันติดเพื่อนมากจนเกรดตกในวันหนึ่งมีการประชุมผู้ปกครอง ฉันไปกะคุณแม่และพี่สาวโดยไม่ทราบมาก่อนว่าวันนั้นคุณครูประจำชั้นจะบอกเกรดพอ ฉันได้เห็นใบเกรดจากคุณแม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจมากและคุณแม่ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากฉัน เพราะฉันไม่เคยเกรดต่ำกว่า3.00เลย ฉันถึงกับร้องไห้และขอร้องคุณแม่ว่าอย่าพึ่งบอกคุณพ่อได้ไม และสัญญากับคุณแม่ว่าเทอมหน้าจะต้องทำเกรดให้ได้ไม่ต่ำกว่า3.50 ซึ่งคุณแม่ก็ตกลง พอกลับถึงบ้านฉันก็รีบขึ้นห้องแล้วก็คิดทบทวนตัวเองใหม่ วางแผนการเรียนใหม่ จัดทำตารางเวลา เขียนเป้าหมายอย่างชัดเจอว่าเทอมหน้าต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า3.50ตามที่สัญญากับคุณแม่ไว้ ฉันไม่ค่อยไปเล่นกับเพื่อนๆเหมือนอย่างเคยรีบกลับบ้านมาทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างหนักจนทำให้เกรดเทอมต่อมาขอฉันคือ3.69 พอเห็นเกรดฉันรีบโทรไปบอกคุณแม่ทันที หลังจากนั้นฉันก็ไม่เล่นมากเพราะกลัวจะเสียการเรียน 2.Dialogue วันหนึ่งฉันก็นั่งเล่น facebook อยู่ที่บ้านก็ได้แชทไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็มีน้องนิดหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ทักมา เราก็คุยกันปกติ แต่พอน้องถามคำถามหนึ่งขึ้นมา ก็ทำให้ฉันได้หยุดคดและทบทวนอยู่นาน "พี่ปุยเรียนจบแล้วใช่มั้ย จะทำงานเลยรึป่าว" คำถามนั้นเป็นคำถามที่ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ ในวันนั้นฉันไม่ได้ตอบน้องไป แต่หลายวันต่อมาคำถามนี้ก็ยังก้องอยู่ในหัวฉันเรื่องนี้อยู่ 3 วันแล้ว คิดว่าอยากที่จะเรียนต่อก่อนก็เลยเข้าไปคุยกับพ่อและแม่ท่านก็เห็นดีด้วย พอฉันตัดสินใจได้ ก็รีบโทรไปหาน้องทันที "นิดหนึ่งพี่ตัดสินใจได้แล้วพี่คิดว่าคงเรียนต่อก่อนอ่ะ" น้องจึงตอบว่า "ก็ดีน่ะพี่ปุย เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นเขา พ่อแม่เราสนับสนุนก็ทำเลย โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆและไม่ได้มีให้กับทุกคนน่ะ ตั้งใจทำให้เต็มที่ สอบเรียนต่อให้ได้ สู้ๆ" หลังจากวันนั้น ฉันก็ไปสมัครเรียนต่อ และเริ่มที่จะอ่านหนังสือ และคิดว่าจริงอย่างที่น้องบอก โอกาสไม่ได้มีมาบ่อย เราต้องทำให้ได้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า และฉันก็ทำได้ฉันได้เรียนต่อ ต้องขอบใจน้องสำหรับคำถามที่จุดประกายให้ฉัน ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น 3. Mental Model ในช่วงวันหยุดฉันก็นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ที่บ้านไปเรื่อย แล้วก็เปิดไปเจอคอลัมหนึ่งเป็นที่หน้าสนใจสำหรับฉันมากเพราะ วง CNBLUE เป็นวงดนตรีของเกาหลีที่ฉันชื่นชอบมาก จะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย แต่ฉันก็กังวนว่าจะไปยังไงจะไปกับใครเพราะฉันไม่เคยไปไหนคนเดียวเลยไม่ไปกับครอบครัวก็จะต้องไปกับเพื่อนๆตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำอะไรคนเดียวเลย แล้วในช่วงนั้นก็มีข่าวลือเรื่องการทำนายว่าในปี2012โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆอาจจะทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกก็ได้ ฉันจึงตัดสิ้นใจซื้อบัตร จองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วฉันก็ตั้งตารอจนวันนั้นมาถึง ฉันรู้สึกประหม่าแล้วก็ตื่นเต้นมากการที่ได้ทำอะไรเองคนเดียวในกรุงเทพ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราคิดจะทำแค่เรากล้าที่จะลงมือทำเท่านั้น ไม่ต้องอยู่ในกรอบอยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวของตัวเองเป็นความประทับใจที่ฉันไม่มีวันลืมแล้วทำให้ฉันกล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น 4.Team Learning ตอนปี 4 เทอมสุดท้ายต้องทำสัมมนาทางการเงิน ซึ่งเป็นวิชาที่เราต้องเอาความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาใช้ เป็นงานที่ยากและละเอียดมาก โดยอาจารย์จะให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ในช่วงที่ทำสัมมนานั้นทั้งอาจารย์และรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็บอกว่าเป็นวิชาที่ทำให้เพื่อนทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะการทำงานนี้ยากพอสมควร แต่กลุ่มของฉันโชคดีตรงที่เราคุยกันก่อนที่จะเริ่มทำงาน พวกเราจึงแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย อาจเป็นเพราะเรามีการแบ่งงานที่ชัดเจนตามความถนัดของแต่ละคน ไม่เกี่ยงงานกัน แต่จะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า ทุกคนในกลุ่มจะยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆและช่วยกันปรับปรุง ถึงแม้เราจะแก้งานในหลายๆครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี การทำงานครั้งนี้ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่ได้คุยกันกันเลย กลายเป็นมิตรภาพที่ดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น 5. System Thinking ครอบครัวของฉันซื้อรถคันแรกเป็นยี่ห้อโตโยต้า และทำให้ครอบครัวของเรามีความประทับใจในระบบการทำงานและการบริการของบริษัทโตโยต้ามาก เพราะเวลาที่รถมีปัญหาเราสามารถโทรจองนัดล่วงหน้าได้ว่าเราจะนำรถเข้าซ่อมวันไหนเมื่อไหร่ เขามีระบบการทำงานที่ดีแล้วก็มีการบริการที่เริ่ศต้องแต่ยามหน้าบริษัทจะยิ้มแย้มแล้วก็จะค่อยถามว่าเรามีอะไรให้เขาบริการ เขาก็จะบอกเราว่าให้เราขับไปจอดที่ตรงไหน และพนักงานของโตโยต้า ก็จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีแก่ลูกค้าเสมอ เขาก็จะให้เราเข้าไปทำรายการที่ฝ่ายบริการลูกค้าเขาก็จะถามว่ารถเราเป็นอะไร แล้วก็จะนำกุญแจรถไปเอไปเช็ค พอเช็คเสร็จเขาก็จะโทรมาบอกว่ารถเราเป็นอะไร มีอะไหล่ตัวไหนต้องเปลี่ยน และแจ้งราคาในการซ้อมกับเราโดยที่เราไม่จำเป็นต้องนั่งรอให้เสียเวลา เขาจะบอกเวลาให้เราไปรับรถ พอรถเสร็จเรียบร้อยเราก็ไปจ่ายตังที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเขาจัดการระบบได้ดี ทำให้สะดวกต่อการให้บริการ เวลาช่วงที่มีโปรโมชั่นก็จะมีพนักงานโทรมาหาเราที่บ้านแนะนำโปรโมชั่นที่ดีๆให้กับเราเพื่อเราอยากที่จะใช้บริการนั้นๆทำให้ครอบครัวเราประทับใจในบริษัทโตโยต้ามากแล้วคิดว่าถ้าจะต้องเลือกซื้อรถอีกสักคันคงจะพิจารณาบริษัทโตโยต้าเป็นที่แรก

น.ส.ศิริพันธุ์ กัณหากุล รหัส 555740088-2 sce.12

  1. Personal Mastery

ในช่วง มัธยมฉันติดเพื่อนมากจนเกรดตกในวันหนึ่งมีการประชุมผู้ปกครอง ฉันไปกะคุณแม่และพี่สาวโดยไม่ทราบมาก่อนว่าวันนั้นคุณครูประจำชั้นจะบอกเกรดพอ ฉันได้เห็นใบเกรดจากคุณแม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจมากและคุณแม่ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากฉัน เพราะฉันไม่เคยเกรดต่ำกว่า3.00เลย ฉันถึงกับร้องไห้และขอร้องคุณแม่ว่าอย่าพึ่งบอกคุณพ่อได้ไม และสัญญากับคุณแม่ว่าเทอมหน้าจะต้องทำเกรดให้ได้ไม่ต่ำกว่า3.50 ซึ่งคุณแม่ก็ตกลง พอกลับถึงบ้านฉันก็รีบขึ้นห้องแล้วก็คิดทบทวนตัวเองใหม่ วางแผนการเรียนใหม่ จัดทำตารางเวลา เขียนเป้าหมายอย่างชัดเจอว่าเทอมหน้าต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า3.50ตามที่สัญญากับคุณแม่ไว้ ฉันไม่ค่อยไปเล่นกับเพื่อนๆเหมือนอย่างเคยรีบกลับบ้านมาทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างหนักจนทำให้เกรดเทอมต่อมาขอฉันคือ3.69 พอเห็นเกรดฉันรีบโทรไปบอกคุณแม่ทันที หลังจากนั้นฉันก็ไม่เล่นมากเพราะกลัวจะเสียการเรียน

2.Dialogue

วันหนึ่งฉันก็นั่งเล่น facebook อยู่ที่บ้านก็ได้แชทไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็มีน้องนิดหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ทักมา เราก็คุยกันปกติ แต่พอน้องถามคำถามหนึ่งขึ้นมา ก็ทำให้ฉันได้หยุดคดและทบทวนอยู่นาน "พี่ปุยเรียนจบแล้วใช่มั้ย จะทำงานเลยรึป่าว" คำถามนั้นเป็นคำถามที่ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ ในวันนั้นฉันไม่ได้ตอบน้องไป แต่หลายวันต่อมาคำถามนี้ก็ยังก้องอยู่ในหัวฉันเรื่องนี้อยู่ 3 วันแล้ว คิดว่าอยากที่จะเรียนต่อก่อนก็เลยเข้าไปคุยกับพ่อและแม่ท่านก็เห็นดีด้วย พอฉันตัดสินใจได้ ก็รีบโทรไปหาน้องทันที "นิดหนึ่งพี่ตัดสินใจได้แล้วพี่คิดว่าคงเรียนต่อก่อนอ่ะ" น้องจึงตอบว่า "ก็ดีน่ะพี่ปุย เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นเขา พ่อแม่เราสนับสนุนก็ทำเลย โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆและไม่ได้มีให้กับทุกคนน่ะ ตั้งใจทำให้เต็มที่ สอบเรียนต่อให้ได้ สู้ๆ" หลังจากวันนั้น ฉันก็ไปสมัครเรียนต่อ และเริ่มที่จะอ่านหนังสือ และคิดว่าจริงอย่างที่น้องบอก โอกาสไม่ได้มีมาบ่อย เราต้องทำให้ได้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า และฉันก็ทำได้ฉันได้เรียนต่อ ต้องขอบใจน้องสำหรับคำถามที่จุดประกายให้ฉัน ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

  1. Mental Model

ในช่วงวันหยุดฉันก็นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ที่บ้านไปเรื่อย แล้วก็เปิดไปเจอคอลัมหนึ่งเป็นที่หน้าสนใจสำหรับฉันมากเพราะ วง CNBLUE เป็นวงดนตรีของเกาหลีที่ฉันชื่นชอบมาก จะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย แต่ฉันก็กังวนว่าจะไปยังไงจะไปกับใครเพราะฉันไม่เคยไปไหนคนเดียวเลยไม่ไปกับครอบครัวก็จะต้องไปกับเพื่อนๆตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำอะไรคนเดียวเลย แล้วในช่วงนั้นก็มีข่าวลือเรื่องการทำนายว่าในปี2012โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆอาจจะทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกก็ได้ ฉันจึงตัดสิ้นใจซื้อบัตร จองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วฉันก็ตั้งตารอจนวันนั้นมาถึง ฉันรู้สึกประหม่าแล้วก็ตื่นเต้นมากการที่ได้ทำอะไรเองคนเดียวในกรุงเทพ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราคิดจะทำแค่เรากล้าที่จะลงมือทำเท่านั้น ไม่ต้องอยู่ในกรอบอยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวของตัวเองเป็นความประทับใจที่ฉันไม่มีวันลืมแล้วทำให้ฉันกล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น

4.Team Learning

ตอนปี 4 เทอมสุดท้ายต้องทำสัมมนาทางการเงิน ซึ่งเป็นวิชาที่เราต้องเอาความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาใช้ เป็นงานที่ยากและละเอียดมาก โดยอาจารย์จะให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ในช่วงที่ทำสัมมนานั้นทั้งอาจารย์และรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็บอกว่าเป็นวิชาที่ทำให้เพื่อนทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะการทำงานนี้ยากพอสมควร แต่กลุ่มของฉันโชคดีตรงที่เราคุยกันก่อนที่จะเริ่มทำงาน พวกเราจึงแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย อาจเป็นเพราะเรามีการแบ่งงานที่ชัดเจนตามความถนัดของแต่ละคน ไม่เกี่ยงงานกัน แต่จะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า ทุกคนในกลุ่มจะยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆและช่วยกันปรับปรุง ถึงแม้เราจะแก้งานในหลายๆครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี การทำงานครั้งนี้ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่ได้คุยกันกันเลย กลายเป็นมิตรภาพที่ดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น

  1. System Thinking

ครอบครัวของฉันซื้อรถคันแรกเป็นยี่ห้อโตโยต้า และทำให้ครอบครัวของเรามีความประทับใจในระบบการทำงานและการบริการของบริษัทโตโยต้ามาก เพราะเวลาที่รถมีปัญหาเราสามารถโทรจองนัดล่วงหน้าได้ว่าเราจะนำรถเข้าซ่อมวันไหนเมื่อไหร่ เขามีระบบการทำงานที่ดีแล้วก็มีการบริการที่เริ่ศต้องแต่ยามหน้าบริษัทจะยิ้มแย้มแล้วก็จะค่อยถามว่าเรามีอะไรให้เขาบริการ เขาก็จะบอกเราว่าให้เราขับไปจอดที่ตรงไหน และพนักงานของโตโยต้า ก็จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีแก่ลูกค้าเสมอ เขาก็จะให้เราเข้าไปทำรายการที่ฝ่ายบริการลูกค้าเขาก็จะถามว่ารถเราเป็นอะไร แล้วก็จะนำกุญแจรถไปเอไปเช็ค พอเช็คเสร็จเขาก็จะโทรมาบอกว่ารถเราเป็นอะไร มีอะไหล่ตัวไหนต้องเปลี่ยน และแจ้งราคาในการซ้อมกับเราโดยที่เราไม่จำเป็นต้องนั่งรอให้เสียเวลา เขาจะบอกเวลาให้เราไปรับรถ พอรถเสร็จเรียบร้อยเราก็ไปจ่ายตังที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเขาจัดการระบบได้ดี ทำให้สะดวกต่อการให้บริการ เวลาช่วงที่มีโปรโมชั่นก็จะมีพนักงานโทรมาหาเราที่บ้านแนะนำโปรโมชั่นที่ดีๆให้กับเราเพื่อเราอยากที่จะใช้บริการนั้นๆทำให้ครอบครัวเราประทับใจในบริษัทโตโยต้ามากแล้วคิดว่าถ้าจะต้องเลือกซื้อรถอีกสักคันคงจะพิจารณาบริษัทโตโยต้าเป็นที่แรก

อาจารย์ค่ะ เอาอันนี้นะค่ะ 2 อันข้างบนมันเป็นมั่วๆหนูไม่เอาค่ะ คือมันลบออกไม่ได้ขอโทดด้วยค่ะ น.ส.ศิริพันธุ์ กัณหากุล รหัส 555740088-2 sce.12

  1. Personal Mastery ในช่วง มัธยมฉันติดเพื่อนมากจนเกรดตกในวันหนึ่งมีการประชุมผู้ปกครอง ฉันไปกะคุณแม่และพี่สาวโดยไม่ทราบมาก่อนว่าวันนั้นคุณครูประจำชั้นจะบอกเกรดพอ ฉันได้เห็นใบเกรดจากคุณแม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจมากและคุณแม่ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากฉัน เพราะฉันไม่เคยเกรดต่ำกว่า3.00เลย ฉันถึงกับร้องไห้และขอร้องคุณแม่ว่าอย่าพึ่งบอกคุณพ่อได้ไม และสัญญากับคุณแม่ว่าเทอมหน้าจะต้องทำเกรดให้ได้ไม่ต่ำกว่า3.50 ซึ่งคุณแม่ก็ตกลง พอกลับถึงบ้านฉันก็รีบขึ้นห้องแล้วก็คิดทบทวนตัวเองใหม่ วางแผนการเรียนใหม่ จัดทำตารางเวลา เขียนเป้าหมายอย่างชัดเจอว่าเทอมหน้าต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า3.50ตามที่สัญญากับคุณแม่ไว้ ฉันไม่ค่อยไปเล่นกับเพื่อนๆเหมือนอย่างเคยรีบกลับบ้านมาทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างหนักจนทำให้เกรดเทอมต่อมาขอฉันคือ3.69 พอเห็นเกรดฉันรีบโทรไปบอกคุณแม่ทันที หลังจากนั้นฉันก็ไม่เล่นมากเพราะกลัวจะเสียการเรียน

2.Dialogue วันหนึ่งฉันก็นั่งเล่น facebook อยู่ที่บ้านก็ได้แชทไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็มีน้องนิดหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ทักมา เราก็คุยกันปกติ แต่พอน้องถามคำถามหนึ่งขึ้นมา ก็ทำให้ฉันได้หยุดคดและทบทวนอยู่นาน "พี่ปุยเรียนจบแล้วใช่มั้ย จะทำงานเลยรึป่าว" คำถามนั้นเป็นคำถามที่ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ ในวันนั้นฉันไม่ได้ตอบน้องไป แต่หลายวันต่อมาคำถามนี้ก็ยังก้องอยู่ในหัวฉันเรื่องนี้อยู่ 3 วันแล้ว คิดว่าอยากที่จะเรียนต่อก่อนก็เลยเข้าไปคุยกับพ่อและแม่ท่านก็เห็นดีด้วย พอฉันตัดสินใจได้ ก็รีบโทรไปหาน้องทันที "นิดหนึ่งพี่ตัดสินใจได้แล้วพี่คิดว่าคงเรียนต่อก่อนอ่ะ" น้องจึงตอบว่า "ก็ดีน่ะพี่ปุย เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นเขา พ่อแม่เราสนับสนุนก็ทำเลย โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆและไม่ได้มีให้กับทุกคนน่ะ ตั้งใจทำให้เต็มที่ สอบเรียนต่อให้ได้ สู้ๆ" หลังจากวันนั้น ฉันก็ไปสมัครเรียนต่อ และเริ่มที่จะอ่านหนังสือ และคิดว่าจริงอย่างที่น้องบอก โอกาสไม่ได้มีมาบ่อย เราต้องทำให้ได้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า และฉันก็ทำได้ฉันได้เรียนต่อ ต้องขอบใจน้องสำหรับคำถามที่จุดประกายให้ฉัน ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

  1. Mental Model ในช่วงวันหยุดฉันก็นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ที่บ้านไปเรื่อย แล้วก็เปิดไปเจอคอลัมหนึ่งเป็นที่หน้าสนใจสำหรับฉันมากเพราะ วง CNBLUE เป็นวงดนตรีของเกาหลีที่ฉันชื่นชอบมาก จะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย แต่ฉันก็กังวนว่าจะไปยังไงจะไปกับใครเพราะฉันไม่เคยไปไหนคนเดียวเลยไม่ไปกับครอบครัวก็จะต้องไปกับเพื่อนๆตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำอะไรคนเดียวเลย แล้วในช่วงนั้นก็มีข่าวลือเรื่องการทำนายว่าในปี2012โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆอาจจะทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกก็ได้ ฉันจึงตัดสิ้นใจซื้อบัตร จองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วฉันก็ตั้งตารอจนวันนั้นมาถึง ฉันรู้สึกประหม่าแล้วก็ตื่นเต้นมากการที่ได้ทำอะไรเองคนเดียวในกรุงเทพ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราคิดจะทำแค่เรากล้าที่จะลงมือทำเท่านั้น ไม่ต้องอยู่ในกรอบอยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวของตัวเองเป็นความประทับใจที่ฉันไม่มีวันลืมแล้วทำให้ฉันกล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น

4.Team Learning ตอนปี 4 เทอมสุดท้ายต้องทำสัมมนาทางการเงิน ซึ่งเป็นวิชาที่เราต้องเอาความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาใช้ เป็นงานที่ยากและละเอียดมาก โดยอาจารย์จะให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ในช่วงที่ทำสัมมนานั้นทั้งอาจารย์และรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็บอกว่าเป็นวิชาที่ทำให้เพื่อนทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะการทำงานนี้ยากพอสมควร แต่กลุ่มของฉันโชคดีตรงที่เราคุยกันก่อนที่จะเริ่มทำงาน พวกเราจึงแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย อาจเป็นเพราะเรามีการแบ่งงานที่ชัดเจนตามความถนัดของแต่ละคน ไม่เกี่ยงงานกัน แต่จะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า ทุกคนในกลุ่มจะยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆและช่วยกันปรับปรุง ถึงแม้เราจะแก้งานในหลายๆครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี การทำงานครั้งนี้ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่ได้คุยกันกันเลย กลายเป็นมิตรภาพที่ดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น

  1. System Thinking ครอบครัวของฉันซื้อรถคันแรกเป็นยี่ห้อโตโยต้า และทำให้ครอบครัวของเรามีความประทับใจในระบบการทำงานและการบริการของบริษัทโตโยต้ามาก เพราะเวลาที่รถมีปัญหาเราสามารถโทรจองนัดล่วงหน้าได้ว่าเราจะนำรถเข้าซ่อมวันไหนเมื่อไหร่ เขามีระบบการทำงานที่ดีแล้วก็มีการบริการที่เริ่ศต้องแต่ยามหน้าบริษัทจะยิ้มแย้มแล้วก็จะค่อยถามว่าเรามีอะไรให้เขาบริการ เขาก็จะบอกเราว่าให้เราขับไปจอดที่ตรงไหน และพนักงานของโตโยต้า ก็จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีแก่ลูกค้าเสมอ เขาก็จะให้เราเข้าไปทำรายการที่ฝ่ายบริการลูกค้าเขาก็จะถามว่ารถเราเป็นอะไร แล้วก็จะนำกุญแจรถไปเอไปเช็ค พอเช็คเสร็จเขาก็จะโทรมาบอกว่ารถเราเป็นอะไร มีอะไหล่ตัวไหนต้องเปลี่ยน และแจ้งราคาในการซ้อมกับเราโดยที่เราไม่จำเป็นต้องนั่งรอให้เสียเวลา เขาจะบอกเวลาให้เราไปรับรถ พอรถเสร็จเรียบร้อยเราก็ไปจ่ายตังที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเขาจัดการระบบได้ดี ทำให้สะดวกต่อการให้บริการ เวลาช่วงที่มีโปรโมชั่นก็จะมีพนักงานโทรมาหาเราที่บ้านแนะนำโปรโมชั่นที่ดีๆให้กับเราเพื่อเราอยากที่จะใช้บริการนั้นๆทำให้ครอบครัวเราประทับใจในบริษัทโตโยต้ามากแล้วคิดว่าถ้าจะต้องเลือกซื้อรถอีกสักคันคงจะพิจารณาบริษัทโตโยต้าเป็นที่แรก

กวิน ไตรศิริพานิช MBA Y#14 Sec.12 รหัส 555740609-0 Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) :

ตอนเรียนสมัยมัธยม ผมตั้งใจอยากเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยของรัฐให้ได้ ผมอยากเรียนปริญญาตรี บัญชี ผมจึงไปหาลงเรียนวิชากลุ่มสาระบัญชี ซึ่งโรงเรียนในตอนนั้นพึ่งเริ่มมีวิชานี้พอดี จึงเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะเรียนรู้วิชาชีพที่ใฝ่ผัน แต่ผมมีปัญหาคือ ตอนเรียนนั้นผมเป็นคนมีสมาธิสั้น จึงเรียนไม่รู้เรื่องอยู่บ่อยครั้ง กลับบ้านมาผมจึงต้องขยันทบทวนวิชาที่เรียนมาวันนี้ให้เยอะกว่าคนอื่นและเตรียมพร้อมสำหรับวันถัดไป ผมพยายามตั้งใจให้ตัวเองมีสมาธิเพิ่มมากขึ้น โดยการนั่งสมาธิ ซึ่งช่วยผมได้มาก และผมก็ชอบเล่นเทนนิสซึ่งการเล่นกีฬาชนิดนี้ ยังช่วยให้ผมใจเย็นขึ้น นิ่งขึ้น เป็นการฝึกสมาธิไปอีกรูปแบบ และผมได้นำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการเรียน ซึ่งสมาธิผมนั้นก็ดีขึ้นด้วย เพราะการที่ผมจะอยู่กับวิชาชีพที่ต้องเจอตัวเลขตลอดเวลา สิ่งสำคัญมากคือการมีสมาธิ 

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) :

ก่อนที่ผมจะจบปริญญาตรี ผมเป็นคนขี้เกียจมากคนหนึ่ง ทางบ้านประกอบธุรกิจส่วนตัว ทำการค้าขาย ทุกเช้าร้านจะเปิด 7 โมงเช้า ผมตื่นสายแทบทุกวัน จนแม่ผมมาพูดว่า จะขี้เกียจไปถึงไหน หัดตื่นมาช่วยทำการทำงานบ้าง โตขนาดนี้แล้ว หัดรู้จักหาเงิน ไม่ใช่ใช้เป็นแต่เงิน ด้วยประโยคนี้เอง ผมจึงลองเปลี่ยนตัวเองใหม่ โดยลองตื่นแต่เช้าตรู่ มาช่วยเปิดประตูร้าน ช่วยจัดข้าวของที่จะนำมาโชว์ไว้ให้เป็นระเบียบ ช่วยดูแลต้อนรับลูกค้า รับ order ตลอดจนประสานงานกับคนงาน ผมพยายามลองเลียนแบบแม่ทุกอย่างที่แม่ได้เคยทำไว้ ทุกวัน ผมได้เห็นคุณค่าของเม็ดเงินแต่ละบาทนั้น ว่ากว่าจะหามาได้ มันต้องลำบากขนาดไหน ผมภูมิใจมากที่ตัวเองขยันขึ้น ในการช่วยกิจการครอบครัว ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ช่วง summer ปิดเทอม แต่ผมก็ภูมิใจที่แม่ได้เอ่ยปากชมว่า เก่งมากลูกที่มีความอดทน ขยัน  พร้อมยังบอกว่า เป็นก้าวแรกเริ่มต้นที่ดี ในการปรับปรุงตัวเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยตื่นสายอีกเลย แม้แต่วันเดียว

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) :

ได้มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว ซึ่งโดยปกติแล้วจะชอบเที่ยวในประเทศมากกว่าเพราะทางบ้านมีเวลาค่อนข้างจำกัด ในการหาวันหยุดยาวๆ ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสไปประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตที่ไป 2 ประเทศในเวลาเดียวกัน แต่ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดี ที่ได้เห็นสภาพบ้านเมืองของเขา ว่ามีหลายๆอย่างที่ดีแตกต่างจากบ้านเรา สภาพอากาศ ภาษาที่ใช้ กฎหมายและนิสัยที่แตกต่างของชนชาติ ผมยังจำได้ดีเลยขนาดเราเป็นเด็ก ได้มีโอกาสไปเจอเด็กฝรั่งน่าจะรุ่นเดียวกันกับผม ถึงแม้เราจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เราก็เล่นเครื่องเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน เป็นประสบการณ์ที่ใหม่ ที่ได้ทำความคุ้นเคยกับชาวต่างชาติ  ผมเชื่อว่าขนาดเที่ยวในประเทศเราเอง เราก็ยังต้องสร้างความคุ้นเคยกับคนไทยด้วยกันเอง เพราะวัฒนธรรมแต่ละภาคแตกต่างกัน ภาษาคนละสำเนียง 

เคยไปสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไป เป็นสถานที่เดิม แต่เวลา ความรู้สึกต่างๆนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีการพัฒนาปรับใหม่ เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) :

เมื่อตอนเรียนปริญญาตรี มีงานเลี้ยงอำลาพี่ ปี 4  เป็นงาน บายเนียร์ ซึ่งน้องๆ ทุกชั้นปี ต้องมาเข้าร่วมกิจกรรม และจัดงานอำลาให้พี่โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของรุ่นพี่สืบต่อกันมานาน  ซึ่งรายละเอียดงานก็จะแบ่งเป็น จัดแสดงตามแต่ละชั้นปี ทำซุ้มถ่ายรูปที่ระลึก จัดโต๊ะอาหาร เลี้ยงรับรอง ทุกๆคน ทีมาในงาน ซึ่งตัวผมเองได้มีโอกาส ร่วมงานกับเพื่อนในการซ้อมเต้นแสดงในงาน จึงได้ทำการซ้อมกันเป็นทีมกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นการซ้อมที่ยากมากปรึกษากันทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ใช้ คิดท่าแสดงต่างๆ  กว่าจะลงตัวได้ก็วันจริงกันเลยดีเทียว เราต้องแบ่งเวลามาทุกวัน เพื่องานของพวกเรา ผมเชื่อว่าเราเป็นทีมที่ดีมากทีมหนึ่ง เพราะเรา ตั้งใจให้มันออกมาดีที่สุด ซ้อมกันดึกทุกวัน จนบางวันไปนั่งเรียน ในคลาส ทีมงานซ้อมของผม หลับกันทุกคน เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และถึงวันจริง ทีมซ้อมเราก็ได้มีโอกาสไปช่วยเหลือเพื่อนที่คอยจัดซุ้มด้วย  เพื่อให้งานนั้นออกมาดีที่สุด ขนาดวันจริง ทีมเต้นผิดจังหวะ ก็ยังเนียน ให้ไม่สะดุด  ไปต่อได้   เราจึงเป็นทีมที่ดี ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดีทีมหนึ่ง

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) :

ได้มีโอกาสไปประเทศ Hong Kong ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเศรษฐกิจพิเศษของประเทศจีน คล้ายๆกับพัทยาของบ้านเรานั่นเอง แต่มีหลายสิ่งที่เป็นระบบนั้น ได้นำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในเมืองแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบสาธารณูปโภค ขนส่ง รักษาสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของประชาชน สามารถทำให้เป็นเมืองที่น่าอยู่เมืองหนึ่งของโลก โดยเฉพาะชานเมือง ของ Hong Kong นั้น เป็นมิตรกับธรรมชาติมาก มีอุโมงค์ สำหรับจักรยานโดยเฉพาะ และผู้คนที่นี่ ก็ชอบใช้จักรยานกันมาก มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ดี ในการปรับใช้น้ำทะเล อากาศดีมาก มลพิษน้อย อยากให้เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างพัทยา ของบ้านเรา มาดูเป็นแบบอย่าง เพื่อนำไปปรับใช้  พัฒนาต่อไป และสำหรับเมืองอื่นๆ ด้วย เพราะระบบที่ดี เราไม่ควรแค่มองผ่านไปเฉยๆ

นางสาวปัทมาพร   ทูลไธสง

MBA Y.14 sec12 รหัสนักศึกษา 555740052-3


Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?)

ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ทุกคนจะต้องลงเรียนวิชาฟิสิกส์เป็นวิชาพื้นฐาน ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ไม่ถนัดเอามากๆ ทำให้เวลาเรียนต้องตั้งใจเรียนและพยายามทำความเข้าใจมากเป็นพิเศษ ตอนสอบก็ตั้งใจทำโดยหวังว่าที่ทำไปนั้นจะมีข้อที่ตอบถูกบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ได้เป็นดังหวังตอนประกาศคะแนนกลางภาคออกมาแทบช็อค คือได้ 2.5 เต็ม 30 ซึ่งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกแย่กับตัวเองมากขนาดนี้ นั่งร้องไห้อยู่ 2 วัน แต่พอหยุดร้องไห้และนั่งทบทวนว่าต่อไปเราควรทำยังไงกับวิชานี้ดี (และคะแนนที่มีอันน้อยนิด) เลยตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่า อย่าน้อยวิชานี้เราต้องได้อย่างมาก D+ และต้องไม่ติด F จึงตั้งใจเรียนให้มากขึ้นกว่าเดิม และพยายามทำแบบฝึกหัดทุกข้อที่เจอและทุกเล่มที่มีให้ทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากที่สุด จนผลสุดท้าย ตอนสอบปลายภาค คือนั่งทำข้อสอบแบบสบายใจมาก เพราะทำได้ทุกข้อ และมั่นใจว่าถูกด้วย สุดท้ายก็เป็นไปตามคาด เกรดที่ได้ออกมา คือ C (มากกว่าที่หวังไว้ตั้งเยอะ) ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรยากเกินความพยายามของเรา หากมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ

 

Dialogue (ใคร ไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี)

ครอบครัวของดิฉันมีอาชีพรับซื้อข้าวเปลือก และขายวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้าง อยู่มาวันหนึ่งดิฉันได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับคุณพ่อ ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า อาชีพนี้พ่อกับแม่ช่วยสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและสองมือของท่านทั้งเอง จากที่ไม่มีอะไรเลยกว่าจะมีเหมือนทุกวันนี้ท่านได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมากมายหลายเรื่อง ทั้งที่ดีและไม่ดี ท่านจึงถ่ายทอดให้กับดิฉันได้ฟัง ทำให้ดิฉันได้คิดหลายๆอย่างจากท่าน  และสุดท้ายท่านยังบอกกับดิฉันว่า “พ่อกับแม่สร้างมาให้ลูกได้แค่นี้ เพราะแก่มากแล้วสมองไม่ไหลเลื่อนแบบเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เหลือลูกต้องเป็นคนที่สร้างต่อเอง สมัยนี้การแข่งขันสูง หากไม่พยายามปรับตัวหรือหาวิธีการใหม่ๆ ให้กับร้านของเรา ก็จะไม่สามารถแข่งกับร้านอื่นๆได้ เราจะย่ำอยู่กับที่แบบนี้ไม่ได้ คนเราต้องมองหาโอกาสและพยายามเดินไปข้างหน้า” หลังจากที่ได้คุยกับคุณพ่อวันนั้นก็ทำให้ดิฉันเปลี่ยนความคิดของตัวเองไปทันทีเลยจาก ที่เคยคิดว่า “ที่เรามีอยู่นี้ก็มากพอแล้วนะ” กลายมาเป็น “เราจะทำยังให้ได้มาเพิ่มมากกว่าที่มีอยู่”  เริ่มคิดหาสินค้าใหม่ๆ เพื่อนำมาลงขายที่ร้าน เพื่อเป็นการขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้กว้างขึ้น

 

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น)

ตอนนั้นฉันได้มีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก คือ เดินทางไปประเทศเกาหลี ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ใครหลายๆ คนต่างใฝ่ฝันที่จะไป และดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น พอไปถึงก็ได้เจอสิ่งแปลกใหม่มากมาย เช่น การแต่งกายในช่วงฤดูหนาวของคนเกาหลี เนื่องจากเกาหลีเป็นประเทศที่มีอากาศค่อนข้างหนาว(มาก) จึงต้องแต่งการที่สามารถให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมากที่สุด หากเป็นคนไทย ส่วนมากจะสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ทับเป็นเสื้อตัวนอกเพิ่มอีก 1 ชั้นเท่านั้น เพียงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเท่านั้น ไม่มานึกถึงว่าแต่งแบบนี้เข้ากับแฟชั่นรึเปล่า แต่สำหรับคนเกาหลีไม่ใช่ ส่วนมากเขาจะนิยมใส่เสื้อผ้าที่เนื้อบางๆ แต่จะซ้อนกันหลายๆ ชั้น ซึ่งในการแต่งกายของคนเกาหลีไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเท่านั้น ยังเป็นการแต่งตัวตามแบบแฟชั่นที่สวย และเก๋ ได้อีกด้วย  เมื่อเดินทางต่อไป เรื่อยๆ ดิฉันยังได้พบว่า ประเทศเกาหลีกำลังดำเนินการสร้างแผ่นดินใหม่โดยสูบน้ำทะเลออก ซึ่งจุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ ประเทศเกาหลีเป็นแค่เกาะเล็กๆ เท่านั้น พื้นที่บนแผ่นดินมีค่อนข้างน้อยจึงมีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ออกไปเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม จากเหตุการณ์นี้ทำให้ตัวดิฉันยอมรับในความสามารถและความพยายามของประเทศเขาจริงๆ

 

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย)

ตอนเรียนปริญญาตรี ชั้นปี 3  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาสิ่งแวดล้อมระดับมหาลัย ซึ่งงานนี้ถือว่าเป็นงานที่หนักและใหญ่มากสำหรับการผิดชอบของคนทำงานเพียง 150 คน จึงทำให้ต้องมีการวางแผนการทำงานอย่างเคร่งครัด ต้องแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ และผู้ที่จะรับผิดชอบในแต่ละหน้าที่อย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดการซ้อนทับกันในเวลาทำงาน หลังจากที่ทำแผนการทำงานต่างๆ เสร็จก็ถึงเวลาที่ต้องมีการแบ่งงาน (หน้าที่รับผิดชอบ) ออกเป็นส่วนๆ และต้องมีการติดตามผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของงาน ซึ่งแต่ละหน้าที่นั้นจะมีหัวหน้าที่คอยทำหน้าที่ประสานงานกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มเองและประสานงานกับส่วนอื่นๆ เมื่อมีการแบ่งงานแล้วแต่ละคนจะต้องช่วยกันทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบให้ได้ดีที่สุด เพราะหากงานส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหาก็จะส่งผลทำให้ส่วนอื่นๆ มีปัญหาตามไปด้วย ดังนั้นการทำงานครั้งจึงทำให้เข้าใจว่า “ หากทุกคนและทุกฝ่ายไม่ช่วยกันทำงาน งานก็คงจะไม่มีทางสำเร็จได้เลย ”

 

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี)

ตอนเรียนปริญญาตรี ชั้นปี 4 ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่ “ โรงงานผลิตแก้วน้ำดื่ม ของบริษัทโอเชี่ยน” ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีระบบการจัดการที่ดี โดยเริ่มจากกระบวนการแรก คือ การเป่าแก้วเพื่อขึ้นรูป เป็นรูปทรงต่างๆ ตามที่กำหนด เมื่อได้แก้วรูปทรงต่างๆ แล้ว กระบวนการต่อมาก็คือ การเพ้นสีและลวดลายลงบนแก้ว ซึ่งกระบวนการนี้ถือว่าเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญมาก เพราะ การเพ้นลวดลายต่างๆ นั้น  บางลายหรือรูปแบบสามารถใช้เครื่องจักรทำได้เลย แต่บางลายหรือรูปแบบจำเป็นต้องให้มนุษย์เป็นผู้ทำ หลังจากนั้น กระบวนการต่อไปคือ การตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของแก้ว หากพบว่าแก้วที่ได้นั้นมีลวดลายไม่ตรงตามที่กำหนดหรือมีรูปร่างผิดแปลกไป ก็จะคัดออกเพื่อนำกลับเข้าไปสู่กระบวนการหลอมใหม่ แล้วหลังจากนั้นถึงจะกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตอีกครั้ง ทั้งนี้ในแต่ละกระบวนการผลิตนั้นเครื่องจักรจะต้องมีคนคอยควบคุมและดูแลตลอดเวลา เพราะหากเกิดความผิดพลาดหรือปัญหาขณะทำการผลิตจะได้แก้ไขได้อย่างทันการลดความเสียหายที่จะตามมาได้มากกว่าการที่ปล่อยให้เครื่องจักรทำงานโดยที่ไม่มีคนคอยควบคุมและดูแล เมื่อเสร็จจากกระบวนการผลิตแล้ว แก้วที่ได้นั้นจะเข้าสู่กระบวนการบรรจุหีบห่อ และส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่อไป จากการที่ดิฉันได้เข้าไปศึกษาดูงานครั้งนี้ ทำให้ได้รู้ถึงระบบการทำงานของทั้งเครื่องจักรและมนุษย์ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงถึงกันหมด หากส่วนใดส่วนหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่งมีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบไปทั้งระบบ

น.ส.ศิริพันธุ์ กัณหากุล รหัส 555740088-2 sce.12 ขออนุญาติแก้ไขงานน่ะค่ะ

1. Personal Mastery ในช่วง มัธยมฉันติดเพื่อนมากจนเกรดตกในวันหนึ่งมีการประชุมผู้ปกครอง ฉันไปกะคุณแม่และพี่สาวโดยไม่ทราบมาก่อนว่าวันนั้นคุณครูประจำชั้นจะบอกเกรดพอ ฉันได้เห็นใบเกรดจากคุณแม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจมากและคุณแม่ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากฉัน เพราะฉันไม่เคยเกรดต่ำกว่า3.00เลย ฉันถึงกับร้องไห้และขอร้องคุณแม่ว่าอย่าพึ่งบอกคุณพ่อได้ไม และสัญญากับคุณแม่ว่าเทอมหน้าจะต้องทำเกรดให้ได้ไม่ต่ำกว่า3.50 ซึ่งคุณแม่ก็ตกลง พอกลับถึงบ้านฉันก็รีบขึ้นห้องแล้วก็คิดทบทวนตัวเองใหม่ วางแผนการเรียนใหม่ จัดทำตารางเวลา เขียนเป้าหมายอย่างชัดเจอว่าเทอมหน้าต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า3.50ตามที่สัญญากับคุณแม่ไว้ ฉันไม่ค่อยไปเล่นกับเพื่อนๆเหมือนอย่างเคยรีบกลับบ้านมาทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างหนักจนทำให้เกรดเทอมต่อมาขอฉันคือ3.69 พอเห็นเกรดฉันรีบโทรไปบอกคุณแม่ทันที หลังจากนั้นฉันก็ไม่เล่นมากเพราะกลัวจะเสียการเรียน

 

2.Dialogue วันหนึ่งฉันก็นั่งเล่น facebook อยู่ที่บ้านก็ได้แชทไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็มีน้องนิดหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ทักมา เราก็คุยกันปกติ แต่พอน้องถามคำถามหนึ่งขึ้นมา ก็ทำให้ฉันได้หยุดคดและทบทวนอยู่นาน "พี่ปุยเรียนจบแล้วใช่มั้ย จะทำงานเลยรึป่าว" คำถามนั้นเป็นคำถามที่ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ ในวันนั้นฉันไม่ได้ตอบน้องไป แต่หลายวันต่อมาคำถามนี้ก็ยังก้องอยู่ในหัวฉันเรื่องนี้อยู่ 3 วันแล้ว คิดว่าอยากที่จะเรียนต่อก่อนก็เลยเข้าไปคุยกับพ่อและแม่ท่านก็เห็นดีด้วย พอฉันตัดสินใจได้ ก็รีบโทรไปหาน้องทันที "นิดหนึ่งพี่ตัดสินใจได้แล้วพี่คิดว่าคงเรียนต่อก่อนอ่ะ" น้องจึงตอบว่า "ก็ดีน่ะพี่ปุย เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นเขา พ่อแม่เราสนับสนุนก็ทำเลย โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆและไม่ได้มีให้กับทุกคนน่ะ ตั้งใจทำให้เต็มที่ สอบเรียนต่อให้ได้ สู้ๆ" หลังจากวันนั้น ฉันก็ไปสมัครเรียนต่อ และเริ่มที่จะอ่านหนังสือ และคิดว่าจริงอย่างที่น้องบอก โอกาสไม่ได้มีมาบ่อย เราต้องทำให้ได้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า และฉันก็ทำได้ฉันได้เรียนต่อ ต้องขอบใจน้องสำหรับคำถามที่จุดประกายให้ฉัน ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

 

3. Mental Model ในช่วงวันหยุดฉันก็นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ที่บ้านไปเรื่อย แล้วก็เปิดไปเจอคอลัมหนึ่งเป็นที่หน้าสนใจสำหรับฉันมากเพราะ วง CNBLUE เป็นวงดนตรีของเกาหลีที่ฉันชื่นชอบมาก จะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย แต่ฉันก็กังวนว่าจะไปยังไงจะไปกับใครเพราะฉันไม่เคยไปไหนคนเดียวเลยไม่ไปกับครอบครัวก็จะต้องไปกับเพื่อนๆตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำอะไรคนเดียวเลย แล้วในช่วงนั้นก็มีข่าวลือเรื่องการทำนายว่าในปี2012โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆอาจจะทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกก็ได้ ฉันจึงตัดสิ้นใจซื้อบัตร จองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วฉันก็ตั้งตารอจนวันนั้นมาถึง ฉันรู้สึกประหม่าแล้วก็ตื่นเต้นมากการที่ได้ทำอะไรเองคนเดียวในกรุงเทพ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราคิดจะทำแค่เรากล้าที่จะลงมือทำเท่านั้น ไม่ต้องอยู่ในกรอบอยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวของตัวเองเป็นความประทับใจที่ฉันไม่มีวันลืมแล้วทำให้ฉันกล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น

 

4.Team Learning ตอนปี 4 เทอมสุดท้ายต้องทำสัมมนาทางการเงิน ซึ่งเป็นวิชาที่เราต้องเอาความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาใช้ เป็นงานที่ยากและละเอียดมาก โดยอาจารย์จะให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ในช่วงที่ทำสัมมนานั้นทั้งอาจารย์และรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็บอกว่าเป็นวิชาที่ทำให้เพื่อนทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะการทำงานนี้ยากพอสมควร แต่กลุ่มของฉันโชคดีตรงที่เราคุยกันก่อนที่จะเริ่มทำงาน พวกเราจึงแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย อาจเป็นเพราะเรามีการแบ่งงานที่ชัดเจนตามความถนัดของแต่ละคน ไม่เกี่ยงงานกัน แต่จะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า ทุกคนในกลุ่มจะยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆและช่วยกันปรับปรุง ถึงแม้เราจะแก้งานในหลายๆครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี การทำงานครั้งนี้ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่ได้คุยกันกันเลย กลายเป็นมิตรภาพที่ดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น

 

5. System Thinking ครอบครัวของฉันซื้อรถคันแรกเป็นยี่ห้อโตโยต้า และทำให้ครอบครัวของเรามีความประทับใจในระบบการทำงานและการบริการของบริษัทโตโยต้ามาก เพราะเวลาที่รถมีปัญหาเราสามารถโทรจองนัดล่วงหน้าได้ว่าเราจะนำรถเข้าซ่อมวันไหนเมื่อไหร่ เขามีระบบการทำงานที่ดีแล้วก็มีการบริการที่เริ่ศต้องแต่ยามหน้าบริษัทจะยิ้มแย้มแล้วก็จะค่อยถามว่าเรามีอะไรให้เขาบริการ เขาก็จะบอกเราว่าให้เราขับไปจอดที่ตรงไหน และพนักงานของโตโยต้า ก็จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีแก่ลูกค้าเสมอ เขาก็จะให้เราเข้าไปทำรายการที่ฝ่ายบริการลูกค้าเขาก็จะถามว่ารถเราเป็นอะไร แล้วก็จะนำกุญแจรถไปเอไปเช็ค พอเช็คเสร็จเขาก็จะโทรมาบอกว่ารถเราเป็นอะไร มีอะไหล่ตัวไหนต้องเปลี่ยน และแจ้งราคาในการซ้อมกับเราโดยที่เราไม่จำเป็นต้องนั่งรอให้เสียเวลา เขาจะบอกเวลาให้เราไปรับรถ พอรถเสร็จเรียบร้อยเราก็ไปจ่ายตังที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเขาจัดการระบบได้ดี ทำให้สะดวกต่อการให้บริการ เวลาช่วงที่มีโปรโมชั่นก็จะมีพนักงานโทรมาหาเราที่บ้านแนะนำโปรโมชั่นที่ดีๆให้กับเราเพื่อเราอยากที่จะใช้บริการนั้นๆทำให้ครอบครัวเราประทับใจในบริษัทโตโยต้ามากแล้วคิดว่าถ้าจะต้องเลือกซื้อรถอีกสักคันคงจะพิจารณาบริษัทโตโยต้าเป็นที่แรก

นางสาวนฤมล ลับลิพล sec 12 รหัสนักศึกษา 555740046-8

Personal Mastery (ครั้งใดที่ทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น) : วันหนึ่งขณะนั่งทานข้าวเย็นกับพ่อ พ่อถามว่าเรียนจบแล้วจะทำงานอะไร ตอบพ่อไปว่ายังไม่รู้เลยอาจจะทำธุรกิจส่วนตัวสักอย่าง พ่อจึงบอกว่าจะทำก็ได้แต่พ่ออยากให้ทำงานรับราชการจะได้ไม่ลำบากเพราะอาชีพข้าราชการเป็นอาชีพที่มั่นคงและเมื่อได้เป็นแล้วจะได้มีสวัสดิการที่ดูแลคนในครอบครัวได้ ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อที่ต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินให้ได้มากๆ เผื่อวันข้างหน้าเกิดเจ็บป่วยและไม่มีงานทำจะได้ใช้เงินที่เก็บไว้นี้ จึงทำให้เกิดเป้าหมายว่าในชีวิตนี้เราต้องทำงานรับราชการเป็นหลักและทำธุรกิจส่วนตัวตามที่พ่อหวังและเราหวังไว้เพื่อให้มีรายได้ที่ดีสามารถดูแลพ่อและแม่ได้โดยไม่ให้ท่านลำบาก Dialogue (ใครไหนได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี): เมื่อตอนที่ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้วยความที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนและติดเที่ยวจึงทำให้เกรดเฉลี่ยออกมาได้เพียง 1.41 และติด F 3 วิชา จึงทำให้เกิดความรู้สึกท้อ ไม่อยากเรียนต่อเพราะกลัวถูกรีไทร์ และจะสอบแอดมิชชั่นใหม่เพื่อเริ่มเรียนในสาขาวิชาใหม่ จึงเข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำ เมื่อเล่าเหตุผลให้อาจารย์ฟัง อาจารย์บอกว่าถึงจะสอบใหม่และได้เรียนใหม่แต่หากไม่ตั้งใจไม่สนใจผลการเรียนออกมาก็ไม่ดีไปกว่าเดิมมีแต่จะเสียเวลาทิ้งเปล่า หากตั้งใจที่จะทำให้การเรียนดีขึ้นจริงไม่จำเป็นต้องสอบแอดมิชชั่นเพื่อเริ่มเรียนปี1ใหม่ แค่ตั้งใจเรียนทำเกรดในปี 2,3 และ 4 ให้ดีขึ้นเพราะตอนนี้อยู่แค่ปี1 ยังสามารถทำเกรดเพิ่มขึ้นได้อีกมากเพราะมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนกับเราและสามารถจบได้ด้วยเกรดที่สูง และเมื่อได้คำแนะนำจากอาจารย์ดิฉันก็ตั้งใจเรียนต่อในสาขาวิชาเดิมและจบภายใน4ปี ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.47 Mental model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น) : ตอนศึกษาปริญญาตรีปี3 ได้ไปศึกษาดูงานกับทางสาขาวิชาที่เรียน โดยไปที่ซอฟต์แวร์พาร์ค กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ฟังบรรยายจากผู้บริหารหลายท่านและกลุ่มผู้จัดทำเว็บไซต์กลุ่มหนึ่งที่จัดทำเว็บไซต์และกิจกรรมเกี่ยวกับการทำให้คนมีความสุขโดยการกระโดด โดยคนกลุ่มนี้จะไปทำตามที่ต่างๆและพาให้ผู้คนกระโดดเพื่อสร้างความสุขแล้วนำมาโพสลงในเว็บไซต์และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเราได้ลองกระโดดกับเพื่อนหลายๆคนซึ่งมันก็ทำให้เกิดความสนุกและมีความสุขจริงถึงจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ เลยทำให้รู้ว่ามีคนที่คิดแปลกและคิดทำดีเพื่อทำให้คนในสังคมมีความสุขและการสร้างความสุขทำได้ง่ายๆเพียงแค่เรากระโดด

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด) : ตอนเรียนปริญญาตรีปี3 เป็นช่วงที่ต้องทำงานส่งเยอะมาก ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม และมีหนึ่งวิชาที่ให้ทำโปรเจคเป็นกลุ่มๆละ5คนให้เวลาทำ 2เดือน กลุ่มเรานั้นทำโปรเจคเรื่องระบบจัดการค่าเทอมของคุมอง โดยแบ่งงานออกให้แต่ละคนรับผิดชอบซึ่งประกอบด้วย System Analysis 1 คน Programmer 2 คน Tester 1 คน และผู้จัดทำเอกสาร 1 คน แต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองบางครั้งก็นั่งทำด้วยกันและช่วยกันทำจนใกล้ถึงวันที่จะต้องพรีเซ้นและส่งงานก็ได้นำงานแต่ละส่วนมารวมกันและช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อย เมื่อถึงวันพรีเซ้นกลุ่มเราสามารถพรีเซ้นผ่านไปได้ด้วยดีและไม่ต้องมีส่วนไหนที่ต้องแก้ไขซึ่งเป็นครั้งแรกที่ส่งงานแล้วไม่ต้องแก้ไข

System thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) : เมื่อซัมเมอร์ตอนปี3 นักศึกษาทุกคนต้องไปฝึกงานตามบริษัทต่างๆ ดิฉันและเพื่อนอีกหนึ่งคนเลือกไปที่ บริษัท ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด(มหาชน) ได้อยู่แผนกธุรการ ช่วงก่อนสงกรานต์ที่โรงงานจะมีการจัดงานสงกรานต์ประจำปีซึ่งปีนี้แผนกธุรการเป็นผู้รับผิดชอบ ในงานจะมีการทำบุญในตอนเช้า ประงวดนางสงกรานต์และสาวรำวง ก่อนวันงานผู้จัดการได้เรียกทุกคนในแผนกเข้าประชุมรวมทั้งเราด้วย และได้มอบหมายงานให้แต่ละคน ดิฉัน เพื่อน และพี่เลี้ยงที่ฝึกงานได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงนางสงกรานต์ซึ่งจะต้องพานางสงกรานต์ไปแต่งตัวและหน้าที่ร้าน เช้าวันต่อมาดิฉัน เพื่อนและพี่ก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เมื่อแต่งตัวและหน้าเสร็จกลับมาที่งานทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อยคือจัดสถานที่ เวที เตรียมอาหารและเครื่องดื่มพร้อมที่งานจะเริ่มจึงทำให้รู้สึกว่าเป็นการทำงานที่มีระบบ งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ถึงจะมีอุปสรรคบ้างแต่ก็แก้ไขได้

ชื่อ นางสาว พนิดา ฉิมวัย 555740054-9 sec. 11

1.Personal mastery เมื่อตอนที่เรียนอยู่ปริญญาตรี เรียนอยู่ปีที่3 ได้มีเพื่อนนักศึกษามาจากแม็กซิโก ซึ่งทำให้ต้องเรียนในรายวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเท่าไหร่นัก เพราะเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่งผลให้มีผลกระทบต่อรายวิชานั้นๆ ทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง และอาจจะทำให้ส่งผลต่อเกรดในรายวิชานั้นด้วย ดังนั้นจึงทำให้เกิดเป้าหมายในชีวิตขึ้นมาว่า จะต้องตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษให้มากขึ้น อ่านให้มากขึ้น เพื่อที่จะใช้ในเวลาเรียน ให้เรียนรู้เรื่อง และเมื่อทำตามดังที่กล่าวมา ก็ทำให้เรียนรู้เรื่องมากขึ้น พอที่จะสามารถนำไปสอบในรายวิชานั้นได้

2.Dialogue ได้รู้จักกับพี่หนึ่งคน ซึ่งมีอาชีพเป็นเภสัชกร เวลาไปซื้อยาทุกครั้งจะชอบยืนพูดคุยกันเป็นเวลานานพอสมควร ทำให้ค่อนข้างสนิทกัน พี่เขาจะชอบชวนคุยเกี่ยวกับว่า เราชอบทำอะไร จะทำอะไรในอนาคต มีการวางแผนชีวิตอะไรบ้าง ตอนแรกเราก็ยังไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวเรื่องในอนาคตสักเท่าไหร่ แต่พอได้มาพูดคุยกะพี่เขบ่อยๆทำให้เราได้คิดว่า เราน่าจะคิดได้แล้วว่าเราควรที่จะทำอะไรในอนาคต เลยคิดว่าอยากจะเรียนต่อ เลยตัดสินใจเรียน MBA เพื่อที่อยากจะมีกิจการเป็นของตัวเองในอนาคต

3.Mental model ตอนนั้นได้ไปเยี่ยมที่ทำงานของพ่อที่ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อได้ไปถึงก็ได้พบอะไรใหม่ๆที่ต่างไปจากที่บ้านเราอยู่ ได้พบทัศนียภาพใหม่ๆ รวมทั้งการใช้ชีวิตของบุคคลในระแวงนั้นๆ หรืออาหารการกินมีผักแปลกใหม่มายมาก และสุดท้ายการพูดจาก็เป็นภาษาสำเนียงทางภาคใต้ อาจจะฟังดูไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้มีสีสันมากขึ้นเลยทีเดียว ทำให้การเดินทางครั้งนี้ เหมือนได้ออกไปพบสิ่งใหม่ๆมากขึ้น

4.Team learning เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมาที่บ้านของฉันก็ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน โดยเป็นส่วนของห้องครัว เป็นที่แน่นอนว่าการที่จะซ่อมแซมบ้านไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กก็ย่อมเป็นเรื่องที่ยุ่งยากทั้งหมด นอกจากจะค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว ก็ยังมีเศษฝุ่นไปเปื้อนในส่วนอื่นๆด้วย ดังนั้นเมื่อทำบ้านเสร็จแล้ว ก็ต้องทำความสะอาดบ้าน แต่ดีที่มีญาติๆมากที่บ้าน ทำให้มีคนช่วยทำความสะอาดบ้านมากขึ้น โดยมีน้องๆลูกของน้าสาวมาช่วยกัน แบ่งหน้าที่ตามความถนัดของตนเอง ทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม ส่งผลให้ทำความสะอาดบ้านได้แล้วเสร็จในเวลาไม่นาน ช่วยเบาแรงไปได้เยอะเลยทีเดียว

5.System thinking ตอนเรียนปริญญาตรีได้ไปฝึกงานที่บริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด(มหาชน) ไดทำหน้าที่ในส่วนของฝ่ายการตลาด โดยงานฝ่ายนี้จะมีระบบขั้นตอนคือ เมื่อลูกค้าสั่งสินค้ามาโดยทางแฟกซ์ อีเมลล์ โดยลูกค้าจะมีทั้งเป็นลูกค้าคนเดียว และเป็นห้างร้านที่เป็นร้านหนังสือ เช่น ซีเอ็ดบุ๊ค นายอินทร์ เป็นต้น โดยมาจากทั่วประเทศ ขั้นตอนก็มีอยู่ว่า ลูกค้าจะส่งบิลมาให้ทางบริษัท แล้วบริษัทจะโอนแฟกซ์นั้นมาให้ฝ่ายการตลาด หรือไม่ก็ส่งมาทางอีเมลล์ จากนั้นก็ต้องถ่ายสำเนาไว้ 1 ฉบับ แล้วจากนั้นก็เอาบิลนี้ไปให้ส่วนที่รับผิดชอบเบิกสินค้า เป็นขั้นตอนต่อไป ทำให้รู้ว่าการทำงานต่างๆ ต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจนไม่สามารถข้ามขั้นตอนของแต่ส่วนที่รับผิดชอบไปได้ แต่ละคนย่อมมีหน้าที่เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น การมีระบบที่ดีจะส่งผลให้งานมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นายสุปรีย์ ศาสตรพันธุ์

นายสุปรีย์ ศาสตรพันธุ์

MBA Y#14 รหัส 555740013-3 sec12

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น)

--> ผมชอบเล่นกีฬาฟุตบอล ตอนแรกๆก็คิดว่าแค่เล่นเพื่อออกกำลังกายและเพื่อความสนุกสนานเฉยๆไม่ได้จริงจังอะไรกับมันมาก เล่นก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก เพราะไม่เคยหัดมาก่อน ไม่มีเบสิคเลย แค่พอเล่นได้แค่นั้น พอโตขึ้นมาเรื่อยๆประมาณ ม.4 ก็เล่นฟุตบอลไปตามปกติ และมีวันนึงเพื่อนก็เดินมาบอกว่า มีคนมาท้าเตะบอลเดิมพัน ซึ่งผมก็ปฏิเสธทันที แล้วก็บอกเพื่อนว่าเราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา เขามาท้าเขาต้องเตะเก่งแน่ๆ เพื่อนเลยว่าลองดูๆ เดิมพันแค่น้ำคนละแก้ว คนละ5-10บาทเอง ไม่เห็นเสียหายอะไร พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยตกลงที่จะเตะ ผมก็เล่นไปตามปกติของผม เล่นเท่าที่เล่นได้ แต่ผลกับเป็นว่าวันนั้นเราชนะ ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็มีคนมาท้าเตะเรื่อยๆ ชนะบ้างแพ้บ้าง แล้วประมาณช่วงก่อนจะปิดเทอมเขามีการจัดแข่งขันฟุตบอลชิงเงินรางวัล ค่าสมัคร500บาท เพื่อนๆก็เลยตกลงกันว่าเราจะส่งทีมเข้าร่วม ซึ่งรายการนั้นเราตกรอบแรก เพราะสู้เขาไม่ได้เลย แต่รายการยังก็ยังคงดำเนินต่อไป จนนัดชิงชนะเลิศ ผมกับเพื่อนๆจึงไปชมการแข่งขัน ซึ่งทีมที่ชนะเลิศเล่นเก่งมาก แล้วมีพี่คนนึงที่ผมรู้จัก ผมจึงไปถามพี่คนนั้นว่า ทำไมพี่อยู่ทีมเก่งจัง แล้วอยู่ทีมนี้ได้อะไรบ้าง(คือ ส่วนใหญ่ทีมทั่วไปต้องเสียค่าสมัครเอง ออกค่าชุดกันเอง ไปกลับเอง หาน้ำกินเอง) พี่เขาเลยบอกว่าก็ต้องขยันซ้อม พยายามเตะบ่อยๆ แล้วก็จะมีคนมาดึงเราไปเตะเอง ถ้าได้เข้าทีมพวกแบบนี้นะสบาย ปกติค่าใช้จ่ายต้องจ่ายเองทุกอย่าง แต่ทีมนี้ไม่เลย ทุกอย่างฟรีหมด แถมได้เงินอีก ผมจึงเกิดเป้าหมายขึ้นมาว่า ผมจะต้องเข้าทีมนี้ให้ได้ จากนั้นผมก็ตั้งใจฝึกซ้อม วิ่งให้ร่างกายฟิต มีรายการไหนก็ส่งทีมเข้าแข่งขัน จนมีวันนึง เพื่อนมาถามว่าเดือนหน้าว่างไหม มีทีมจะส่งเข้าแข่งขันที่ต่างจังหวัด ขาดตำแหน่งที่ผมเล่นอยู่พอดี ลองไปเล่นดูสิ ผมก็ตกลงทันที และทีมที่ผมเข้าได้ร่วมด้วย ก็คล้ายๆกับทีมที่ผมมีเป้าหมายจะเข้า มีผู้สนับสนุนทุกอย่าง ผมจึงดีใจมากที่ทำเป้าหมายให้สำเร็จได้

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี)

--> แต่ก่อนผมเป็นคนที่ไม่สนใจกับการเรียนเลย คำว่าไม่สนใจนี้ ไม่ใช่ว่าโดดเรียน หรือหนีไปไหน ผมก็เข้าห้องเรียนปกติ ไม่เคยโดด ไม่เคยหนี แต่การเข้าเรียนของผมนั้นคือแบบไม่ได้สนใจที่อาจารย์สอน เข้าไปนอนหลับบ้าง นั่งทำการบ้านวิชาอื่นบ้าง คุยกันกับเพื่อนบ้าง ซึ่งแทบจะไม่ได้อะไรที่เป็นความรู้เลย พอเกรดออกก็คนอื่นเขาจะลุ้นให้ได้เกรดสูงๆ แต่ของผมคือลุ้นแค่ว่าผ่านก็พอแล้ว ฉะนั้นไม่เคยที่จะได้เกรด A B+ B ไรพวกเนี่ยเลย ส่วนใหญ่ก็ C C+ แล้วเหตุการณ์ที่ผลิกผันตัวผมก็คือ มีคนนึงซึ่งเหมือนพูดประชดผมว่า เรียนได้แค่เนี่ย ทำตัวแบบเนี่ย จบไปใครจะจ้าง แล้วจะไปทำมาหากินอะไร ซึ่งไม่รู้ทำไม บางคนอาจรู้สึกโกรธแล้วต่อต้าน แต่ผมกับมีความรู้สึกว่า "เอ่อว่ะ" มันถูกของเขา ถ้าเราเป็นแบบนี้ต่อไป เราจบไปก็ไม่รู้จะทำอะไร ผมนั่งคิดย้อนกลับไปแต่ก่อนว่า เราทำไมคิดแบบนั้น เราทำแบบนั้นไม่ได้อย่างไร ก็เลยเปลี่ยนความคิดตัวเองว่า ไม่ได้ละ เราต้องไม่เป็นแบบนั้น เราจะตั้งใจเรียน เราต้องทำเกรดให้ได้สูงๆ จบไปเราต้องได้งานที่ดีทำ และจากนั้นมาคนก็ตั้งใจเรียน จนจากที่เคยแค่ได้ C C+ ก็กลายเป็นว่า ทุกเทอมที่เรียนต้องมี A อย่างน้อย2-3ตัว และเทอมสุดท้ายมีเรียน4วิชา ผมได้Aทั้ง4วิชา ซึ่งผมภูมิใจมากที่อย่างน้อยในชีวิตผม ก็เคยได้เกรด 4.00

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น)

--> ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดตนเองค่อนข้างมาก เพราะคิดว่าตัวเองได้รู้ได้เห็นอะไรเยอะพอสมควร เพราะผมจะชอบคุณกันกับแม่ทุกๆเย็น คุยกัน4-5ชั่วโมง แม่ผมเป็นแบบตัวกลางในปัญหาต่างๆ เป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทั้งครอบครัว หรือที่โรงเรียนแม่ก็จะชอบเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาในครอบครัว แม่ก็จะบอกว่าอะไรเป็นยังไง ความคิดของแต่ละคนที่มาคุยกับแม่เป็นยังไง แล้วแม่ก็จะสอนว่าจะต้องแก้ปัญหายังไง ควรทำวิธีไหน อีกทั้งเรื่องปัญหาที่โรงเรียน แม่ก็จะคอยบอกชี้ให้เห็นว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน ควรแก้ยังไง และที่สำคัญแม่จะสอน จะพูด ให้ผมคิดเป็น มีเหตุผล ผมจึงเชื่อมั่นในความคิดของตนเองมาก แต่พอวันนั้น ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่คนนึง พอได้คุยกับพี่คนนั้นแล้ว ทำให้ผม อึ้ง ว่าเราคิดว่าเราเก่งแล้ว แต่ไม่เลย มันยังมีอีกหลายอย่างที่เรามองข้ามไป ยังมีปัญหาอีกมากมาย ยังมีแนวคิดดีๆอีกหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย)

--> เป็นเรื่องที่ผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่ธนาคารกรุงไทย สาขาร้อยเอ็ด ไปวันแรกก็ได้งานคือการต้อนรับ แนะนำลูกค้าในการทำรายการต่างๆ ทำแบบนั้นไปประมาณ 1 สัปดาห์ พี่คนที่คุมงานก็บอกว่า สัปดาห์หน้าเราจะแยกแต่ละคนไปช่วยตามฝ่ายต่างๆ ซึ่งหลักๆก็จะมี 2 ฝ่าย ที่ให้เด็กฝึกงานทำ ก็คือ สินเชื่อ กับ เปิดบัญชี ปรับสมุด ซึ่งเป็นรู้กันกันว่าสินเชื่่อนั้นเป็นฝ่ายที่หนักที่สุด งานเยอะที่สุด ซับซ้อนมากที่สุด ทุกคนก็ไม่มีใครอยากจะไป แต่สุดท้ายก็มีคนต้องไป พี่ที่คุมก็เลยบอกว่า ให้ผมเป็นคนไปอยู่ที่สินเชื่อ เพราะเหตุผลใดผมก็ไม่ทราบ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะขัดพี่เขาได้ จึงต้องไป และก็เป็นเช่นที่ทุกคนพูดจริงๆ งานที่สินเชื่อนั้นเยอะมากๆ ทั้งวันแทบไม่ได้พัก ต้องทำนู้นนี้ตลอด แถมเลิกดึกที่สุด ผมเป็นเด็ดฝึกงานคนเดียวที่ได้กลับ2ทุ่ม เด็กฝึกงานคนอื่นกลับกันตั้งแต่5โมง แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยู่ได้คือ พวกพี่ๆในฝ่าย ผมเห็นว่าทุกคนจะทุ่มเทกับงานมาก ทำงานที่ตนได้รับมอบหมายอย่างขยัน ไม่มีใครกลับก่อน2ทุ่ม แม้แต่หัวหน้าฝ่าย ก็กลับ2ทุ่มพร้อมกัน ซึ่งงานของแต่ละคนก็จะหนักเบาไม่เท่ากัน แต่เชื่อมั้ยว่า พองานใครเสร็จก่อน คนนั้นจะไม่ได้ขอกลับก่อน หรือว่าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร แต่เขาจะรีบมาช่วยคนอื่นๆทันที และการทำงานธนาคารนั้นก็ต้องมีการทำยอด(เป้าหมาย) ซึ่งที่ฝ่ายนั้นอันดับแรกหาใครหามันก่อน หลังจากนั้นก็มาระดมความคิดช่วยกันว่าเราจะทำยังไง ออกไปพบลูกค้าดีมั้ย จัดกิจกรรมขึ้นดีมั้ย พอสรุปกันได้ ก็จะวางแผนว่าดำเนินการยังไง ซึ่งพอได้ลูกค้าแทนที่คนพูดได้จะเก็บไว้คนเดียว แต่ไม่เลย ทุกคนจะเอามาเฉลี่ยกัน ช่วยๆกัน จึงทำให้ผมรู้สึกประทับใจมากทั้งได้เห็นการทำงานเป็นทีม การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ผมกับรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นครอบครัวๆนึง มากกว่าเพื่อนร่วมงานซะอีก

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี)

--> เป็นช่วงตอนที่เรียนมัธยมปลายผมมีโอกาสได้เป็นคณะกรรมโรงเรียน ซึ่งก็จะรับผิดชอบในหลายๆอย่าง และมีครั้งนึงเป็นงานปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ซึ่งทางโรงเรียนก็ให้คณะกรรมการนักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นจัดสถานที่ จัดระเรียบต่างๆ ประธานนักเรียนก็เรียกประชุมเพื่อที่จะกำหนดสิ่งต่างๆที่ต้องทำ ไม่ว่าจะปล่อยการจัดระเบียบรถที่มา การต้อนรับน้อง การคอยช่วยเหลือสนับสนุนสิ่งต่างๆ การปล่อยน้องทานข้าว และมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน ซึ่งก็ได้วางแผนไว้ทั้งหมด ซึ่งผมรู้สึกว่าเราเป็นแค่เด็กนักเรียนแต่เราสามารถทำอะไรพวกนี้ได้ เพราะการที่ประธานเก่ง การที่แต่ละคนมีความสามารถที่จะทำในสิ่งที่ตนได้รับมอบหมาย การรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆของทุกคน ที่สำคัญคือการทำงานเป็นระบบ จึงทำให้งานนั้นสามารถจะลุล่วงไปได้ด้วยดี

นางสาวรัฐิลักษณ์ มาสุข Sec.12 รหัส555740069-6 *Personal Mastery ตอนเป็นนักศึกษาปริญญาตรี เคยทำงานอยู่ที่สถาบันสอนภาษาทำหน้าที่ทั้งสอน และต้อนรับลูกค้าด้วยจากประสบการณ์การทำงานที่นั่นปีกว่าทำให้ได้เรียนรู้ระบบการทำงาน เรียนรู้การสอนและการบริหารโรงเรียน จนวันนึงตั้งใจว่าจะต้องมีโรงเรียนกวดวิชาเป็นของตัวเอง จากนั้นเรียนจบก็ได้ไปสอนที่โรงเรียนอนุบาลขอนแก่น ซึ่งก็ให้ประสบการณ์ในการสอนกับดิฉันมากมาย รวมถึงการดูแลนักเรียน จากการสอนที่โรงเรียนยิ่งทำให้ดิฉันมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นในการจะมีโรงเรียนเป็นของตนเอง แล้วตอนนี้ก็ได้เริ่มทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว โรงเรียนเพิ่งเปิดได้หนึ่งเดือนก็มีนักเรียนจำนวนพอสมควร ทำให้รู้สึกดีและมีเป้าหมายที่จะพัฒนาโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

*Dialogue ตอนจบมัธยมปลายได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ คะแนนสอบไม่ได้ดีมากในวิชาภาษาอังกฤษ แต่มีคะแนนในวิชาอื่นๆช่วยให้สอบติด ไม่ได้คิดว่าอยากเก่งหรือชอบภาษาอังกฤษมากเป็นพิเศษ คือประมาณว่าเรียนอะไรก็ได้ หลังจากได้เข้าไปเรียนในสาขาเห้นความสามารถเพื่อนๆ รวมถึงฟังเรื่องเล่าในการเรียนภาษาอังกฤษและประสบการณ์การทำงานของอาจารย์ มีอาจารย์ท่านนึงเล่าเกี่ยวกับการทำงานในยูเอ็น ความรู้สึกตอนนี้คือโอ้โห ยูเอ็น ทำได้ไงเนี๊ย ทำให้เรารู้สึกว่าการพูดภาษาอังกฤษได้นี่มันดีจริงๆช่วยอะไรหลายๆอย่างได้ ไปทำงานไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ พูดภาษานี้ได้ไม่อดตายแน่เรา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพูดให้ได้บ้างซิ ทำให้สนใจในการเรียนภาษามากยิ่งขึ้น แล้วก็ให้ประโยชน์กับเรามากในการพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้มีรายได้จากการสอนภาษาอังกฤษและสอนภาษาไทยให้ฝรั่งด้วย

*Mental model เมื่อตอนเป็นนักศึกษาป.ตรีได้มีโอกาสเดินทางไปอเมริกาในโครงการแลกเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับอเมริกา แค่คิดว่าอยากไปก็สมัครไป ในใจก็รู้และคิดว่าประเทศนี้พูดภาษาอังกฤษ เมืองหนาวมีหิมะ บ้านเมืองเจริญ ฝรั่งเยอะแยะ ฝรั่งนี้คงเจ๋งน่าดู เก่งน่าดู หลังจากได้ไปใช้ชีวิตที่นั่นสามเดือน ได้รู้ว่าคนอยู่ที่ไหนก็คนเหมือนกัน มนุษย์ทั่วๆไปนี่แหละ ฝรั่งไม่วิเศษวิโสอะไรมากไปกว่าเรา ไม่ได้เก่งมากกว่าคนไทยหรือเอเชีย แต่สิ่งอื่นๆที่ได้เห็นหรือได้เรียนรู้คือความเคร่งครัดของกฎหมายที่นี่น ความรับผิดชอบของผู้คน ความตรงต่อเวลา ความมีระบบในการทำงาน เป็นการเปิดโลกให้เรามองเห็นว่าทำไมบ้านเมืองของเขาถึงเจริญ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยใส่ใจว่าประเทศตัวเองทำไมยังเป็นประเทศกำลังพัฒนามาหลายปีมากแล้ว ทำไมคุณภาพชีวิตของประเทศนั้นดีกว่าประเทศของเรา การได้ไปเห็นบ้านเมืองและผู้คนที่นั่นทำให้เราได้แง่ๆคิดหลายๆอย่างกลับมา เป็นการเดินทางไกลที่คุ้มค่ามากๆ

*Team Learning
เมื่อตอนเป็นนักศึกษาปริญญาตรีปีสุดท้าย ต้องทำโปรเจคก่อนจบ การทำงานทำเป็นกลุ่มๆละ 3 คน งานคือเขียนวางแผนทำธุรกิจ พร้อมกับทำการตลาดเสมือนว่าเราจะทำธุรกิจนั้นจริงๆ สมาชิกในกลุ่มได้แบ่งหน้าที่กันตามความถนัด ดิฉันและเพื่อนหนึ่งคนทำหน้าที่เขียนรายงานเป็นส่วนใหญ่ เพื่อนอีกคนทำหน้าที่ถ่ายรูป ทำกราฟฟิค ตัดต่อวิดิโอ พวกเราทั้งสามคนทำงานได้ตรงตามเวลาที่ได้รับมอบหมาย และสมาชิกในกลุ่มก็สามารถติชมงานของเพื่อนและเสนอความคิดได้ ช่วยกันคิดก่อนที่จะนำมารวบรวมส่งงานจริงแต่ละดราฟ รู้สึกมีความสุขกับการทำงาน ไม่เครียดมาก แล้วงานที่แต่ละคนได้ทำก็เป็นงานที่แต่ละคนถนัด สมาชิกในกลุ่มรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน งานจึงประสบผลสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

*System Thinking เคยทำงานที่แมคโดนัลที่อเมริกา เมืองแฮริชเบิร์ก รัฐเพนซิเวอเนีย ซึ่งหลายคนก็คงรู้ว่าเป็นงานที่ใครๆในอเมริกาก็ไม่อยากทำ งานหนัก ลูกค้าเยอะทั้งวัน แต่จากการได้ไปสัมผัสการทำงานได้เห็นระบบการทำงานของแมคโดนัลมีความรู้สึกชื่นชมและประทับใจในการบริหารงาน การทำงานในหนึ่งวันจะแบ่งออกเป็น 3 กะ เพราะเปิดบริการ 24 ชั่วโมง งานจะมีหลากหลายหน้าที่ เริ่มจากแคชเชียร์หน้าเค้าเตอร์ รับออเดอร์ทางไดร์ทรู ทำงานในห้องครัว ทำเครื่องดื่ม ทอดเฟร้นฟราย จุดขายของแมคโดนัลคือถูก สะดวก รวดเร็ว เพราะฉะนั้นการบริการลูกค้าให้รวดเร็วคือสิ่งสำคัญมาก ที่ร้านมีการฝึกฝนพนักงานอย่างดี พนักงานในร้านสามารถทำงานได้ในทุกตำแหน่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่งานไม่ยุ่ง พนักงานก็มีหน้าที่สอนเพื่อนคนอื่นๆทำงานในตำแหน่งที่ตนถนัด ทำให้ทุกคนสามารถทำงานทุกอย่างในร้านได้ ผู้จัดการ้รานก็ตรวจดูแลพร้อมกับช่วยงานในร้านด้วย ทำให้เราดูมีกำลังใจในการทำงาน เจ้าของกิจการก็แวะมาดูร้านอย่างเป็นกันเองทุกสัปดาห์ ทุกๆกะของการทำงานจะมีผู้จัดการร้านคอยดูแลงาน และผู้จัดการจะเขียนทุกอย่างบันทึกไว้เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหาใดๆคนรับงานคนต่อไปจะไม่สามรถพูดได้ว่าไม่รู้เรื่องเลย เพราะต้องอ่านรายงานการทำงานจากกะที่แล้วก่อน ผู้จัดการร้านทุกคนเคยเป็นเด็กทำงานในร้านมาก่อนเป็นเวลา เข้าใจความเหนื่อยและการทำงานทุกอย่างในร้าน ทุกคนรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวัน ตรงต่อเวลา เข้าออกงานเป็นเวลา ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่มีระบบระเบียบดีมากๆและประทับใจมาก

เขียนโดย : นางสาววณิชยา แสนสุโพธิ์ sec.11 รหัสนักศึกษา : 555740072-7

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) ฉันเป็นคนที่มีเป้าหมายในตัวเองสูงมาก โดยเฉพาะเป้าหมายทางการศึกษา ฉันเป็นคนเดินตามเป้าหมายทางการศึกษามาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก เมื่อจบประถมจากโรงเรียนสาธิตฉันก็มีเป้าหมายว่าต้องสอบเข้าโรงเรียนมัธยมและต้องอยู่ห้อง king (ห้องระดับเก่งสุด)ให้ได้และฉันก็ทำมันได้ ต่อมาฉันก็วางเป้าหมายระดับม.ปลายว่าต้องเข้าห้องโครงการส่งเสริมความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (สคว.) และต้องอยู่ห้อง 12 (ห้องระดับเก่งสุดในโรงเรียน) และฉันก็ทำมันได้ ต่อมาเป้าหมายระดับปริญญาตรี ฉันวางเป้าหมายว่าอยากเรียนเศรษฐศาสตร์ในม.ขอนแก่นหรือไม่ก็ม.ธรรมศาสตร์ และฉันก็สอบติดรอบโควตาเศรษฐศาสตร์ ม.ขอนแก่น ณ ขณะที่ศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ก็ได้มีการวางเป้าหมายต่อปริญญาโทและเอกว่าจะเดินไปในสายอาชีพใด ด้วยส่วนตัวเป็นคนชอบการทำธุรกิจ จึงวางเป้าหมายว่าต้องเรียนต่อ MBA ในม.ขอนแก่น หรือไม่ก็ NIDA และฉันก็ได้มาเรียน MBA KKU ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะสังเกตได้ว่าเป้าหมายทางการศึกษาที่ฉันวางไว้ ฉันสามารถเดินตามเป้าหมายและทำตามเป้าหมายได้จนสำเร็จ เมื่อมีเป้าหมาย เราก็มีความตั้งใจ มีความพยายามที่จะทำมันให้สำเร็จ

Dialogue (ใคร ไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) ฉันเป็นคนหนึ่งที่คิดอยากจะมีร้านกาแฟเล็กๆสักร้าน มีมุมน่ารักๆไว้นั่งเล่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ วันหนึ่งฉันได้เข้าไปพบอาจารย์วีรพัฒน์ (อาจารย์ประจำหัวหน้าภาควิชาอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) เพื่อไปขอเช่าพื้นที่บริเวณภาควิชา เพื่อประกอบการ อาจารย์ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใดกับโครงการที่นำเสนอไป แต่อาจารย์สอนให้คิดหลายๆด้าน ว่าไม่ควรนำเงิน 2-3 แสนมาลงทุน ในธุรกิจที่ใครๆเขาก็ทำกัน กับผลตอบแทนที่กว่าจะคุ้มทุนหรือได้กำไร สอนให้มองไปข้างหน้าว่าเจตนาที่เราไปเรียนต่อ MBA ก็เพื่อสร้าง connection อาจารย์อยากให้เอาเวลาที่ต้องมาเปิดร้านกาแฟ ไปอยู่กับเพื่อน ตั้งใจเรียนและแลกเปลี่ยนความคิดใหม่ๆซึ่งกันและกัน อาจารย์บอกว่าการที่คุณจะประสบความสำเร็จในการเรียน MBA คือคุณต้องหาเพื่อนใหม่ให้ครบ 3 คน (เพื่อนที่แท้จริง) เพื่อน 3 คน อาจารย์น่าจะหมายถึง connector, Salesman และ Maven จากการที่ได้ไปพบอาจารย์วันนั้น ได้มีการพูดคุยกันนานเป็นชั่วโมง อาจารย์ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด หันมาให้เวลากับเพื่อน MBA มากขึ้น ทำให้วันนี้ ฉันได้มีเพื่อนใหม่มากมาย และได้แลกเปลี่ยนความคิดหลากหลายมุมมอง ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้คำแนะนำดีๆจากอาจารย์ ฉันคงขลุกอยู่แต่กับร้านกาแฟ แทนที่จะหาโอกาสดีๆที่จะต่อยอดเงินแสนให้ได้มากกว่านั้น

Mental model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) หลังจากที่ฉันเรียนจบปริญญาตรี ฉันได้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการร้าน Wine Together ซึ่งมีหน้าที่หลักคือการติดต่อประสานงานกับบริษัทเครื่องดื่มประเภทต่างๆ รับสมัครพนักงาน คัดเลือกวงดนตรี ดูแลควบคุมอาหาร จัดทำบัญชี และต้อนรับแขกพิเศษที่มาร้าน จากการที่ได้ทำงานร้าน wine together และได้มีโอกาสต้อนรับแขกผู้ใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักการเมือง อาจารย์ แพทย์ ตำรวจ และผู้มีหน้ามีตาทางสังคมอีกมากมาย ได้เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นมากมาย รู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้ อย่างเช่น วันหนึ่งอาจารย์หมอมากินไวน์ที่ร้าน ก็ได้สอนการดื่มไวน์ที่ถูกต้องและมารยาทการเข้าสังคมเวลาดื่มไวน์, หรือวันหนึ่งฉันได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่ง (พ.อ.(พ) ดร.ชาตรี ไกรพีรพรรณ ท่านได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกเส้นทางศึกษาต่อของฉัน ให้ความรู้เกี่ยวกับสายงานอาชีพที่น่าเลือก, หรือวันหนึ่งฉันได้มีโอกาสเจอกับนักธุรกิจระดับชั้นแนวหน้าท่านหนึ่ง ท่านเอ็นดูฉันมาก ท่านสอนการใช้ชีวิต สอนการเริ่มต้นธุรกิจ และคนอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวมาในข้างต้น การทำงานที่นี่ทำให้ฉันได้รู้จักผู้คนมากมาย ทั้งต่างวัย ต่างความคิด ต่างมุมมอง ทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นมากมายในอีกหลายๆด้าน ทั้งสิ่งที่รู้แล้วและสิ่งที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้ฉันเปิดความคิด เปิดมุมมอง เปิดโลกกว้างมากขึ้น

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ประทับใจในการทำงานเป็นทีมที่สุด คือ ตอนที่ครอบครัวได้เสียคุณย่าไป ได้มีการจัดงานศพ ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่างานเหล่านี้เป็นงานที่กะทันหัน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ เมื่อคุณย่าเสีย ทุกคนได้มีการแบ่งหน้าที่กันเพื่อจัดงานนี้ออกมาให้ดีที่สุด เนื่องจากค่อนข้างมีแขกผู้ใหญ่ในจังหวัดมาร่วมงานเยอะ ทุกคนในครอบครัวมีการแบ่งหน้ากันอย่างชัดเจน ฉันได้รับหน้าที่ในการพิมพ์หน้าซอง สั่งดอกไม้ตกแต่งในงาน ต้อนรับแขกผู้ใหญ่ รับและนำพวงหรีดมาจัดเรียง ครอบครัวคุณอาหมอก็รับหน้าที่ในการซื้อของที่ต้องนำมาประกอบพิธี ในแต่ละวัน (งานจัด 4 วัน) จัดเรียงรายชื่อเจ้าภาพในการสวดอภิธรรมในแต่ละวัน คุณแม่ก็รับหน้าที่ในการควบคุมเรื่องอาหาร ให้เพียงพอต่อการต้อนรับแขก คุณอาคนกลางและคุณพ่อก็มีหน้าที่ดูแลเรื่องการแจกการ์ดและต้อนรับแขก พี่ชายและน้องชายมีหน้าที่อุปสมบท ทุกคนมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนและทำงานในส่วนของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุด ทำให้งานออกมาดีและเสร็จทันเวลา

System thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) จากการที่ได้เคยเขียนแผนธุรกิจเกี่ยวกับร้านกาแฟ ได้อ่านตัวอย่างแผนธุรกิจร้านกาแฟมากมาย ชอบการทำแผนธุรกิจของ starbucks มาก โดย starbucks มีระบบการทำงานไม่มีการขยายสาขาแบบ Franchise เนื่องจากทางบริษัทมองว่าการขยายตัวแบบ License นั้นสามารถควบคุมระบบการทำงานและคุณภาพได้ดีกว่า ซึ่งจุดเด่นของ starbucks มีระบบการบริหารจัดการพนักงานที่เป็นเอกลักษณ์ อันได้แก่ - การเปิดโอกาสให้พนักงานมีสิทธิ์ซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่ถูกกว่าคนทั่วไป เพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน เพราะเสมือนว่าตนเองเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่งด้วย - เน้นการอบรมพนักงาน เพื่อประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ลูกค้า โดยระยะเวลาอบรมนั้นจะต้องไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับกาแฟต่าง ๆ และการให้บริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี - การคัดเลือกพนักงานนั้น จะเน้นผู้ที่มีคุณสมบัติในด้านการรักงานบริการ อีกทั้งยังมีความสนใจในเรื่องของกาแฟด้วย - สวัสดิการต่าง ๆ แก่พนักงาน จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่พนักงานประจำ แต่ยังรวมไปถึงพนักงานชั่วคราวที่ทำงานมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ลดต้นทุนในการจ้างงาน และอบรมสอนพนักงานใหม่ ซึ่งสวัสดิการ ได้แก่ ประกันสุขภาพ เป็นต้น - นโยบายในการทำงาน คือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานด้วยความเคารพ และคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ

ชื่อ น.ส.ธัญลักษณ์ วงษ์โสภา รหัส 555740007-8

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

    ตอนที่ฉันเรียนม.ปลาย  ฉันเรียนอยู่โรงเรียนประจำ  จึงทำให้จะสนิทกับเพื่อนๆมาก  จนให้เวลาในการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยน้อยเกินไป  พอขึ้น ม.6 ตั้งแต่ต้นเทอมบางมหาลัยที่ก็ประกาศรับนักศึกษา  ฉันกับเพื่อนๆ ก็สมัครสอบไปหลายที่  ซึ่งเพื่อนบางคนก็ขยัน  บางคนก็หัวดีมาก  ทำให้ไม่ต้องสงสัยในผลการสอบ  และผลสอบก็ประกาศออกมาว่าสอบติดในคณะที่ชอบบ้าง  ได้ทุนพสวท.บ้าง  ส่วนฉันสอบก็ไม่ติด  ทุนพสวท.ก็ไม่ได้อีก  ทำให้รู้สึกว่า “นี่ฉันจะไม่มีที่เรียนเหรอเนี่ย?  ฉันต้องพยายามตั้งใจใหม่แล้วล่ะ”  หลังจากนั้นจากเดิมที่ฉันเคยอ่านหนังสือวันละ 1 ชม.  ฉันก็ให้เพื่อนติวและพยายามอ่านหนังสือให้มากขึ้น  และในที่สุดฉันก็สอบติดและได้ทุนตั้งแต่รอบโควต้า

Dialogue : ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

    ฉันปลื้มอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนวิชาเคมีของฉันตอนม.ปลาย  เป็นอาจารย์ที่ทุกคนในโรงเรียนจะกล่าวถึงมากๆ  เพราะท่านสอนสนุกมีมุกฮาๆ ทำให้ไม่เบื่อในการเรียน  สอนดนตรี  และเล่นกีฬาด้วย  ขณะที่สอนและสั่งงานต่างๆท่านมักจะมีคำพูดติดปากเสมอว่า “แค่คิดก็ผิดแล้ว”  และคำว่า  “ไม่ได้ไม่ได้”   ทำให้รู้สึกว่าเป็นการกระตุ้นในการทำงานทุกอย่างให้เสร็จ และยังรู้สึกว่าเป็นการให้กำลังใจเล็กๆอีกด้วยว่า  คำว่า  “ไม่ได้”  นั้นจะเกิดขึ้น  “ไม่ได้”  นะ  ซึ่งสิ่งนี้ได้เป็นสิ่งเตือนใจให้ฉันในการทำงานทุกๆอย่าง  ว่าไม่มีสิ่งใดที่พยายามทำแล้วจะเป็นไปไม่ได้

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตามากขึ้น

  มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนชวนไปเที่ยวเกาะช้าง  เมื่อไปถึงที่นั่นถนนหนทางจะขดเขี้ยวและก็สูงชันมากๆ  บนเกาะจะมีทริปให้ออกไปดำผิวน้ำดูปะการัง  เพื่อนๆก็ตกลงว่าจะไปดำน้ำกัน พอนั่งเรือออกไปได้สักพักเกิดอาการเวียนหัวมาก  เพื่อนก็เลยซื้อสัปปะรดที่มีขายบนเรือมาให้กิน  มันดีมากๆ อาการลดลงอย่างเห็นได้ชัด  พอไปถึงจุดดำน้ำฉันก็คิดว่าจะไม่ลงไปเพราะฉันเคยจมน้ำตอนเด็กๆ ทำให้รู้สึกกลัวมาก  แต่เพื่อนก็ยังจะให้ลงและบอกว่ามาเที่ยวทั้งทีต้องเล่นให้เต็มที่แล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่ามีเสื้อชูชีพอยู่  ส่วนฉันคนว่ายน้ำไม่เป็นมีเสื้อชูชีพยังไงก็กลัวอยูดี  แต่ก็ทนแรงยุไม่ไหว  ค่อยไต่บันไดลงไปแล้วก็เกาะเสื้อชูชีพเพื่อนและก้มดูในน้ำ  ก็เห็นว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดและเห็นปลาสวยงามมากมายด้วยตาตัวเอง  หลังจากไปเที่ยวครั้งนั้นทำให้ฉันคิดกับตัวเองว่าต้องหัดว่ายน้ำเป็นให้ได้

Team learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

        ตอนเรียน ม.ปลาย ช่วงสุดท้ายเป็นช่วงที่ว่างมากในตารางเรียน  ฉันกับเพื่อนอีก 9 คนจึงรวมหุ้นกันเปิดร้านไอศกรีมในโรงเรียนทำเป็นร้านเล็กๆ เช่าตู้และจัดโต๊ะน่ารักๆ 5-6 โต๊ะ ช่วงแรกเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก  และลูกค้า(น้องๆในโรงเรียน)ก็เยอะ ทำงานเดินชนกัน  ใครจะตักไอศกรีม  ใครจะแต่งหน้าไอศกรีม  ใครจะรับลูกค้า  ใครจะล้างจาน จนทำให้ทุกอย่างช้าไปหมด ยิ่งตอนเปิดตู้ใหม่ๆไอศกรีมจะแข็งและตักยากมาก(สาวๆอาจกล้ามขึ้นได้)  ลูกค้าก็รอนานจนหน้าบึ้งไปตามๆกัน  วันต่อมาเราก็เลยแบ่งหน้าที่กันใหม่ โดยให้เพื่อนผู้ชายสองคนตักไอศกรีม ส่วนเพื่อนหญิงที่เหลือก็แบ่งกัน สองคนรับลูกค้า สองคนแต่งหน้าไอศกรีม สองคนล้างจาน และอีกสองคนเรียกลูกค้า พอทำงานเป็นระบบมากขึ้นก็ทำให้รวดเร็วและสนุกกับการทำงานมากขึ้น  ก่อนจะจบม.ปลายฉันและเพื่อนๆก็แบ่งผลกำไรกัน  ซึ่งได้มาไม่มานัก  เพราะเราขายในราคาไม่แพงให้กับน้องๆ  แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีและมีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ  และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

        หลายปีก่อนฉันเคยไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นร้านอาหารพื้นบ้านที่อร่อยมาก  ทำให้ทุกครั้งที่ขับรถผ่านมาทางนี้ก็จะแวะมากินบ่อยๆ  ซึ่งแต่ก่อนในการสั่งอาหารก็จะเขียนใส่กระดาษและนำไปยื่นให้แม่ครัว  และเนื่องจากลูกค้าเยอะมากก็จะทำให้อาหารที่สั่งไปช้ามากและได้ไม่ครบ  เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ  จนเมื่อปีก่อนฉันได้ผ่านมาทางนี้อีกครั้งก็แวะร้านเดิมพบว่าได้มีการพัฒนารูปแบบระบบการบริการให้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น  โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสั่งอาหาร  ทำให้ลูกค้าไม่ต้องรอนานและคิดเงินได้รวดเร็วถูกต้อง  ฉันจึงรู้สึกประทับใจว่าแม้เป็นร้านอาหารเล็กๆ ก็ยังมีการพัฒนาและปรับปรุงระบบการทำงานให้เร็วขึ้นและดีขึ้น

ชื่อ น.ส.ธัญลักษณ์ วงษ์โสภา รหัส 555740007-8 Sec.12 ค่ะ

นางสาวอัชฌา อุดมโชค

นางสาวอัชฌา อุดมโชค Y#14 Sec.11 555740099-7

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น คือฉันเคยคิดว่าจะเรียนจบมาแล้วทำงานตามที่ตรงสายอาชีพที่ตัวเองเรียนมา ฉันเรียนจบเศรษฐศาสตร์ จะทำงานอะไร? ธนาคาร? เล่นหุ้น? เป็นโบรกเกอร์? เป็นที่ปรึกษาหรือทำงานเกี่ยวกับด้านการเงินและเศรษฐกิจเหมือนที่เพื่อนๆทำกัน? ฉันเคยไปสมัครงานและสอบของบริษัทหลักทรัพย์กสิกร ฉันสอบผ่านหมดทุกอย่างทั้งๆที่เพื่อนหลายคนที่เรียนเก่งกว่าไม่ได้ แต่พอได้เข้าไปทำงานฉันถามตัวเอง ฉันมาทำอะไร ไม่มีความสุขเลยกับการต้องตื่นมาแล้วมานั่งวิเคราะห์หุ้นให้คนอื่น โดยผู้จัดการกดดันด้วยคำถามมากมาย ฉันเลยตัดสินใจไม่ทำแล้วและออกมาเปิดกิจการเล็กๆของตัวเองที่ตัวเองอยากทำ ทำแล้วมีความสุข ปรากฎว่าชีวิตฉันดีขึ้น เป้าหมายในชีวิตฉันเปลี่ยนไปเนื่องจากเงินเดอืนที่ได้กลับมากกว่าที่ต้องไปเป็นโบรกเกอร์ ฉันไม่เคยรู้สึกตื่นมาแล้วอยากไปทำงานแบบนี้มาก่อนเลย ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันค้นพบตัวเองมากขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?:: ครั้งหนึ่งฉันเคยอกหัก ผิดหวัง เสียใจมาก ไม่อยากจะทำอะไร อยากอยู่เฉยๆ วันนึงตื่นมาจะไปใส่บาตรทำบุญ แม่โทรมาถามว่าทำอะไรอยู่ ฉันบอกว่าจะไปใส่บาตรฟังธรรมะทุกวันเลย เผื่อจะมีความสุข แม่ฉันหัวเราะทั้งๆที่ฉันร้องไห้ในขณะถือสายอยู่ แม่บอกว่า ความสุขหายไปจากที่ไหนก็ต้องไปเอาคืนมาจากที่นั่น ความสุขของลูกหายไปจากที่ใจ เพราะฉะนั้นลูกต้องทำใจให้สุข ไม่ทำความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนอื่น ลูกไม่ต้องตื่นไปวัดทุกวันลูกก็สุขได้ ถ้าจะไปฟังพระเทศน์ มาฟังแม่เทศน์ดีกว่าไหม? พระท่านไม่รู้ว่าเคยอกหักหรือป่าว? จะพูดกับลูกได้ยังไง หลังจากที่แม่พ฿ดจบทำให้ฉันรู้สึกคิดได้ ฉันก็ยังทำบัญตามปกติแต่ไม่สุดโต่งจนเกินไป แม่สอนให้ฉันมองโลกของความจริงเสมอ ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหาแม่เป็นทางออกที่ดีจริงๆ

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น:: เมื่อปีที่แล้วฉันมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ประเทศจีนกับครอบครัว ที่ฉันรู้สึกประทับใจที่สุดคือการได้ไปที่เทือกเขาหวงซาน เป็นการนั่งกระเช้าไฟฟ้าข้ามเทือกเขาที่สูงที่สุดในจีน กระเช้าที่นั่นไม่ธรรมดา วิศวกรออกแบบฐานกระเช้าให้อยู่บนหิน หินที่ไม่เคลื่อนที่มานานแล้วเป็นหลายพันล้านปี แต่ก็เหมือนมันจะไม่ได้อยู่กับที่มันพร้อมจะกลิ้ง ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมาก วิศวกรเขาเก่งจริงๆ ทำให้การนั่งกระเช้าข้ามเทือกเข้าหลายชั่วโมงของฉันประทับใจที่สุด

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด เนื่องจากสมัยเรียนปริญญาตรี ฉันได้รับมอบหมายให้จัดงาน SMEs อาจารย์ก็ให้จับกลุ่มกันเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และทำการขายจริงๆ ในการทำงานกลุ่มก็มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย แต่เพื่อนๆทุกคนก็พร้อมใจกันเปิดใจรับฟังปัญหาซึ่งกันและกัน ทำให้ฉันได้รับความรู้สึกของการทำงานกลุ่มที่แท้จริง ว่าดมื่อคนเราอยู่ร่วมกันไม่ต้องจำนวนมาก ยังไงก็ต้องมีปัญหามีการขัดใจ แต่เมื่อไรที่เราแก้ปัญหานั้นไปได้ จะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี:: ครั้งหนึ่งฉันได้ไปเที่ยวที่ประเทศเกาหลี ฉันเป็นคนทานยาก อะไรแปลกจะไม่ชอบ แต่ไปต่างบ้านต่างเมืองเลือกไม่ได้ เค้าพากินร้านไหนก็ต้องพยายามกิน วันนึงเข้าไปร้านอาหารเกาหลีร้านหนึ่งที่ไม่ได้เป็นร้านใหญ่นัก พนักงานทุกคนต้อนรับฉันด้วยคำว่า สวัสดีครับ ที่อาจจะพูดไม่ค่อบชัดเท่าไรแต่ก็แสดงให้เห็นว่าเค้าพร้อมต้อนรับเรา และในมื้อนั้นฉันทานไม่หมด ปรากฎว่าวันนั้นกุ๊กทุกคนที่อยู่ในครัวเดินออกมาที่โต๊ะ แล้วโดนเจ้าของร้านตำหนิเป็นภาษาเกาหลีซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจ แต่ไกด์ก็แปลให้ฟังว่า เค้าโดนตำหนิว่าการทำอาหารต้องดูลูกค้า คนไทยจะไม่กินรสชาติแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกถึงการเอาใส่และการทำงานที่เป็นระบบขององค์กรเล็กๆนี้

นาย สุเทพ อ้นแก้ว รหัส 555740094-7 sec 12 Personal Mastery เมื่อครั้งก่อนที่ผมจะจบปี 4 นั้น ผมได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายของผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ผู้ที่ขึ้นพูดในครั้งนั้น เป็นกรรมการผู้จัดการของ บริษัท โกลบอนเฮ้า จำกัด ซึ้งจากการฟังคำบรรยายในครั้งนั้น ทำให้ผมมีเป้าหมายในชีวิตว่าขนาด เขาเป็นคนธรรมดาเหมือนเราเริ่มต้นมาจาก ศูนย์เหมือนกัน เขายังสามารถธุรกิจของตัวเองจนประสบผลสำเร็จมากมายขนาดนั้น มันทำให้ผมมีกำลังใจในการที่จะทำตามความฝันของผม คือผมต้องการที่จะไปรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวและจะต้องทำให้มันประสบความสำเร็จด้วย Dialogue เมื่อปีที่แล้วหลังจากที่ผมจบการศึกษานั้น ผมได้เข้าไปช่วยงานที่บ้านของผมเอง ซึ่งทำเกี่ยวกับการนำผลผลิตในที่นี้ คือ อ้อย ส่งเข้าสู่โรงงานน้ำตาลให้ทันก่อนที่โรงงานจะปิดหีบ ซึ่งมีเวลาในการทำงานแค่ 4 เดือนเท่านั้น การทำทุกอย่างจึงต้องแข่งกับเวลา ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เมื่อได้มาทำจริง ๆ นั้นงานที่ผมได้ทำมันไม่ทันกับแผนที่ผมได้วางไว้เลย ช้ากว่ามากมาก มีอยู่วันหนึ่งผมได้นั้งทานข้าวรวมกับพ่อซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่เราจะได้ทานข้าวร่วมกัน ผมจึงปรึกษาพ่อว่าทำไมงานที่ทำมันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พ่อผมจึงบอกว่าผมเคยไปคุยกับคนงานบ้างหรือเปล่าว่าเขามีความคิดกันยังไง ผมจึงนึกได้ว่าตั้งแต่เริ่มงานมาผมไม่เคยไปคุยกะคนงานเลย วันรุ่งขึ้นผมจึงเรียกประชุมคนงานทุกคนแล้วให้เขาร่วมออกความคิดเห็น และนำความคิดต่างๆที่ดีๆมาวางแผนใหม่ งานของผมจึงเสร็จตามเวลาก่อนที่โรงงานจะปิด Mental model เมื่อครั้งผมอยู่ ม.5 ผมได้มีโอกาสเข้าไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพเป็นครั้งแรก ซึ้งผมแทบจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปเลย ครั้งนั้นจึงเป็นครั้งแรก ซึ่งวิชาที่ไปเรียนคือ เคมี คณิตศาสตร์ ซึ่งวันแรกของการเข้าเรียนวันแรกนั้น ผมค่อนข้างตกใจมากๆเพราะ ทุกคนที่ไปเรียนนั้นล้วนแต่เป็นเด็กที่อยู่ในละแวกนั้นทั้งสิ้น เวลาเรียนผมรู้สึกว่าผมนั้นแทบจะไม่มีความรู้เลย เพาระทำแบบฝึกหัดไม่ได้เลยสักข้อ ซึ่งต่างจากคนอื่นๆที่เขาทำกันได้เกือบทุกข้อเลย หลังจากจบครอสผมกลับมาที่บ้านผมจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าผมยังมีความรู้น้อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่น และผมก็ตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น Team Learning การทำงานเป็นทีมที่ผมจะพูดถึงก็คือ การทำโปรเจคของผมตอนปี่ 4 ซึ่งกลุ่มผมมีสมาชิกที่ทำร่วมกันทั้งหมด 3 คน เมื่อถึงขั้นตอนการเขียนรายงาน ผมเป็นคนทำเองในตอนแรก ซึ่งรู้สึกว่าในตอนแรกนั้นมันยากมากๆ ทำอย่างไรก็ไม่ผ่านซักที ต้องได้มาแก้ใหม่ทีหลังตลอดเลย ผมจึงเปลี่ยนใหม่จึงทำการกระจายงานให้กับเพื่อนๆ ทุกคน ให้ช่วยกันทำซึ่งหลังจากนั้นแล้วงานที่ได้กระทำก็สำเร็จขึ้นโดยง่ายและถูกต้องมากขึ้นโดยในครั้งนั้นวิชา โปรเจค ของผมก็ผ่านไปได้ โดยการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มของเพ่อนๆ ทุกคน ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้ด้วยดีและตามระยะเวลาที่กำหนด System Taking เมื่อครั้งที่ผมศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ภาควิชาได้จัดไปศึกษาดูงานที่จังหวัดระยอง บริษัทหนึ่งที่ผมได้ไปดูคือ IRPC และได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับ การจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบน้ำของบริษัท ซึ่งเป็นระบบและเป็นระเบียบมาก พนักงานทุกคนต้องมีการ safety ในการทำงานมากๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น อุปกรณ์แต่ละอย่างวางและจัดเก็บอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งผมรู้สึกประทับใจมากเพราะทุกบริษัทที่ผมไปดูงานมานั้นไม่มีบริษัทที่มีการจัดการที่เป็นระบบและระเบียบมากเท่ากับบริษัทนี้

นางสาววราภรณ์ เอื้ออุมากุล 555740612-1 sec.12

อาจารย์คะ ขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงค่ะ

       Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น?

 คงมีคนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตนเองอยากเรียนคณะอะไร ฉันเองก็ไม่รู้จึงเลือกเรียนสายวิทย์ก่อนเพราะคิดว่าถ้าไม่ชอบสายวิทย์จริงๆก็สามารถเปลี่ยนมาเลือกคณะทางสายศิลป์ได้ ในช่วงที่เรียนสายวิทย์ฉันพอเรียนได้แต่ไม่มีความสุขในการเรียนเลย จนได้ไปค่ายpre-camp ซึ่งเป็นค่ายเปิดประตูสู่นิติศาสตร์ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ ฉันรู้สึกว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าจะมีประโยชน์ในการทำธุรกิจของครอบครัว ฉันจึงตัดสินใจที่จะเข้าคณะนิติศาสตร์ เมื่อฉันตัดสินใจได้แล้วฉันจึงย้ายสายมาเรียนสายศิลป์ ซึ่งช่วงเวลานั้นฉันเรียนอย่างมีความสุข และสามารถที่จะมุ่งอ่านเฉพาะวิชาที่ใช้สอบเข้าคณะนิติศาสตร์เท่านั้นได้ หากฉันยังไม่มีเป้าหมายว่าจะเข้าเรียนคณะใดฉันคงต้องอ่านทุกวิชาซึ่งอาจจะทำให้ทำแต่ละวิชาได้ไม่ดีเท่าที่ควรและฉันอาจจะสอบไม่ติดสักคณะเลยก็ได้

       Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี?

 เมื่อเข้าสู่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่รุ่นน้องมักจะได้ยินเสมอๆจากรุ่นพี่คือ การได้เกียรตินิยมจากที่นี่เป็นเรื่องที่ได้ยากมาก แค่เรียนให้จบก็ดีแล้ว แต่ฉันกลับคิดว่าหากตั้งใจ มันคงไม่ได้ยากขนาดนั้น ตลอดเวลา4เดือนแรกของการเรียน ฉันตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ทำข้อสอบเก่าย้อนหลังไปหลายปี แต่เมื่อประกาศคะแนนวิชาแรก แม้ฉันจะสอบผ่าน แต่ฉันได้คะแนนไม่ดีเลย วันนั้นฉันร้องไห้แล้วมีเพื่อนเข้ามาปลอบฉันว่า อย่าคิดมากมีรุ่นพี่ตั้งหลายคนที่ได้วิชานี้คะแนนไม่ดี แต่พี่เขาก็ค่อยๆปรับตัว สุดท้ายพี่เขาก็ได้เกียรตินิยม พอได้ยินเช่นนี้ฉันเลยคิดว่าจะมัวเสียใจทำไม เราหนีความจริงไม่ได้ว่าวิชานี้เราพลาดไปแล้วเราต้องเริ่มใหม่ ฉันจึงปรับวิธีการเรียนใหม่ เริ่มทำชีทสรุปแล้วจำเฉพาะส่วนที่สำคัญๆ คะแนนของฉันค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ จนในที่สุดฉันก็ทำได้สำเร็จอย่างที่หวัง หากไม่มีเพื่อนที่คอยปลอบฉันในวันนั้น ฉันอาจจะมัวแต่เสียใจ ไม่เป็นอันอ่านหนังสือ อย่าว่าแต่เกียรตินิยมเลย แค่เรียนให้จบยังอาจจะยากเลย

      Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น?

 ฉันเข้าไปเรียนในกรุงเทพมา2ปีแล้วแต่ฉันเองไม่ค่อยได้ไปไหน ส่วนมากก็อยู่แต่ในมหาวิทยาลัยหรือไปเที่ยวใกล้ๆบ้าง จนวันหนึ่งที่เพื่อนจากขอนแก่นจะมากรุงเทพจึงจะให้ฉันพาเที่ยว ฉันกับเพื่อนจึงเที่ยวตามที่ต่างๆทั้งไปวัดพระแก้ว สวนจตุจักร เยาวราช เที่ยวกันตั้งแต่เช้าเที่ยวนจนดึก การเที่ยวในวันนี้ทำให้ฉันได้ไปเจอสถานที่สวยๆ กินของอร่อยๆ วันนั้นฉันรู้สึกว่าฉันเที่ยวกรุงเทพในวันนี้มากกว่าที่ฉันเคยเที่ยวกรุงเทพมาตลอด2ปีซะอีก ถ้าไม่มีเพื่อนมากรุงเทพ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวแบบนี้หรือไม่ ฉันอาจจะไปแต่ที่เดิมๆ กินของแบบเดิมๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตกรุงเทพอย่างคุ้มค่า หลังจากที่เพื่อนฉันกลับไปแล้วทุกครั้งที่ว่างจากเพื่อนฉันจะหาโอกาสไปที่แปลกๆที่ฉันคิดว่าถ้าฉันกลับมาอยู่ที่ขอนแก่นฉันคงไม่มีโอกาสได้เที่ยวแบบนี้อีก  

      Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย?

 ฉันเคยมีโอกาสได้ไปทำค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่ตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ซึ่งพวกเราเป็นเพียงนักศึกษากลุ่มเล็กๆ แต่ต้องการให้ชุมชนที่ห่างไกลจากความเจริญนี้มีห้องสมุดสำหรับเด็กๆ และมีลานกิจกรรมสำหรับชุมชน แต่การไปทำงานครั้งนี้หากจะมีแต่ฝ่ายสร้างฝ่ายเดียวงานคงไม่สามารถสำเร็จได้เพราะนักศึกษาที่ไม่มีความรู้เรื่องการก่อสร้างย่อมไม่สามารถสร้างห้องสมุดขึ้นได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้าน นอกจากนี้กองทัพต้องเดินด้วยท้อง จึงต้องมีฝ่ายสวัสดิการคอยทำอาหารเลี้ยงคนในค่าย แม้จะอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างแต่ก็กินกันหมดหม้อทุกวัน มีฝ่ายสอนที่ไปสอนหนังสือแก่เด็กแต่เหมือนจับปูใส่กระด้งมากกว่า และให้คำแนะนำชาวบ้านในเรื่องกฎหมาย มีฝ่ายสัมพันธ์ที่คอยไปพูดคุยสร้างความคุ้นเคยกับชาวบ้านและคอยเรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวบ้านซึ่งทำให้พวกเราที่ได้ลองเข้าป่าไปเก็บของป่า หากค่ายอาสานี้ขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป การสร้างห้องสมุดและลานกิจกรรมนี้อาจจะไม่มีขึ้นเลยก็ได้

      System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี?
 สำนักทะเบียนกับนักศึกษา คงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ฉันเองมีโอกาสที่ต้องประสานงานกับสำนักทะเบียนหลายครั้งและกับหลายมหาวิทยาลัย ฉันจึงสัมผัสได้ว่าสำนึกทะเบียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการจัดการที่เป็นระบบที่ดี เนื่องจากการขอหลักฐานทางการศึกษานั้น ในบางมหาวิทยาลัยเมื่อขอไปแล้วต้องรอดำเนินการหลายวัน ซึ่งไม่สะดวกต่อนักศึกษาในการมารับและบางครั้งยังเกิดความผิดพลาดในการเก็บข้อมูล แต่สำนักทะเบียนของธรรมศาสตร์นั้นเมื่อขอหลักฐานทางการศึกษา สามารถรอรับได้เลย และหากมีข้อผิดพลาดก็สามารถแก้ไขได้ทันที จึงสะดวกต่อนักศึกษาและเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่บริการยังให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาเป็นอย่างดีทั้งการประสานงานกับฝ่ายอื่นหรือให้คำปรึกษา เมื่อระบบการทำงานดีผู้รับบริการก็รู้สึกประทับใจต่อองค์กรนั้นๆ

Personal Mastery.. ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น? ไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน The Lake ซึ่งเป็นร้านอาหารของเพื่อน ทำร้านออกมาได้ดีและลูกค้าก็ค่อนข้างเยอะ เมื่อเห็นแล้วยิ่งทำให้รู้สึกอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ซึ่งตัวเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าอยากจะทำธุรกิจเอง แต่เมื่อยิ่งเห็นเพื่อนทำและได้พูดคุยเกี่ยวกับที่เพื่อนมาเปิดร้าน จึงทำให้เรามีความความต้องการมีเป้าหมายที่จะทำอย่างจริงจัง โดยเริ่มแรกคือ การมาเรียนด้านบริหาร เพราะตัวเองไม่ได้จบทางด้านบริหารมาจึงไม่มีความรู้ในการที่จะประกอบธุรกิจเพื่อให้ได้มีความรู้ในการประกอบธุรกิจ แต่ก็มีการว่างแผนและคิดในส่วนอื่นที่จะต้องทำบ้างแล้ว

Dialogue…ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี.. การที่เราจะได้มาถึงจุดๆนี้นั้น ได้ผ่านคำพูดมากมายทั้งของคนที่หวังดีและไม่หวังดี คำพูดหวังดีนั้น คือ คำพูดจากแม่เพราะบ้านอยู่ที่ขอนแก่นแต่ต้องไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างจังหวัด ถึงจะเป็นจังหวัดที่ใกล้หรือไกลกันแต่การที่แม่จะไปหานั้นค่อนข้างลำบาก เพราะแม่ขับรถไม่เป็นและแม่ก็ขาหักแล้วงานของพ่อก็ไม่ค่อยว่าง แม่ได้บอกเอาไว้ว่า “ให้ตั้งใจเรียน อย่าเล่นให้มาก อย่าลืมตัวเอง” เพราะแม่รู้ว่าเราเป็นชอบเล่นชอบเที่ยว ก็ทำให้เราตั้งใจเรียน ไม่สร้างปัญหาให้กับครอบครัว

Memtal model..ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ?การที่ได้ทำงานที่ JW Marriott Phuket เนื่องจากได้สัมผัสงานแค่อยู่ในขอนแก่นเพียงเท่านั้น จึงทำให้ได้เห็นสิ่งที่แตกต่างจากเดิม เช่น ในลักษณะของการทำงาน ลักษณะของลูกค้า ทำให้เรารู้สึกอยากรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นและได้สัมผัสกับอะไรที่แปลกใหม่ไปจากที่คิดและคาดหวังเอาไว้ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพราะที่ภูเก็ตมีผู้คนมากมายจากหลายแห่งทั่วประเทศเข้าไปทำงาน ทำให้เราได้ฟังและได้ยินอะไรใหม่ๆและการเรียนรู้การทำงานจากเพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า ที่ทราบๆกันอยู่แล้วว่าที่ภูเก็ตนั้นมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากและหลายสัญชาติเข้ามาท่องเที่ยวและจากการได้พูดคุยกันทำให้ได้รู้อะไรใหม่มากยิ่งขึ้น และการได้ไปอยู่ที่ภูเก็ตทำให้ได้รู้ได้เห็นโลกที่กว้างที่แตกต่างไปจากที่ที่เราอยู่ในปัจจุบัน

Team Learning..ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด? เล่าสาเหตุ ปัจจัย..ฝึกงานที่ Blue Bar: JW Marriott Phuket ที่ Outlet นี้ มีพนักงานที่มีความเป็นมือโปร์มากและมีการทำงานร่วมกันเป็นทีมอยู่แล้วและจากการที่ได้เห็นการทำงานที่เป็นขั้นตอนและพนักงานแต่ล่ะคนรู้ว่าจะต้องทำอะไรในหน้าที่ เมื่อเราได้ผ่านการเรียนรู้และปฏิบัติได้ก็ได้เข้าร่วมทีมการทำงาน ได้ทำส่วนของ bar การร่วมงานเป็นทีมคือ เมื่อ drink runner รับ order มาจากลูกค้าก็จะนำ จากนั้นก็นำ order มาให้ จากนั้นก็เป็นส่วนของ bar ในส่วนของ bar นั้นจะมี 2 คนเป็นหลัก โดยปกติจะตั้งกระบอก shaker เรียงไว้ 4 กระบอก คนหนึ่งรับ order และใส่ส่วนผสมคอกเทลลงในกระบอก shaker แต่ละกระบอก และอีกคนหนึ่งจะเป็นคนเขย่าแล้วเท่ใส่แก้วและตกแต่งแล้วส่งให้ drink runner เสิร์ฟให้ลูกค้า bar ต้องทำในลักษณะเช่นนี้ เนื่องจาก ลูกค้าเยอะมากและมักเข้ามาในเวลาไล่เลียกันเสมอ ซึ่งเมื่อทำงานในลักษณะเช่นนี้เกิดความสนุกกับงานและรู้สึกดี

System thinking..เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี..จากการที่ได้สัมผัสจากการที่ไดทำงานเป็นทีมร่วมกับพนักงานคนอื่นที่ Blue Bar แล้ว ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า การทำงานของพนักงานทุกคนไม่ใช่แค่ทำงานร่วมกันเป็นทีมเท่านั้น ยังมีการวางแผนการปฏิบัติงานให้เป็นขั้นเป็นตอนและการคิดอย่างมีระบบ เพราะมีการวางตำแหน่งของแต่อย่างตั้งแต่การเตรียมการก่อนเปิดบริการจนกระทั้งถึงเวลาปฎิบัติหน้าที่งานบริการและจนกระทั้งเลิกให้บบริการ พนักงานทุกคนต้องมีการฝึกทำและฝึกคิดให้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างมีระบบจนติดเป็นนิสัยส่วนตัว

นางสาวจิตติชา ไข่รัศมี รหัส 555740024-8 sec. 11

Personal Mastery (ครั้งใดที่ทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น) : ตอนประมาณปี 3 ฉันได้มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมฟังการบรรยายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจหอพัก ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมเจริญธานี เนื่องจากที่บ้านทำธุรกิจหอพักและฉันคอยช่วยที่บ้านดูแลอยู่ตลอด พ่อจึงมอบหมายให้ฉันไปร่วมฟังบรรยายในงานนี้ เมื่อเริ่มไปฟังก็ทำให้เกิดความเข้าใจ และได้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหอพักและโรงแรม เกิดความมุ่งมั่นที่จะช่วยดูแลหอพักของครอบครัวให้ประสบผลสำเร็จ และมีความคิดที่จะประกอบกิจการเกี่ยวกับหอพักที่เป็นของตนเองในอนาคต

Dialogue (ใครไหนได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) : ตอนช่วงประมาณชั้นปีที่ 2 เทอมปลาย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฉันค่อนข้างติดเพื่อนและติดเที่ยวมาก (แต่ไปเรียนนะคะ) ช่วงนั้นมีความรู้สึกว่าทำไมต้องมาช่วยที่บ้านทำงานทั้งๆที่ให้คนอื่นทำก็ได้ รู้สึกเหนื่อยกับการที่ต้องเรียนด้วยแล้วก็ช่วยงานที่บ้านด้วย จึงทำให้มีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อกับแม่ พ่อกับแม่จึงเรียกไปคุยด้วย พ่อได้บอกว่า "ที่พ่อทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อลูกนะ แต่ทำไมถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างไว้ในตอนนี้ ที่เหนื่อยในตอนนี้ ในอนาคตก็เป็นของลูกทั้งนั้น แล้วทำไมไม่ช่วยกันล่ะลูก พ่อไม่ได้เรียนสูง ลูกมีความรู้ลูกก็ต้องช่วยพ่อสิ" ตอนแรกฉันก็ยังคิดไม่ได้ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ก็กับมาคิดทบทวนแล้วก็ประพฤติตัวให้ดีขึ้น ตั้งใจช่วยงาน และตั้งใจเรียนให้มากขึ้นกว่าเดิม

Mental model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น) : ตอนเทอมปลายของชั้นปีที่ 4 ได้ไปปฏิบัติสหกิจที่ Mekong Institute เนื่องจากสถาบันแห่งนี้เป็นศูนย์ฝึกอบรมของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทำให้ได้มีโอกาสได้พบเจอผู้คนมากมาย จากหลากหลายชาติ นอกจากนี้ยังได้ร่วมงานกับพี่ๆที่มีความสามารถด้านต่างๆ ทำให้ได้รับความรู้ ประสบการณ์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และยังได้รู้จักกับพี่ๆที่มีความสามารถอย่างหลากหลาย เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เปิดโลกทัศน์มากยิ่งขึ้น

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด) : ช่วงปี 3 เทอมต้น ได้เรียนวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ 2 ซึ่งเป็นวิชาที่ยากมาก แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ผู้สอนดุมาก ทำให้เกิดความเครียดและกังวลในการเรียนมาก และในการเรียนรายวิชานี้จะต้องทำวิจัย 1 เล่ม ภายในภาคเรียนนั้นๆ โดยให้ทำกลุ่มละ 5 คน การทำวิจัยจะต้องเป็นไปตามระเบียบวิธีวิจัยซึ่งมีความละเอียดมาก อาจารย์ผู้สอนก็ละเอียดมาก ในการทำงานกลุ่มทุกคนต้องร่วมมือกันให้สำเร็จ ซึ่งไม่ได้ผ่านในครั้งเดียวต้องมีการนำกลับมาแก้ไข ทุกคนในกลุ่มต่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ช่วยกันทำจนสำเร็จ เป็นการทำงานกลุ่มที่ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

System thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) : การที่ได้ไปปฏิบัติสหกิจที่สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) ได้เห็นการทำงานอย่างเป็นระบบ ในการจัดการฝึกอบรมต่างๆ โดยสถาบันแห่งนี้จะแบ่งการจัดอบรมเป็น 2 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ และด้านพัฒนาชุมชน ในการจัดอบรมแต่ละครั้ง จะมีการออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรม เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาเป็นครูในการอบรม จากนั้นจะมีการเชิญผู้เข้าร่วมอบรมที่มีส่วนได้ส่วนเสียและมีความสนใจที่จะเข้าฝึกอบรม มีการเตรียมการการฝึกอบรม ทั้งอุปกรณ์ สถานที่ และแบบเรียนต่างๆ โดยมีการกระจายงานไปยังฝ่ายต่างๆอย่างเป็นระบบ จึงทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ชื่อ น.ส.พลอย ไชโยราษฎร์ 555740057-3 sec.12 Personal Mastery เรื่องที่ทำให้รู้สึกว่ามีเป้าหมาย คือ การสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยของรัฐบาล ซึ่งเป็นความหวังของครอบครัวและของตัวฉัน ตอนที่ฉันเรียนอยู่ ม.6 ฉันเป็นคนเรียนปานกลาง ฉันไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าที่ควร มีแต่เล่นไม่ค่อยอ่านหนังสือ จึงทำให้คุณแม่เป็นห่วงและกังวล กลัวจะสอบเข้าไม่ได้ คุณแม่ก็เลยบอกฉันว่าถ้าสอบเรียนไม่ติดจะให้เรียนต่อราชภัฏ ไม่ให้เข้ามหาวิทยาลัยเอกชนด้วย ซึ่งทำให้ฉันมีแรงอ่านหนังสือมากขึ้น แอบแม่อ่านหนังสือ ที่แอบเพราะถ้าสอบเข้าได้ก็จะได้อวดแม่ว่าเห็นไหมบอกแล้วว่าจะสอบเข้าเรียนได้ จะได้ทำให้คุณแม่สบายแล้วไม่ต้องกังวลในเรื่องเรียนอีก และจะได้เชื่อใจฉันมากขึ้น ซึ่งตอนเลือกคณะ อันดับ 1 ที่ฉันเลือก คือ วิทยาการจัดการ สาขา เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พอผลประกาศออกมา ฉันก้ไำด้อย่างที่ฉันเลือก ซึ่งมันทำให้ฉันภูมิใจที่ทำตามเป้าหมายของครอบครัวและของตัวเองได้สำเร็จ คุณแม่ดีใจมาก...ยิ้มไม่หุบ สามารถคุยอวดเพื่อนได้นานเลย...

Dialogue มันเป็นช่วงที่ฉันจบปริญญาตรีแล้วไม่มีงานทำ ใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน กิน นอน เล่น และก็ตื่นสายเป็นกิจวัตรประจำวัน จนวันหนึ่งคุณแม่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมเหล่านี้ คุณแม่เลยเรียกมาอบรมครั้งใหญ่และทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่คุณแม่อบรม คือ คุณแม่บอกว่าคนเรามี 24 ชั่วโมงในการใช้ชีวิตประจำวันเท่ากัน ถ้าเราตื่นสายเราจะพลาดอะไรหลายๆอย่างในชีวิต ถ้าเราตื่นเร็วเราก็จะได้ทำสิ่งต่างๆเสร็จเร็ว ทำงานได้หลายอย่างๆกว่าคนที่นอนตื่นสาย พอฉันได้ฟังสิ่งที่คุณแม่พูด ฉันก็เริ่มปฏิบัติ จนมาถึงทุกวันนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ และอีกอย่างทำให้สุขภาพเราแข็งแรงขึ้นด้วย

Mental model เรื่องที่ทำให้เปิดหูเปิดตามากที่สุด คือ การไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ และสิ่งที่ทำให้ฉันคิดว่ามีประสบการณ์มากก็คือ การส่องสัตว์ และเดินป่า เพราะคุณพ่อทำงานป่าไม้ ก็คงอยากให้ลูกๆรักสัตว์ รักป่าเหมือนคุณพ่อ คุณพ่อเลยเลือก เขาใหญ่ เป็นที่ที่จะไปส่องสัตว์และเดินป่า คุณพ่อก็ให้เจ้าหน้าที่พาเดินป่า ตอนนั้นเด็กๆก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด ถามทุกอย่างที่สงสัย ทำให้ได้ความรู้เยอะขึ้น แต่ตอนนี้ก็จำไม่ได้เท่าไหร่ พอตกดึกก็เตรียมรถออกไปส่องสัตว์ ตอนนั้นตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นสัตว์ใกล้ๆ พอไปถึงที่แล้วไฟสปอร์ตไลท์สาดไปหาฝูงกวาง ฝูงใหญ่มากกำลังกินหญ้า คุณพ่อก็บอกให้เงียบเสียงถ้าไม่อย่างนั้น ฝูงกวางจะตกใจแล้วจะไม่เห็น ฉันก็เงียบ แล้วก็ตั้งใจดู หลังจากส่องสัตว์ ก็เดินทางกลับที่พัก ในระหว่างที่เดินทางกลับที่พัก ก็เจอช้างออกมาหากินอยู่กลางถนน ซึ่งทุกคนตกใจมาก เจ้าหน้าที่อุทยานก็ค่อยๆขับรถถอยหลังเพื่อให้ออกจากตัวช้างมากที่สุดเพราะกลัวจะวิ่งมาชนรถ ซึ่งมันไม่ได้ทำอันตรายอะไรเลยแล้วมันก็เดินกลับเข้าไปในป่า แล้วก็มาถึงที่พักอย่างปลอดภัย ทำให้ฉันได้เห็นอะไรแปลกใหม่ จากที่เห็นแค่ตึกรามบ้านช่อง ก็เห็นป่าไม้ที่เขียวขจี และยังทำให้ทุกๆวันนี้ ฉันเป็นคนรักสัตว์ และรักธรรมชาติมากขึ้นด้วย

Team Learning การทำงานเป็นทีมครั้งนี้ถือว่าภูมิใจที่สุด คือ การได้จัดงานศพคุณยาย ซึ่งในงานมีแขกระดับสูงมางานหลายท่าน ซึ่งต้องทำให้งานออกมาดีแล้วราบลื่นที่สุด แต่มันก็มีอุปสรรค คือ ฝนตก จึงต้องเชิญแขกขึ้นไปบนศาลาใหญ่ และการเก็บข้าวของและการเก็บโต๊ะจีนเป็นเรื่องยากมากเพราะ พนักงานจัดโต๊ะจีนมีน้อยไม่พอ ฉันจึงคิดว่าฉันควรทำอะไรให้คุณยายเป็นครั้งสุดท้าย ฉันเลยบอกหลานๆทุกคนของยาย ซึ่งมีด้วยกัน 7 คน มาช่วยกัน โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่ม 1 จะดูแลเรื่องอาหาร กลุ่ม 2 ดูแลเรื่องเคลื่อนย้ายและจัดโต๊ะจีนร่วมกับพนักงานที่จัดโต๊ะจีน กลุ่ม 3 ดูแลเกี่ยวกับบริการ ซึ่งเป็นการทำงานที่ทุกคนต่างทำด้วยความเต็มใจ ซึ่งผลที่ออกมางานประสบความสำเร็จราบลื่นไปด้วยดี ทุกคนที่มาในงานก็ต่างชมหลานๆ ซึ่งฉันก็ภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

System thinking ฉันได้สัมผัสระบบที่ดีก็ คือ ตอนที่ฉันใช้บริการของนครชัยแอร์ เนื่องจากฉันต้องเดินทางจาก ขอนแก่น ไป กรุงเทพ ซึ่งเป็นเวลารถออก 9.30 ฉันได้ทางไปไม่ทันขึ้นรถ พนักงานของนครชัยแอร์ได้โทรมาบอกฉันว่า คุณได้ตกรถ แต่จะเลื่อนตั๋วออกไปให้ ให้มาขึ้นอีกที่ 12.15 ซึ่งเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่มาไม่ทันหรือมีเหตุให้มาไม่ทัน เพื่อไม่ให้เสียเงินซื้อตั๋วอีกรอบ ซึ่งในการที่เราไปไม่ทัน เค้าจะเปลี่ยนเวลาให้เราเพียงครั้งเดียว ถ้าเปลี่ยนแล้วยังมาไม่ทันอีก เราก็ต้องซื้อตั๋วใหม่ และการให้บริการบนรถทัวร์ก็เป็นกันเอง ให้บริการดี พนักงานสุภาพ การขับรถของพนักงานขับรถ ก็มีการเปลี่ยนพนักงานขับรถถึง 2 คน เพื่อไม่ให้พนักงานเหนื่อยมาก หรือพักผ่อนน้อย เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เวลาในการเดินทางก็ตรงต่อเวลา ซึ่งทำให้ฉันประทับใจมากและก็ยังใช้บริการมาเรื่อยๆ

นางสาว รจกร มนูประเสริฐ 555740067-0 Y#14 Sec#12

1.Personal Mastery ครั้งใดไปทำอะไรมาและรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น หลังจากที่เข้าปี 1 มาฉันเป็นคนที่ทำกิจกรรมมากๆ ทั้งเชียร์ ทั้งกีฬา ทั้งดนตรี ทุ่มเทกับกิจกรรมมากไป เข้ากับสโลแกนที่ว่า กิจกรรมดี กิจกรรมเด่น เน้นกิจกรรม ทำให้เกรดตกช่วงปี 1 ติด F มา 3 ตัว เทอมที่ 2 ใบเกรดส่งไปถึงบ้าน จึงได้มานั่งคุยกันทั้งครอบครัว พ่อกับแม่ก็บอกว่าจะไหวมั้ย เกรดขนาดนี้ ถ้าซัมเมอร์ไม่ผ่านคือ รีไทล์นะ แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ดุว่า และยังบอกว่า สมัยเรียนพ่อก็ F นะ พ่อกับแม่เข้าใจแต่ละคณะมันยากไม่เหมือนกัน ปรับตัวให้มันได้ แบ่งเวลาให้เป็น ฉันเลยคิดใหม่ทำใหม่ ต้องตั้งใจ ถ้าไทล์มันก็เสียเวลาไปอีก ต้องรีบเรียนจบมาแล้วทำให้พ่อแม่ภูมิใจให้ได้ จึงได้แบ่งเวลาทั้งเรื่องกิจกรรมและการเรียน จนสามารถจบปริญญามาได้อย่างภาคภูมิใจ

2.Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ฉันเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา เพราะคิดว่าเป็นอะไรที่ท้าทาย และผู้หญิงไม่ค่อยเรียนกัน ความคิดตอนนั้นคือคิดว่า ผู้ชายทำได้ผู้หญิงทำไมจะทำไม่ได้ เป็นบุคคลประเภทหัวแข็ง แต่พอเรียนจบทำงาน ได้เจอกับสถานที่จริง สถานะผู้ชายและผู้หญิงถูกจำกัด แบ่งให้ทำงานที่แตกต่างกันมาก เช่น เวลาไปคุมงาน หัวหน้าช่าง เขาจะให้ความสนิทสนม ความไว้วางใจกับผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงเลยได้ทำแต่งานเอกสาร ฉันเลยคิดว่า ถ้าเรายังยืนยันที่จะเลือกทางเดินสายนี้ต่อไป เราต้องมีความรู้ความสามารถที่เก่งกว่าผู้ชายจริงๆ และแสดงศักยภาพให้เห็น สังคมถึงจะยอมรับ เลยคิดจะเรียนต่อป.โท ช่วงที่จะสอบได้มีโอกาสไปปรึกษาอาจารย์ในภาควิชา ซึ่งเป็นอาจารย์ที่สนิทเพราะทำโปรเจคด้วย อาจารย์เลยแนะนำว่า “ถ้าเราเรียนสายเดิมที่คิดไว้ตอนแรกความรู้จะแน่นก็จริง แต่ยิ่งเรียนสูงก็จะยิ่งเรียนเจาะจงแคบลงไปเรื่อยๆในเรื่องนั้นๆจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ เธอต้องการแบบนั้นไหมล่ะ เธอชอบจริงไหม” ฉันเลยเก็บมาคิดและจึงตัดสินใจเลือกเรียนต่อ MBA เพราะคิดว่าการที่เรามีความรู้หลายๆด้านจะทำให้เรามีมุมมองความคิดที่แตกต่างออกไป มีเครือข่ายใหม่ๆ และก็จะมีความรู้ทั้งทางวิชาชีพและทางธุรกิจควบคู่กันไป

3.Mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ตอนอยู่ปี 3 มีโอกาสได้ไปงาน Big Mountain Music festival ที่เขาใหญ่ คือตอนแรกเพื่อนมาชวน บอกว่ามีคอนเสิร์ตใหญ่ บัตรราคา 1,800 งานมี 2 วัน 2 คืน รีบจองบัตรด้วยไม่งั้นหมดนะ ไอ้เราก็คิดว่า “อะไรเนี่ย แค่คอนเสิร์ตแค่นี้ ทำไมบัตรแพงจังเลย แล้วทำไมคนยังซื้อบัตร จนหมด” จากนั้นคิดอยู่นานจนวินาทีสุดท้าย สรุปไปก็ไป กับเพื่อน 8 คน ครั้งหนึ่งในชีวิตลองดูแล้วกันตกลงซื้อไป วันงาน เราออกเดินทางจากขอนแก่นไปถึงเขาใหญ่ที่เกือบบ่ายๆ โอ้ แม่เจ้า… รถติดตั้งแต่ปากทางเข้า ใช้เวลาในการรอรถไหลไปทีละนิดๆ จนเกือบ 6 โมงเย็น กว่าจะได้เข้างานตอน 2 ทุ่ม สถานที่ยิ่งใหญ่มากๆ มีเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ 6 เวที ร้านค้าเพียบ ของเล่นเพียบ มีเต้นท์กางเป็นร้อยๆ เหมือนโลกๆหนึ่งเลย คนที่มาก็หลากหลายกลุ่มเลย ตั้งแต่เด็กมัธยม เด็กมหาลัย หรือมากันแบบครอบครัวก็มี มันเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นมาก ทุกคนสนุกกันมาก ได้ไปพบเจออะไรแปลกๆใหม่ๆ เพียงแค่เรากล้าที่จะลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆเข้ามา

4.Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย ตอนอยู่ปี 1-2 ได้มีส่วนร่วมในการทำงานเพลงประกอบละครประเพณีคณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือ NOURNEER#18-19 ตอนแรกที่เข้าไปชมรมนี้ ไม่รู้จักใครมาก่อน โดนรุ่นพี่จับใส่วงแต่ละวง แล้วให้ทำงานเพลงร่วมกัน วงละ 1-2 เพลง จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างคนต่างถนัดเครื่องดนตรีของตัวเอง แนวทางของตัวเอง ก็ได้มาใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซ้อมดนตรีด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน อดหลับอดนอนด้วยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มีถกเถียงกันบ้างเพราะต่างคนต่างความคิด แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องมาช่วยกันทำงาน ทั้งแต่งเนื้อร้อง แต่งทำนอง การอัดเสียง การมิกซ์เพลง ถ่ายMV งานเพลงของพวกเราก็ออกมาเรียบร้อยเป็น CD นับเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียวกับกิจกรรมที่เรารักเราชอบ อย่างน้อยมันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่คนทั้งคณะจะได้ยินเพลงที่เราร้องและแต่งมันขึ้นมาเอง

5.System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ดิฉันคิดว่า การทำงานของ 7/11 (Seven-Eleven) มีการจัดระบบการทำงานที่ดี สามารถมีได้ทุกที่ทั่วประเทศไทย เข้าถึงชุมชนทุกๆระดับ แค่คุณเดินเข้า 7/11 คุณจะได้เกือบทุกอย่างที่เป็นปัจจัย 4 สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก มีการวางระบบของสต๊อกสินค้า กำลังคน พนักงานให้บริการหมุนเวียน 24 ชม. มีการจัดสินค้าอัพเดทตลอดเวลา ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องง่าย สินค้าตัวไหนขายไม่ดีก็จะมีการปรับเปลี่ยน มีโปรโมชั่น ลดราคา สะสมแสตมป์แลกซื้อ เป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมการขาย ลองสังเกตว่าราคาสินค้าก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านอื่นๆ แต่เมื่อเทียบกับความสะดวกสบาย มีแอร์พร้อม คนจึงเลือกเข้า 7/11 มากกว่าร้านค้าปกติ

นายอธิภัทร โคตรศาลา

555740095-5 นายอธิภัทร โคตรศาลา Sec 12

Personal Mastery – ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น การได้อ่านหนังสือ “โตเกียวไม่มีขา” ของนิ้วกลมเป็นผู้เขียน เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นของผู้เขียนกับเพื่อนอีกหนึ่งคน
และไปแบบเรียกได้ว่าไปตายเอาดาบหน้า เพราะไปแบบศึกษาข้อมูลเพียงนิดเดียว พกเพียงใจที่อยากจะไปเที่ยวเท่านั้น ซึ่งในบันทึกนี้นอกจากจะบันทึกเกี่ยวกับบรรยากาศในการเที่ยวที่ต่างๆแล้ว ยังแฝงมุมมองต่างๆ การใช้ชีวิต การมองโลก และข้อคิดดีๆเอาไว้มากมาย เป็นหนังสือที่เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตและวิธีคิดของผมไปอย่างมาก จากที่ผมเป็นคนเฉื่อยชา กลายเป็นกล้าออกมาทำอะไรแปลกๆที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ทำ ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายมากขึ้น

Dialogue – ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี การนั่งคุยกับรุ่นพี่จากการไปร่วมกิจกรรม จีคอนสะออนทัวร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดโดยเพื่อนๆในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง เป็นการนำเงินบริจาคไปซื้อของเพื่อไปบริจาคให้กับเด็กชาวเขา
ในการคุยกับรุ่นพี่คนนี้แรกเริ่มเราคุยกันแค่เรื่องเกมและการ์ตูนสนุกสนานตามปกติธรรมดา แต่เมื่อบทสนทนาเริ่มเข้าสู่เรื่องจริงจังมากขึ้นก็เริ่มคุยกันไปจนถึงเรื่องจักรวาล เรื่องพระพุทธเจ้า และหลักกาลามสูตร จากการคุยกันครั้งนั้นมีประโยคที่ผมชอบคือ “สิ่งที่เราไม่เห็น ไม่ใช่ไม่มี”
ซึ่งเป็นประโยคง่ายๆ ได้ยินมาก็หลายต่อหลายครั้ง แต่ผมไม่เคยคิดถึงมันอย่างลึกซึ้ง พอประโยคนี้อยู่ในบทสนทนานี้มันกลับสะกิดใจผมอย่างประหลาด จากการคุยกันครั้งนั้นทำให้วิธีคิดของผมเกี่ยวกับการมองโลกเปลี่ยนไปมากทีเดียวครับ

Mental Model – ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น สิ่งที่เปิดหูเปิดตาผมมากขึ้นนั้นเริ่มจากการเล่นอินเตอร์เน็ต แรกๆก็หัดเล่นเข้าเว็บอ่านข่าวสาร ค้นการบ้าน ตามปกติธรรมดาของเด็กนักเรียนทั่วไป จนได้เริ่มสมัครเข้าเป็นสมาชิกเว็บบอร์ดเกมแห่งหนึ่ง เพื่ออยากจะหาคู่แข่งเกมที่ผมชอบเล่นเพราะผมเคยคิดว่าตัวเองเล่นเก่งมาก ไปแข่งกับใครก็ชนะมาตลอด เลยคิดว่าอยากจะหาคู่แข่งใหม่ๆจากสังคมออนไลน์บ้าง และแล้วก็ได้นัดสู้กับพี่คนนึงซึ่งบ้านอยู่ที่อุดรธานีเหมือนกัน พี่คนนี้เองที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ผมในหลายๆอย่าง นอกจากฝีมือการเล่นเกมที่เหนือกว่าผมแล้วพี่แกยังสอนผมเรื่องการใช้ชีวิตต่างๆมากมาย จากคนแปลกหน้าในอินเตอร์เน็ต ตอนนี้ผมเหมือนได้พี่ชายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนเลยทีเดียว สำหรับผมอินเตอร์เน็ตนั้นไม่ใช่แค่เล่นเพื่อความบันเทิง แต่ทำให้ผมได้เจอะเจออะไรดีๆได้เยอะแยะเลยครับ

Team Learning – ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด สมัยเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสาแนะแนวการใช้คอมพิวเตอร์ให้กับเด็กประถมที่โรงเรียนเซกา ในอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย แม้การเดินทางจะลำบาก การจัดกิจกรรมต่างๆก็มีปัญหาติดขัดอยู่ตลอด เพราะก่อนหน้านั้นไม่ได้เตรียมตัวคิดกิจกรรมที่ทำกันแต่เนิ่นๆ ไปคิดเอาสดๆเมื่อถึงเวลาเท่านั้น แม้จะมีปัญหาบ้าง แต่กลุ่มพวกผมก็ช่วยกันประสานงาน ค่อยๆแก้ปัญหากันไปได้เรื่อยๆ เด็กๆที่มาเข้าค่ายต่างได้รับความสุขสนุกสนานและได้ความรู้กันถ้วนหน้า จากวันแรกที่เข้าค่ายเด็กๆยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เลย แต่วันสุดท้ายก่อนออกจากค่าย น้องๆในค่ายต่างรู้จักส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี และเมื่อถึงเวลาลากลับก็ได้เห็นน้ำตาของน้องๆที่ยังไม่อยากให้เรากลับ แม้จะรู้สึกเศร้าแต่ในใจผมกลับมีความสุขมากเลยครับ

System Thinking – เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ผมได้มีโอกาสไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 เดือน จากการเข้าร่วมโครงการ Work & Travel ของบริษัท Liveabroad Group ผมได้ทำงานที่บ้านพักคนชราซึ่งเป็นบ้านพักคนชราในระดับที่หรูมาก ประมานโรงแรมดีๆแห่งหนึ่งเลยทีเดียว และมีพยาบาลคอยทำหน้าที่ดูแลคนชราอยู่ตลอด (ซึ่งผมมาทราบทีหลังว่าเป็นบ้านพักสำหรับคนที่เกษียณแล้ว) ที่นั่นผมเริ่มต้นจากการทำงานเป็นเด็กล้างจานในครัว หลังจากทำงานจนคล่องแล้ว เจ้านายก็เริ่มใช้ให้ผมทำงานในหน้าที่ต่างๆมากขึ้น จนได้มีโอกาสเห็นมุมต่างๆในบ้านพักแห่งนี้ จนได้เห็นระบบการทำงานของบ้านพักคนชราแห่งนี้ ซึ่งจะมีมุมของผู้สูงอายุในระดับต่างๆไม่เท่ากัน และพยาบาลที่คอยดูแลก็จะแบ่งหน้าที่เป็นสัดเป็นส่วนกัน มีครั้งหนึ่งผมต้องนำรถเข็นอาหารขึ้นไปส่งยังมุมสำหรับคนชราที่มีอาการผิดปกติทางประสาท จะต้องเข็นผ่านห้องพยาบาลและมีการกดรหัสผ่านเพื่อเปิดประตูเข้าไปเท่านั้น เค้ากำชับไว้ด้วยว่าห้ามปล่อยให้ใครเข้าออกเด็ดขาด จากการไปทำงานครั้งนี้นอกจากประสบการณ์การทำงานเป็นระบบแบบคนอเมริกันแล้ว ผมยังได้เห็นอีกว่าระบบของประเทศเค้าดูแลคนได้ดีมาก ไม่ใช่บ้านพักที่เพียงแต่เอาคนแก่มาปล่อยให้อยู่ร่วมกันเท่านั้น แต่มีการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

Personal Mastery : สิ่งที่ทำให้ผมมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้นก็คือ การที่ผมได้เข้ามาศึกษาต่อที่ mba ซึ่งขอเกริ่นก่อนว่า ผมยังไม่สามารถค้นพบได้เลยว่าเป้าหมายในชีวิตผมคืออะไร อยากทำธุรกิจอะไร อยากทำงานแบบไหน (กระโดดหน้าผาเหมือนหนูเลมมิงจ์ยังง่ายกว่า) ซึ่งทางบ้านก็มีธุรกิจทำกันในครอบครัว แต่ผมคงคลุกคลีกับงานที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ผมจึงอยากลองทำธุรกิจแบบอื่นดูบ้าง แต่ก็ยังคิดอะไรไม่ออก แต่เมื่อได้เข้ามาศึกษาต่อแล้ว ได้เรียนวิชา พื้นฐานธุรกิจ ได้อ่านนิทานซึ่งแฝงไปด้วยเนื้อหา สาระมากมายให้เราได้คิดตาม จึงทำให้ผมมีมุมมองที่กว้างขึ้น มีแรงบรรดาลใจใหม่ๆเข้ามาในชีวิต และเป้าหมายในชีวิตผมอาจเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า

Dialogue : ผมได้ชมรายการ วู้ดดี้ เกิดมาคุย ซึ่งแขกรับเชิญที่มาในวันนั้นคือ โก้ ชานนท์ เรืองกฤตยา นักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้าน แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้แก้ไขปัญหาหนี้สินของทางบ้านจนหมด และเริ่มสร้างโครงการแรก ด้วยวัยเพียง 27 ปี จากการสัมภาษณ์ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเป็นคนที่เก็บรายละเอียดต่างๆของชีวิตได้ดีมาก เขากล่าวว่าการแบ่งเวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญ เราต้องรู้จักเรียบเรียงความสำคัญ และพิจารณาตนเอง ส่วนการใช้ชีวิตต้องใช้อย่างคุ้มค่าใน concept ที่ว่า live work and play โดยใช้ให้สมบูรณ์ที่สุด การลงทุนทำธุรกิจ ห้ามเข้าข้างตัวเองหรือความชอบส่วนตัว แต่ให้มองที่ตลาดและความเป็นกลางไว้ เงินคือสิ่งนอกกาย สิ่งที่โก้ ชานนท์ต้องการคือ ความเป็นprofessional หรือเป็นมืออาชีพที่ดีที่สุด เคล็ดลับความสำเร็จของเขาคือ เราต้องเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ ฝึกจิตใจและสมาธิให้ได้ ต้องรู้จุดยืนของตัวเรา

Mental model : ครอบครัวผมประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอะไหล่ไฟฟ้าในรถยนต์ เมื่อผมได้มีโอกาสออกไปสำรวจร้านค้าต่างๆที่จำหน่ายสินค้าประเภทเดียวกัน ทำให้ผมเกิดแนวความคิดใหม่ๆมากขึ้น เพื่อที่จะได้นำจุดเด่นของร้านอื่นๆ เช่น การตั้งราคาสินค้า ระบบการขาย การโชว์สินค้า และอื่นๆ เพื่อนำจุดเด่นเหล่านั้นมาปรับใช้กับธุรกิจของเรา แต่ก็ไม่ใช่ธุรกิจแบบนี้แบบเดียว ธุรกิจประเภทอื่น ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน แต่ผมคิดว่าอีกสิ่งที่สำคัญก็คือ ตลาดและลูกค้า เมื่อผมได้สอบถามกับตลาดหรือลูกค้าที่มาอุดหนุนสินค้าของทางร้าน เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อสินค้าและการบริการ ก็จะทำให้เราทราบถึงข้อมูลเพื่อที่จะนำมาแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น

Team Learning : เมื่อครั้งที่ผมเรียนปริญญาตรี ได้มีโอกาสเรียนวิชา เศรษฐศาสตร์ สาธารณสุข งานสุดท้ายของวิชานี้คือ การทำวิจัย ซึ่งเป็นงานกลุ่ม โดยกลุ่มของผมได้ศึกษาในหัวข้อเรื่อง ความแตกต่างของโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน เรื่องของการผ่าตัดไส้ติ่งในผู้ป่วย เปรียบเทียบผู้ป่วยทั้งสองโรงพยาบาล โดยทำการเก็บแบบสอบถาม ดังนั้นกลุ่มของผมจึงต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อย โดยที่ทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันออกไป เพื่อให้งานเสร็จทันตามเวลาที่กำหนด ดังนั้นจึงต้องอาศัยความรับผิดชอบ ความร่วมมือ และความสามัคคีของเพื่อนในกลุ่ม จนกระทั่งงานสำเร็จไปได้ด้วยดี

System Thinking : ระบบที่มีประสิทธิภาพที่ผมสัมผัสได้ คือ ธุรกิจ 7-11 ซึ่งเป็นร้านค้าสะดวกซื้อที่มีอยู่ทั่วไป สามารถสัมผัสได้ใกล้ตัวที่สุด ในมุมมองของผม 7-11 มีการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพมาก ใส่ใจแม้กระทั่งการจัดวางสินค้าบนชั้นวางเพื่อที่ลูกค้าจะสามารถหยิบได้ง่าย มีสินค้ามากมายหลากหลายประเภท ผมจึงสังเกตว่า สินค้าในร้าน 7-11 มีวิธีจัดการอย่างไรถึงเป็นระบบได้ดีเท่านี้ ซึ่งพนักงานของทางร้านก็สามารถขาย ควบคุม และจัดการได้อย่างเป็นระบบ ทำให้ผมรู้สึกสนใจ และอยากนำระบบเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของครอบครัว และธุรกิจของตัวผมเองในอนาคต

นางสาวชมพูนุช ปิตตะกาศ 555740027-2 Y#14 Sec#12 1. Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนเป็นพนักงานบริการลูกค้าที่ดีแทค บริษัทจะมีการตั้งเป้าหมายของการเพิ่มยอดการขายโปรโมรชั่นของแต่ละสาขาไว้ ซึ่งยอดสาขาอยู่ที่ 230,000 บาท ซึ่งถ้าสามารถทำได้ตามเป้า สาขาก็จะได้รับเงินรางวัล 2,000 บาท ผู้จัดการได้มีการกระตุ้นพนักงานโดยตั้งรางวัลไว้ว่าถ้ายอดสาขาได้ตามเป้า ก็จะให้รางวัลพิเศษกับคนที่ทำยอดได้ที่ 1, 2 และ 3 เป็นเงิน 300, 200 และ 100 บาท ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เรามีเป้าหมายว่าเราจะทำยอดให้ได้วันละ 2,000 บาท ถึงแม้ว่าบางวันยอดอาจจะไม่ถึง แต่ยอดของสาขาก็ผ่าน และเราก็ทำยอดได้สูงสุด จึงได้รับรางวัลนี้มาอย่างที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้

  1. Dialogue ครั้งไหนได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ครั้งหนึ่งตอนที่ทำงานอยู่ เราได้เข้าร่วมการอบรมเกี่ยวกับ Positive Thinking ที่ทางบริษัทจัดขึ้นให้กับพนักงาน ดร.โอภาส ที่เป็นวิทยากร ท่านได้สอนให้เราคิดบวก คิดดี โดยในความคิดจะต้องไม่มีคำที่ไม่ดีอยู่ด้วย ประกอบกับจะต้องมีการวางแผน และเราจะต้องมีคุณธรรมด้วย ซึ่งถ้ามีทั้ง 3 อย่างนี้ ชีวิตเราก็จะดีขึ้น และเราก็ได้นำเอาคำสอนนี้มาปรับใช้กับชีวิตการทำงาน ตื่นเช้ามาเราวางแผนไว้ว่า เราจะไม่ปิดเบอร์ลูกค้า แต่เราจะวางแผนแบบนี้ไม่ได้ เพราะมีคำว่า ปิด เราต้องพูดว่า “วันนี้เราจะพูดให้ลูกค้าใช้บริการหมายเลขกับเราต่อ” ซึ่งการที่เราคิดดี คิดบวก ก็จะส่งผลต่อการกระทำของเรา เราก็ปฏิบัติดี และการปฏิบัติดี ก็ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นด้วย

  2. Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น เดือนตุลาคมเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เราได้ไปเที่ยวเกาหลี นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต เราได้นั่งเรือข้ามไปยังเกาะนามิ ที่ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละครหลายเรื่อง ได้เห็นต้นไม้ที่มีใบสีเหลือง สีส้ม ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านเราที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียว เราได้ไปโรงเรียนสอนทำกิมจิ ได้ทำกิมจิเองกับมือ ใส่ชุดฮันบกถ่ายรูปสวยๆ และได้กินเนื้อย่างเกาหลีแบบเกาหลีจริงๆ ซึ่งมันไม่เหมือนกับบ้านเรา มันจะเป็นชิ้นใหญ่ๆ ย่างบนเตา ย่างเสร็จก็เอากรรไกรตัด จิ้มกินกับน้ำจิ้ม อร่อยมาก ซึ่งการไปครั้งนี้ทำให้เราได้พบเจออะไรหลายๆอย่างที่ไม่เหมือนกับที่เคยเจอมาก่อนเลย

  3. Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมแล้วดีที่สุด เล่าเหตุ ปัจจัยด้วย ตอนเรียนปริญญาตรี เราได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้นำเชียร์คณะ และเมื่อถึงเทศการประกวดเชียร์ เราก็ต้องซ้อมกัน ซึ่งการซ้อมแต่ละครั้งนั้นทุกคนในทีมก็ต้องซ้อมให้ออกมาพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการเต้นหลีด หรือการแสดงโชว์ ซึ่งกว่าทุกอย่างจะพร้อมเพรียงกันมันต้องใช้เวลา และการฝึกฝน ใครที่ยังเต้นไม่ได้ เพื่อนก็ต้องไปช่วยกันสอน สอนจนกว่าเพื่อนจะได้ รุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็จะมาช่วยทำอุปกรณ์ หาน้ำเย็นๆมาให้น้องๆดื่มกัน เมื่อถึงวันประกวดเชียร์ ทีมเราก็ได้รับรางวัล ถูกใจทั้งกรรมการ และคนดูรอบๆสนาม ทีมเราจะไม่ได้รับรางวัลนี้เลย ถ้าหากพวกเราทุกคนไม่สามัคคี และไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

  4. System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ครั้งที่ไปเที่ยวที่เกาหลี เราได้ไปเที่ยวสวนสนุก Ever Land ซึ่งเราไปเที่ยวกับทัวร์ จึงมีเวลาแค่ครึ่งวันที่เราจะได้เล่นที่นี่ ก่อนที่จะได้เข้าไปข้างใน เราก็ต้องต่อแถวที่ประตูทางเข้า เพื่อที่จะรับสายรัดข้อมือ เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่รถไฟเหาะ ซึ่งก็ใช้เวลาเดินไปนานเหมือนกันนะ แต่พอไปถึงเราก็สังเกตว่าเครื่องเล่นแต่ละอย่างของเค้าจะมีเหมือนนาฬิกาดิจิตอลบอกว่า เครื่องเล่นนี้ต้องรออีกกี่นาทีถึงจะได้เล่น ซึ่งเวลาที่รอประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราจึงตัดสินใจเดินกลับมาข้างบน และเล่นเครื่องเล่นอื่นแทน เราคิดว่านาฬิกาดิจิตอลที่เค้ามีไว้แต่ละที่นั้น มันช่วยให้เราสามารถจัดการกับเวลาของเราได้มากเลยทีเดียว ว่าเราจะเล่นที่นี่ดีไหม หรือไปหาอย่างอื่นเล่นแทน ถ้าไม่มีนาฬิกาบอกเราก็คงจะไม่ได้เล่นอะไรสักอย่างเลย

น.ส.ผกาสินี ลิ้มตระกูล sec.12 รหัส 555740053-1

Personal Mastery : ในช่วงการเรียนระดับปริญญาตรีเกรดดิฉันตอนปี 1 อยู่ในขั้นที่ถือว่าดีแต่พอขึ้นปี 2 เกรดตกลงอย่างมากอาจเป็นเพราะว่าไม่อ่านหนังสือ จะอ่านก็มาอ่านช่วงใกล้สอบ ประกอบกับช่วงนั้นติดซีรีย์ต่างประเทศมาก ทำให้ขี้เกียจอ่านหนังสือ พอเกรดออกมาตกพ่อแม่ก็เรียกไปคุย แล้วถามว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร ถ้ายังเรียนแบบนี้อยู่จะหางานที่ดีได้หรอ ทำให้ดิฉันกลับไปนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา ว่าเราเล่นจนเกินไปรึเปล่า จึงตั้งเป้าหมายว่าต่อไปนี้จะตั้งใจเรียนเพื่อที่จะทำงานในที่ที่เราอยากทำและทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ

Dialogue : เมื่อสมัยเรียนระดับปริญญาตรี ได้มีโอกาสนั่งดูการสัมภาษณ์ของ Warren Buffet ถึงการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงคือถึงแม้ว่า Buffet จะรวยมากแต่เค้าก้อใช้ชีวิตปกติทั่วไป อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ พอเลิกงานแทนที่จะไปปาร์ตี้ก็กลับไปกินข้าว พักผ่อนที่บ้าน เขาเลือกที่จะขับรถเองซึ่งต่างจากเศรษฐีคนอื่นๆที่ต้องมีคนขับรถ พอได้ฟังแบบนี้ทำให้เรากลับมาย้อนคิดถึงตัวเองที่แต่ก่อนเป็นคนที่ใช้เงินเก่งมาก ซื้อของฟุ่มเฟือย ก็ได้เปลี่ยนแนวคิดใหม่เป็นใช้จ่ายน้อยลง พยายามซื้อของที่ไม่จำเป็นให้ลดลง เพราะขนาดมหาเศรษฐีเขายังใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้บ้าง

 Mental model : ในสมัยมัธยมดิฉันได้มีโอกาสไปออกค่ายยุวกาชาดกับเพื่อนที่โรงเรียนที่จังหวัดชลบุรี ในความคิดแรกก่อนถึงวันเดินทางดิฉันคิดว่ามันต้องน่าเบื่อมากๆ และก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะไป แต่พอถึงวันเดินทางไปค่ายยุวกาชาดที่จังหวัดชลบุรีวันแรกก็น่าเบื่อเพราะเดินทางจากขอนแก่นไปชลบุรีก็ใช้เวลานานแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาได้ทำอะไรมากนัก แต่พอวันต่อมาเริ่มรู้สึกสนุกมากขึ้น ได้ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ เจอเพื่อนที่มาจากจังหวัดอื่นๆ ทำให้ได้เพื่อนใหม่ๆมากขึ้น และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเวลาทำกิจกรรม ทำให้เราได้รับมุมมองใหม่ๆมากขึ้นหรือรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าประทับใจ

Team Learning : เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ได้ทำ project วิชาหนึ่งกับเพื่อนในกลุ่ม 5 คน ซึ่งตอนแรกมีการแบ่งงานกันทำโดยแบ่งหัวข้อให้แต่ละคนไปทำ แต่พอถึงวันที่แต่ละคนต้องรวบรวมในส่วนของตัวเองปรากฏว่างานที่ออกมายังไม่ดีนัก จึงเริ่มปรึกษากันภายในกลุ่มว่าเราต้องช่วยกันทำแล้วล่ะ แล้วสมาชิกในกลุ่มแต่ละคนก็ช่วยกันออกความเห็น ช่วยกันทำงานถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างแต่ก็ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติร่วมกัน อดหลับอดนอนร่วมกันทำให้เห็นถึงนิสัยของเพื่อนแต่ละคนและได้เห็นการทำงานที่เป็น team work ทำให้ project นี้ผ่านไปด้วยดี

System thinking : ดิฉันได้มีโอกาสไปฝึกงานที่สำนักงานคลังจังหวัดขอนแก่นในช่วงปี 3 ตอนแรกดิฉันคิดว่าระบบราชการต้องเป็นอะไรที่ช้ามากแน่ๆ การบริการอาจไม่ทั่วถึงนักเนื่องจากเจ้าหน้าที่มีจำนวนน้อยแต่คนมาใช้บริการเยอะ แต่พอได้ไปสัมผัสจริงๆ มันต่างจากที่เราคิดมาก เพราะองค์กรมีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีการแบ่งงานออกเป็นฝ่ายๆคือด้านหนึ่งเปิดบริการประชาชนทั่วไปในการแลกเหรียญ และอีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคลังข้อมูลเศรษฐกิจ การจัดอบรมหน่วยงานราชการต่างๆเกี่ยวกับงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานได้ไป

ณัฐนรี ศรีสุข 555740004-4 sec12

Personal Mastery ; ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ดิฉันเรียนจบปริญญาตรีสาขาเทคนิคการสัตวแพทย์ สายงานของภาควิชานี้คือการเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ หรืออาจเป็นอาจารย์สอนหนังสือ...ซึ่งสำหรับดิฉันแล้วการทำงานเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์เป็นงานที่รักแต่การทำงานเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับอนาคต จึงตัดสินใจคุยกับคุณแม่เรื่องการเรียนต่อปริญญาโทซึ่งคุณแม่อยากให้เรียนสัตวแพทย์เพื่อเปิดร้านสัตวแพทย์(สัตวแพทย์ ต้องเรียนใหม่ถึง 6 ปีและไม่มีเวลาหาเงินเรียน) เมื่อถึงเวลาเข้าจริงดิฉันตัดสินใจไม่เรียนสัตวแพทย์ แต่กลับเลือกสอบ MBA ซึ่งไม่ตรงกับสาขาที่จบมา (ดิฉันมีความเชื่อว่า MBA จะนำพาดิฉันไปสู่สายงานที่หลากหลาย คณาจารย์คงให้คำปรึกษาด้านการทำธุรกิจกับดิฉันได้..เพราะคงไม่มีคนไหนไม่อยากสร้างฐานะให้แกตนเอง) ระหว่างที่รอสอบดิฉันทำงานเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ไปเรื่อยๆ จนสอบติดจึงขอลาออกจากงาน เพราะงานที่ทำเงินเดือนน้อยมาก ใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ร้านโดยไม่ได้ทำอะไรเลย(ต้องบอกว่าดิฉันป็นคนชอบว่าวุ่นวาย แต่ได้ตังค์ ^) จึงหาทางออกให้ชีวิต..ทั้งคิดจะไปเปิดร้านขายอาหารสัตว์ ทั้งอยากขายเสื้อผ้า ซึ่งลองไปหาข้อมูลไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด...จึงลองไปนั่งเล่นที่คอมเพล็ก...พบว่ามีนักเรียนมากมายมาเรียนที่นั้น มีนักศึกษามากมายมารับสอนพิเศษ ดิฉันจึงทำการศึกษาว่าจะต้องทำอย่างไร อย่างไรดี...จนพบว่าการสอนพิเศษที่คอมเพลกเป็นทางออกที่ดี ... ได้เงินอาจไม่ถึงหมื่น แต่เหลือเวลามากพอ อีกทั้งยังได้ใช้สมองซึ่งไม่ต้องกลัวว่าจะสมองเสื่อมในไม่ช้า ซึ่งปัจจุบันนี้ดิฉันภูมิใจทำไม่ต้องขอเงินแม่ใช้...ภูมิใจที่หาเงินเรียนเองได้ค่ะ

Dialogue ; ใครไหนได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ต้องบอกว่าคนที่ทำให้ดิฉันได้ดีจนถึงปัจจุบันนี้คือ"คุณพ่อ" ค่ะ ช่วงอายุ 9 ขวบคุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน ดิฉันเป็นลูกสาวติดพ่อ...ทุกวันคุณย่าจะพูดกรอกหูเสมอว่า "แม่แกมีสามีน้อย" ซึ่งดิฉันยังเด็กไม่เข้าใจ คุณพ่อจะบอกเสมอค่ะว่า "จำไว้นะ ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไร แม่จะทิ้งลูกไว้กับพ่อยังไง จำไว้ว่าไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก.." ฉันจำคำนี้มาเสมอและพยายามติดต่อแม่เสมอ คุณพ่อจะสอนเสมอว่า...คติของพ่อมีสามอย่างลูกต้องจำและต้องเอาไปใช้...."1. อย่าเห็นแก่ตัว 2. อย่าทำความชั่ว 3. ทำแต่ความคิด" จริงๆ แล้วคำสอนของพ่อมีมากมายค่ะ แต่ฉันจำได้ไม่หมด จนวันที่คุณพ่อเสียสิ่งที่นำทางฉันจนถึงวันนี้คือคำสอนของคุณพ่อ...ทำให้ฉันได้อยู่กับแม่อีกครั้ง ทำให้ฉันเป็นคนที่พยายามทำความดีโดยไม่เบียดเบียนใคร ^^

Mental model ; ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ^^ การได้ไปงาน DOGS SHOW จัดเป็นนิทรรศการในฝันที่อยากไปมากที่สุดค่ะ...และประมาณเดือนมีนาที่ผ่านมามีจัดที่เซนทรัลขอนแก่นค่ะ...ฉันจึงพาลูกสุนัขตัวโปรดชื่อหมามุ่ยไปด้วย...เหมือนสวรรค์บนดินจริงๆค่ะ..(สำหรับคนรักสุนัขนะคะ) ได้พาสุนัขแสนรักไปเจอสุนัขใหม่ๆ ไปเลือกดูสุนัขน่ารักๆที่นำมาขาย ได้ดูสุนัขที่ทีมงานได้นำมาแสดง ^^ ที่สำคัญค่ะงานนี้ทำให้ฉันได้สุนัขตัวใหม่มาเลี้ยง ซึ่งงานนี้ถือเป็นงานที่เปิดทั้งตาและใจของฉันเลยค่ะ

Team Learning ; ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมแล้วดีที่สุด ถ้าจะถามว่าครั้งไหนทำงานเป็นทีมคงไม่พ้นการประกวดนางงามค่ะ....อาจเป็นหลายครั้งในชีวิตค่ะ แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่ปกตินางงามต้องรู้ล่วงนี้ก่อนการประกวด 3 วัน หรืออาจ 1 วัน แต่ฉันได้รับโอกาสประกวดในเย็นของวันประกวดค่ะ(มีเวลาอีก 2 ชั่วโมงในการแต่งหน้าทำผม ต้องบอกว่าเวทีชุดไทยค่ะ)...ซึ่งชุดไม่ได้รับการวัดตัวแต่แรก พี่ๆ ทีมงานเก่งมากค่ะ...สามัคคีบรรจงเย็บชุดภายใน 10 นาที ช่างแต่งหน้าก็แต่งหน้าไป คนทาผิมก็ช่วยทา คนทาเย็บก็ทางไป ช่างทำผมก็เตรียมทำผมต่อ...ซึ่งเป็นทีมงานที่เก่งมาก รวดเร็วมาก และแล้วก็เสร็จทันค่ะ....ภายหลังการประกวดผลออกมาน่าประทับใจคือ...ได้รองอันดับ 1 ค่ะ...ทั้งภูมิใจ ทั้งตะลึงกับทีมงานค่ะ

System thinking ; เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ฉันเคยฝึกงานที่โรงพยาบาลสัตว์ที่จังหวัดอุดรค่ะ...ฉันคิดว่าคงเป็นการทำงานที่มีระบบมากแล้วเพราะ....โรงพยาบาลสัตว์นี้เมื่อมีสัตว์เข้ามารักษา 1 ตัว ต้องใช้เวลาในการซักประวัติ ตรวจร่างกายต่างๆ ต้องให้เวลามากมาย ซึ่งโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้กลับใช้เวลาน้อยมาเพราะมีจำนวนคนที่มาพอ 1 คนต่องาน 1 อย่าง จึงทำให้งานสามารถทำเสร็จได้อย่างรวดเร็วแล้วดีค่ะ

ณัฎฐา จิระจิตต์มีชัย 555740033-7 Sec.12

นางสาวณัฎฐา  จิระจิตต์มีชัย 555740033-7 Sec.12

1.Personal Mastery เมื่อตอนเรียนสมัยมัธยมปลาย  ข้าพเจ้าไ้ด้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาสีของโรงเรียน โดยารถือป้ายแล้วครั้งนั้นได้มีคนมาถาบท่ามให้ไปประกวดนางงาม และข้าพเจ้าได้ตอบตกลง และเมื่องานเข้าพรรษามาถึงก็ได้ร่วมประกวด แต่ก็ผิดหวังกับการผลการประกวด และเวลาผ่านไป 5 ปี แต่ในระยะ 5ปีนั้น ข้าพเจ้าก็อยากไปประกวดบ้างแต่ทางบานไม่ค่อยจะสนับสนุน แล้วโอกาสก็มาอีกครั้ง เป็นการประกวดเวทีใหญ่ที่สุดของ จ.ขอนแก่น แล้วก็เข้าร่วมประกวด มีผู้เข้าประกวด 84 คน และข้าพเจ้ามีจุดมุ่งหมายว่าต้องเข้าถึงรอบสุดท้ายให้ได้ เพราะก็เป็นงานหินเหมือนกัน  และผลประกาศก็ออกมาว่าข้พเจ้าก็เข้าถึงรอบ 10 คนสุดท้าย ก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจ

 

2.Dialogue  เมื่อครั้งมัธยมปลาย  ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่กับลุกับป้า ที่ต่างจังหวัด  และลุงกับป้าเป็นคนที่หัวโบราณมาก ซึ่งตัวข้าพเจ้าเป็นคนชอบอิสระ  เวลาที่ข้าพเจ้ากลับบ้านแต่ละครั้ง ลุกก็มักจะถามเสมอว่า "ทำไมไม่ทำการบ้านหรืออ่านหนังสือเตรียมสอบ" แล้วไม่อ่านหนังสือจะสอบติดไหม แล้วป้าก็ถามว่า "อยากเรียนต่อสายไหน มหาวิทยาลัยไหน" ข้าพเจ้าก็ตอบว่าอยากเรียนด้านคอมพิวเตอร์ ม.ขอนแก่น  ป้าก็ตอบกลับว่า จะเข้าได้หรอ "คะแนนมันสูงนะ" เมื่อข้าพเจ้าได้ยินคำนั้น ก็พยายามกระตือรือร้นว่าเราต้องทำให้ได้ ถึงเวลาประกาศผล ก็มีชื่อของข้าพเจ้าคือหนึ่งนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากและภูมิใจ ที่คำพูดนั้นเป็นแรงผลักดันให้ข้าพเจ้าสำเร็จ


3.Mental model ข้าพเจ้าได้อยู่ในกลุ่มของรถบิ๊กไบค์และชอบเปอร์ และได้ออกทริปตามงานต่างๆ  แต่การออกทริปแต่ละครั้งข้าพเจ้าได้ขับรถยนต์ตามไปทุกครั้ง  แต่มีวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้ออกทริป ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาศนั่งซ่อนมอเตอร์ไซด์  และในระหว่างที่นั่งไปนั้นก็มีความรู้สึก กล้าๆ กลัวๆ  แต่เราก็เชื่อใจในคนขับ  ตลอดระยะการเดิทางข้าพเจ้าได้แต่ก้มหน้าไม่มองทาง   และทริปต่อมาก็ได้ออกทริปอีกครั้ง  ซึ่งข้าพเจ้าได้ขับรถเอง  และเมื่อได้ลองขับเอง  ข้าพเจ้ารู้สึกว่า  มันก็สนุกเหมือนกันนะ และเป็นสิ่งที่แปลกใหม่  ซึ่งในตัวข้าพเจ้าก็ชอบในความเร็ยอยู่แล้ว


4.Team Learning ในช่วงเรียนปีที่ 2 ท่านอาจารย์ได้สั่งให้ทำงานโปรเจค และคนภายในกลุ่มของข้าพเจ้ามีทั้งคนที่เขียนโปรแกรมได้ ออกแบบดีไซน์ได้และคนให้กำลังใจในการทำงาน ซึ่งเมื่อถึงเวลาทำงานทุกคนก็ต่างทำหน้าที่ของตน  แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในการทำงานคือระบบ error เราจึงตัดสินใจว่าไปให้เพื่อนช่วยแก้ปัญหาของระบบ  แล้วสุดท้ายก็ทำงานได้สำเร็จ

 

5.System thinking เมื่อครั้งมีจดหมายมาถึงบ้าน ข้อความในจดหมายบอกว่านางสาวณัฎฐา ยังไม่ลงทะเบียนเรียนจนจะพ้นสภาพการศึกษา ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้ว่าต้องลงทะเบียนเรียน เพราะข้าพเจ้าติดเกรด I แต่ระยะเวลาติดI ได้ผ่านมา 1 เทอมดังนั้นเราจึงต้องลงทะเบียนเรียน  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ดำเนินการติดต่อกับทางคณะวิทยาศาสตร์ และเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา สำนักทะเบียนและกองกิจการมหาวิทลัยในการตรวจสอบหนี้สิ้น และดำเนินการติดต่อขอคืนสภาพกับทางสำนักทะเบียน ใช้เวลา 1 อาทิตย์ในการดำเนิน

นายประพันธ์ พันธุ์พิพัฒน์กุล

นายประพันธ์ พันธุ์พิพัฒน์กุล 555740051-5 sec12

-Personal Mastery

การเป็นประธานนักเรียน เนื่องจากผมเป็นเด็กที่ชอบทั้งกิจกรรมทั้งวิชาการ มันบงบอกถึงความเป็นผู้นำ และความรับผิดชอบของตัวเรา ซึ่งตอนผมอยู่มัธยม ช่วงนั้นการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นบ่อยมาก มีทั้งอาวุธมีด ปืน แต่พอรุ่นผมเป็นประธานนักเรียน สถานะการณ์แบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้น ขึ้นเป็นแรกๆในรอบหลายปี ซึ่งได้รับคำชมจากอาจารย์และผู้อำนวยการการศึกษา ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นหลังจากจบมอปลาย พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็มาเป็นหัวหน้าห้อง ถ้าว่างก็ไปช่วยงานคณะ ออกค่าย พัฒนาเยาวชนเป็นผู้นำ ซึ่งเป้าหมายของผมคือการพัฒนาเยาวชน20จังหวัดภาคอีสาน ให้ความรัก ให้ความรู้ ให้โอกาส ให้กำลังใจ เพื่อน้องๆที่อยู่ในที่ลำบากในภาคอีสาน

-Dialogue

ตอนผมเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ทะเลาะกับเพื่อนในห้องเรียน วันนั้นผมว่าเพื่อนว่าอย่าเป็นแก่ตัวให้มาก วันนั้นผมก็เก็บอารมณ์ไม่รู้จริงๆ เพื่อนในห้องเรียน43คน ไม่มีใครมาช่วยเตรียมงานเลย จนน้องปีสามพูดว่า ถ้าปีสี่มีแต่พี่ พรุ่งนี้ผมกับเพื่อนๆจะไม่มาช่วยแล้วน่ะ ซึ่งงานเป็นของปีสี่ที่ต้องรับผิดชอบ แต่เพื่อนๆก็ไม่มา พอผมพูดก็บอกว่าไม่ว่าง แต่มีเวลาแล่นเฟส และเป็นแบบนี้บ่อยมาก หลายงาน ต่อมาผมกลับบ้าน ผมก็คุยกับน้องชายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น น้องชายเลยพูดว่า "เมื่อเราใหญ่เราก็อยู่ยาก เมื่อเราใหญ่เราก็เหนื่อย เมื่อเราใหญ่เราก็จะพบกับปัญหาอีกมากมาย พี่ลอกคิดดูถ้าพี่ใหญ่กว่าบ้าน แล้วพี่จะอยู่บ้านได้อย่างไร ลองทำตัวให้เล็กดูบ้างจะได้สบาย" หลังจากนั้นผมก็เงียบ ให้เพื่อนคิดเอง ถ้าไม่มีเราแล้วใครจะทำ พองานต่อมาผมไม่ไปช่วย เพื่อนๆโดนน้องๆว่าจัดงานของก็ขาด งานออกมาก็ไม่ดี พออีกงานเพื่อนๆก็ขอให้เรากลับมาช่วยอีกครั้ง

-Mental model

ตอนนั้นผมมีปัญหา ผมเลยกลับมานั่งคิดว่าทำไมเพื่อนอีกภาคทำไมมีเพื่อนมาช่วยกันเยอะ บางครั้งเพื่อนไม่มาช่วยเขาก็ไม่พูดอะไร ทำไมเขาถึงอยู่นิ่งได้ ผมเลยไปถามเขา ว่าทำไมเขาถึงไม่ว่าเพื่อนบ้าง แล้วเขาก็ถามผมกลับว่า ว่าไปแล้วได้อะไร ว่าไปเดี๋ยวจะเกียดกันป่าวๆ โตๆกันแล้วมันคิดได้เองล่ะ ผมเลยถามกลับแล้วเมื่อไหร่มันจะคิดได้ล่ะ สู้ด่ามันแล้วมาช่วยทำไม่ดีกว่าหรือ เขาเลยถามผมกลับว่า แล้วด่าไปแล้วมาช่วยเราป่าวล่ะ ผมเลยตอบว่าไม่ เขาเลยพูดว่านั้นล่ะ ด่าไปเขาก็เกียด สู้ไม่พูดอะไรดีกว่าอยู่เงียบๆ ให้มันละอายใจไปเอง ผมได้ฟังเลยรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย วันต่อไปเลยไปขอโทษที่ด่าเพื่อนไป

-Team Learning

ตอนที่ออกไปจัดค่าย myca ซึ่งผมได้ไปช่วยทุกปีจบเรียนจบป.ตรี การทำงานจะทำกันเป็นทีม แบ่งหน้าที่เป็นฝ่ายๆกันไป ซึ่งพวกผมจะไปเตรียมค่ายก่อนถึงวันเปิดค่าย3วัน ซึ่งน้องค่าย น้องพี่เลี้ยง น้องที่ปรึกษาพี่เลี้ยง ฝ่ายปกครอง ฝ่ายครัว ฝ่ายสถานที่ ฝ่ายกีฬา ฝ่่ายผู้สอน กกปห. ซึ่งรวมๆก็ประมาณ350คน ค่าย10วัน แต่ล่ะคนก็ทำหน้าที่ของตนเองได้อยากเต็มที่ ภายใน1วัน เมื่อเส็จกิจกรรม ทุกฝ่ายก็มาประชุมกันว่า ภายใน1วันได้ทำอะไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีปัญหาอะไรบ้างไหม ควรปรับปรุงอะไรไหมพรุ่งนี้จะทำอะไร ใครเป็นคนรับหน้าที่ พอจบค่าย รู้ว่าเหนื่อยแต่ก็สนุกกับการที่ได้ทำ

-System thinking

ตอนที่อยู่ค่ายการที่เรามีการจัดระบบที่ดีช่วยพวกเราเยอะมากๆ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรเราต้องว่างแผนกันอย่างเป็นระบบมาก เพื่อให้งานออกมาดี และตรงกับจุดประสงค์ที่เราตั้งไว้ เช่นเราจะเริ่มกิจกรรมอะไรก่อน จุดประสงค์คืออะไร ใครเป็นดำเนินกิจกรรม ต้องการอุปกรณ์อะไรบ้าง ซึ่งการออกค่ายเหล่านี้ฝึกให้ผมคิดอย่างรอบครอบ อย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันกับสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่ประมาทกับสิ่งที่ทำ เพื่อการออกค่ายเราต้องดูแลชีวิตตัวเองไม่พอ เราต้องดูแลชีวิตน้องค่ายด้วย เราเลยต้องทำประกันชีวิตให้กับน้องๆทุกคน ตลอดการอยู่ค่าย

นายวิสิทธิ์ศักดิ์ ปัดสาพันธ์ 555740599-7 Y14# sec. 11

Personal mastery: ครั้งใดที่ไปทำอะไรมา รู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมาตัวผมได้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สถาบันแห่งหนึ่ง ได้พบกับเพื่อนของอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษผมซึ่งเราได้สนทนากันในเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจความว่า “พี่ขอถามว่า เอ็งคิดว่า Jiffy ที่ถูกซื้อด้วย ปตท. มันรวยหรือมันจนวะ” ผมเลยตอบไปว่า “รวยครับ เพราะว่า Jiffy เห็นความต้องการของคนไทยแล้ว เขาคงไม่สามารถบริหารได้จึงขายให้กับ ปตท. แล้วเอาเงินไปลงทุนที่อื่นครับ” หลังจากนั้นเราก็คุยอย่างถูกคอทางด้านธุรกิจ พี่คนนี้ (ไม่ขอเอ่ยนาม) เลยชวนผมไปขายน้ำมัน (ซึ่งที่บ้านผมประกอบธุรกิจนี้อยู่) เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งพี่คนนี้ได้พาไปหากลุ่มลูกค้าโดยมุ่งไปที่การขายน้ำมันให้กับต่างประเทศ ซึ่งได้พบกับพี่สาวคนหนึ่งที่อยู่จังหวัดอุดรธานี พี่สาวคนนี้ได้สอบถามราคาจากผมไปและบอกกลับมาว่าจะซื้อน้ำมันกับผมที่ 80,000 ลิตรขึ้นไปต่อสัปดาห์ เท่านี้ผมเลยดีใจมากทำให้ผมสามารถตั้งเป้าไว้ว่าผมจะขายน้ำมันให้ได้ 500,000 ลิตรต่อเดือนให้ได้

Dialogue & Conservations: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

เมื่อช่วงก่อนจบการศึกษาปี 2553 ทางภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เชิญวิทยากรที่จบจากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พูดง่ายๆ คือเอารุ่นพี่มาพูดแนะแนวถึงการทำงานให้รุ่นน้องฟัง แต่การพูดของวิทยากรนั้นจะเป็นแนวทางเกี่ยวกับการทำงานในแนวของวิทยาศาสตร์ เช่น ไปทำงานเป็นนักวิจัยที่ Biotech บ้าง เป็นต้น แต่มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ได้พูดว่า “เรียนไบโอไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์เสมอไป พี่ยังทำธุรกิจได้เลย” เพราะจากการฟังเพียงแค่ประโยคเดียวทำให้ผมเกิดแรงศรัทธาพี่แกมากทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปช่วยทางบ้านทำงานสานต่อธุรกิจของคุณพ่อและคุณแม่ต่อไป

Mental model: ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

เนื่องจากผมเป็นคนชอบเดินทางไปเที่ยวสถานที่ธรรมชาติและหมู่บ้านตามชนบท เพราะผมหลงใหลในเสน่ห์ของความเป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของหมู่บ้านทั้งหลาย มีครั้งหนึ่งผมได้ไปเที่ยวกับพี่ที่จังหวัดนครพนมบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ของไทย ผมพบว่าวิถีชีวิตของที่นี้แม้จะเป็นการดำเนินตามวิถีที่เรียบง่ายแต่ในทางธุรกิจแล้วที่นี้เป็นอีกที่หนึ่งที่พบว่ามีการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงพอสมควร ที่ผมทราบได้เพราะว่าผมได้ไปรู้จักกับเจ้าของโรงโม่หินที่ไปเปิดโรงโม่หินอยู่ที่ประเทศลาวและยังพบอีกว่าประเทศลาวถึงแม้จะล้าหลังกว่าเราแต่ในขณะนี้ประเทศลาวกำลังจะขึ้นมาทัดเทียมเราประเทศไทยแล้ว ซึ่งในอีกไม่กี่ปีจะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว จึงทำให้ผมตระหนักเพิ่มขึ้นว่าหากใครที่สามารถคว้าโอกาสทองนี้ได้ ผู้นั้นจะกลายเป็นเศรษฐีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้อย่างแน่นอน

Team learning: ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทางคณะได้จัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้รับผิดชอบ ซึ่งให้จัดกิจกรรม “ค่ายวิทยาศาสตร์สัญจร” ขึ้น ซึ่งเป็นการทำงานโดยส่งตัวแทนแต่ละภาคไปจัดค่ายให้กับน้องๆ มัธยม ซึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ว่าอาหารไม่เพียงพอกับน้องๆ ในค่าย ทำให้ต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น โดยเรียกให้ทุกคนมาเสนอแนวทางแก้ปัญหาซึ่งได้ข้อสรุปภายใน 5 นาทีว่าให้ทำผัดมาม่าให้กับน้องๆ กิน ดังนั้นจึงมีการแบ่งงานออกเป็นส่วนคือ ส่วนที่ต้องออกไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนที่เตรียมอุปกรณ์และส่วนที่ต้องยื้อเวลาเอาไว้ให้ทำกับข้าวให้เสร็จ ซึ่งทั้งหมดต้องใช้เวลาให้เสร็จภายใน 15 นาทีซึ่งจะเสียเวลากับส่วนที่ต้องออกไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนื่องจากร้านค้าอยู่ไกลแต่ก็มาทันเวลาที่ให้ไปคือ 10 นาทีหลังจากนั้นฝ่ายประกอบอาหารจึงประกอบอาหารอย่างรวดเร็ว และแล้วภารกิจนี้ก็เสร็จไปตามเป้าหมายด้วยความพยายามของทุกคน ต้องขอบคุณผู้ที่ออกไปซื้อบะหมี่จากร้านที่ซิ่งได้รวดเร็วจริงๆ

System thinking: เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

เมื่อปลายปีที่แล้วผมได้ไปเที่ยวคอนเสิร์ตที่โบนันซ่าเขาใหญ่ ผมรู้สึกประทับใจในการจัดการดูแลการเข้าออกของนักท่องเที่ยวผู้มีตั๋วชมบัตรคอนเสิร์ตของ Big Mountain Music Festival โดยการจัดการดังกล่าวได้ให้ผู้ชมเข้าไปที่หน้างานแล้วนำบัตรประชาชนไปแสดงอายุซึ่งทางคอนเสิร์ตจะแบ่งอายุเป็น 2 รุ่นคือรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี และ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งจะปล่อยให้เข้าสองทางตามรุ่นที่กำหนด และกำหนดเพื่อให้มีสิทธิในการซื้อเครื่องดื่มภายในงานด้วย นี้เป็นสิ่งที่ผมประทับใจในการจัดการคนเข้างานและการซื้อเครื่องดื่มภายในงานด้วย

ชุติมณฑน์ สำอางศรี

ชุติมณฑน์ สำอางศรี 555740029-8 Y#14 sec.11

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ฉันเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก ทั้งหนังสือนิยาย การ์ตูน ผี หรือเรื่องราวลี้ลับต่างๆ ยกเว้นหนังสือเรียน เวลาฉันเข้าร้านหนังสือที่ไรต้องได้ซื้อกลับบ้านอย่างน้อย 1 เล่ม แต่สิ่งที่ไม่ชอบใจเลยที่เจอในร้านหนังสือทุกๆ ร้านคือ การที่หยิบหนังสือบนชั้นวางมานั่งอ่านตรงนั้นเลยโดยไม่คำนึงถึงคนอื่นที่จะเข้ามาเลือกซื้อ นั่งขวางทางเดินบ้าง นั่งบังชั้นหนังสือบ้าง มันทำให้ฉันหงุดหงิดมาก ที่ไม่สามารถเลือกหนังสือได้ แต่มันก็ทำให้ฉันเกิดเป้าหมายเป็นของตัวเอง ว่าอยากมีร้านหนังสือ ที่มีมุมนั่งอ่านให้ลูกค้าด้วย โดยหนังสือที่อ่านได้เราจะแยกกับหนังสือที่เอาไว้ขาย ห้ามหยิบหนังสือจากชั้นวางมาแกะเด็ดขาด และจะมีการให้สมัครสมาชิกเพื่อที่จะเช่าหนังสือที่อยากอ่านได้ในราคาที่เหมาะสม

Dialogue : ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีวันหนึ่งฉันได้โทรไปหาพ่อ ก็พูดคุยกันตามปกติ ถามพ่อในเรื่องทั่วไป ว่า "พ่อกับแม่เป็นยังไงบ้าง"  "ได้กรีดยางมั้ยวันนี้" "ฝนที่นั่นตกหรือเปล่า" พ่อก็ตอบทุกคำถาม แต่อยู่ๆพ่อก็ถามขึ้นว่า ปีนี้จบมั้ย ช่วงนั้นฉันเรียนอยู่ปี 4 ก็ตอบพ่อไปว่า "จบสิ" "ไม่จบได้ยังไงล่ะ" แล้วพ่อก็ถามต่อว่า "ตกลงจะต่อ โท มั้ย" ฉันก็ตอบพ่อไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าขอดูก่อนนะอยากลองทำงานดูก่อน แล้วค่อยเรียน (ใจจริงตอนนั้นไม่อยากเรียนเลย) แต่พ่อก็บอกว่า พ่ออยากให้เรียนนะตอนนี้ยังมีแรงส่งให้เรียนอยู่ แต่อารมณ์ฉันตอนนั้นยังไม่อยากเรียนเลยตอบพ่อไปว่า ไม่เป็นไรพ่อเดี๋ยวหาเงินเรียนเอง แต่พ่อก็บอกว่าถ้าทำงานแล้วโอกาสที่จะกลับมาเรียนมันมีน้อยมากเพราะมันจะขี้เกียจ ฉันเลยไม่รู้จะตอบพ่อยังไง แล้วพ่อก็ย้ำอีกว่าพ่ออยากให้เรียนนะ เพื่อที่จะได้มีงานที่ดีทำ พ่อยังมีแรงส่งให้หนูเรียน ตอนนั้นฉันเลยตัดสินใจว่า ฉันจะเรียนต่อเพื่อให้พ่อภูมิใจในตัวฉัน ฉันเลยเลือกที่จะมาสมัครที่ MBA ม.ขอนแก่น และฉันก็ได้เรียนตามที่พ่อหวังไว้

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตามากขึ้น ฉันมีโอกาสได้ฝึกงานตอนที่เรียนปริญญาตรี ฉันได้ฝึกที่โรงแรม เอวาซอน จ.ภูเก็ต แผนก ครัวเบเกอรี่ ฉันไปกับเพื่อนอีก 3 คนที่ฝึกอยู่ เสิร์ฟ ตอนแรกที่เรียนอยู่ในห้องอาจารย์ก็จะเล่าให้ฟังว่าแต่ละแผนกมีความสำคัญยังไง และมีหน้าที่อะไรบ้าง แต่ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเบเกอรี่แผนกที่จะไปฝึกมาก่อนเลย อันที่จริงเลือกแผนกครัวไปแต่ไม่ได้ระบุว่าจะอยู่ครัวไหน พอไปถึงสถานที่จริง ก็ได้ทำที่ครัวเบเกอรี่ จากที่ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าขนมไหนทำยังไง แต่มีพี่ๆ ในนั้นคอยสอนทำให้ฉันตื่นเต้นมากในการลองงานจริงครั้งแรก ในการฝึกถึง 3 เดือน ทำให้รู้อะไรในนั้นหลายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน ถือว่าการฝึกงานในครั้งนี้ทำให้ฉันเปิดหูเปิดตามาก ได้รับมิตรภาพที่ดีจากพวกพี่พนักงาน ได้เจอแขกหลายๆ ชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย แต่ส่วนมากจะเจอชาวจีน ได้รู้พฤติกรรมการกินแขกในแต่ละชาติว่าเป็นอย่างไร เช่น จีนจะชอบพูดจาเสียงดัง และได้เรียนรู้ในการ ทำงานร่วมกับผู้อื่นว่าเป็นอย่างไร

Team learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด มีวันหนึ่งตอนเรียนปี 4 สาขาการโรงแรมฯ ม.ขอนแก่น อาจารย์ประจำสาขาได้มอบหมายให้จัดงาน Hotel and Travel Show 2011 เป็นงานที่มีคะแนนเก็บ พวกเราทุกคนทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษ ก็ช่วยกันจัดงานนี้ขึ้นมา โดยการแบ่งหน้าที่กันทำ ตั้งฝ่ายกันขึ้นมาว่ามีฝ่ายอะไรบ้าง เช่น ประสานงาน ฝ่ายสถานที่ เครื่องเสียง พิธีการ ในการทำงานแต่ละครั้งมันต้องมีอุปสรรคอยู่แล้ว มันไม่ได้สบายๆ อย่างที่เราเห็น อย่างเช่นฉันอยู่ฝ่ายสถานที่ ทีแรกอาจารย์บอกว่าสถานที่เดี๋ยวอาจารย์จะช่วยติดต่อให้ พวกเราภาคพิเศษเลยติดต่อเต้นท์และเก้าอี้ และให้ภาคปกติ ติดต่อเรื่องเวทีการแสดง ก่อนวันงานหนึ่งอาทิตย์ อาจารย์ได้เรียกพวกเราที่อยู่ฝ่ายสถานที่ไปหา พอเราเข้าไปอาจารย์ยื่นกระดาษมาให้แผ่นนึง มันเป็นเกี่ยวกับการขอใช้พื้นที่ตรงถนนคนเดิน เราเห็นแล้วก็ตกใจไหนอาจารย์บอกว่าจะช่วยติดต่อให้ แต่มาวันนี้อาจารย์ให้เราเอาไปยื่นที่เจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบเกี่ยวการขอใช้สถานที่ หลังจากนั้นเราก็ออกมาจากห้องอาจารย์และมาประชุมกัน คิดว่าถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าจะช่วยตั้งแต่แรกพวกเราก็คงจะขอเสร็จไปแล้ว แต่ก็โทษอาจารย์ไม่ได้เพราะเราไม่ตามเรื่องเอง พวกเราจึงไปยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ ที่อาจารย์บอกมา เขาก็ถามว่าอยากได้ตรงไหน พวกเราก็บอกไป แต่เขาก็บอกว่าเดี๋ยวพี่จะลองถามหัวหน้าอีกที แต่ไม่รู้จะได้มั้ย พวกเราก็ถามกลับว่า พี่จะให้คำตอบพวกเราได้วันไหนค่ะ พี่เขาก็ตอบว่าเป็นวันพฤหัสบดี แต่งานเราจัดวันเสาร์ ไปถามพี่เขาวันจันทร์ พวกเราเลยถามว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าได้หรือไม่ได้ พี่เขาก็ตอบว่าจะติดต่อไปทางอาจารย์ค่ะ ทั้งที่ตอนนั้นพื้นที่เราก็ยังไม่ได้วัด (มีบูธขายของสำหรับนักศึกษา สาขาการโรงแรมฯ) แล้ววันนั้นพวกเราเลยไปบอกผลกับอาจารย์ว่าพี่เขาบอกมาแบบนี้ อาจารย์เลยย้ำอีกครั้งว่าเดี๋ยวอาจารย์ช่วยคุยกับพี่ที่อาจารย์รู้จักให้เอง วันต่อมาพวกเราก็นัดกันมาวัดล็อก ว่าจะให้ประมาณเท่าไหร่ต่อบูธ ทั้งที่เราก็ไม่แน่ใจว่าพื้นที่ ที่ขอไปจะได้หรือเปล่าแต่เราก็ต้องเตรียมไว้ก่อน จนถึงวันเสาร์งานเริ่ม18.00 น. แต่พวกเราได้รู้สถานที่ แล้วว่าอยู่ตรงไหน มันไม่ใช่ที่เดียวกับที่ขอไปแต่พวกเราก็ช่วยกันเริ่มวัดตอนเช้าวันเสาร์ และได้จัดเตรียมสถานที่ทุกอย่างไว้พร้อม ทั้งเวทีการแสดงททั้งที่จอดรถ พองานเริ่มไปได้สักพักฝนก็เทลงมาทำให้การแสดงทุกอย่างหยุดหมด แต่เมื่อฝนซาลงก็ทำการแสดงกันต่อ และงานได้ผ่านพ้นไปด้วยดี ในวันนั้นพวกเราที่จัดงานได้รับคำชมกันทุกคนทั้งที่มันเป็นงานใหญ่ งานแรกของพวกเรา แต่มั้นก็ออกมาดีมาก ทั้งอาจารย์และผู้ที่มาเที่ยวงานชมกัน ทำให้พวกเราปลื้มใจมาก ทุกคนยิ้มไม่หุบกันเลย ที่ทุกคนช่วยกันให้งานออกมาดีขนาดนี้ การทำงานในครั้งนี้ก็มีทะเลาะกันบ้างของทั้งสองภาค แต่เมื่องานจบมันทำให้เรารักกันมากขึ้นและเข้าใจกันมากขึ้น

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี เมื่อถึงเวลาปิดเทอมใหญ่ในแต่ละครั้ง เลยกลับบ้านที่อยู่ใต้ อยู่จ.สงขลา มีโอกาสได้นั่งเครื่องบินกลับทุกครั้ง เพราะมันสามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางได้เยอะมาก เลยได้เห็นระบบที่ดีในการจองตั๋ว และการเช็คอิน ในการจองตั๋วก็คือ เราสามารถโทรไปจองบอกชื่อ-นามสกุล วัน เวลาที่จะกลับ ที่ชัดเจนและแน่นอน เมื่อเราจองเสร็จแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปเอาตั๋ว จำแค่รหัสไว้ก็พอและสามารถให้ทางร้านเช็คอินให้เราได้เลย พอถึงวันเดินทางเราเอาแค่รหัสที่ได้ไปออกบอร์ดดิ้งพาร์ส เพื่อที่จะขึ้นเครื่องโดยไม่ต้องทำการเช็คอินเพราะทางร้านจัดการให้เรียบร้อยหมดแล้ว ทำให้ฉันคิดว่าสิ่งที่สัมผัสได้มันเป็นระบบที่ดี และสามารถลำให้ลดระยะเวลาในการดำเนินเรื่องต่างๆไปได้เยอะทีเดียว

นางสาวศศิธร กิ่งชัยภูมิ รหัสนักศึกษา 555740083-2

Personal Mastery ( ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ) หากพูดถึงเรื่องเป้าหมาย เชื่อได้เลยว่าทุกคนคงมีอยู่แล้วในใจ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง ฉันเป็นคนหนึ่งที่มีเป้าหมายในชีวิตที่อาจจะดูธรรมดา แต่สำหรับตัวฉันมันมีค่ามากกว่าสิ่งใด เป้าหมายของฉันคือการที่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ...เหมือนเช่นวันนี้....มันเริ่มมากจากความรักจากทุกคนในครอบครัวซึ่งเกิดขึ้นทุกวันและสัมผัสได้จริงทุกเวลา ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวเล็กๆ มีกันอยู่ พ่อ แม่ และลูก พ่อและแม่ต่างก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ต่างก็สั่งสอนในสิ่งที่ดี ทุ่มเททุกอย่างเพื่อ “ครอบครัว” ถึงตอนที่ฉันมีปัญหาคนที่คอยชี้ทางสว่างให้ ก็คือ “ครอบครัว” คุณเชื่อได้เลยไม่มีใครหวังดีกับคุณเท่าพ่อกับแม่คุณได้ อนาคตข้างหน้าวันที่ฉันต้องมีครอบครัว “ฉันจะเป็นแบบอย่างที่ดีเหมือนแม่”

Dialogue ( ครั้งไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) หลังจากที่จบการศึกษาได้ไม่นาน ฉันก็มีโอกาสได้ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าส่วนผู้ตรวจสอบภายใน มันเป็นชีวิตการทำงานครั้งแรกที่ต้องเดินทางต่างจังหวัด ลักษณะงานจะเป็นการตรวจเช็คเอกสาร และกระบวนการผลิต ต่างๆในเครือบริษัท จากเดิมที่เราเรียนบัญชี งานส่วนมากจะเป็นงานด้านเดียว อยู่แต่กับเอกสาร ซึ่งแตกต่างจากงานตรวจสอบภายใน ฉันได้รับมอบหมายงานให้ตรวจกระบวนการผลิตน้ำตาล ในขณะที่เราทำการตรวจดูกระบวนการต่างๆ เราจะพบทั้งข้อดีข้อเสียของกระบวนการต่างๆ สิ่งที่เราต้องทำจะต้องหาข้อมูลเพื่อช่วยให้สามารถลดเวลาในกระบวนการผลิตและให้ได้ประสิทธิภาพมากกว่าเดิม มันจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราต้องเข้าหาผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในเฉพาะด้าน ซึ่งทำได้โดยการถามและอ่าน ผลทีได้กลับมามันกลับมากกว่าที่เราคาดคิด เราได้เรียนรู้ใจคนที่เราไม่สามารถวัดได้ทันทีจากครั้งแรกที่เห็น ได้เรียนรู้ว่าหากเราต้องการข้อมูลบางอย่าง เราควรจะถามยังไง จะต้องพูดคุยยังไง ให้เค้าบอกข้อมูลกับเราโดยที่เค้าไม่รู้ตัว มันเป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนความรู้ แล้วยังใช้ประโยชน์ได้จริงจากความรู้ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่เป็นการเรียนรู้การเข้ากับผู้อื่นที่มีนิสัยแตกต่างกับเราได้อย่างลงตัว

Mental model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น) ฉันเป็นคนนึงที่ต้องการให้คนสนใจ และคุณเองก็คงเหมือนกันที่ต้องการให้คนอื่นสนใจในตัวคุณบ้าง จากประสบการณ์ในการทำงานด้านการให้บริการลูกค้า เปรียบเทียบจากเมื่อก่อน ดูได้จากการแสดงออกของลูกค้า ปฏิกิริยาของลูกค้าเมื่อเข้ามารับบริการจากฉัน มันจะสังเกตได้ว่าลูกค้าไม่ประทับใจ ในการให้บริการเท่าที่ควร แต่ใช่ว่าจะเลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับพอใจในระดับสูง ฉันได้แต่เฝ้าคิดและอยู่กับตัวเองมาพักนึง จากนั้นจึงถามกับหัวหน้างาน “ถ้าหนูอยากมัดใจลูกค้าจะต้องทำยังไง” “หนูอยากได้อะไรลูกค้าก็อยากได้เหมือนกัน” ฉันกลับมาคิดถ้าฉันเป็นลูกค้า ฉันคงต้องการได้รับบริการดีๆจากพนักงาน ฉันก็ยังสงสัยในตัวเองแล้วฉันต่างกับคนอื่นยังไง จนวันที่ฉันไปคลินิกหมอฟัน เดิมฉันเป็นคนที่กลัวหมอทำฟันมาก ก็เมื่ออดีตเคยไปหาหมอฟัน แต่โดนดุ แล้วทำเจ็บ จากนั้นจำมาตลอดว่าหมอฟันน่ากลัวที่สุด แต่ครั้งนี้มันทำให้ฉันเปลี่ยนความคิดใหม่ ก้าวแรกที่เข้าไปคลินิกพนักงานทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คุณหมอที่ให้คำปรึกษาเรื่องฟันบอกรายละเอียดกับปัญหาฟันของฉัน ด้วยความใจเย็น ไม่รีบร้อนทั้งๆที่มีลูกค้ารอคิวจำนวนมาก ฉันมีปัญหาที่ค้างในใจแต่ไม่กล้าถาม คุณหมอก็จะตอบปัญหาที่คาใจของฉันได้อย่างกระจ่าง ทั้งที่ฉันไม่ได้เอ่ยปากออกเลย มันน่าทึ่งมากเหมือนหมออ่านใจคนออก ฉันกลับบ้านพร้อมกับความประทับใจสุดๆ หากมีปัญหาเรื่องฟันฉันจะนึกถึงหมอก่อนใคร .... โอ้!! ทำไมฉันเพิ่งนึกได้ “ฉันต้องเป็นเหมือนหมอ”

Team Learning ( ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย ) ฉันเชื่อว่าทุกคนหากทำงานแล้วจะต้องมีภาระหน้าที่ในหน้าที่การงานแตกต่างกัน ตามตำแหน่ง ฉันก็เป็นพนักงานคนหนึ่งที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ นอกจากหน้าที่ต้องรับลูกค้าด้านหน้าหลังจากปิดทำการยังต้องตรวจเช็ครายการ และยอดเงินของตัวเอง แน่นอน!! ถ้าเราทำแค่นั้นยังไงงานที่ทำวันต่อวันก็ไม่มีทางเสร็จได้รวดเร็ว ทุกคนคงต้องกลับบ้านค่ำ เราจึงแบ่งงานกันทำ หลังจากที่เคลียร์เงินของแต่ละคนลงตัว จะมีการแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นคนตรวจสลิป คนตรวจเช็คเงิน คนเรียงเอกสารแบ่งแต่ละประเภท คนจัดเก็บเอกสารเปิดบัญชี คนที่กระทบรายการทุกอย่างเพื่อหายอดในแต่ละวัน เมื่อทำเช่นนี้เราจะรู้ได้ว่าปัญหาที่พบอยู่ที่จุดไหน แล้วสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด เพื่อลดเวลาในการทำงานให้น้อยที่สุดหลังจากปิดทำการ เห็นได้จริงเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนที่ใครอยากทำอะไรก็ทำ ทำให้งานเสร็จช้า..

System thinking ( เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ) ถ้าพูดเรารู้สึกได้ว่า......สิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี สิ่งแรกที่ฉันคิดถึงคงเป็นระบบครอบครัวในองค์กร เราทุกคนในองค์กรจะมี KPI เป็นตัวชี้วัดผลงานของพนักงานแต่ละคน แน่นอนว่า บ้างก็ทำได้ตามที่ KPI กำหนด บ้างก็ทำไม่ได้ตามที่กำหนดไว้ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณไม่มีผลงานเลย คุณคงไม่กำลังในที่จะทำงานต่อ ฉันก็เป็นเหมือนกัน ฉันโชคดีมากที่ได้เข้าร่วมงานกับองค์กรที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ทุกคนแชร์ผลงานกันแบ่งปันกัน ช่วยกันทำผลงาน เราทำงานเสมือนว่าเราเป็นครอบครัว มีการแลกเปลี่ยนการทำงาน การสอนงาน และแก้ปัญหาร่วมกัน ถ้าจะให้บอกถึงการแบ่งปันของบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างนั้นฉันคงทำไม่ได้ ทุกครั้งที่พนักงานท่านอื่นสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย หรือมากกว่า ต่างก็แบ่งให้กับพนักงานส่วนที่เหลือเฉลี่ยไปคนละเท่าๆกัน โดยไม่คิดว่าเป็นผลงานของตนเองเลย พนักงานส่วนที่ยังไม่เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ก็มี KPI เป็นของตนเอง ต่างก็รู้หน้าที่ของตนเองว่าต้องให้บริการกับลูกค้าให้ดีที่สุด พร้อมๆกับเรียนรู้การทำงานให้มากกว่าเดิม และเป็นแบบอย่างที่ดี ทำสิ่งดีๆตามรุ่นพี่ที่ที่ทำงานได้เคยทำมา

วรลักษณ์ แซ่กิม รหัส 555740073-5 Sec.11 MBA Y#14

วรลักษณ์ แซ่กิม รหัส 555740073-5 Sec.11 MBA Y#14

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?)

     ก่อนวันไหว้ครูตอนอยู่ปีหนึ่ง 1 วัน  ทั้งห้องก็จะช่วยกันทำพานไหว้ครู  ด้วยความที่เราไม่เก่งงานฝือมือซักอย่าง  ก็ไปนั่งดูเพื่อนทำ  จับนั่น ส่งนี่ให้ไปเรื่อย  แล้วเพื่อนสนิทเราคนนึงก็นั่งร้อยพวงมาลัยอยู่  ก็นั่งดูเพื่อนร้อย  อยู่ๆ เพื่อนก็ยื่นให้  ถามว่า "ร้อยดูมั๊ย" ก็ตอบไปว่า "ไม่อะ ไม่ชอบ" เพื่อนก็คะยั้นคะยอให้ลองดู(ประมาณว่าอยากให้มีคนช่วยรึเปล่าไม่รู้) ก็เลยลองเอามาร้อยดู  ลองทำตอนแรกก็ไม่สวย เข็มตำมือบ้าง  ทำไปทำมารู้สึกสนุก  ทำได้สวยและคล่องแคล่วขึ้น  ทำให้รู้สึกภูมิใจ  และรู้สึกว่าถ้าเราตั้งใจทำอะไรซักอย่างนึง  ต่อให้เป็นสิ่งที่เรามองว่ายาก หรือเราไม่ชอบ  เราก็ต้องทำได้  จึงทำให้เราตั้งเป้าหมายในใจว่า  ต่อให้ไม่ชอบพยาบาล  แต่จะเรียนให้จบได้แน่นอน         

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี)

  ตอนเข้าเรียนที่วิทยาลัยพยาบาลแรกๆ ทางวิทยาลัยบังคับให้นักศึกษาอยู่หอในทุกคน  ซึ่งการอยู่หอในเราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น  ต้องช่วยเหลือตัวเองในหลายๆ อย่าง เช่น ซักผ้า รีดผ้า นอกจากนั้น  ยังต้องช่วยกันในเรื่องการดูแลความสะอาดของห้องพักเลยทำให้รู้สึกว่า  เฮ้อ  ทำบากจัง  เราก็จะโทรไปบ่นกับที่บ้านทุกวัน  จนวันนึงขณะที่นั่งเล่นกับรูมเมทอยู่ในห้อง อยู่ๆ รูมเมทก็พูดขึ้นมาว่า "เฮ้อ มาอยู่หอที่วิทยาลัยนี่สบายเนอะ  งานบ้านก็ไม่ต้องทำ  มีเนตให้เล่น มีเตียงให้นอน  ห้องก็กว้างกว่าห้องที่บ้านอีก  เธอว่ามั๊ย " หลังจากได้ยินประโยคนี้ออกจากปากรูมเมท  มันทำให้ได้หยุดคิดว่า  ที่เราคร่ำครวญว่ามันลำบากเหลือเกิน เพราะเราเคยอยู่มาแบบสบายเกินไปรึปล่าวนะ เพราะเราไม่เคยลองพยายามทำอะไรด้วยตัวเอง  ไม่รู้จักอดทนและเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ตั้งแต่วันนั้นทำให้เราพยายามปรับตัว ช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น บ่นน้อยลง  แล้วก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนหมู่มากในสังคมให้ดียิ่งขึ้น  ทำให้สามารถปรับตัวให้อยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ดีขึ้น

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น)

    ตั้งแต่เด็กแล้ว  ฉันเป็นคนที่มักจะกลัวเมื่อเจอกับความเปลี่ยนแปลง  หรือต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มีอยู่วันนึง  หลังกลับจากเที่ยวกับเพื่อน ก็เวลาประมาณตีสองเกือบตีสาม  ก็ออกมาหาอะไรทานกัน  แต่ตัวเราเองไม่หิวเลยออกมานั่งเล่นหน้าร้านรอเพื่อน  ทำให้ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างบนโลกใบนี้ที่เราไม่เคยเก็น  ทั้งคนนอนขดอยู่ข้างถนน  คนที่ช่วยกันเก็บร้านอย่างเร่งรีบ  คนกวาดถนน  คนเก็บขยะ  คนกลับจากงานตอนกลางคืน หรืแม้กระทั่งคนเมากลับจากผับ(คล้ายๆกัน 55 5)  ทำให้รู้สึกว่า  สิ่งต่างๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันคือความหลากหลายที่อยู่บนโลก  ซึ่งอยู่ที่เราจะมอง  โลกนี้มีทั้งคนที่สุข  และทุกข์กว่าเรา สบายและลำบากกว่าเรา  ทุกคนมีทางให้เลือกเดิน เลือกเป็น  ขณะที่เราหยุดนิ่ง ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัว   ยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะคว้าทุกโอกาสบนโลก ดังนั้น  ตั้งแต่นั้นมา  ถ้ามีโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไร  ฉันจึงพร้อมที่จะเรียนรู้อย่างไม่หวั่นเสมอ

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย)

   ในการฝึกงานครั้งแรกตอนอยู่ปีสอง  หลังจากสิ้นสุดการฝึกงานจะต้องมี Case Study ส่งอาจารย์กลุ่มละหนึ่งเคส  ซึ่งอาจารย์จะเลือกเคสที่น่าสนใจที่สุดหนึ่งเคสจากผู้ป่วยทั้งหมดที่นักศึกษาได้ดูแล  ในการทำเคสครั้งนั้น  เรามีเวลาเพียงหนึ่งวันในการทำรูปเล่ม  powerpoint และการเตรียมนำเสนออาจารย์  ในการทำเคสหนึ่งเคส นักศึกษาทุกคนต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับเคส  อาจารยถามใครก็ต้องตอบได้  ดังนั้น  ก่อนแบ่งงานเพื่อนที่เป็นเจ้าของเคสก็เล่าปัญหาต่างๆ รวมทั้งข้อมูลของเคสให้ฟังอย่างละเอียด  จากนั้นในกลุ่มก็ช่วยกันแชร์เกี่ยวกับผู้ป่วยที่มีปัญหาคล้ายๆกัน  แชร์การดูแล  หลังจากนั้นจึงช่วยกันวางแผนการพยาบาล  หลังจากนั้นจึงแบ่งหน้าที่กันพิมพ์ส่วนต่างๆ คนตรวจข้อบกพร่อง  คนทำงานนำเสนอ  ด้วยความเอาใจใส่ในการดูแลเคสของเจ้าของเคส  การเล่าอย่างละเอียด  การตั้งใจฟังของสมาชิกในกลุ่ม  และการช่วยกันแชร์ข้อมูลต่างๆ รวมถึงการแบ่งงานกันอย่างมีระบบ  ทำให้งานเสร็จภายในเวลารวดเร็วและมีเวลาเหลือพอที่จะช่วยกันลองตั้งคำถามที่อาจารย์จะถาม  และลองตอบช่วยกันเพื่อหาคำตอบที่ดี  ทำให้การนำเสนอ Case Study เคสแรกทำได้เยี่ยมมาก  ได้รับทั้งคำชมจากอาจารย์และเพื่อนกลุ่มอื่นๆ     

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี)

      ด้วยความที่เรียนพยาบาล  ฝึกงานที่โรงพยาบาล  ได้เห็นความวุ่นวายในโรงพยาบาลทุกวัน  มีอยู่วันนึงน้องที่เป็นลูกศิษย์แฟนไม่สบายก็เลยได้พาไปโรงพยาบาล   ซึ่งพอไปถึงก็จะมีผู้ช่วยเหลือคนไข้เข้ามาถามว่ามาทำอะไร  และมานำบัตรไปยื่นให้  หลังจากนั้นก็พามานั่งรอ  เมื่อทำบัตรเสร็จก็พาไปยื่นตรงจุด OPD พาไปชั่งน้ำหนัก  วัดส่วนสูง  และให้ไปนั่งรอตรงหน้าห้องตรวจ  เมื่อตรวจเสร็จก็นำบัตรไปยื่นที่ห้องยาและแนะนำเรื่องสิทธิ์การจ่ายค่ารักษา  ทำให้เราซึ่งไปแบบความคิดที่ว่าต้องน่าเบื่อ  และไปแบบไม่รู้อะไรเลยรู้สึกว่า  เอ๊ะ มาโรงพยาบาลนี้ง่ายและสะดวกจังเลย !!!!

นส.ศุภมาส ไทยอ่อน รหัสนักศึกษา 555740089-0 sec 12 Personal Mastery

ในชั้นของปริญญาตรี ฉันจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาขอนแก่น แต่สิ่งที่ฉันคิดคอยเฝ้าถามกับตัวเองเสมอในตลอดระยะเวลา4ปีว่า  อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของฉัน  เพื่อที่จะรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตว่าควรจะดำเนินไปทางไหนดี ฉันได้ตระหนักว่างานทางด้านนิติศาสตร์ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตฉันอย่างแท้จริง จนวันหนึ่งฉันได้เข้าเรียนในคาบวิชาเกี่ยวกับสถาบันการเงินแล้วรู้สึกว่า  ตนเองชอบและสนใจทางด้านนี้  ซึ่งสายทางการเงิน การบริหาร เป็นสายที่ฉันให้ความสนใจมาก่อนที่จะadmidtions  แต่ฉันเข้าในคณะนี้ไม่ได้ แต่ฉันก็ยังสนใจในทางด้านนี้อยู่ตลอด

Dialogue

ตั้งแต่ประถมศึกษาจนกระทั่งมัธยมศึกษา ฉันใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน แต่ระยะทางจากบ้านมาโรงเรียนประมาณ30กม.  เพื่อนส่วนมากจะพักอาศัยอยู่ที่หอพักใกล้กับโรงเรียน เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง และอีกเหตุผลทางบ้านของฉันไม่อนุญาตให้อยู่หอ เพราะท่านเห็นจากเด็กที่อยู่หอส่วนใหญ่ จะเรียนไม่จบ มีแฟน ติดแฟน และท่านกลัวทำเรื่องเสียชื่อเสียง จนกระทั่งฉันได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ท่านได้พูดคุยกับรุ่นพี่ที่ศึกษาอยู่ที่นี่ พี่ได้ให้คำแนะนำว่า เรื่องที่ท่านเป็นกังวลมันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่ให้ท่านไว้ใจฉัน เชื่อว่าฉันจะไม่เป็นอย่างกับเด็กแถวๆบ้านคนอื่น  เมื่อท่านได้ฟังคำแนะนำดังกล่าว ท่านจึงหมดกังวลเรื่องการอยู่หอพัก แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงเราเสมอ 

Mental model

เมื่อประมาณเดือนเมษายน ถึง เดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2554  ฉันได้รับโอกาสจากทางคณะนิติศาสตร์  ให้ฝึกงานที่ศาลจังหวัดขอนแก่น  โดยฉันได้รับมอบหมายให้อยู่ประจำแผนกเวรชี้  ซึ่งเป็นแผนกที่สำคัญของทางศาล เพราะเป็นแผนกที่ตัดสินคดีนักโทษ ที่ได้รับโทษจากคดีต่างๆ  เมื่อฉันได้เข้าไปสัมผัสในส่วนนี้ทำให้ได้รู้ว่าสังคมของเราน่ากลัวกลว่าที่คิดไว้มาก เห็นได้จากนักโทษที่จับคุมขัง จะเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ หน้าตาดีๆก็มี คดีส่วนมากจะเป็นเกี่ยวกับยาเสพติด นอกจากนี้ก็ยังมีคดีที่น่ากลัวอีกหลายคดี ไม่ว่าจะเป็น ข่มขืน ชิงทรัพย์ เป็นต้น ทุกคดีเป็นภัยที่ใกล้ตัวเราทั้งนั้น จากการฝึกงานตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ทำให้ฉันระมัดระวังภัยใกล้ตัวมากขึ้น

Team learning

ฉันได้มีโอกาสเรียนวิชากม.สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิชาเลือกในปีการศึกษาที่ 3  และได้รับโอกาสให้ไปสำรวลลงพื่นที่ที่ภาคเหนือ เป็นเวลา1สัปดาห์  การลงพื้นที่พบกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลการกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม  ในเขตพื้นต่าง โดยได้ทำงานกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มต้องพูดคุยกับชาวบ้านให้ได้รับข้อมูลมากที่สุด ทางกลุ่มของฉันมีประมาณ 10คน โดยจัดให้แต่ละกลุ่มมีครบทุกชั้นปี ทางกลุ่มของฉันได้แบ่งหน้าที่กันให้มีหน้าที่ตามความเหมาะสม และแต่ละคนก็ทำหน้าที่ที่ไดรับมอบหมายได้อย่างดี เช่น แบ่งกันไปถามชาวบ้าน บางคนลงพื้นที่ บางคนให้คำแนะนำแกชาวบ้าน  แล้วนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนคุยกัน เพื่อช่วยชาวบ้าน  ทำให้ฉันรู้สึกว่าการทำงานเป็นกลุ่มครั้งนั้นเป็นการทำงานเป็นกลุ่มที่ดีที่สุด

System thinking

ระบบการทำงานของโรงพยาบาลบ้านฝาง เป็นระบบการทำงานที่ฉันคิดว่าเป็นระบบที่ดี เมื่อประมาณสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันได้พายายไปหาหมอ เพื่อตรวจโรคเบาหวานตามปกติ แต่ยายไม่ได้ไปหลายเดือน ทำให้โรงพยาบาลเปลี่ยนระบบในการตรวจโรคเบาหวาน โดยจัดสถานที่จากในโรงพยาบาลที่มีแต่ความแออัด ปัจจุบัน ได้จัดให้เป็นที่โล่ง หลังโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลมีขนาดเล็ก บรรยากาศปลอดโปร่ง ไม่แออัดเหมือนแต่ก่อน ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และยังมีระบบที่ให้ผู้ป่วยที่มีน้ำตาลในเลือดมากจากน้อย มีป้ายแยกประเภทผู้ป่วย ว่าใครมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะให้ไปพบกับหมอใหญ่ และได้รับการอบรมว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร  ส่วนผู้ป่วยปกติก็พบหมอและได้รับยาตามปกติ แม้ทางโรงพยาบาลจะมีความล่าช้าไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลรัฐ ทำให้ฉันและยายประทับใจในระบบการรักษาของโรงพยาบาลบ้านฝางในครั้งนี้

นางสาวดวงหทัย สงสุแก Y#14 Sec.11 555740038-7

1.Personal Mastery :

 ช่วงแรกที่เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี สิ่งที่จะต้องเรียนรู้เป็นอย่างแรกคือ พื้นฐานการเขียน code VB  ซึ่งไม่เคยได้เรียนมาก่อนทำให้รู้สึกไม่อยากเรียน รู้สึกว่ายาก จนไปเห็นพี่รหัสกำลังทำโปรเจคจบในเทอมนั้น พี่ก็บอกว่า "น้องอายุยังน้อยสามารถรับรู้ เเละเรียนรู้เรื่องอื่นอีกมากมาย ลองพยายามดูสักครั้ง เพื่ออนาคตของน้องเอง" หลังจากที่ได้ฟังพี่เค้าบอกก็ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด และตั้งใจเรียนมากขึ้น สอบถามสิ่งที่ไม่รู้จากอาจารย์และเพื่อนๆ อีกทั้งยังได้เรียนรู้การทโปรเจคจบของรุ่นพี่ เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการเรียนต่อไป

2.Dialogue :

 ช่วงเวลาแห่งการเข้าค่ายจริธรรม ที่วัดเวฬุวัณ จ.ขอนแก่น ได้เข้ารับการฝึกการปฎิบัติและมีการถือศีล อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงบุณคุณของเราซึ่งก็คือ พ่อและแม่ พระอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า "พ่อ-แม่ คือ พระประจำบ้านที่ลูกๆทุกคนจะต้องกราบไหว้และเคารพนับถือมากกว่าสิ่งใดในโลก" หลังจะได้ยินประโยคนี้ทำให้จากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อกับแม่ ทำให้รู้สำนึกถึงบุญคุณที่ท่านเลี้ยงเรามา หลังจากนั้นก็พยายาที่จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ช่วยงานในสิ่งที่เราทำได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ฟังประโยคดังกล่าวก็ทำให้รู้จักการคิดไตร่ตรองมากขึ้น การตัดสินใจที่รอบคอบ เลือกที่จะทำแต่สิ่งที่ดีดีกับผู้อื่น อีกทั้งยังดูแลพ่อและแม่ทั้งเวลาที่มีความสุข และมีปัญหา เพื่อให้ทุกคนมีความสุข

  1. Mental Model : การเข้าฝึกงานในบริษัท ฟินิคฯ จ.ขอนแก่น ได้เรียนรู้ชีวิตการทำงานในบริษัท สังคมการทำงาน หรือเรียกว่า "การฝึกชีวิตทำงานที่แท้จริง" ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ ในแผนก IT เรียนรู้วิธีการเขียน code php แบบวิธีลัดที่ไม่ได้มีสอนอย่างละเอียดภายในบทเรียน เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังได้รู้วิธีการผลิตเยื่อกระดาษที่จะสามารถนำไปแปรเป็นกระดาษเอกสารที่เราใช้กันในทุกวันนี้ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมทางสังคมภายในบริษัทและกระบวนการทำงานที่เกิดจากประสบการณ์ตรงที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองที่ไม่มีสอนในบทเรียน ทำให้สามารถเรียนรู้ในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะ ด้านเทคโนโลยี ได้ดียิ่งขึ้น

4.Team Learning :

ในการรเรียนปริญญาตรี จะมีการออกค่ายอาสา ซึ่งเป็นชิ้นงานในรายวิชาหนึ่งซึ่งนักศึกษาทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรม ในการเข้าค่ายอาสานี้เนื่องจากการที่ต้องทำงานเป็นทีมโดยแบ่งออกเป็นฝ่ายต่างๆ หนึ่งในนั้นคือฝ่ายจัดสรรงบประมาณและเตรียมอุปกรณ์ในการบำรุงรักษาโรงเรียน ที่ได้รับผิดชอบมาโดยแบ่งออกเป็น กลุ่มละ 4 คน แบ่งกันรับผิดชอบระหว่างการจัดสรร และการเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทาสี ฯลฯ เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก และเวลาที่จำกัด ทำให้ต้องมีการแบ่งหน้าที่ช่วยกัน นอกจากนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องลงเมือทำ โดยแต่ละกลุ่มได้แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆละ 8-10 คน เพื่อที่จะแบ่งงานรับผิดชอบในบริเวณต่างๆ เช่น กำแพง อาคาอเนกประสงค์ เป็นต้น

5.System thinking :

 ช่วงเวลาที่ทำโปรเจคการเขียนโค๊ดภาษา PHP และ Mysql ชิ้นสุดท้ายสำหรับการเรียนจบในระดับปริญญาตรี โดยที่เริ่มจาการวางแผนถึงระบบที่จะทำ จากนั้นก็นำมาวิเคราะห์การทำงานของระบบแต่ละระบบอย่างละเอียดโดย เริ่มจากอันดับหน้าที่ของแต่ละระบบ ตั้งแต่การเข้าใช้ระบบของผู้ดูแล การจัดการต่างๆที่เกิดขึ้น ไปจนส่วนของผู้เข้าใช้บริการ มีการร่างแผนทั้งหมด จึงจะมีการเขียน code แล้วการทดสอบทีละระบบ จนเสร็จจึงนำมาทดลองใช้ และแก้ไขข้องบกพร่องต่างๆ ทั้ง code และ การออกแบบหน้าต่างการใช้งาน จนระบบทั้งหมดสมบูรณ์ ทำให้สามารถนำเสนอได้ โดยมีที่ปรึษาโปรเจค เป็นผู้ดูแล ซึ่งได้แสดงถึง

การทำงานที่เป็นระบบ จากความคิดไปจนถึงการลงมือทำ ทำให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นายรัฐมงคล ดลโสภณ 555740068-8 sec 11

Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น เมื่อตอนเรียนอยู่มัธยมตอนปลาย ช่วงนั้นเริ่มมีความขัดแย้งทางการเมืองใหม่ๆ ผมจึงเกิดความสงสัยว่ามันเกิดจากอะไร ใครทำอะไรอย่างไร แต่เมื่อติดตามดูก็เกิดความสนใจ เมื่อก่อนไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเมืองหรือกฎหมายอะไรเลย ยิ่งติดตามดูก็พบว่าตัวเองสนุกกับวิชาทางกฎหมาย และหาหนังสือกฎหมาย หนังสือพิมพ์ต่างๆ มาอ่าน ยิ่งอ่านก็พบว่า นอกจากปัญหาทางการเมืองแล้ว ยังทำให้เห็นว่ามีปัญหาต่างๆมากมายในประเทศที่มีมานาน ชาวบ้านถูกเอารัดเอาเปรียบจากนักการเมืองและข้าราชการบางส่วน จนทำให้ผมเกิดความอยากเรียนกฎหมาย อยากมีเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือสังคม จึงมาสอบเข้าคณะนิติศาสตร์มหาลัยขอนแก่น ถึงแม้ว่าช่วงปีท้ายๆผมจะเรียนได้ไม่ดีนัก แต่ผมก็มีความสุขที่ได้เรียนกฎหมาย และหวังว่าซักวันจะได้ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น

Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายผมเรียนได้เกรดน้อยมากจนเกือบจะเรียนไม่จบ เพราะตัวผมขาดความใส่ใจในการเรียน ทำให้เกรดลดลงมาตั้งแต่ปีสาม แต่ผมก็ยังไม่ปรับปรุงตัว ไม่ยอมรับว่าตัวเอง ยังทำหน้าที่ ในการเรียนไม่ดีพอ จนมาวันหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยได้ส่งเกรดมาที่บ้าน พ่อกับแม่ผมได้เปิดดู แต่ไม่ว่าอะไรในตอนแรก แต่เมื่อตอนทานข้าวเย็นร่วมกัน แม่ผมได้พูดขึ้นว่า ชีวิตนี้พ่อแม่หวังให้ลูกเลี้ยงดูตอนแก่ เมื่อไหร่แกจะกลับไปตั้งใจเรียนแล้วรีบจบไปหาทำการทำงานหรือเรียนต่อ แค่คำพูดในต้องนั้น ทำให้ผมสำนึกได้ว่า ผมลืมเป้าหมายในชีวิต ผมจึงพยายามกลับตั้งใจในการเรียน และสำเร็จการศึกษา

Mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น เมื่อสามปีก่อนผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เจริญมากๆ มีตึกสูง เทคโนโลยีไฮเทค บ้านเมืองเจริญผู้คนอาศัยมากมาย เมื่อผมได้ไปที่โตเกียว คนในโตเกียวส่วนมากมักจะไม่เดินทางด้วยรถส่วนตัวทำให้รถไม่ติดมากเหมือนกรุงเทพ แต่จะให้บริการขนส่งสาธารณะและพบว่าประเทศนี้ประชาชนของเค้าเป็นคนมีระเบียบวินัยสูง คนมักจะรอเข้าแถวเพื่อรอหรือใช้บริการต่างๆ แม้ในขณะฝนก็จะเห็นคนญี่ปุ่นเข้าแถวอยู่แบบนั้น ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีแต่สิ่งที่เจริญพัฒนาแล้ว แต่ยังมีการรักษาวัฒนธรรมเก่าๆไว้หลายอย่าง เมื่อออกมาต่างจังหวัดก็จะพบว่าญี่ปุ่นไปอีกแบบ บ้านเมืองตามชนบทนอกเมืองของประเทศญี่ปุ่นนั้นเงียบสงบ น่าอยู่มีเอกลักษณ์เก่าๆแบบญี่ปุ่น ป่าไม้เขียวสวยงาม ผู้คนต่างจังหวัดเป็นมิตรมากเข้าไปร้านขายของ เจ้าของร้านจะตะโกนทักทายเราเกือบทุกร้าน ถ้าเราไปที่ไหนก็จะมีของที่ระลึกประจำท้องถิ่นขาย เป็นเอกลักษณ์ประจำที่นั้นๆ การไปเที่ยวญี่ปุ่นของผมทำให้รู้สึกเปิดหูเปิดตามากขึ้น ได้พบวัฒนธรรมใหม่ๆ และมีมุ่มมองใหม่ๆในชีวิตด้วย

Team Learning ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย เมื่อตอนมัธยมที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยผมได้เรียนเป็นนักศึกษาวิชาทหารหรือ รด.ในการเป็น รด. โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยนั้น จะต้องทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อที่จะสำเร็จการเรียน โดยการอาจารย์จะจัดเป็นกลุ่ม เพื่อทำเวรประจำวันหรือทำกิจกรรมนอกโรงเรียน ซึ่งกลุ่มผมได้ไปทำกิจกรรมนอกโรงเรียน คือไปให้ไปทำจราจรและเป็นแรงงานให้ที่วัดเวฬุวันขอนแก่นในวันวิสาขบูชา ซึ่งรถของคนที่มากทำบุญนั้นมาก โดยในกลุ่มผมนั้นมีจำนวนคนมาทำกิจกรรมน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงทำให้กลุ่มต้องมีการแบ่งหน้าที่กัน พวกผมได้แบ่งหน้าที่กัน ในการทำจราจร การจัดสถานที่ การระบายรถเข้ารถออกวัด โดยแบ่งเป็นสามกลุ่มกระจายกันหน้าที่ทั้งวัด โดยทุกคนต่างตั้งใจทำกิจกรรม และทำให้การทำกิจกรรมสำเร็จไปได้

System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี เคยสั่งของจากทางเวปไซต์ แห่งหนึ่ง ในตอนแรกผมก็ไม่ค่อยแน่ใจที่จะซื้อออนไลน์ผ่านเวปไซต์ แต่เวปนี้เป็นเวปที่เพื่อนแนะนำให้รู้จัก เมื่อลองดูก็พบว่า เวปไซต์ของเขามีระบบที่ดี คือเมื่อสั่งของเขาไป ยังไม่ต้องโอนเงินไปทันที แต่รอให้เจ้าของเวปโทรมายืนยันกับเราก่อน พร้อมทั้งใบออเดอร์ทางอีเมล เมื่อได้แล้วเราก็โอนเงินพร้อมทั้งส่ง faxใบชำระเงิน จากนั้นให้เราโทรไปบอกว่าได้ชำระเงิน จากนั้นเจ้าของเวปเขาจะแจ้งรหัสตรวจสอบของที่ส่งทางไปรษณีย์ จากนั้นก็รอของส่งมากที่บ้าน ปรากฎว่า ของที่ส่งมาไม่ตรงกับที่สั่ง ผมจึงได้โทรไปบอกเจ้าของเวป ต่อมาเขาโทรมาว่ากำลังส่งมาใหม่ โดยที่ผมยังไม่เอาอันที่เขาส่งผิดส่งคืนเขา เขาออกค่าที่ส่งผิดให้ผมด้วย

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11 Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?:: เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้ Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น:: เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้ Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี:: มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11 Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?:: เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้ Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น:: เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้ Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี:: มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นางสาวกวินารัตน์ เชื้อวณิชย์

นางสาวกวินารัตน์ เชื้อวณิชย์ รหัสนักศึกษา 555740017-5 Y#14 sec.11

1.Personal Mastery ต้องขอเกริ่นก่อนว่าบ้านของดิฉันมีธุรกิจส่วนตัว ที่เปิดเป็นโรงน้ำแข็งและน้ำดื่ม หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี ดิฉันก็ว่างงาน ช่วยงานที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งในตอนนั้นดิฉันไม่ได้อยากที่จะรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้านเลย เพราะว่าดิฉันอยากเปิดร้านกาแฟ ร้านเบเกอร์รี่ หรือไม่ก็เป็นหอพักไปเลย แต่พอดิฉันเอาไปเสนอแก่พ่อของดิฉัน ก็จะได้รับการปฏิเสธตลอดว่า จะไปทำทำไม รู้ไมว่าการเปิดร้านเบเกอร์รี่ มันเหนื่อยแค่ไหน จนครั้งสุดท้ายที่ดิฉันไปบอกพ่อว่า งั้นดิฉันขอร่วมหุ้นกับเพื่อนขายคอลลีน แอมโมเนียได้ไม (ในใจดิฉันคิดว่าก็ขอให้ครบวงจรไปเลยแล้วกัน) แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอีกครั้ง และพ่อของดิฉันก็ได้บอกว่า "ป๋าอยากให้ทำน้ำดื่มมากกว่า" ดิฉันเลยถามต่อว่่า "แล้วที่ทำทุกวันนี้ล่ะ ไม่พอหรอ แล้วถ้าขยายออกไปอีกแล้วน้ำสำหรับทำน้ำแข็งจะพอหรอ" พ่อของดิฉันจึงได้ตอบกลับว่า "ก็ไปตั้งใหม่เลย แต่ยังอยู่ในบริเวณใกล้กัน ยังไงน้ำก็พอ ไม่หมดหรอก และป๋าก็อยากที่จะขายไปทั่วภาคอีสาน ไม่ต้องขายไปทั่วประเทศหรอก เราแค่จับกลุ่มภาคอีสานให้ได้ก็พอ เราอาจจะแข่งกับน้ำดื่มยี่ห้ออื่นๆที่เค้่าขายมานานไม่ได้ แต่ถ้าผู้บริโภคได้ลองดื่ม เค้าก็จะรู้ว่าของเราก็มีดี" พอดิฉันได้ยินแค่นั้นแหละ ทำให้ดิฉันอยากที่จะมีบริษัทจำหน่ายน้ำดื่มเป็นของตัวเอง

2. Dialogue พ่อและแม่ของดิฉันท่านทั้งสองเป็นคนที่ชอบทำบุญมาก เวลาที่จังหวัดของดิฉันมีงาน ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานราษฎ์ หรืองานหลวง ท่านทั้งสองก็จะคอยบริการน้ำดื่มและน้ำแข็งฟรี ดิฉันและน้องๆก็จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านทั้งสองทำซักเท่าไหร่ ว่าทำไมจะต้องบริการฟรีตลอดด้วย ของซื้อของขายนะ จนมีอยู่วันนึง เราก็ถกกันในเรื่องนี้อีกครั้ง จนพ่อของดิฉันถามขึ้นมาว่า "รู้ไมว่าทำไมป๋าถึงต้องบริการฟรี? ดิฉันเลยบอกว่า "ไม่รู้" พ่อของดิฉันเลยตอบกลับว่า "ที่เรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะจังหวัดยโสธรนะ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า มิตรภาพต่างๆที่ได้รับจากคนยโสธร ป๋าก็แค่อยากจะตอบแทนเค้าบ้าง" พอได้ฟังดิฉันถึงกับอึ้งไปซักพักและก็เข้าใจว่าสิ่งที่พ่อและแม่ของดิฉันทำนั้นเพื่ออะไร

3. Mental model ตอนที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมที่ 2 ได้มีโอกาสไปเรียนภาษาและเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก นั่นก็คือ ประเทศออสเตรเลีย เมืองเพิร์ส เมื่อไปถึงที่นั่นดิฉันได้อยู่กับครอบครัวชาวออสซี่ และในบ้านที่ดิฉันอยู่นั้นยังมีนักเรียนต่างชาติอีก 2 คน และเด็กไทยอีกคนนึง บ้านที่เราอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในเมืองมาก วันแรกที่ต้องไปโรงเรียนสอนภาษา โฮสต์ผู้หญิงของดิฉัน (ซึ่งแกให้เรียกแกว่า aunt) ได้พาดิฉันนั่งบัส และบอกคอยอธิบายถึงสองข้างทางที่บัสได้ขับผ่าน จนถึงป้ายที่เราต้องลง แกก็บอกให้กดกริ่ง และแกก็พาดิฉันไปส่งที่ห้องเรียน (ตอนเช้าจะเรียนและตอนบ่ายจะไปเที่ยวรอบเมือง) และแกก็บอกว่่าตอนเย็นจะกลับมารับ และในตอนเย็นท่านก็ได้มารับและท่านก็ได้บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปเองนะ คงจำทางแล้วนะ (ในใจคิดว่า แล้วชั้นจะทำได้ไมเนี่ย) พอตอนเย็นเราจะช่วยกันทำอาหารค่ำ รอรับประทานอาหารพร้อมกัน และล้างจาน ซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามเวร และกิจวัตรของดิฉันก็จะเป็นแบบนี้ทุกวัน แต่ในวันเสาร์-อาทิตย์ ท่านทั้งสองก็จะไปเที่ยว ไปปิกนิก หรือไม่ดิฉันก็นัดเพื่อนไปเที่ยวในเมืองบ้าง เวลาผ่านไปเร็วมากก็ถึงเวลาที่ดิฉันต้องกลับไทย ดิฉันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ต้องกลับแล้ว เพราะท่านใจดีมาก ท่านทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกับท่าน และดิฉันรู้สึกขอบคุณท่านทั้งสองมากที่คอยสอนดิฉันไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน การบ้าน ภาษาที่พัฒนาขึ้นมาก พอกลับมาถึงไทยดิฉันก็ยังส่งจดหมายและของฝากไปให้ท่านทั้งสองอยู่เรื่อย

4. Team Learning ตอนที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมที่ 6 ณ ตอนนั้นทั้งชั้นมีนักเรียน 20 คน ซึ่งตอนนั้นใกล้จะถึงวันครูและชั้นของดิฉันก็ต้องจัดทำพานเพื่อเอานำไปไหว้ครูและส่งเข้าประกวด เราจึงคิดว่า ถ้าเราทำพานดอกไม้ เด่วทำมาก็เหี่ยว เก็บไม่ได้นาน และห้องเราก็ไม่มีคนพับใบตองเป็นด้วย ดังนั้นเราจึงคิดว่างั้นเราทำพานเป็นห้องเรียนที่เราเรียนดีกว่า และเมื่อทำเสร็จก็ยังสามารถเก็บไว้ได้ด้วย เราจึงเริ่มด้วยการไปซื้ออุปกรณ์ต่างๆ และถ่ายรูปเพื่อนๆเพื่อจะเอามาใส่ในพานห้องเรียน ม.6 เราทุกคนค่อยๆช่วยกันทำพานนี้ เพราะเวลาทำมันไม่น่าเบื่อ แต่มันเหมือนเรากำลังทำโมเดล จนใกล้จะถึงวัน เราก็รีบเร่งทำให้เสร็จ และก็เสร็จทันวันไหว้ครูจนได้ เมื่อถึงเวลาไหว้ครู ทั้งนักเรียนมัธยมและอาจารย์เมื่อได้เห็นถึงกับออกปากชมว่าสวยและมีความคิดสร้างสรรค์ อาจารย์บางคนถึงกับขอเก็บไว้เลยทีเดียว

5. System Thinking เมื่อเดือนที่แล้วดิฉันได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ไปกับทัวร์แบบที่ดิฉันเคยไปมา และการไปเที่ยวครั้งนี้ทำให้ดิฉันเห็นอะไรหลายๆอย่างแบบที่ทัวร์ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็น 1. การคมนาคม คนส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นจะไม่นิยมขับรถยนต์เท่าไหร่นักเพราะรถจะติดมากถ้าอยู่ในโตเกียว ดังนั้นคนจึงเลือกที่จะขึ้นรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ทั้งสะดวกและสามารถเชื่อมต่อไปได้ทุกที่ และรถไฟฟ้าก็แบ่งออกไปอีกว่า แบบรถเร็ว(จอดบางสถานี)และรถช้า(จอดทุกสถานี) ในการเปลี่ยนขบวนแต่ละครั้งก็ต้องเดินใกล้บ้างไกลบ้าง และเวลาก็ขึ้นอยู่กับระยะทางที่เดิน บางครั้งถึงกับต้องวิ่งเลยทีเดียว ทำให้รู้ว่าคนญี่ปุ่นใช้ชีวิตเร่งรีบและเดินเร็วมาก 2. ร้านอาหารตู้หยอดเหรียญ คือ เราก็ใส่เงินเข้าไปและกดรายการอาหารที่เราต้องการ, ต้องการเพิ่มอะไรเป็นพิเศษ เลือกได้ไม่อั้น เมื่อสั่งเสร็จก็จะมีใบสั่งอาหารปริ้นออกมาให้ หลังจากนั้นก็นำไปยื่นให้พนักงาน แล้วพนักงานก็จะทำตามออเดอร์ที่เราสั่งไป พอรับประทานเสร็จก็เดินออกจากร้านเลย (ทั้งประหยัดพนักงานรับออเดอร์และไม่ต้องมานั่งเช็คบิล) 3. ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปเดินข้ามแยกที่วุ่นวายที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือ แยกชิบุย่า และเป็นที่แปลกใจสำหรับดิฉันมากว่า ถึงแม้ว่าคนมากมายจะเดินข้ามทางแยกแต่ก็ไม่ยักเห็นคนเดินชนกันเลย และเมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดง ทุกคนก็จะหยุดเดิน และปล่อยให้รถวิ่ง 4.วันเวลาทิ้งขยะตามบ้านเรือนญี่ปุ่น วันเวลาที่รถเก็บขยะจะมารับขยะแต่ละประเภทไปกำจัดนั้น กำหนดไว้แน่นอน และปฏิทินตลอดทั้งปี

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นาย ศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 Y14# sec11

Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

เมื่อตอนอายุ16ปี ตอนนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 รร.ขอนแก่นวิทยายน ตอนเรียนอยู่นั้นไม่มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมากับเพื่อน เป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียนแม้แต่นิดเดียว ตอนปิดเทอมขึ้น ม.5 รร.ปิดเป็นเวลา2เดือน พ่อจึงให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน และในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมเราถึงต้องมาทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแทนที่จะได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนแต่ก็อยุ่ช่วยงานจนถึงตอนเปิดเรียน แต่พอเปิดเรียนพ่อก็บอกผมว่าให้เลือกเอาว่าจะเรียนต่อหรือจะมาช่วยกิจการที่บ้าน และในตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า ตอนนี้ที่บ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่มีเ้งืนส่งไปเรียนนะ แต่ถ้าอยากเรียนต่อจริงๆจะพยายามหาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว และในเหตุการณ์นั้นเองที่ทำไห้ผม มีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำทุกๆอย่างเพื่อให้ครอบครัวเราดีขึ้น

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?::

เมื่อช่วงเดือน ตุลาคมของปี พศ.2554 ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ทำร่วมกันกับเพื่อนๆประสบภาวะขาดทุนอยากหนัก ทุนที่มีก็หมดและก็ยังมีหนี้สินอีกด้วย จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจย่ำแย่มาก ปรึกษากันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันทุกวันว่าเราจะหาทางออกกันยังไง ทำยังไงเราถึงจะผ่้านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านี้ไปได้ และในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ก่อนหน้านี้เรายังไม่มีอะไรกันเลย มีแต่ตัวเปล่าๆไม่มีทุนทรัพย์อะไรแม้แต่นิดเดียวเรายังมาถึงจุดๆนี้ได้ ปัญหาชีวิตก็เจอกันมาแล้วหนักกว่านี้กันทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก และหลังจากนั้นผ่านไป1เดือน เราก็ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น::

เมื่อปีที่ผ่านมา เคยได้เข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น ในงานครั้งนั้นได้รับความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SME ต่างๆมีธุรกิจหลากหลายที่น่าสนใจและมีโอกาศเติบโตอีกมากในอนาคต นั่งฟังไปเราก็นึกถึงกิจการที่เราอยู่ว่าจะสามารถเอาความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้อย่างไรและเรามีโอกาสที่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจของเรามั้ย และในการฟังบรรยายครั้งนั้นเองจึงทำไห้ผมไำด้เปิดหูเปิดตา ว่ายังมีธุรกิจอีกหลายๆอย่าง ที่น่าสนใจและได้ความรู้ที่อาจนำไปไช้ประโยชน์ในอนาคตได้

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

เนื่องด้วยปัจจุบันผมทำธุรกิจกับที่บ้าน และโดยส่วนตัวยังได้ร่วมทำธุรกิจหลายอย่างกับเพื่อนที่สนิทด้วยอีก2คน ในการร่วมงานกันนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่ง เกิดปัญหาเล็กๆน้อยและอาจเกิดความไม่พึงพอใจกันในหลายๆอย่าง แต่เราก็ประคับประคองกันให้ผ่านพ้นกันมาได้ เวลามีปัญหาเราไม่เคยทอดทิ้งกันในเวลาที่เราลำบากเค้าช่วยเหลือเวลาเค้าเดือนร้อนเราก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงทำให้รู้สึกถึงความไว้วางใจต่อกันและกัน หุ้นส่วนทางธุรกิจนั้นอาจหาไม่ยาก แต่หุ้นส่วนที่ไว้วางใจกันได้ทุกเรื่อง ไว้วางใจเรื่องการเงินกันได้ทุกบาททุกสตางค์นั้น ผมเชื่อว่าคงจะหากันไม่ได้ง่ายๆแน่นอน และในตอนนี้ผมก็เจอบุคคลเหล่านั้นแล้ว และยังเจอพร้อมกัน2คนอีกด้วย ผมจึงประทับใจและจะรักษามิตรภาพระหว่าางกันไห้ได้ดีที่สุด

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี::

มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเนื่องด้วยผมเป็นคนชอบเที่ยวและยังมีโอกาศได้รู้จักกับเจ้าของสถานบริการแห่งนั้นด้วยจึงได้มีการพูดคุยสอบถามถึงการทำงานของพนักงานภายในร้าน เราจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดการระบบที่ดี แบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน มีการควบคุมและบริหารการจัดการทางการเงินกันอย่างแม่นยำ และยังได้จัดการอบรมพนักงานกันเรื่อยๆ จึงทำไห้พนักงานมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความชำนาญในการบริการลูกค้า ผมจึงนำมาคิดว่าจะประยุกต์มาใช้กับแนวความคิดของตัว ถ้าเราจะทำอะไรเราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี จึงทำไห้กิจการหรือ องค์กรของเรามีการพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

นายวสันต์ ดอนตระกูล 555740077-7 sec 12

Personal Mastery ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น โดนส่วนตัวเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากใช้ชีวิตแค่วันต่อวันเพราะในใจคิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดหาเงินได้ก็ใช้กินใช้เที่ยวไปวันๆ เมื่อวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เกิดประสบกับโรคภัยไข้เจ็บป่วยถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวัน จึงได้กลับมาย้อนว่าวันเวลาที่ผ่านมาได้ใช้ไปเหมือนหายใจทิ้ง จากการป่วยครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าต่อไปจะเที่ยวให้น้อยลงตั้งใจทำงานทำมาหากินเก็บเงินออมเพื่ออนาคตที่ซึ่งไม่รู้จะเกิดอะไรขี้น ต้องการให้อนาคตที่ไม่แน่นอนสามารถกลับมาแน่นอนได้รวมไปถึงต้องสามารถรับมือกับสิ่งที่จะเกิดได้ Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี? ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอยู้ระดับมัธยมปลายข้าพเจ้าเป็นคนเรียนไม่เก่งและเป็นคนเรียนไม่รู้เรื่องและมีความน่าจะเป็นว่าเรียนไม่จบพร้อมเพื่อน พ่อกับแม่ก็ไม่มีเวลามาคอยสอนข้าพเจ้า เมื่อครั้นข้าพเจ้าไดรู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึงซึ่งเป็นคนที่เรียนอยู่กับข้าพเจ้า เข้าได้บอกว่า ถึงเราเกิดมาเราไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกคนแต่เราก็ไม่ได้เก่งจากท้องพ่อท้องแม่ทุกคน การที่เราไม่รู้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถ้าเราไม่เอาอะไรนิล่ะแปลก คำพูดของผู้หญิงคนนี้จึงทำให้ข้าเจ้ากลับมาขยันอ่านหนังสือสนใจในการเรียนตั้งใจเรียน และไม่เขินอายถามอาจารณ์ในประเด็นที่ตนเองไม่เข้าใจ หลังจากที่ได้ทำตามผู้หญิงคนนี้มา ข้าพเจ้าก็เรียนจบมัธยมปลายพร้อมเพื่อนและไม่อายเพื่อน เพราะเพียงแค่คำพูดของผู้หญิงคนนี้ Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ข้าพเจ้าในระกับปริญญาตรีได้เรียนในคณะวิทยาการจัดการสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว เมื่อเรียนจบมาทุกคนก็จะคิดว่าจะต้องทำงานให้ตรงสายที่เรียนจบมา ในสายนั้นก็คือทำงานทางด้านโรงแรมแรมรวมไปถึงบริษัททัวส์ แต่ข้าเจ้าได้ไปทำงานที่โรงหลังคาเหล็กแห้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงงานอีกคนล่ะขั้ว ได้ไปเห็นแต่แต่การถลุงแหล็ก ก่รหล่อ การดัดการตัด กระบวนกาขนส่งการประกอบหลังคาเข้ากับตัวบ้าน ข้าพเจ้าเลยคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องจมปักกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ควรจะเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาให้เรียนรู้เยอะๆเพื่อเป็นประสบการให้ชีวิต Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ข้าพเจ้่าได้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่าของข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพื่อนเรียนสมัยมัธยมซึ่งไม่เจอกันมานก็หลายปีล่ะ ได้ถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงได้เจอเพื่อนเก่าบ้างไหมเรียนจบทำงานไรกันบ้างรึยัง เพื่อนผมคนนี้ก็เลยบอกว่าก็อยากเจออยากคุยกับเพื่อนเก่าๆบ้างเหมือนกันน่ะ เลยคิดกันว่าจัดงานเลี้ยงรุ่นเลยดีไหม ความคิดต่อมาคือจะทำไงถึงจะสามารถคุยกับเพื่อนได้มากที่สุด ผมจึงเกิดไอเดียคือการใช้เฟสบุ้กซึ่งเป็นสื่อที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด จากนั้นเพื่อนผมและเพื่อนที่มีอยู่ก็ได้ก่อตั้งกลุ่มในเฟสบุ้กขึ้นและใช้ปากต่อปากคุยกันไปจนได้สมาชิกที่เกือบครบทั้งรุ่นั้น จนเกิดงานเลี้ยงรุ่นของรุ่นที่ผมเรียนเกิดขึ้น System thinking เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี เมือ่ตอนผมเรียนอยู่มัธยมปลายผมในกลุ่มเพื่อนได้คุยกันว่าจะเรียนจบแล้วเราไปเที่ยวไหนกันดีไหมลองคิดสถานที่่เทีี่ยวมาหน่อย เพื่อนของข้าพเจ้่าได้เสนอทัวส์ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านเอเยนส์บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมชวนในกระบวนการดีไซค์ทัวส์ให้ลูกค้ามาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บข้อมูลของลูกค้า เขาให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก ทั้งกระบวนการชำระเงินมีระบบผ่อนจ่ายเพราะมองว่าพวกผมเป็นกลุ่มนักเรียนอัตราการจ่ายต้องพึ่งพ่อแม่ การเดินทางก็จัดให้พวกผมนั้งหลังๆอยู่ใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้คนอื่นรำคาญ ห้องพักก็จัดให้พวกผมอยู่ชั้นเดี่ยวกันห้องใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้รบกวนห้องข้างๆ รวมไปถึงโปรแกรมทัวส์ก็ไม่มีโปรแกรมที่เป็นเกี่ยวกันวัดมากมีแต่โปรแกรมเที่ยวสวนสนุกห้างสรรพสินค้าเพื่อโดนใจกลุ่มวัยรุ่นอย่างพวกผม หลังจากที่ไปเที่ยวกับทัวส์บริษัทนี้กลับมาพวกผมรู้สึกประทับใจมาก

นางสาวดวงหทัย สงสุแก Y#14 Sec.11 555740038-7

1.Personal Mastery :

 ช่วงแรกที่เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี สิ่งที่จะต้องเรียนรู้เป็นอย่างแรกคือ พื้นฐานการเขียน code VB  ซึ่งไม่เคยได้เรียนมาก่อนทำให้รู้สึกไม่อยากเรียน รู้สึกว่ายาก จนไปเห็นพี่รหัสกำลังทำโปรเจคจบในเทอมนั้น พี่ก็บอกว่า "น้องอายุยังน้อยสามารถรับรู้ เเละเรียนรู้เรื่องอื่นอีกมากมาย ลองพยายามดูสักครั้ง เพื่ออนาคตของน้องเอง" หลังจากที่ได้ฟังพี่เค้าบอกก็ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด และตั้งใจเรียนมากขึ้น สอบถามสิ่งที่ไม่รู้จากอาจารย์และเพื่อนๆ อีกทั้งยังได้เรียนรู้การทโปรเจคจบของรุ่นพี่ เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการเรียนต่อไป 

2.Dialogue :

 ช่วงเวลาแห่งการเข้าค่ายจริธรรม ที่วัดเวฬุวัณ จ.ขอนแก่น ได้เข้ารับการฝึกการปฎิบัติและมีการถือศีล อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงบุณคุณของเราซึ่งก็คือ พ่อและแม่ พระอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า "พ่อ-แม่ คือ พระประจำบ้านที่ลูกๆทุกคนจะต้องกราบไหว้และเคารพนับถือมากกว่าสิ่งใดในโลก" หลังจะได้ยินประโยคนี้ทำให้จากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อกับแม่ ทำให้รู้สำนึกถึงบุญคุณที่ท่านเลี้ยงเรามา หลังจากนั้นก็พยายามที่จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ช่วยงานในสิ่งที่เราทำได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ฟังประโยคดังกล่าวก็ทำให้รู้จักการคิดไตร่ตรองมากขึ้น การตัดสินใจที่รอบคอบ เลือกที่จะทำแต่สิ่งที่ดีดีกับผู้อื่น อีกทั้งยังดูแลพ่อและแม่ทั้งเวลาที่มีความสุข และมีปัญหา เพื่อให้ทุกคนมีความสุข

  1. Mental Model : การเข้าฝึกงานในบริษัท ฟินิคฯ จ.ขอนแก่น ได้เรียนรู้ชีวิตการทำงานในบริษัท สังคมการทำงาน หรือเรียกว่า "การฝึกชีวิตทำงานที่แท้จริง" ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ ในแผนก IT เรียนรู้วิธีการเขียน code php แบบวิธีลัดที่ไม่ได้มีสอนอย่างละเอียดภายในบทเรียน เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังได้รู้วิธีการผลิตเยื่อกระดาษที่จะสามารถนำไปแปรเป็นกระดาษเอกสารที่เราใช้กันในทุกวันนี้ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมทางสังคมภายในบริษัทและกระบวนการทำงานที่เกิดจากประสบการณ์ตรงที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองที่ไม่มีสอนในบทเรียน ทำให้สามารถเรียนรู้ในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะ ด้านเทคโนโลยี ได้ดียิ่งขึ้น

4.Team Learning :

ในการรเรียนปริญญาตรี จะมีการออกค่ายอาสา ซึ่งเป็นชิ้นงานในรายวิชาหนึ่งซึ่งนักศึกษาทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรม ในการเข้าค่ายอาสานี้เนื่องจากการที่ต้องทำงานเป็นทีมโดยแบ่งออกเป็นฝ่ายต่างๆ หนึ่งในนั้นคือฝ่ายจัดสรรงบประมาณและเตรียมอุปกรณ์ในการบำรุงรักษาโรงเรียน ที่ได้รับผิดชอบมาโดยแบ่งออกเป็น กลุ่มละ 4 คน แบ่งกันรับผิดชอบระหว่างการจัดสรร และการเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทาสี ฯลฯ เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก และเวลาที่จำกัด ทำให้ต้องมีการแบ่งหน้าที่ช่วยกัน ในการปฎิบัติงาน ได้แบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 10 คนโดยแบ่งบริเวณที่รับผิดชอบ เช่น กำแพง อาคารอเนกประสงค์ 

5.System thinking :

 ช่วงเวลาที่ทำโปรเจคการเขียนโค๊ดภาษา PHP และ Mysql ชิ้นสุดท้ายสำหรับการเรียนจบในระดับปริญญาตรี โดยที่เริ่มจาการวางแผนถึงระบบที่จะทำ จากนั้นก็นำมาวิเคราะห์การทำงานของระบบแต่ละระบบอย่างละเอียดโดย เริ่มจากอันดับหน้าที่ของแต่ละระบบ ตั้งแต่การเข้าใช้ระบบของผู้ดูแล การจัดการต่างๆที่เกิดขึ้น ไปจนส่วนของผู้เข้าใช้บริการ มีการร่างแผนทั้งหมด จึงจะมีการเขียน code แล้วการทดสอบทีละระบบ จนเสร็จจึงนำมาทดลองใช้ และแก้ไขข้องบกพร่องต่างๆ ทั้ง code และ การออกแบบหน้าต่างการใช้งาน จนระบบทั้งหมดสมบูรณ์ ทำให้สามารถนำเสนอได้ โดยมีที่ปรึษาโปรเจค เป็นผู้ดูแล ซึ่งได้แสดงถึงการทำงานที่เป็นระบบ จากความคิดไปจนถึงการลงมือทำ ทำให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์

นางสาวทิพยรัตน์ สวนสุวรรณ

นางสาวทิพยรัตน์ สวนสุวรรณ Y#14 Sec.12 555740006-0 Personal Mastery:: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น ? เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ฉันได้ไปฝึกงานที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม และได้รู้จักกับคนเวียดนามที่เป็นพนักงานด้วยกัน พนักงานในร้านที่ฉันฝึกงานอยู่นั้นเป็นคนเวียดนามคะ ทุกคนกำลังอยู่ในวัยเรียน (ช่วงอายุ 17-23 ปี) แต่ทุกคนกับทำงานหาเงินในขณะที่เรียนอยู่ ซึ่งความสามารถในการทำงานเทียบเท่ากับคนที่เรียนจบแล้วในบ้านเรา บางคนก็หาเงินเรียน บางคนก็หาเงินค่าขนม ทุกคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป เพื่อนของฉันบางคนเป็นถึงลูกเจ้าของร้านทองแต่เขาก็ยังมาทำงาน เด็กที่นี่ทำงานตั้งแต่เด็ก ซึ่งคนไทยอย่างฉันเรียนถึงปริญญาตรีแล้ว ยังขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่เลยคะ ฉันรู้สึกว่าพวกเขามีความขยัน กตัญญู มันทำให้ฉันอยากทำงานเพื่อที่จะมีเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของฉันเอาไปใช้ในสิ่งที่ฉันต้องการเหมือนคนอื่นบ้าง และพอฝึกงานเสร็จ ฉันได้รับเงินเดือนก้อนแรกในชีวิต ฉันได้เอาไปให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย และญาติๆของฉัน พวกท่านภูมิใจในตัวของฉันมากและมันทำให้ฉันมีความสุขมากที่ได้ตอบแทนท่านคะ Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี? แต่ก่อนฉันเป็นคนที่เวลาไม่ชอบอะไรขึ้นมา ก็จะเลิกสนใจสิ่งนั้นเลย ซึ่งตอนนั้นฉันได้เรียนวิชาเวียดนามเชิงธุรกิจ อาจารย์สอนแล้วไม่เข้าใจ ฉันจึงไม่สนใจวิชานี้ แต่พี่ฉันบอกว่าทุกวิชาสำคัญ พอไปทำงานฝึกงานแล้วเราต้องใช้ ศัพท์ทุกคำระบบการทำงานทุกอย่างเราต้องเรียนรู้ ฉันจึงกลับมาลองตั้งใจเรียนวิชานี้อีกครั้ง พอไปฝึกงาน ฉันถึงรู้ว่าศัพท์ทุกคำมีความจำเป็นวิชาทุกวิชาที่เรียนมาต้องได้ใช้ ถ้าฉันไม่ตั้งใจเรียนวิชานี้ในวันนั้น ฉันก็คงเรียนไม่จบและทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ไม่รู้เรื่อง Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น? มีหลายคนบอกว่าประเทศเวียดนามไม่น่าเที่ยวมีแต่ขโมย ใครไปเที่ยวก็ล้วนแต่ต้องโดนหลอก บ้านเมืองไม่สะอาด แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาฉันมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองโฮจิมินท์ ประเทศเวียดนาม เมืองนี้เป็นเมืองที่สวยงาม ผู้คนน่ารัก ฉันหลงทาง และได้รับการช่วยเหลืออย่างดีจากผู้คนแถวนั้น ฉันรู้สึกประทับมากที่ได้รับการต้อนรับและดูแลอย่างดีจากประเทศนี้ เมืองนี้ถ้าจะพูดไปแล้วสะอาดกว่ากรุงเทพบ้านเราอีก มันทำให้ฉันรู้ว่าอย่าเชื่อใครถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด ครั้งนึงฉันเคยเป็นผู้จัดการทีมซอท์ฟบอลในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย มีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องและเพื่อนอยู่ในทีม แน่นอนการทำงานย่อมมีปัญหา แต่ในเมื่อฉันเป็นผู้จัดการทีมฉันต้องคุยกับทุกคนและฉันรู้สึกดีมากที่ทุกคนรับฟังความคิดเห็นของฉัน ถึงแม้บางคนจะเป็นรุ่นพี่แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของฉัน System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี ฉันเคยพาเพื่อนไปสมัครงานที่โรงแรมเซนทาราขอนแก่น ฉันได้เห็นการจัดการของเขา เขามีการรับพนักงาน โดยการเขียนใบสมัคร สัมภาษณ์ สอบข้อเขียน พอผ่านจากฝ่ายหนึ่งแล้วก็ส่งต่อให้ผู้จัดการแต่ละแผนกสัมภาษณ์ พอผ่านเรียบร้อยแล้ว ก็มีการฝึกอบรม ฉันรู้สึกประทับใจในการทำงานของเขามาก ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า ถ้าฉันได้เป็นลูกค้าของโรงแรมนี้ เค้าคงจะดูแลฉันได้เป็นอย่างดี และพอฉันได้มาใช้บริการฉันก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ

นายวสันต์ ดอนตระกูล 555740077-7 sec 12

Personal Mastery ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น โดนส่วนตัวเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากใช้ชีวิตแค่วันต่อวันเพราะในใจคิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดหาเงินได้ก็ใช้กินใช้เที่ยวไปวันๆ เมื่อวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เกิดประสบกับโรคภัยไข้เจ็บป่วยถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวัน จึงได้กลับมาย้อนว่าวันเวลาที่ผ่านมาได้ใช้ไปเหมือนหายใจทิ้ง จากการป่วยครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าต่อไปจะเที่ยวให้น้อยลงตั้งใจทำงานทำมาหากินเก็บเงินออมเพื่ออนาคตที่ซึ่งไม่รู้จะเกิดอะไรขี้น ต้องการให้อนาคตที่ไม่แน่นอนสามารถกลับมาแน่นอนได้รวมไปถึงต้องสามารถรับมือกับสิ่งที่จะเกิดได้ Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี? ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอยู้ระดับมัธยมปลายข้าพเจ้าเป็นคนเรียนไม่เก่งและเป็นคนเรียนไม่รู้เรื่องและมีความน่าจะเป็นว่าเรียนไม่จบพร้อมเพื่อน พ่อกับแม่ก็ไม่มีเวลามาคอยสอนข้าพเจ้า เมื่อครั้นข้าพเจ้าไดรู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึงซึ่งเป็นคนที่เรียนอยู่กับข้าพเจ้า เข้าได้บอกว่า ถึงเราเกิดมาเราไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกคนแต่เราก็ไม่ได้เก่งจากท้องพ่อท้องแม่ทุกคน การที่เราไม่รู้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถ้าเราไม่เอาอะไรนิล่ะแปลก คำพูดของผู้หญิงคนนี้จึงทำให้ข้าเจ้ากลับมาขยันอ่านหนังสือสนใจในการเรียนตั้งใจเรียน และไม่เขินอายถามอาจารณ์ในประเด็นที่ตนเองไม่เข้าใจ หลังจากที่ได้ทำตามผู้หญิงคนนี้มา ข้าพเจ้าก็เรียนจบมัธยมปลายพร้อมเพื่อนและไม่อายเพื่อน เพราะเพียงแค่คำพูดของผู้หญิงคนนี้ Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ข้าพเจ้าในระกับปริญญาตรีได้เรียนในคณะวิทยาการจัดการสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว เมื่อเรียนจบมาทุกคนก็จะคิดว่าจะต้องทำงานให้ตรงสายที่เรียนจบมา ในสายนั้นก็คือทำงานทางด้านโรงแรมแรมรวมไปถึงบริษัททัวส์ แต่ข้าเจ้าได้ไปทำงานที่โรงหลังคาเหล็กแห้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงงานอีกคนล่ะขั้ว ได้ไปเห็นแต่แต่การถลุงแหล็ก ก่รหล่อ การดัดการตัด กระบวนกาขนส่งการประกอบหลังคาเข้ากับตัวบ้าน ข้าพเจ้าเลยคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องจมปักกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ควรจะเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาให้เรียนรู้เยอะๆเพื่อเป็นประสบการให้ชีวิต Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ข้าพเจ้่าได้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่าของข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพื่อนเรียนสมัยมัธยมซึ่งไม่เจอกันมานก็หลายปีล่ะ ได้ถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงได้เจอเพื่อนเก่าบ้างไหมเรียนจบทำงานไรกันบ้างรึยัง เพื่อนผมคนนี้ก็เลยบอกว่าก็อยากเจออยากคุยกับเพื่อนเก่าๆบ้างเหมือนกันน่ะ เลยคิดกันว่าจัดงานเลี้ยงรุ่นเลยดีไหม ความคิดต่อมาคือจะทำไงถึงจะสามารถคุยกับเพื่อนได้มากที่สุด ผมจึงเกิดไอเดียคือการใช้เฟสบุ้กซึ่งเป็นสื่อที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด จากนั้นเพื่อนผมและเพื่อนที่มีอยู่ก็ได้ก่อตั้งกลุ่มในเฟสบุ้กขึ้นและใช้ปากต่อปากคุยกันไปจนได้สมาชิกที่เกือบครบทั้งรุ่นั้น จนเกิดงานเลี้ยงรุ่นของรุ่นที่ผมเรียนเกิดขึ้น System thinking เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี เมือ่ตอนผมเรียนอยู่มัธยมปลายผมในกลุ่มเพื่อนได้คุยกันว่าจะเรียนจบแล้วเราไปเที่ยวไหนกันดีไหมลองคิดสถานที่่เทีี่ยวมาหน่อย เพื่อนของข้าพเจ้่าได้เสนอทัวส์ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านเอเยนส์บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมชวนในกระบวนการดีไซค์ทัวส์ให้ลูกค้ามาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บข้อมูลของลูกค้า เขาให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก ทั้งกระบวนการชำระเงินมีระบบผ่อนจ่ายเพราะมองว่าพวกผมเป็นกลุ่มนักเรียนอัตราการจ่ายต้องพึ่งพ่อแม่ การเดินทางก็จัดให้พวกผมนั้งหลังๆอยู่ใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้คนอื่นรำคาญ ห้องพักก็จัดให้พวกผมอยู่ชั้นเดี่ยวกันห้องใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้รบกวนห้องข้างๆ รวมไปถึงโปรแกรมทัวส์ก็ไม่มีโปรแกรมที่เป็นเกี่ยวกันวัดมากมีแต่โปรแกรมเที่ยวสวนสนุกห้างสรรพสินค้าเพื่อโดนใจกลุ่มวัยรุ่นอย่างพวกผม หลังจากที่ไปเที่ยวกับทัวส์บริษัทนี้กลับมาพวกผมรู้สึกประทับใจมาก

นางสาวภัทรสินี จิตต์เจริญ

นางสาวภัทรสินี  จิตต์เจริญ รหัสนักศึกษา 555740065-4 Y.#14 Sec. 12

 

Personal Mastey ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น..... ตอนเด็กๆ เนื่องจากคุณแม่รับราชการอยู่ต่างอำเภอ ทำให้ต้องทำงานแต่เช้ามืดและกว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกแล้ว ทำให้คุณพ่อต้องเป็นคอยดูแลลูกๆ ทั้งเรื่องไปรับ-ส่งที่โรงเรียน และการทำอาหาร ซึ่งในทุกๆวันคุณพ่อจะมารับที่โรงเรียนแล้วพาดิฉันไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบมาเพื่อทำอาหาร  และพอกลับมาถึงบ้านก็ให้ดิฉันไปเปลี่ยนชุดแล้วก็มาช่วยทำอาหารที่ครัว โดยที่พ่อจะเป็นคนยืนกำกับว่าต้องทำอะไรบ้าง ทำอย่างไร ถ้าเราทำไม่ได้ก็จะสาธิตให้ดูก่อน แล้วก็จะปล่อยให้ทำเอง พอเตรียมเสร็จวัตถุดิบพร้อมแล้ว คุณพ่อก็จะปล่อยให้ดิฉันเป็นผู้ปรุงโดยที่พ่อจะไม่เข้ามายุ่ง ในตอนนั้นดิฉันก็จะมีความคิดว่า “ทำไมหนูต้องมาทำกับข้าวให้ทุกคนกินด้วย หนูอยากเล่น อยากนั่งดูทีวีเหมือนๆพี่ชายบ้าง” เมื่อดิฉันปรุงอาหารเสร็จ คุณพ่อก็จะเรียกทุกคนมากินข้าว แล้วคุณพ่อจะชิมอาหาร ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่องคุณพ่อก็จะบอก แล้วให้กำลังใจว่า “ไม่เป็นไร ทั้งหน้าก็ลองทำใหม่ ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เก่งเองลูกพ่อทำได้อยู่แล้ว” นั่นคือคำพูดที่ดิฉันประทับใจ  เป็นแรงบันดาลใจให้ชอบการทำอาหาร และตั้งเป้าหมายที่จะเลือกเรียนเกี่ยวกับด้านอาหาร เมื่อช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดิฉันเลือกเรียนที่หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำให้ได้เรียนในด้านที่ตนเองถนัดและชอบ

 Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี.... ตอนดิฉันเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 ดิฉันมีพี่ชาย2คนที่เรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา ทั้งครั้งที่ไปโรงเรียนดิฉันจะเห็นพี่ๆนั่งท่องสูตรคูณและนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก ดิฉันเคยไปหยิบมาอ่านแต่ก็อ่านไม่ออก คิดเลขคณิตก็ช้ากว่าพี่ๆ มันทำให้ดิฉันโกรธตัวเอง และคิดว่าตัวเองโง่ ดิฉันจึงไปนั่งร้องไห้กับคุณพ่อและคุณแม่ ซึ่งทั้งสองท่านก็ปลอบใจว่า “คนเราไม่ได้เก่งออกมาแต่เกิด เห็นเด็กๆที่ต้องหัดคลานหัดเดินไหม ต้องล้มตั้งกี่ครั้ง ถึงจะรู้จักวิธีลุกเดินด้วยตัวเอง ในทุกๆวันที่ผ่านไปมีการเรียนรู้ตลอดเวลา หนูต้องเรียนรู้และต้องปรับตัวตลอดเวลา หนูอยากเก่งคณิตหนูก็ต้องหัดบวก ลบ คูณ หาร  หนูอยากอ่านหนังสือเก่งหนูก็ต้องหัดจากหนังสือที่หนูชอบ ไม่เข้าใจอะไรก็ถามพี่ๆ หรือพ่อกับแม่ก็ได้” หลังจากนั้นทุกวันพี่ๆก็จะสอนให้ดิฉันอ่านหนังสือภาษาอังกฤษโดยเริ่มจากการดูรูปภาพแล้วให้ดิฉันบอกว่าดิฉันคิดว่ารูปภาพมันแสดงถึงเหตุการณ์อะไร และสอนให้ดิฉันท่องสูตรคูณ การบวก ลบ คูณ หารเลขคณิต จนดิฉันขึ้นเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ดิฉันสามารถทำวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีกว่าเพื่อนๆในชั้นเรียน และเมื่อดิฉันเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันได้เป็นตัวแทนนักเรียน ไปแข่งโครงการคณิตคิดเร็วของโรงเรียน และได้ร่วมแสดงนิทานภาษาอังกฤษของชุมนุมภาษาอังกฤษของโรงเรียน

 Mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น .... ตอนดิฉันเรียนมหาลัยอยู่ชั้นปีที่ 1 ได้มีโอกาสอบรมภาวะผู้นำ และเป็นตัวแทนคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมการประชุม MOU แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยในเกาะรัตนโกสินทร์ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเวลา 3 วัน มีการทำกิจกรรมและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักศึกษา และอาจารย์ของแต่ละมหาวิทยาลัย ทำให้ได้รับความรู้และแนวคิดใหม่ๆของเพื่อนๆต่างสถาบัน ต่างคณะ วันสุดท้ายมีการลงนามความร่วมมือทางการศึกษา ดิฉันได้เป็นตัวแทนคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในตำแหน่งเลขานุการคณะกรรมการนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากนั้นมีการร่วมสนุก จับรายชื่อผู้โชคดีที่จะได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยดานัง เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ฟรีตลอดการเดินทาง ดิฉันได้เป็นผู้โชคดีคนนั้นที่ได้เดินทางไปกับสโมสรนักศึกษา ตลอดการเดินทางได้รับการดูแลจากอาจารย์และรุ่นพี่ที่สโมสรนักศึกษาเป็นอย่างดี การเดินทางเดินทางโดยรถทัวร์ จากกรุงเทพฯมาที่จังหวัดมุกดาหาร เพื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองสะวันนาเขต เพื่อเข้าสู่ประเทศลาว การเดินทางไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดไว้ หลังจากนั้นผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวบาว เพื่อข้ามไปยังประเทศเวียดนาม พอไปถึงประเทศเวียดนาม ดิฉันประทับใจเรื่องธรรมชาติและการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของประเทศ วันต่อมาไปศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยดานัง ทำให้ได้เรียนรู้การเรียนการสอนของที่มหาวิทยาลัยนั้น ซึ่งให้ความสำคัญด้านเทคโนโลยี  นักศึกษาที่นั่นต้องเรียน 6 วัน คือ จันทร์ – เสาร์ ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า ตนเองเรียนแค่ 5 วัน แล้วยังบ่น ยังรู้เหนื่อย รู้สึกท้อ  คนที่นี่อายุเท่าๆกันเขาเรียนมากกว่าเรา 1 วัน บางคนต้องปั่นจักรยานมา 1 ชั่วโมงเพื่อมาเข้าเรียน ทำไมเขายังแบ่งเวลา ทำไมเขาจึงยอมเหนื่อยมาเรียนทุกวันได้ เขาทำเพื่ออนาตคที่ดีขึ้นของตัวเขาเอง เรามีโอกาสที่ดีกว่าทำไมไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ดิฉันได้เล่าถึงความประทับใจให้ครอบครัวและเพื่อนๆฟัง และพยายามปรับตัวให้กระตือรือร้นในการเรียนเพิ่มมากขึ้น

 Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย ... ตอนดิฉันเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ชั้นปี 3 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ได้คิดโครงการ Food Science อาสาพัฒนาโรงเรียนเพื่อน้อง  โดยการดำเนินงานต้องหาเงินสนับสนุนจากสมาชิกในหลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร หน่วยงานต่างๆและจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป โดยมีการประชุมแบ่งกลุ่มเพื่อประสานงานด้านต่างๆ และออกไปเปิดกล่องรับบริจาคเงินและสิ่งของจากผู้มีจิตศรัทธาซึ่งตั้งเป้าหมายว่าต้องได้ยอดเงินบริจาคกลุ่มละไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท   กลุ่มของดิฉันได้ไปเปิดกล่องรับบริจาคที่สวนจตุจักร ในวันเสาร์ – อาทิตย์ สมาชิกในกลุ่มมี 8 คน แต่ละคนอาสาทำกิจกรรมเพื่อดึงดูดให้มีคนสนใจ ไม่ว่าจะร้องเพลง เล่นมายากล และพูดเชิญชวนให้มาร่วมกันบริจาค มีผู้คนทั้งไทยและต่างประเทศสนใจเป็นจำนวนมากเข้ามาสอบถามถึงเหตุผลที่จัดโครงการ และร่วมสนับสนุน ร่วมบริจาคทั้งกำลังทรัพย์และสิ่งของ  บางคนซื้อน้ำและขนมมาให้ ทำให้ได้เห็นถึงความมีน้ำใจในสังคมไทย กลุ่มของดิฉันได้เงินบริจาคเป็นจำนวนเงิน 8,634  บาทและสิ่งของบริจาคเป็นเสื้อผ้านักเรียนเด็กเล็ก อุปกรณ์การเรียนและนมกล่อง รายได้รวมจากการออกไปเปิดกล่องรับบริจาคทั้งหมดรวม 57,095 บาท และรายได้จากการขายเสื้อค่ายในคณะหลังหักค่าใช้จ่าย 30,000 บาท เมื่อถึงวันไปออกค่ายอาสา ก็ได้แบ่งกลุ่มรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆในค่าย ทั้งการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน การพัฒนาบริเวณโรงเรียน กิจกรรมได้รับความร่วมมือจากทั้งผู้ปกครองและเด็กนักเรียนเป็นอย่างดีกว่าที่คาดหวังไว้ น้องๆเด็กนักเรียนชื่นชอบและรู้สึกขอบคุณที่พี่ๆมาจัดกิจกรรมให้ ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า ในการทำงานเป็นทีมต้องมีการแบ่งหน้าที่และรู้จักวางแผน เคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีปัญหาต้องร่วมกันแก้ไข ทำให้งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

 System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ... ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้โรงงานผลิตเบเกอรี่หลายโรงได้รับความเสียหาย และเป็นช่วงที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2  ต้องออกไปฝึกประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดิฉันได้รับโอกาสจากโรงงานศรีฟ้าเบเกอรี่ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่ได้ถูกน้ำท่วม เมื่อเริ่มฝึกงานเนื่องจากโรงงานเบเกอรี่ต่างๆน้ำท่วม ทำให้มีการสั่งผลิตเบเกอรี่จากโรงงานที่ได้รับผลกระทบ ทำให้โรงงานมีการเพิ่มการผลิต มีการเรียกประชุมจากฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายผลิต และฝ่ายควบคุมคุณภาพที่ดิฉันฝึกงานอยู่ ดิฉันได้เข้าร่วมการประชุมนั้น ทำให้ได้เห็นการแบ่งงานที่คำนึงถึงจำนวนการผลิต และกำลังคนงานที่มีอยู่อย่างลงตัว การตัวสอบคุณภาพอาหารสอดคล้องกับแผนที่วางไว้ โดยให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกับฝ่ายประกันคุณภาพให้มากที่สุด เพื่อมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ความสะอาดและความปลอดที่จะส่งต่อไปยังผู้บริโภค การกระจายสินค้าไปสู่ร้าค้าต่างๆเป็นระบบการจัดสรรผลิตภัณฑ์แบบวันต่อวัน เพื่อให้ร้านค้าได้รับผลิตภัณฑ์ที่สดใหม่ทุกวัน จากการไปฝึกงานครั้งนั้นทำให้ดิฉันเห็นว่า ถึงแม้มีจำนวนการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญอีกด้วย

นางสาวกวินารัตน์ เชื้อวณิชย์

นางสาวกวินารัตน์ เชื้อวณิชย์ รหัสนักศึกษา 555740017-5 Y#14 sec.11

1.Personal Mastery ต้องขอเกริ่นก่อนว่าบ้านของดิฉันมีธุรกิจส่วนตัว ที่เปิดเป็นโรงน้ำแข็งและน้ำดื่ม หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี ดิฉันก็ว่างงาน ช่วยงานที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งในตอนนั้นดิฉันไม่ได้อยากที่จะรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้านเลย เพราะว่าดิฉันอยากเปิดร้านกาแฟ ร้านเบเกอร์รี่ หรือไม่ก็เป็นหอพักไปเลย แต่พอดิฉันเอาไปเสนอแก่พ่อของดิฉัน ก็จะได้รับการปฏิเสธตลอดว่า จะไปทำทำไม รู้ไมว่าการเปิดร้านเบเกอร์รี่ มันเหนื่อยแค่ไหน จนครั้งสุดท้ายที่ดิฉันไปบอกพ่อว่า งั้นดิฉันขอร่วมหุ้นกับเพื่อนขายคอลลีน แอมโมเนียได้ไม (ในใจดิฉันคิดว่าก็ขอให้ครบวงจรไปเลยแล้วกัน) แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอีกครั้ง และพ่อของดิฉันก็ได้บอกว่า "ป๋าอยากให้ทำน้ำดื่มมากกว่า" ดิฉันเลยถามต่อว่่า "แล้วที่ทำทุกวันนี้ล่ะ ไม่พอหรอ แล้วถ้าขยายออกไปอีกแล้วน้ำสำหรับทำน้ำแข็งจะพอหรอ" พ่อของดิฉันจึงได้ตอบกลับว่า "ก็ไปตั้งใหม่เลย แต่ยังอยู่ในบริเวณใกล้กัน ยังไงน้ำก็พอ ไม่หมดหรอก และป๋าก็อยากที่จะขายไปทั่วภาคอีสาน ไม่ต้องขายไปทั่วประเทศหรอก เราแค่จับกลุ่มภาคอีสานให้ได้ก็พอ เราอาจจะแข่งกับน้ำดื่มยี่ห้ออื่นๆที่เค้่าขายมานานไม่ได้ แต่ถ้าผู้บริโภคได้ลองดื่ม เค้าก็จะรู้ว่าของเราก็มีดี" พอดิฉันได้ยินแค่นั้นแหละ ทำให้ดิฉันอยากที่จะมีบริษัทจำหน่ายน้ำดื่มเป็นของตัวเอง

  1. Dialogue พ่อและแม่ของดิฉันท่านทั้งสองเป็นคนที่ชอบทำบุญมาก เวลาที่จังหวัดของดิฉันมีงาน ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานราษฎ์ หรืองานหลวง ท่านทั้งสองก็จะคอยบริการน้ำดื่มและน้ำแข็งฟรี ดิฉันและน้องๆก็จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านทั้งสองทำซักเท่าไหร่ ว่าทำไมจะต้องบริการฟรีตลอดด้วย ของซื้อของขายนะ จนมีอยู่วันนึง เราก็ถกกันในเรื่องนี้อีกครั้ง จนพ่อของดิฉันถามขึ้นมาว่า "รู้ไมว่าทำไมป๋าถึงต้องบริการฟรี? ดิฉันเลยบอกว่า "ไม่รู้" พ่อของดิฉันเลยตอบกลับว่า "ที่เรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะจังหวัดยโสธรนะ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า มิตรภาพต่างๆที่ได้รับจากคนยโสธร ป๋าก็แค่อยากจะตอบแทนเค้าบ้าง" พอได้ฟังดิฉันถึงกับอึ้งไปซักพักและก็เข้าใจว่าสิ่งที่พ่อและแม่ของดิฉันทำนั้นเพื่ออะไร

  2. Mental model ตอนที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมที่ 2 ได้มีโอกาสไปเรียนภาษาและเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก นั่นก็คือ ประเทศออสเตรเลีย เมืองเพิร์ส เมื่อไปถึงที่นั่นดิฉันได้อยู่กับครอบครัวชาวออสซี่ และในบ้านที่ดิฉันอยู่นั้นยังมีนักเรียนต่างชาติอีก 2 คน และเด็กไทยอีกคนนึง บ้านที่เราอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในเมืองมาก วันแรกที่ต้องไปโรงเรียนสอนภาษา โฮสต์ผู้หญิงของดิฉัน (ซึ่งแกให้เรียกแกว่า aunt) ได้พาดิฉันนั่งบัส และบอกคอยอธิบายถึงสองข้างทางที่บัสได้ขับผ่าน จนถึงป้ายที่เราต้องลง แกก็บอกให้กดกริ่ง และแกก็พาดิฉันไปส่งที่ห้องเรียน (ตอนเช้าจะเรียนและตอนบ่ายจะไปเที่ยวรอบเมือง) และแกก็บอกว่่าตอนเย็นจะกลับมารับ และในตอนเย็นท่านก็ได้มารับและท่านก็ได้บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปเองนะ คงจำทางแล้วนะ (ในใจคิดว่า แล้วชั้นจะทำได้ไมเนี่ย) พอตอนเย็นเราจะช่วยกันทำอาหารค่ำ รอรับประทานอาหารพร้อมกัน และล้างจาน ซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามเวร และกิจวัตรของดิฉันก็จะเป็นแบบนี้ทุกวัน แต่ในวันเสาร์-อาทิตย์ ท่านทั้งสองก็จะไปเที่ยว ไปปิกนิก หรือไม่ดิฉันก็นัดเพื่อนไปเที่ยวในเมืองบ้าง เวลาผ่านไปเร็วมากก็ถึงเวลาที่ดิฉันต้องกลับไทย ดิฉันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ต้องกลับแล้ว เพราะท่านใจดีมาก ท่านทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกับท่าน และดิฉันรู้สึกขอบคุณท่านทั้งสองมากที่คอยสอนดิฉันไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน การบ้าน ภาษาที่พัฒนาขึ้นมาก พอกลับมาถึงไทยดิฉันก็ยังส่งจดหมายและของฝากไปให้ท่านทั้งสองอยู่เรื่อย

  3. Team Learning ตอนที่ดิฉันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมที่ 6 ณ ตอนนั้นทั้งชั้นมีนักเรียน 20 คน ซึ่งตอนนั้นใกล้จะถึงวันครูและชั้นของดิฉันก็ต้องจัดทำพานเพื่อเอานำไปไหว้ครูและส่งเข้าประกวด เราจึงคิดว่า ถ้าเราทำพานดอกไม้ เด่วทำมาก็เหี่ยว เก็บไม่ได้นาน และห้องเราก็ไม่มีคนพับใบตองเป็นด้วย ดังนั้นเราจึงคิดว่างั้นเราทำพานเป็นห้องเรียนที่เราเรียนดีกว่า และเมื่อทำเสร็จก็ยังสามารถเก็บไว้ได้ด้วย เราจึงเริ่มด้วยการไปซื้ออุปกรณ์ต่างๆ และถ่ายรูปเพื่อนๆเพื่อจะเอามาใส่ในพานห้องเรียน ม.6 เราทุกคนค่อยๆช่วยกันทำพานนี้ เพราะเวลาทำมันไม่น่าเบื่อ แต่มันเหมือนเรากำลังทำโมเดล จนใกล้จะถึงวัน เราก็รีบเร่งทำให้เสร็จ และก็เสร็จทันวันไหว้ครูจนได้ เมื่อถึงเวลาไหว้ครู ทั้งนักเรียนมัธยมและอาจารย์เมื่อได้เห็นถึงกับออกปากชมว่าสวยและมีความคิดสร้างสรรค์ อาจารย์บางคนถึงกับขอเก็บไว้เลยทีเดียว

  4. System Thinking เมื่อเดือนที่แล้วดิฉันได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ไปกับทัวร์แบบที่ดิฉันเคยไปมา และการไปเที่ยวครั้งนี้ทำให้ดิฉันเห็นอะไรหลายๆอย่างแบบที่ทัวร์ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็น 1. การคมนาคม คนส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นจะไม่นิยมขับรถยนต์เท่าไหร่นักเพราะรถจะติดมากถ้าอยู่ในโตเกียว ดังนั้นคนจึงเลือกที่จะขึ้นรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ทั้งสะดวกและสามารถเชื่อมต่อไปได้ทุกที่ และรถไฟฟ้าก็แบ่งออกไปอีกว่า แบบรถเร็ว(จอดบางสถานี)และรถช้า(จอดทุกสถานี) ในการเปลี่ยนขบวนแต่ละครั้งก็ต้องเดินใกล้บ้างไกลบ้าง และเวลาก็ขึ้นอยู่กับระยะทางที่เดิน บางครั้งถึงกับต้องวิ่งเลยทีเดียว ทำให้รู้ว่าคนญี่ปุ่นใช้ชีวิตเร่งรีบและเดินเร็วมาก 2. ร้านอาหารตู้หยอดเหรียญ คือ เราก็ใส่เงินเข้าไปและกดรายการอาหารที่เราต้องการ, ต้องการเพิ่มอะไรเป็นพิเศษ เลือกได้ไม่อั้น เมื่อสั่งเสร็จก็จะมีใบสั่งอาหารปริ้นออกมาให้ หลังจากนั้นก็นำไปยื่นให้พนักงาน แล้วพนักงานก็จะทำตามออเดอร์ที่เราสั่งไป พอรับประทานเสร็จก็เดินออกจากร้านเลย (ทั้งประหยัดพนักงานรับออเดอร์และไม่ต้องมานั่งเช็คบิล) 3. ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปเดินข้ามแยกที่วุ่นวายที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือ แยกชิบุย่า และเป็นที่แปลกใจสำหรับดิฉันมากว่า ถึงแม้ว่าคนมากมายจะเดินข้ามทางแยกแต่ก็ไม่ยักเห็นคนเดินชนกันเลย และเมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดง ทุกคนก็จะหยุดเดิน และปล่อยให้รถวิ่ง 4.วันเวลาทิ้งขยะตามบ้านเรือนญี่ปุ่น วันเวลาที่รถเก็บขยะจะมารับขยะแต่ละประเภทไปกำจัดนั้น กำหนดไว้แน่นอน และปฏิทินตลอดทั้งปี

นางสาวสิริฉัตร มุระดา

นางสาวสิริฉัตร มุระดา รหัส 555740092-1 Y.14 Sec.12 Personal Mastery : ก่อนจะเรียนปริญญาตรี ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร พอประกาศผลสอบติดคณะที่ข้าพเจ้าไม่ชอบ เกิดอคติว่าถึงเรียนไปก็เรียนไม่จบแน่ แต่ความที่ไม่มีคณะที่อยากจะเรียน เลยเลือกที่จะเรียนคณะนี้ไปก่อน เริ่มเรียนช่วงแรกไม่ค่อยตั้งใจเรียน ผ่านบ้างถอนแล้วแต่รายวิชา จนกระทั่งชั้นปีที่ 2 คุณยายป่วยเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกิน 3 ปี จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้คิดว่าเราจะเรียนแบบเดิมไม่ได้แล้ว เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นหลานคนแรก คุณยายอยากเห็นหลานรับปริญญา ข้าพเจ้าตั้งใจและอ่านหนังสือมากขึ้น เพื่อที่จะจบ 4ปีพร้อมเพื่อนๆ และคุณยายได้ภูมิใจในตัวหลานคนนี้ Dialogue : ขณะที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 ข้าพเจ้าได้ติดอยู่ 1 รายวิชา ถอนรายวิชาเรียนนี้มาตลอด 3 ภาคการศึกษา จนกระทั่งคุณป้าได้เรียกพบเพื่อพูดคุยหาทางแก้ไขหรือ เปลี่ยนไปเรียนคณะที่ตัวข้าพเจ้าชอบและเรียนได้ดีกว่านี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้คิดไตร่ตรอง จึงบอกคุณป้าไปว่า ขอสู้ด้วยตัวเองก่อน ถ้าครั้งนี้ไม่ผ่านอีก จะยอมเปลี่ยนคณะเรียน ตอนนั้นข้าพเจ้าได้ถามตัวเองว่า “เราพยายามแล้วหรือยัง” “ทำไมคนอื่นเค้าเรียนได้” “เราแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน” หลังจากนั้นข้าพเจ้าตั้งใจ ทบทวนบทเรียนและอ่านหนังสือทุกวัน ใช้ชีวิตเป็นหนอนหนังสืออยู่ช่วงหนึ่ง ข้าพเจ้าสอบผ่านและได้เป็นบัณฑิตพร้อมเพื่อนๆ Mental model : เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเดินทางไปเยี่ยมญาติที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคุณย่า คุณย่าเล่าให้ฟังว่า ตอนที่คุณปู่เดินทางมาที่นี่ครั้งแรก ถนนหนทางยังตัดมาไม่ถึงที่นี่ เวลาจะเข้าเมืองแต่ละครั้ง ต้องเดินทางโดยเรือ ไฟฟ้า น้ำประปาก็ไม่มี ไปตักน้ำที่แม่น้ำโขงมาใช้ ฉะนั้นผู้คนจึงนิยมสร้างบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นในปัจจุบันมีถนนลาดยางตัดผ่านกลางหมู่บ้าน มีน้ำประปา ไฟฟ้าเข้าถึงทุกครัวเรือน เพียงชั่วหนึ่งอายุคนบ้านเมืองพัฒนาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เป็นสิ่งแปลกตามีภูเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่าย แตกต่างจากสังคมเมืองที่สับสน วุ่นวาย Team Learning : ขณะที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ทุกทุกปีจะมีการประกวดกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์ โดยชั้นปีที่ 1 เป็นผู้เข้าประกวด ชั้นปีที่ 2-3 เป็นพี่เลี้ยงและช่วยฝึกซ้อม ชั้นปีที่ 4 เป็นเจ้าของโครงการ วางแผนดำเนินการ ติดต่อประสานงาน ข้าพเจ้าและเพื่อนๆวางแผนเตรียมงาน มากว่า 2ปี ใช้เวลาฝึกซ้อมเป็นเวลากว่า 3 เดือน เห็นความเสียสละ ทุ่มเท ความสามัคคีของน้องๆทุกคน เป้าหมายของเราอยู่ที่ชัยชนะ แต่ผลการแข่งขันปรากฏว่า กองเชียร์ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 แต่เชียร์ลีดเดอร์์ไม่ได้รางวัล สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นนอกเหนือจากรางวัลคือความมุ่งมั่นตั้งใจ ความเสียสละ และความประทับใจที่ผู้ชมชื่นชมในการแสดงของเรา นั้นเป็นความเหน็ดเหนื่อยที่คุ้มค่า System thinking : ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปฝึกงานโรงงานอาหารกระป๋องแห่งหนึ่งโดยมีผู้บริหารเป็นชาวญี่ปุ่น ผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ข้าพเจ้าฝึกงานอยู่ฝ่ายการผลิต เริ่มตั้งแต่กระบวนการละลายปลา ตัดหัวควักไส้ นึ่ง คัดแยกก้าง บรรจุกระป๋องปิดฝา การอบฆ่าเชื้อ แต่ละไลน์การผลิตแยกส่วนกันอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค พนักงานทุกคนแต่งกายมิดชิด ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างชำนาญ ควบคุมระยะเวลาการทำงานของแต่ละไลน์ เพื่อรักษาคุณภาพ และสามารถผลิตสินค้าได้ทันตามการสั่งซื้อของลูกค้า ทำให้เราเห็นถึงความเป็นระบบระเบียบ ประหยัดทั้งเวลา และควบคุมการผลิตสินค้าได้

นส.ศุภมาส ไทยอ่อน รหัสนักศึกษา 555740089-0 sec 12 Personal Mastery

ในชั้นของปริญญาตรี ฉันจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาขอนแก่น แต่สิ่งที่ฉันคิดคอยเฝ้าถามกับตัวเองเสมอในตลอดระยะเวลา4ปีว่า  อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของฉัน  เพื่อที่จะรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตว่าควรจะดำเนินไปทางไหนดี ฉันได้ตระหนักว่างานทางด้านนิติศาสตร์ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตฉันอย่างแท้จริง จนวันหนึ่งฉันได้เข้าเรียนในคาบวิชาเกี่ยวกับสถาบันการเงินแล้วรู้สึกว่า  ตนเองชอบและสนใจทางด้านนี้  ซึ่งสายทางการเงิน การบริหาร เป็นสายที่ฉันให้ความสนใจมาก่อนที่จะadmidtions  แต่ฉันเข้าในคณะนี้ไม่ได้ แต่ฉันก็ยังสนใจในทางด้านนี้อยู่ตลอด

Dialogue

ตั้งแต่ประถมศึกษาจนกระทั่งมัธยมศึกษา ฉันใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน แต่ระยะทางจากบ้านมาโรงเรียนประมาณ30กม.  เพื่อนส่วนมากจะพักอาศัยอยู่ที่หอพักใกล้กับโรงเรียน เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง และอีกเหตุผลทางบ้านของฉันไม่อนุญาตให้อยู่หอ เพราะท่านเห็นจากเด็กที่อยู่หอส่วนใหญ่ จะเรียนไม่จบ มีแฟน ติดแฟน และท่านกลัวทำเรื่องเสียชื่อเสียง จนกระทั่งฉันได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ท่านได้พูดคุยกับรุ่นพี่ที่ศึกษาอยู่ที่นี่ พี่ได้ให้คำแนะนำว่า เรื่องที่ท่านเป็นกังวลมันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่ให้ท่านไว้ใจฉัน เชื่อว่าฉันจะไม่เป็นอย่างกับเด็กแถวๆบ้านคนอื่น  เมื่อท่านได้ฟังคำแนะนำดังกล่าว ท่านจึงหมดกังวลเรื่องการอยู่หอพัก แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงเราเสมอ 

Mental model

เมื่อประมาณเดือนเมษายน ถึง เดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2554  ฉันได้รับโอกาสจากทางคณะนิติศาสตร์  ให้ฝึกงานที่ศาลจังหวัดขอนแก่น  โดยฉันได้รับมอบหมายให้อยู่ประจำแผนกเวรชี้  ซึ่งเป็นแผนกที่สำคัญของทางศาล เพราะเป็นแผนกที่ตัดสินคดีนักโทษ ที่ได้รับโทษจากคดีต่างๆ  เมื่อฉันได้เข้าไปสัมผัสในส่วนนี้ทำให้ได้รู้ว่าสังคมของเราน่ากลัวกลว่าที่คิดไว้มาก เห็นได้จากนักโทษที่จับคุมขัง จะเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ หน้าตาดีๆก็มี คดีส่วนมากจะเป็นเกี่ยวกับยาเสพติด นอกจากนี้ก็ยังมีคดีที่น่ากลัวอีกหลายคดี ไม่ว่าจะเป็น ข่มขืน ชิงทรัพย์ เป็นต้น ทุกคดีเป็นภัยที่ใกล้ตัวเราทั้งนั้น จากการฝึกงานตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ทำให้ฉันระมัดระวังภัยใกล้ตัวมากขึ้น

Team learning

ฉันได้มีโอกาสเรียนวิชากม.สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิชาเลือกในปีการศึกษาที่ 3  และได้รับโอกาสให้ไปสำรวลลงพื่นที่ที่ภาคเหนือ เป็นเวลา1สัปดาห์  การลงพื้นที่พบกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลการกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม  ในเขตพื้นต่าง โดยได้ทำงานกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มต้องพูดคุยกับชาวบ้านให้ได้รับข้อมูลมากที่สุด ทางกลุ่มของฉันมีประมาณ 10คน โดยจัดให้แต่ละกลุ่มมีครบทุกชั้นปี ทางกลุ่มของฉันได้แบ่งหน้าที่กันให้มีหน้าที่ตามความเหมาะสม และแต่ละคนก็ทำหน้าที่ที่ไดรับมอบหมายได้อย่างดี เช่น แบ่งกันไปถามชาวบ้าน บางคนลงพื้นที่ บางคนให้คำแนะนำแกชาวบ้าน  แล้วนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนคุยกัน เพื่อช่วยชาวบ้าน  ทำให้ฉันรู้สึกว่าการทำงานเป็นกลุ่มครั้งนั้นเป็นการทำงานเป็นกลุ่มที่ดีที่สุด

System thinking

ระบบการทำงานของโรงพยาบาลบ้านฝาง เป็นระบบการทำงานที่ฉันคิดว่าเป็นระบบที่ดี เมื่อประมาณสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันได้พายายไปหาหมอ เพื่อตรวจโรคเบาหวานตามปกติ แต่ยายไม่ได้ไปหลายเดือน ทำให้โรงพยาบาลเปลี่ยนระบบในการตรวจโรคเบาหวาน โดยจัดสถานที่จากในโรงพยาบาลที่มีแต่ความแออัด ปัจจุบัน ได้จัดให้เป็นที่โล่ง หลังโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลมีขนาดเล็ก บรรยากาศปลอดโปร่ง ไม่แออัดเหมือนแต่ก่อน ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และยังมีระบบที่ให้ผู้ป่วยที่มีน้ำตาลในเลือดมากจากน้อย มีป้ายแยกประเภทผู้ป่วย ว่าใครมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะให้ไปพบกับหมอใหญ่ และได้รับการอบรมว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร  ส่วนผู้ป่วยปกติก็พบหมอและได้รับยาตามปกติ แม้ทางโรงพยาบาลจะมีความล่าช้าไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลรัฐ ทำให้ฉันและยายประทับใจในระบบการรักษาของโรงพยาบาลบ้านฝางในครั้งนี้

นายวสันต์ ดอนตระกูล 555740077-7 sec 12

Personal Mastery ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น โดนส่วนตัวเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากใช้ชีวิตแค่วันต่อวันเพราะในใจคิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดหาเงินได้ก็ใช้กินใช้เที่ยวไปวันๆ เมื่อวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เกิดประสบกับโรคภัยไข้เจ็บป่วยถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวัน จึงได้กลับมาย้อนว่าวันเวลาที่ผ่านมาได้ใช้ไปเหมือนหายใจทิ้ง จากการป่วยครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าต่อไปจะเที่ยวให้น้อยลงตั้งใจทำงานทำมาหากินเก็บเงินออมเพื่ออนาคตที่ซึ่งไม่รู้จะเกิดอะไรขี้น ต้องการให้อนาคตที่ไม่แน่นอนสามารถกลับมาแน่นอนได้รวมไปถึงต้องสามารถรับมือกับสิ่งที่จะเกิดได้ Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี? ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอยู้ระดับมัธยมปลายข้าพเจ้าเป็นคนเรียนไม่เก่งและเป็นคนเรียนไม่รู้เรื่องและมีความน่าจะเป็นว่าเรียนไม่จบพร้อมเพื่อน พ่อกับแม่ก็ไม่มีเวลามาคอยสอนข้าพเจ้า เมื่อครั้นข้าพเจ้าไดรู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึงซึ่งเป็นคนที่เรียนอยู่กับข้าพเจ้า เข้าได้บอกว่า ถึงเราเกิดมาเราไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกคนแต่เราก็ไม่ได้เก่งจากท้องพ่อท้องแม่ทุกคน การที่เราไม่รู้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถ้าเราไม่เอาอะไรนิล่ะแปลก คำพูดของผู้หญิงคนนี้จึงทำให้ข้าเจ้ากลับมาขยันอ่านหนังสือสนใจในการเรียนตั้งใจเรียน และไม่เขินอายถามอาจารณ์ในประเด็นที่ตนเองไม่เข้าใจ หลังจากที่ได้ทำตามผู้หญิงคนนี้มา ข้าพเจ้าก็เรียนจบมัธยมปลายพร้อมเพื่อนและไม่อายเพื่อน เพราะเพียงแค่คำพูดของผู้หญิงคนนี้ Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ข้าพเจ้าในระกับปริญญาตรีได้เรียนในคณะวิทยาการจัดการสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว เมื่อเรียนจบมาทุกคนก็จะคิดว่าจะต้องทำงานให้ตรงสายที่เรียนจบมา ในสายนั้นก็คือทำงานทางด้านโรงแรมแรมรวมไปถึงบริษัททัวส์ แต่ข้าเจ้าได้ไปทำงานที่โรงหลังคาเหล็กแห้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงงานอีกคนล่ะขั้ว ได้ไปเห็นแต่แต่การถลุงแหล็ก ก่รหล่อ การดัดการตัด กระบวนกาขนส่งการประกอบหลังคาเข้ากับตัวบ้าน ข้าพเจ้าเลยคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องจมปักกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ควรจะเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาให้เรียนรู้เยอะๆเพื่อเป็นประสบการให้ชีวิต Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ข้าพเจ้่าได้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่าของข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพื่อนเรียนสมัยมัธยมซึ่งไม่เจอกันมานก็หลายปีล่ะ ได้ถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงได้เจอเพื่อนเก่าบ้างไหมเรียนจบทำงานไรกันบ้างรึยัง เพื่อนผมคนนี้ก็เลยบอกว่าก็อยากเจออยากคุยกับเพื่อนเก่าๆบ้างเหมือนกันน่ะ เลยคิดกันว่าจัดงานเลี้ยงรุ่นเลยดีไหม ความคิดต่อมาคือจะทำไงถึงจะสามารถคุยกับเพื่อนได้มากที่สุด ผมจึงเกิดไอเดียคือการใช้เฟสบุ้กซึ่งเป็นสื่อที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด จากนั้นเพื่อนผมและเพื่อนที่มีอยู่ก็ได้ก่อตั้งกลุ่มในเฟสบุ้กขึ้นและใช้ปากต่อปากคุยกันไปจนได้สมาชิกที่เกือบครบทั้งรุ่นั้น จนเกิดงานเลี้ยงรุ่นของรุ่นที่ผมเรียนเกิดขึ้น System thinking เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี เมือ่ตอนผมเรียนอยู่มัธยมปลายผมในกลุ่มเพื่อนได้คุยกันว่าจะเรียนจบแล้วเราไปเที่ยวไหนกันดีไหมลองคิดสถานที่่เทีี่ยวมาหน่อย เพื่อนของข้าพเจ้่าได้เสนอทัวส์ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านเอเยนส์บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมชวนในกระบวนการดีไซค์ทัวส์ให้ลูกค้ามาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บข้อมูลของลูกค้า เขาให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก ทั้งกระบวนการชำระเงินมีระบบผ่อนจ่ายเพราะมองว่าพวกผมเป็นกลุ่มนักเรียนอัตราการจ่ายต้องพึ่งพ่อแม่ การเดินทางก็จัดให้พวกผมนั้งหลังๆอยู่ใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้คนอื่นรำคาญ ห้องพักก็จัดให้พวกผมอยู่ชั้นเดี่ยวกันห้องใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้รบกวนห้องข้างๆ รวมไปถึงโปรแกรมทัวส์ก็ไม่มีโปรแกรมที่เป็นเกี่ยวกันวัดมากมีแต่โปรแกรมเที่ยวสวนสนุกห้างสรรพสินค้าเพื่อโดนใจกลุ่มวัยรุ่นอย่างพวกผม หลังจากที่ไปเที่ยวกับทัวส์บริษัทนี้กลับมาพวกผมรู้สึกประทับใจมาก

นายจักรพนธ์ หล่อวิริยากุล

นายจักรพนธ์ หล่อวิริยากุล sec12 รหัส 555740022-2

Personal Mastery

                  เมื่อตอนที่ผมอยู่ ม.5 ขณะที่ศึกษาโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ได้มีการจัดงานตลาดนัดการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสุรนารี (ม.ท.ส.)   ซึ่งรวบรวมคณะต่างๆของทางมหาวิทยาลัยสุรนารีมาเปิดซุ้มและให้ข้อมูลเกี่ยวกับคณะ สาขาของตัวเอง  ตัวผมซึ่งในขณะนั้นไม่ได้สนใจคณะหรือสาขาใดๆ แต่ก็ต้องไปเพราะทางโรงเรียนบังคับ ซึ่งในงานก็มีคณะต่างๆมากมาย เช่น คณะวิศวะโยธา  วิศวคอม  วิศวสิ่งแวดล้อม หรือคณะเกษตร ซึ่งแต่ละคณะก็จะมีโปสเตอร์เพื่อให้ข้อมูลหรือนำเสนอภาพต่างๆ เผื่อดึงดูดความสนใจ  หรือคณะวิศวะไฟฟ้าก็มีเกมส์ให้เล่น จนกระทั่งผมเดินมาพบคณะเทคโนโลนีการอาหาร ซึ่งผมได้ลงทะเบียนขึ้นรถไปที่คณะเพื่อไปดูกระบวนการแปรรูปอาหารต่างๆ  รวมทั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปรรูปด้วย ผมได้สอบถามรุ่นพี่ที่พาชมถึงกระบวนการในการแปรรูป เช่น ทำไมเราต้องทำให้วัตถุดิบแห้งด้วย ? และได้ถามถึงอนาคตว่าสามารถทำงานอะไรได้บ้าง ? ซึ่งคำตอบของรุ่นพี่ทำให้ผมเริ่มสนใจในคณะนี้ และผมคิดว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ๆของคนเราย่อมไม่สิ้นสุด  คนเราคงไม่รับประทานแต่อาหารชนิดเดิมๆ หรือรสชาติเดิมๆ ดังนั้นถ้าผมมาเรียนคณะนี้ ผมคงไม่มีทางตกงานแน่ๆ ทำให้ผมมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสอบเข้า คณะเทคโนโลยีอาหารให้ได้

Dialogue

                  ตอนผมยังเป็นเด็กๆ  ผมเห็นเด็กคนอื่นๆ แถวบ้านๆขับจักรยานเล่นกันอย่างสนุกสนาน  ผมก็อยากเล่นกับพวกเค้าบ้าง  ผมเลยขอให้พ่อซื้อจักรยานให้   เมื่อผมได้จักรยานมาวันแรก  ผมก็ดีใจเลยออกไปขี่จักรยานเล่นบ้าง   แต่ผมขี่ไปได้ไม่ไกล ผมก็ล้มและจักรยานล้มทับใส่ผม  ผมเป็นแผลใหญ่มาก  ผมร้องไห้เสียงดังจนพ่อได้ยินและวิ่งเข้ามาช่วยผม   หลังจากนั้นผมไม่ขี่จักรยานอีกเลย  จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อถามผมว่า ไม่ขี่จักรยานแล้วหรอ ?  ผมเลยบอกพ่อว่า  ผมไม่ขี่แล้ว  ผมกลัวเจ็บ    พ่อผมเลยบอกว่า  ลองดูเด็กคนอื่นๆสิ แต่ก่อนเค้าก็ล้มแบบลูกนี่แหละ  แต่แล้วทำไมทุกวันนี้เค้าถึงขี่ได้ล่ะ ?  ผมบอกพ่อว่า   ผมไม่รู้  ผมไม่ขี่  ผมไม่อยากเจ็บอีกแล้ว  พ่อผมเลยบอกว่า  ถึงแม้เค้าจะล้มแต่เค้าก็ลุกขึ้นมาแล้วขี่ใหม่  ค่อยๆหัดขี่ไปทีละนิด และเพราะเค้าไม่ยอมแพ้  ตอนนี้เค้าเลยขี่กันคล่องแคล่วแล้ว ไม่เชื่อลูกลองดูสิ   ผมได้ฟังที่พ่อพูด  ผมเลยมีกำลังใจที่จะหัดขี่จักรยานต่อ ผมเลยบอกพ่อว่า  ครับ ผมจะลองพยายามดูครับ   จากนั้นวันต่อมา พ่อผมเลยซื้อล้อมาต่อให้  ผมเลยกลับมาเริ่มหัดใหม่อีกครั้งด้วย จักรยาน 4 ล้อ ^^   

Mental model

                   ตั้งแต่สมัยที่เรียน ม. ต้น ผมก็ติดเกมส์  ชอบเล่นเกมส์อยู่ที่บ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน เวลาที่พ่อแม่ไปต่างจังหวัด ผมก็ชอบอยู่บ้านโดยมักอ้างว่าเด่วผมจะเฝ้าบ้านให้  ดังนั้นผมจึงเป็นคนที่ชอบอยู่แต่ในบ้าน 

ไม่ค่อยออกไปเที่ยวที่ไหน แม้กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น ขณะปิดเทอม เพื่อนๆ ก็มักจะชวนกันไปเที่ยวทะเล เที่ยวภูเขา แต่ด้วยเพราะผมไม่ชอบเที่ยว ผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง ( แต่ถ้าไปกินข้าว , กินสังสรรค์กับเพื่อน ผมก็ไปนะครับ ^^ ) จนกระทั่งผมจบปี 4 ซึ่งเพื่อนผมก็ชวนไปทะเล ผมก็ปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง แต่เพื่อนผมก็ตื้อให้ผมไปให้ได้เพราะว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน ผมก็เลยตัดสินใจไปเกาะล้านกับเพื่อนๆ ตอนไปต้องนั่งรถไปที่พัทยาและต่อรถไปที่พัทยาใต้ จากนั้นต้องนั่งเรือข้ามไปเกาะล้าน ขณะที่ผมนั่งเรือเป็นครั้งแรก ผมก็กลัวว่ารถจะล่มหรือป่าว ? เพราะเรือเอียงไปมาตลอดเวลา แต่ก็ถึงเกาะล้านโดยปลอดภัย เย็นวันนั้นพวกเราได้ซื้ออาหารทะเลกินกัน ได้แก่ ปลาหมึกไข่ย่าง , กุ้งย่าง , ปลาย่าง และ ปูทะเลเผา โดยส่วนตัวผมนั้น เคยรับประทานแต่เมนูปูต่างๆ เช่น ปูผัดผงกะหรี่ ผมไม่เคยกินปูทะเลสดๆเผามาก่อนเลย เมื่อผมได้กินเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกว่า เนื้อปูทะเลเผานั้นอร่อยมาก ไม่ต้องอาศัยน้ำจิ้มก็อร่อย เพราะเนื้อมันหวาน เป็นครั้งแรกที่ผมเคยกินเนื้อปูแบบไม่มีเครื่องปรุงรสใดๆ และนอกจากนี้ ผมยังได้เห็นทะเลจากมุมมองที่สูงๆ และได้เห็นร้านค้าที่เรียงรายขายของที่ระลึกที่เกี่ยวกับเกาะล้าน ซึ่งการมาเกาะล้านกับเพื่อนๆในครั้งนี้ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และผมสัญญาว่าจะกลับมาอีก เพราะชอบ ปูทะเลเผามาก ^^

Team Learning

                  ในทุกๆปีจะมีการแข่งขันกีฬาเปิดกระป๋อง ( Open can ) ซึ่งเป็นงานที่พวกเราชาว Food science และ Food technology ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น จุฬา  ม.เกษตร  ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.อุบล  ม.ธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกทั้งหมดประมาณ 20 มหาวิทยาลัยมาทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น แข่งขันกีฬา  แข่งขันตอบปัญหาทางวิชา  ร่วมรับประทานอาหารกัน และในปี 2554 ที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬานี้ โดยผมได้เป็นประธานฝ่ายวิชาการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับจัดกิจกรรมตอบปัญหาทางวิชาการ  โดยผมและเพื่อนๆ น้องๆ ต้องประชุมกันแทบจะทุกสัปดาห์ เพื่อวางแผนในการจัดกิจกรรมนี้โดยจะนำข้อมูลของปีก่อนที่ ม.เชียงใหม่จัดมาเป็นแบบอย่างและปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยช่วยกันเสนอความคิดของแต่ละคน เช่น เราจะแบ่งคำถามเป็นหมวดๆอย่างไร? เราจะส่งหนังสือเชิญไปแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างไร ? เราจะดำเนินการแข่งขันอย่างไร ? เราจะให้เวลาในการตอบคำถามกี่นาที ? เราจะใช้คนทั้งหมดในกิจกรรมนี้กี่คน ? เราจะจัดการอย่างไรในกรณีที่มีคนคัดค้านคำตอบที่เราเฉลย ? และเราจะใช้สถานที่ใดในการจัดกิจกรรม ? โดยเราจะอาศัยข้อมูลจากกิจกรรมปีก่อนที่ ม.เชียงใหม่จัดขึ้นและปรับปรุงให้ดีมากกว่า จากนั้นนำรูปแบบที่ได้นี้ไปรายงานให้อาจารย์ที่ปรึกษาและนำมาแก้ไขเพื่อให้กิจกรรมในครั้งนี้ออกมาดีที่สุด 

System thinking

                 ในตอน summer ที่ผมกำลังขึ้นปี 4 ผมได้ไปฝึกงานที่บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์( โชคชัย ) ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไก่  ซึ่งผมต้องไปฝึกเป็นเวลา 2 เดือน โดยทางโรงงานให้ผมฝึกตั้งแต่การรับไก่ตัวเป็นๆมา ถึงกระทั่งแปรรูปแล้วบรรจุเก็บไว้ที่คลังสินค้า  โดยโรงแรกที่ผมได้ฝึกคือ ศูนย์24 ซึ่งที่แห่งนี้จะคอยประสานงานกับการปล่อยคิวรถขนไก่ที่มาจากฟาร์มไก่ให้มาถึงที่โรงงาน ในเวลาที่พอดี  ไม่ให้รถขนไก่มารอกัน และยังจำกัดความเร็วของรถบรรทุกไก่ด้วยระบบ GPRS   ต่อมาผมได้ฝึกที่ลานไก่เป็น ซึ่งจุดนี้จะรับไก่จากรถบรรทุกขนไก่และจะมีคนแขวนไก่ให้ไหลไปตามระบบราง จากนั้นจะช็อตไก่ด้วยไฟฟ้าเพื่อให้ไก่สลบ ต่อมาจะมีคนอิสลามเชือดคอไก่ตามหลักฮาลาล  จากนั้นจะเป็นขึ้นตอนการ bleeding(การทำให้เลือดไหลออกจากซากไก่ เนื่องจากถ้าเลือดออกไม่มากพอจะทำให้ไก่มีสีแดงช้ำ ) จากนั้นจะลวกด้วยน้ำร้อนและถอนขนไก่  ตัดขาไก่  ตัดคอไก่  ( ส่วนที่ถูกตัด รวมทั้งขนไก่จะถูกลำเลียงไปทางอื่น เพื่อไปบดเป็นอาหารสัตว์ )  จากนั้นไก่ที่แขวนไปตามระบบรางจะไปที่ห้องล้วงต่อ ซึ่งจะมีเครื่องจักรที่ใช้ในการล้วงไส้ไก่ออกมา  (ไส้ไก่ที่ได้จะถูกนำไปตรวจสอบโรคด้วย QA ) จากนั้นจะล้างซากไก่ด้วยน้ำ   และนำซากไก่เข้าห้อง AirChil  เพื่อให้อุณหภูมิไม่เกิน 4 ̊c จากนั้นจะเป็นห้องที่มีคนงานคอยตัดชิ้นส่วนไก่ออก นำไปบรรจุและเก็บในคลัง  ซึ่งจากการไปฝึกงานของผมทำให้ผมรู้ว่า ทางบริษัทได้ออกแบบวางแผนระบบมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่มี ศูนย์ 24 คอยประสานงานรถบรรทุกขนไก่ทำให้รถไม่ต้องจอดรอกัน และการผลิตไก่เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากไก่ถูกป้อนเข้าระบบตลอดเวลาโดยไม่ขาดช่วง และยังมีการลำเลียงส่วนที่เหลือเช่น เลือด นำไปต้มขาย , ขาไก่ นำไปบรรจุขาย , หัวไก่และขนไก่นำไปบดและทำเป็นอาหารสัตว์  ทำให้แทบจะไม่มีของเสียที่ต้องทิ้งเลย

นาย กิรกิตติ์ ผาสุข 555740018-3 Y#14 Sec.12

Personal Mastery :

เมื่อต้นปี 55 ที่ผ่านมา ผมได้เป็นดีเจอยู่ที่โบว์ลิ่ง ได้คุยกับผู้จัดการที่นั่นบอกว่าจบ MBA มาจากสถาบันแห่งหนึ่ง คณะที่ผมทำงานพี่เขามาบอกว่าผมเพลงที่ผมมาเปิดเสียงไม่ดีผมจึงได้ชี้แจงไปว่า "พี่บอกว่าห้ามปรับมิกและเซทให้เป็นเสียงกลาง เสียงถึงออกมาได้ไม่ดี" ซึ่งทางพี่เขาไม่มีความรู้ในเรื่องของซาวเองจิเนียร์เลย ทำให้คิดได้ว่าชี้แจงสาเหตุไปแล้วแต่ทำไมไม่ยอมเปิดรับเลย และมีอีกครั้งหนึ่งบอกห้ามเปิดเพลงช้า แต่พี่เขากลับเปิดเพลงช้าเอง ผมจึงคิดได้ว่าเป็นถึงผู้จัดการเองหน้าจะมีเหตุผลและวิสัยทัศน์กว่านี้ จึงทำให้เป็นแรงผลักดันผมในการเรียน MBA และมีโอกาสได้เป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีและยอมรับเหตุผลต่อผู้อื่น

Dialogue :

มีครั้งหนึ่งที่ผมติดเอฟกับวิชาที่ค่อนข้างยากเมื่อตอนปี 1 ผมเสียใจและท้อมาก เพราะเพิ่งจะเอนทรานต์เข้ามาได้เพียงแค่ปีแรกก็ทำเกรดตกแล้ว จนวันนั้นระหว่างที่ขับรถกลับบ้านมีความคิดที่ว่าไม่อยากมีชีวิตที่จะอยู่ และได้ขับรถด้วยความเร็วกว่า 140 กม/ชม. แต่อยู่ดีๆก้อนึกถึงคำพูดของคุณแม่ว่า "เวลาลูกรู้สึกกำลังแพ้ในชีวิต ให้ร้องไห้ให้มากที่สุด แต่อย่าล้มลง น้ำตามีไว้ให้สู้ต่อไปกับวันข้างหน้า แม่อยู่ข้างลูกเสมอ" ณ ตอนนั้นน้ำตาจากไหนไม่รูไหลออกมาจนทำให้ผมต้องรักชีวิตในตอนนั้นและกลับบ้านไปเริ่มต้นและไม่ท้อแท้ จนถึงวันนี้ ถ้าผมท้อเมื่อไหร่ผมก็จะนึกถึงคำของคุณแม่เสมอทำให้ผมได้ใช้ความท้อแท้มาเป็นแรงผลักดันในชีวิตที่จะก้าวต่อไป

Mental Model :

หลังจากที่เรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ผมเห็นเพื่อนๆหลายคนมีงานทำและอยู่หลายๆจังหวัด ในตอนนั้นผมยังเป็นดีเจอยู่ จึงคิดว่าอยากจะลองทำสิ่งที่มากกว่าสถานีวิทยุจึงได้สมัครงานที่ทิ้งไว้ 3 บริษัท และหนึ่งในนั้นเป็นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ หลังจากได้ส่ง CV ไป 1 เดือนต่อมาได้มีฝ่ายบุคคลของสถานีโทรทัศน์นี้โทรมาให้ไปสัมภาษณ์จนได้เข้าไปทำงาน (ผมไม่เคยอยู่ห่างบ้านที่ขอนแก่นเลย) เป็นสิ่งที่ตื่นเต้นมาก ซึ่งต่างจากเป็นดีเจมีเพียงแค่โปรดิวเซอร์คอยดูแลรายการเราเท่านั้นมีหลายแผนกที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจ มี Producer, Co-Pro, Operator, MCR, Switcher ฯลฯ (ผมตำแหน่ง MCR ทำหน้าที่ควบคุมออกอากาศ) ทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ต่างจากที่เคยทำเพียงแค่ดีเจ

Team Learning :

เมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 3 ผมได้เข้ามาทำกิจกรรมในสโมสรนักศึกษาและได้เป็นสต๊าฟปกครอง มีการนัดประชุมกับเพื่อนๆในสโมฯ บ่อยมากแทบทุกวันก่อนเปิดเชียร์ (ในใจแอบคิดว่าจะประชุมบ่อยอะไรกันนักกันหนา) จนกระทั่งวันเปิดเชียร์วันแรก น้องมาเยอะจนล้นที่ได้จัดเตรียมไว้ รวมถึงมีน้องที่ป่วยเยอะมาก การประสานงานต่างๆ อาจติดขัดบ้าง( ฝ่ายพยาบาลไม่เพียงพอ/วิ่งไปมาชนกัน/การแจ้งจุดประสงค์ไม่ชัดเจน ฯลฯ จึงได้มีการประชุมทุกครั้งและเห็นจุดบกพร่องของหลายๆส่วน และได้มีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง ทำงานให้เป็นทีมมากขึ้น เช่น เตรียมฝ่ายพยาบาลให้เพียงพอ เห็นน้องล้มต้องรีบวิ่งไปช่วย น้องเครียดฝ่ายสันทนาการก็เข้ามา เป็นต้น จนกระทั่งงานออกมาผิดพลาดน้อยที่สุดและผลที่ได้รับคือการได้รับคำชมจากคณาจารย์ และกิจกรรมก็ผ่านไปได้ด้วยดี

System Thinking :

ครั้งที่ผมได้มาทำงานในสถานีที่จัดรายการวิทยุในยุคแรกๆ ในตอนนั้นมีคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 4 เครื่อง อยู่ในห้องจัดรายการ 3 เครื่อง และในห้องอัดเสียงอีก 1 เครื่อง โดยจะสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้แค่ห้องละ 1 เครื่อง ถ้ามีเพลงใหม่มาในวันนั้นจะต้อง copy เพลงใส่แฟลชไดฟ์ แล้วเอามาเสียบในแต่ละเครื่องสำหรับในการเปิดออกอากาศ และโปรแกรมที่เปิดออกอากาศจะเป็นระบบ Manual คือต้องมีทีมงานคอยกดเปิดเพลง ถ้าเพลงจบก็จะเงียบ ต้องกดเพลงเพื่อต่อให้เพลงเล่นต่อๆไป ทางๆผมและพี่ๆทีมงาน จึงได้คิดว่าให้เปลี่ยนระบบเซิฟเวอร์และโปรแกรมใหม่โดย ใช้เร้าเตอร์พร้อมสั่งแชร์ไฟล์ในทุกเครื่อง เพื่อที่สามารถส่งไฟล์ผ่านระบบเน็ตเวิร์คได้โดยไม่ต้อง copy เพลงใส่แฟลชไดฟ์อีกต่อไป และเปลี่ยนโปรแกรมสำหรับออกอากาศใหม่โดยไม่ต้องมีทีมงานมานั่งเฝ้าเครื่องอีกต่อไป

นางสาวสุพัตรา กาละมหา 555740014-1 Young 14# sec 12

Personal Mastery: ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ครั้งไปฝึกประสบการณ์ ตอนปี 3 เทอม summer ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ไปฝึกงาน โดยมีท่าน ผอ.ของส่วนงานที่ดิฉันสังกัดอยู่ซึ่งทานเป็นคนใจดีมาก ท่านจะคอย ชี้แนะ สอนวิธีคิดในการทำงาน เช่นสอนให้วิเคราะห์เรื่องธุรกิจ SMEs และท่านจะคอยบอกเสมอว่าให้มีความเคารพ นอบน้อมถ่อมตน ขยันหาความรู้ใหม่เสมอ และท่านได้เล่าเรื่องลูกสาวของทานให้ฟังชื่อพี่หมู พี่หมูพึ่งเรียนจบปริญญาโทที่่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียตินิยมอันดับ 1 ซึ่งท่านภูมิใจในตัวพี่หมูมาก และดิฉันก็ได้เจอ กับพี่หมู ซึ่งท่านผอ.ก็ได้แนะนำให้รู้จักและให้เราดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งทำให้ดิฉันมีเป้าหมายและมีต้นแบบที่ดี และเราสามารถเอาคนดีมากเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต และตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด และเป็นคนดีของสังคม ขอบคุณท่านผอ.มากนะค่ะที่ทำให้หนูได้ประสบการณ์ชีวิตและสิ่งดีๆที่่ท่านมอบให้ที่หาซื้อไม่ได้

Dialogue: วันหนึ่งได้แม่ได้เล่าให้ฟังว่าลูกเป็นคนที่พ่อรักมากนะ หนูเลยถามว่ายังไงค่ะ แม่ตอบว่า ตอนที่ลูกยังเล็กๆ ประมาณ2ขวบ ลูกอยากกินขนม เห็นเพื่อนกิน ตามประสาเด็ก แต่พ่อกับแม่ไม่มีเงินจะซื้อให้ลูกกิน ถึงขนาดพ่อยอมเอาเงินที่เป็นเงินขวัญถุง อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของพ่อมาซื้อขนมให้ลูก หนูคิดเรื่องนี้ทีไรทำให้น้ำตาไหลทุกครั้งที่ึคิดถึงเรื่องนี้ ขอบคุณพ่อกับแม่ที่ทำให้หนูได้มีชีวิตที่ดี ได้มีโอกาสในการเีีรียนที่สูงที่สุดในวันนี้ได้ และเรื่องเงินขวัญถุงนี้จะทำให้บอกตัวเองเสมอว่าเรามาจากครอบครัวแบบใไหน จะใช้เงินแต่ละบาทพี่พ่อกับแม่หาได้ท่านได้มาด้วยความยากลำบาก และอดออมในวันนั้นจึงทำให้มีวันนี้ได้

Mental model: ไปทำอะไรมาแล้วรู็้สึกว่าเปิดหูเปิดตามากที่สุด เป็นการไปฝึกงาน ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการได้สัมผัสครั้งกรุงเทพครั้งแร และได้มีโอกาสไปดูงานกับกรม ที่โรงงานผลิตเบียร์ช้าง ที่จ.กำแพงเพชร และโรงงานกลึ่ง ได้เห็นกระบวนการการผลิตตั้งแต่ขนบวนการแรกจนถึงมือผู้บริโภค และได้เดินทางไปที่จ.พิษณุโลก ได้ไปช่วยงานในการอบรมโครงการ supply chain ที่โรงแรมทอปแลน และเราก็ได้พักที่โรงแรมใกล้เคียง ซึ่งเราไม่เคยได้พักโรงแรมมาก่อน ทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆเป็นความรู้และเป็นประสบการณ์ชีวิต ได้เจอท่านวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ และทำใ้ห้ได้เจอสิ่งใหม่ๆได้เห็นสิ่งต่างๆที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

Team Learning: การมีทีมทำงานที่ดี และสมาชิกเสียสละงานย่อมออกมาได้ดี การทำงานเป็นทีม ซึ่งหนูภูมิใจกับงานชิ้นนี้มาก เมื่อตอนหนูอยู่ปี 3 เรียนวิชากลยุทธ์ กับท่านอาจารย์ ที่งานต้องออกมาละเอียดและถูกต้อง และวิชานี้กลุ่มดิฉันได้คะแนนงานกลุ่มน้อยที่สุดในห้อง และอ.บอกว่ากลุ่มหนูมีโอกาสแก้ตัวอยู่นะิในงานชิ้นสุดท้ายที่ต้องนำเสนอก่อนสอบปลายภาค ถ้าชิ้นนี้ออกมาไม่อลังการ ไม่โดเด่น ไม่น่าสนใจ ก็ไม่โอกาสอีกแล้ว และทุกคนก็แบ่งงานกันทำ อย่างตั้งใจ และดิฉันได้ทำงานหน้าที่ออกแบบการนำเสนอที่ไม่เหมือนใครซึ่งตอนนั้นเราทำกลุ่ม พลอย อัญมณี ซึ่งดิฉันเป็นคนห้าวๆ ถึงห้าวมาก เพื่อนทุกคนก็ตกลงกันว่าผู้หญิงให้แต่งตัวในชุดราตรี เพื่อโชว์พลอย (เหมือนเป็นงานแฟชั่นโชว์) และเต้นเปิดตัวร้าน วันที่นำเสนอ ดิฉันถูกจับแต่งตัว ไม่มีใครจำไ้ด้เลยทั้งเพื่อนๆและอาจารย์(อ.บอกว่าวันนี้หนูสวยมากนะลูก เพราะหนูสวยจริงๆหนูไม่เคยกันคิ้วแต่งหน้าทำผมอลังการ ขนาดนี้มาก่อน) และงานออกมาดีมากๆ ได้รับคำชมจาอาจารย์ๆไม่คิดว่ากลุ่มหนูจะลงทุนมากขนาดนี้ ทำให้คะแนนกลุ่มเราสูงกว่าทุกกลุ่ม กับงานครั้งสุดท้ายที่สุดยอดมากๆ

System thinking สิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ระบบการบริหารจัดการของ 7-11 ซึ่งเราสัมผัสได้ว่าระบบการจัดการสินค้า พนักงาน รวมทั้งการบริการ บริษัทสามารถทำให้การทำงานมีระบบ พนักงานตรงต่อเวลา การทำงาานและบริการลูกค้าเสมือนกับว่าเป็นเจ้าของธุรกิจเอง การจัดการสินค้า การสั่่ง จุดสั่งซื้อ การสต๊อก ซึ่ง 7-11 มีระบบที่โดยที่ไม่ต้องเช็คสินค้าสั่งซื้อเพราะการที่พนักงานยิงบาโค๊ดแต่ละครั้งของสินค้าแต่ละชิ้นจะเป็นการเช็ค การสั่งสินค้าแต่ละชนิดไปพร้อมๆกัน และมีการจัดส่งสินค้าที่ดี รวมถึงการจัดการองค์รวมของ 7-11

ธัญญาภรณ์ ประยงค์เพชร

ธัญญาภรณ์ ประยงค์เพชร 555740043-4 Y#14 Sec.12 ี้ Personal Mastery : ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปฟังบรรยาย single license ที่คณะได้จัดขึ้น ซึ่งเป็นการบรรยายเกี่ยวกับตลาดการเงิน โดยวิทยากรได้มีเทคนิคการอ่านหนังสือ เทคนิคการจำ และพาทำท่ากายบริหารเพื่อทำให้เราผ่อนคลายจากการอ่านหนังสือได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ดิฉันได้จากการฟังบรรยายครั้งนี้ แต่มีอย่างนึงที่ทำให้ดิฉันมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น คือ ผู้บรรยายได้พูดถึง ผู้ชายคนนึง เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเขาเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เขามีความตั้งใจ และพยายามในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเล่นหุ้น จนทำให้ตอนนี้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นหุ้น และเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่มีเงินจำนวนมหาฬารในเวลาอันรวดเร็ว ดิฉันได้ฟังจึงทำให้ดิฉันอยากประสบการณ์สำเร็จเช่นนั้นบ้าง โดยการเล่นหุ้น และได้เงินเป็นจำนวนมาก ดิฉันรู้สึกมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนขึ้นในอีกระดับนึง

Dialogue : ครั้หนึ่งดิฉันได้นั่งพูดคุยกับน้า ซึ่งน้าท่านนี้เป็นน้องสาวแท้ๆของแม่ดิฉันเอง น้าเคยเลี้ยงดูดิฉันมาตอนดิฉันอยู่ประถม จึงมีความสนิทสนมกันมาก เราพูดคุยกันเป็นประจำ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ทำให้ดิฉันมีแรงบันดาลใจมากขึ้น เนื่องจากช่วงนั้นดิฉันพึ่งเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ และยังไม่มีงานทำ ซึ่งน้าดิฉันได้พูดถึงเรื่องการเรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนนั้นดิฉันไม่อยากเรียนต่อ เพราะรู้สึกเหนื่อย และขี้เกียจแล้ว เลยอยากหยุด แต่น้าได้พูดกระตุ้นให้ฉันเปลี่ยนแปลงความคิด โดยพูดคาดหวังในตัวดิฉัน ว่าดิฉันทำได้ เรียนจบสูงๆจะมีโอกาสได้งานทำดีๆ เจอคนดีๆ สังคมที่ดีๆ ซึ่งทำให้ดิฉันเก็บไปคิด และได้ตัดสินใจสมัครสอบ MBA ขอนแก่น และได้ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ และในที่สุดดิฉันก็สอบติดข้อเขียน และรอบสัมภาษณ์ ทำให้้น้าภูมิใจในตัวดิฉันมาก ซึ่งการที่น้าดิฉันได้พูดให้กำลังใจ ทำให้ดิฉันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

Mental model : ดิฉันจะกล่าวถึง การฝึกงาน ของดิฉันเอง เป็นการฝึกงานช่วงซัมเมอร์ของปีที่ 3 ซึ่งดิฉันได้ไปฝึกงานที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง เหตุผลที่ดิฉันเลือกฝึกที่นี่ เพราะช่วงนั้นดิฉันมีความฝันอยากเปิดโรงเรียนกวดวิชาเป็นของตัวเอง ดิฉันได้ทำงานในแผนกการเงิน ก้าวแรกที่เข้าไปฝึกงาน ดิฉันรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจมากที่ได้มาฝึกงานที่นี่ เพราะเป็นสิ่งที่ดิฉันใฝ่ฝัน และไม่เคยทำมาก่อน ในการฝึกงานครั้งนี้ดิฉันได้เจอคนหลายๆรูปแบบ คนใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และรู้จักการเข้าสังคมในอีกรูปแบบนึง โดยการทำงานของดิฉันได้เป็นผู้ช่วยแผนกการเงิน ซึ่งได้ทำงานเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่เสี่ยงต่อเด็กฝึกงานมาก ดิฉันได้พูดคุยกับที่ปรึกษาของดิฉัน ซึ่งเป็นผู้จัดการของสาขาที่นั่น ผู้จัดการได้ให้คำแนะนำ คำปรึกษาในขั้นตอน และรายได้ ค่าใช้จ่ายในการเปิดโรงเรียนกวดวิชา ทำให้ดิฉันได้รู้อะไรมากขึ้น และเป็นความรู้ในการตัดสินใจอีกด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีแก่ดิฉันเอง

Team Learning : ช่วงปี 4 เทอม 1 อาจารย์ได้ให้ทำสัมมนา ซึ่งเป็นวิชาจบของสาขาการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยทำงานเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ซึ่งอาจารย์ให้เราทำ 1 บริษัท กลุ่มของดิฉันเลือกบริษัท True Corporation โดยอาจารย์ให้วิเคราะห์งบการเงิน และแก้ปัญหาของบริษัทที่แต่ละกลุ่มเลือก เป็นงานที่เยอะมาก เพราะต้องทำงาน และนำงานไปให้อาจารย์ดู และกลับมาแก้ไขในส่วนที่ผิด จึงต้องพบอาจารย์บ่อยๆ การทำสัมมนาเป็นการทำงานที่ต้องใช้เวลานาน และใช้ความอดทนของสมาชิก เพราะต้องอดหลับอดนอน เพื่อที่จะทำงานให้เสร็จทันเวลา และความตั้งใจ พยายาม และความสมัคคีของกลุ่ม ทำให้สัมมนาสำเร็จลุล่วงทันเวลาที่กำหนด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรามีความสนิทสนมกัน และเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น

System thinking : ดิฉันได้มีโอกาสไปรับประทานอาหารกับครอบครัวที่เซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น ซึ่งได้รับประทาน Fuji ช่วงที่สั่งอาหาร ดิฉันได้สังเกตว่า Fuji ทำงานได้รวดเร็ว ทันใจ ไม่เสียเวลา เนื่องจากดิฉันได้เห็นพนักงานใช้เครื่อง pda ในการสั่งอาหาร และเช็คบิลให้กับลูกค้า โดยระบบการทำงานของ Fuji คือสั่งอาหารจากเครื่อง pda แล้วรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งจะส่งไปที่พนักงานในครัว และในการสั่งแต่ละครั้งจะมีใบเสร็จทันที จึงทำให้เวลาเช็คบิลลูกค้าสามารถเช็ครายการอาหารที่สั่ง และง่ายต่อการจ่ายเงินของลูกค้าด้วย ลูกค้าจึงรู้สึกสะดวกสบาย ไม่ต้องรอนาน

นายศุภศิษฏ์ ศรีเศวต 555740011-7 Sec 11 Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น - เกิดจากการที่สมัยเรียนปริญญาตรี ไม่เคยมีเป้าหมายว่าจบไปจะทำอะไร จนกระทั่งจบมาแล้วทำงาน ขณะที่ทำงานก็ไม่เคยคิดว่าทำไปแล้ว แล้วยังไงต่อ รอเลื่อนขั้น รออะไร เราทำอะไรอยู่ เหมือนทำไปวันๆ จนมีวันหนึ่ง พี่ร่วมงานก็บอกว่า “ในที่ทำงานมีหนังสืออยู่นะ ลองหยิบไปอ่านดูก็ได้มีแต่เล่มดีดี “ แล้วพี่ร่วมงานก็เดินไปหยิบหนังสือพ่อรวยสอนลูก ขึ้นมาแล้วก็บอกว่าหนังสือนี้ดี ให้ข้อคิด ให้อะไรหลายๆอย่าง ด้วยความที่เป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ มาตั้งแต่เล็กจนโต จึงคิดว่า “มันจะดีจริงเหรอ ลองอ่านดูก็ได้ เห็นจากยอดขายหนังสือถล่มทลาย” หลังจากเริ่มอ่าน ทุกอย่างเปลี่ยนไป จึงตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า เราอยากมีเงินสัก 10 ล้านก่อนอายุ 30 จึงคิดธุรกิจและเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวหลังจากนั้นเป็นต้นมา (ขอบคุณหนังสือเล่มนี้และอีกหลายๆเล่ม ที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนไป) Dialogue ใครได้ฟัง ใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี – เนื่องจากตัวเราเองพึ่งจบมาใหม่ ประสบการณ์ทำงานก็น้อยนิด แต่มีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง จึงได้ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่ จนวันหนึ่งไปพบเจอประกาศว่ามีอบรมผู้ประกอบการใหม่ ในอินเตอร์เน็ต ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาทำกันอย่างไร จึงได้เข้าร่วมโครงการนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป การทำได้เข้าอบรมทำให้ได้รู้ว่า การทำบัญชีทำอย่างไร จัดการคนอย่างไร ธุรกิจอะไรน่าทำ ค้นหาตนเอง ตลอดจนทุดท้ายก็สามารถเขียนแผนธุรกิจได้ และทำให้ธุรกิจเรามีเป้าหมาย มีระบบมากขึ้น (ขอบคุณโครงการ NEC ที่ช่วยให้ข้อมูลและทำให้ธุรกิจมีแนวทางมากขึ้น) Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตามากขึ้น – การเดินทางไปต่างประเทศ และประเทศที่ไปคือ เกาหลี จากคนที่ไม่เคยออกจากประเทศแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากกับการได้เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก การไปประเทศเกาหลี ทำให้รู้ว่า คนเกาหลีแม้ว่าเขาจะมีสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ที่ไม่เอื้ออำนวย เพราะมีแต่ภูเขา ที่ราบสูง การจะสร้างอะไรเป็นเรื่องลำบาก แต่เขาก็สามารถเจาะทางถนน ผ่าภูเขาได้ เป็นอะไรที่เก่งมาก สนามบินนานาชาติเกาหลี เกิดจากการนำทรายมาถมจนเกิดเป็นเกาะ และสร้างสนามบิน แต่สิ่งหนึ่งที่ติดใจมากคือ เกาหลีแทบไม่มีสถานที่ท้องเที่ยวอะไรเลย มองไปทางไหนก็แห้งไปหมด แต่เขาสามารถดึงคนเข้าประเทศด้วยการขาย วัฒนธรรม ซีรีย์เกาหลี ทำให้สถานที่ที่ถ่ายทำ ก็ทำเงินได้ แม้จะไม่ได้ถ่ายหนังอะไรอีก การท่องเที่ยวครั้งนี้ทำให้เปิดหูเปิดตามาก (ขอบคุณบริษัททัวร์ที่ทำให้โลกที่แคบของเราขยายออกมากยิ่งขึ้น) Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด – สมัยที่ยังเรียนปริญญาตรีอยู่มีวิชา การตลาด ซึ่งอาจารย์จะให้ออกงานเพื่อแสดงสินค้าที่ตนเองได้สร้างขึ้นมา นำเสนอไอเดียต่างๆ ในผลงานนั้น กิจกรรมที่มีก็คือการแสดงโชว์สินค้า การทำซุ้ม ซึ่งจะต้องทำซุ้มให้เสร็จภายในเวลา 6 โมงเย็น ถึงตอนเริ่มงาน ทางกลุ่มจึงประชุมกัน และแบ่งงานกันทำ ฝ่ายหญิง กลุ่มหนึ่งสามารถเต้นได้ จึงหยิบการเต้นเป็นการแสดง และแยกไปซ้อม ผู้หญิงที่เหลือ มีคนหนึ่งมีความสามารถในการประดิษฐ์ งานประณีตต่างๆ จึงให้คนนี้เป็นหัวหน้าในการทำของตกแต่ง ส่วนฝ่ายชายทำหน้าที่สร้างโครงบูท การติดตั้งเครื่องเสียง จัดความสวยงามของบูทที่ออก การแบ่งงานทำให้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด สามารถบริหารได้ตรงเวลา ปัจจัยที่ทำให้สำเร็จ คือ การที่หยิบความสารถเฉพาะตัวของแต่ละคน ให้เข้ากับงานที่ต้องการ ทำให้งานที่ทำออกมาดีและรวดเร็ว (ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ทำให้รู้ว่าทำงานเป็นทีม ดีอย่างไร) System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี – การเดินทางดูงานในโรงงานขอนแก่นเบียร์ ทำให้รู้ว่าธุรกิจที่ใหญ่มีระบบการดูแลพนักงาน การจัดการ ต่างๆ แต่ที่ผมติดใจมากที่สุด คือ ระบบการผลิต ที่เริ่มตั้งแต่การนำขวดแก้วจากโรงงานผลิตขวดแก้ว เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตด้วยเครื่องจักร ทุกอย่างวิ่งเป็นสายพาน ขวดแก้วถูกส่งตามสายพาน ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ ตรวจสอบคุณภาพ ก่อนที่จะบรรจุน้ำลงขวด และติดฉลาก ก่อนบรรจุลงในลัง ทุกอย่างผลิตอย่างมีระบบ มีคนควบคุมน้อยมาก ตามจุดต่างๆ ทุกอย่างเป็นเครื่องจักรหมด เป็นระบบที่ยอดเยี่ยมมาก รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสียที่นำของเสียทุกอย่างที่เกิดจากกระบวนการผลิตไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป เช่นน้ำที่เหลือจากการกลั่นเบียร์เป็นน้ำเสียก็จะถูกส่งไปโรงบำบัดน้ำเสีย มีระบบเฝ้าดู ตลอด 24 ชม. น้ำที่ออกมาสามารถไปรดน้ำต้นไม้ ล้างโรงงาน และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นการศึกษาดูงานที่ทำให้รู้ว่าระบบที่ดีเป็นอย่างไร (ขอบคุณโรงงานขอนแก่นเบียร์ ที่ทำให้รู้ว่า ระบบที่ดีเป็นอย่างไร)

ธัญญาภรณ์ ประยงค์เพชร

ธัญญาภรณ์ ประยงค์เพชร 555740043-4 Y#14 Sec.12 ี้ Personal Mastery : ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปฟังบรรยาย single license ที่คณะได้จัดขึ้น ซึ่งเป็นการบรรยายเกี่ยวกับตลาดการเงิน โดยวิทยากรได้มีเทคนิคการอ่านหนังสือ เทคนิคการจำ และพาทำท่ากายบริหารเพื่อทำให้เราผ่อนคลายจากการอ่านหนังสือได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ดิฉันได้จากการฟังบรรยายครั้งนี้ แต่มีอย่างนึงที่ทำให้ดิฉันมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น คือ ผู้บรรยายได้พูดถึง ผู้ชายคนนึง เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเขาเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เขามีความตั้งใจ และพยายามในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเล่นหุ้น จนทำให้ตอนนี้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นหุ้น และเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่มีเงินจำนวนมหาฬารในเวลาอันรวดเร็ว ดิฉันได้ฟังจึงทำให้ดิฉันอยากประสบการณ์สำเร็จเช่นนั้นบ้าง โดยการเล่นหุ้น และได้เงินเป็นจำนวนมาก ดิฉันรู้สึกมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนขึ้นในอีกระดับนึง

Dialogue : ครั้หนึ่งดิฉันได้นั่งพูดคุยกับน้า ซึ่งน้าท่านนี้เป็นน้องสาวแท้ๆของแม่ดิฉันเอง น้าเคยเลี้ยงดูดิฉันมาตอนดิฉันอยู่ประถม จึงมีความสนิทสนมกันมาก เราพูดคุยกันเป็นประจำ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ทำให้ดิฉันมีแรงบันดาลใจมากขึ้น เนื่องจากช่วงนั้นดิฉันพึ่งเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ และยังไม่มีงานทำ ซึ่งน้าดิฉันได้พูดถึงเรื่องการเรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนนั้นดิฉันไม่อยากเรียนต่อ เพราะรู้สึกเหนื่อย และขี้เกียจแล้ว เลยอยากหยุด แต่น้าได้พูดกระตุ้นให้ฉันเปลี่ยนแปลงความคิด โดยพูดคาดหวังในตัวดิฉัน ว่าดิฉันทำได้ เรียนจบสูงๆจะมีโอกาสได้งานทำดีๆ เจอคนดีๆ สังคมที่ดีๆ ซึ่งทำให้ดิฉันเก็บไปคิด และได้ตัดสินใจสมัครสอบ MBA ขอนแก่น และได้ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ และในที่สุดดิฉันก็สอบติดข้อเขียน และรอบสัมภาษณ์ ทำให้้น้าภูมิใจในตัวดิฉันมาก ซึ่งการที่น้าดิฉันได้พูดให้กำลังใจ ทำให้ดิฉันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

Mental model : ดิฉันจะกล่าวถึง การฝึกงาน ของดิฉันเอง เป็นการฝึกงานช่วงซัมเมอร์ของปีที่ 3 ซึ่งดิฉันได้ไปฝึกงานที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง เหตุผลที่ดิฉันเลือกฝึกที่นี่ เพราะช่วงนั้นดิฉันมีความฝันอยากเปิดโรงเรียนกวดวิชาเป็นของตัวเอง ดิฉันได้ทำงานในแผนกการเงิน ก้าวแรกที่เข้าไปฝึกงาน ดิฉันรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจมากที่ได้มาฝึกงานที่นี่ เพราะเป็นสิ่งที่ดิฉันใฝ่ฝัน และไม่เคยทำมาก่อน ในการฝึกงานครั้งนี้ดิฉันได้เจอคนหลายๆรูปแบบ คนใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และรู้จักการเข้าสังคมในอีกรูปแบบนึง โดยการทำงานของดิฉันได้เป็นผู้ช่วยแผนกการเงิน ซึ่งได้ทำงานเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่เสี่ยงต่อเด็กฝึกงานมาก ดิฉันได้พูดคุยกับที่ปรึกษาของดิฉัน ซึ่งเป็นผู้จัดการของสาขาที่นั่น ผู้จัดการได้ให้คำแนะนำ คำปรึกษาในขั้นตอน และรายได้ ค่าใช้จ่ายในการเปิดโรงเรียนกวดวิชา ทำให้ดิฉันได้รู้อะไรมากขึ้น และเป็นความรู้ในการตัดสินใจอีกด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีแก่ดิฉันเอง

Team Learning : ช่วงปี 4 เทอม 1 อาจารย์ได้ให้ทำสัมมนา ซึ่งเป็นวิชาจบของสาขาการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยทำงานเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ซึ่งอาจารย์ให้เราทำ 1 บริษัท กลุ่มของดิฉันเลือกบริษัท True Corporation โดยอาจารย์ให้วิเคราะห์งบการเงิน และแก้ปัญหาของบริษัทที่แต่ละกลุ่มเลือก เป็นงานที่เยอะมาก เพราะต้องทำงาน และนำงานไปให้อาจารย์ดู และกลับมาแก้ไขในส่วนที่ผิด จึงต้องพบอาจารย์บ่อยๆ การทำสัมมนาเป็นการทำงานที่ต้องใช้เวลานาน และใช้ความอดทนของสมาชิก เพราะต้องอดหลับอดนอน เพื่อที่จะทำงานให้เสร็จทันเวลา และความตั้งใจ พยายาม และความสมัคคีของกลุ่ม ทำให้สัมมนาสำเร็จลุล่วงทันเวลาที่กำหนด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรามีความสนิทสนมกัน และเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น

System thinking : ดิฉันได้มีโอกาสไปรับประทานอาหารกับครอบครัวที่เซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น ซึ่งได้รับประทาน Fuji ช่วงที่สั่งอาหาร ดิฉันได้สังเกตว่า Fuji ทำงานได้รวดเร็ว ทันใจ ไม่เสียเวลา เนื่องจากดิฉันได้เห็นพนักงานใช้เครื่อง pda ในการสั่งอาหาร และเช็คบิลให้กับลูกค้า โดยระบบการทำงานของ Fuji คือสั่งอาหารจากเครื่อง pda แล้วรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งจะส่งไปที่พนักงานในครัว และในการสั่งแต่ละครั้งจะมีใบเสร็จทันที จึงทำให้เวลาเช็คบิลลูกค้าสามารถเช็ครายการอาหารที่สั่ง และง่ายต่อการจ่ายเงินของลูกค้าด้วย ลูกค้าจึงรู้สึกสะดวกสบาย ไม่ต้องรอนาน

นางสาวอนุสสรา ดอกพงษ์กลาง

555740614-7 นางสาว อนุสสรา ดอกพงษ์กลาง sec12

Personal Mastery ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

หลังจากที่ฉันเรียนจบปริญญาตรี เป้าหมายของดิฉันคือมีงานทำ และได้พบเจอสังคมใหม่ๆ ดิฉันได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครไปทำงานพร้อมกับเพื่อนๆ และเริ่มค้นหาสถานที่ทำงานตามอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มสมัครงานหลายที่ นับไม่ถ้วน โดนปฎิเสธเนื่องจากไม่มีประสบการณ์ทำงาน และเงินเดือนที่ทางโรงแรมและบริษัทเสนอมาก็น้อยนิด แต่ด้วยการที่พึ่งจบใหม่ หนูจึงลองที่จะเริ่มต้นการทำงาน จนไดีมีโอกาส ทำงานที่โรงแรม GRAND PRESSIDENT ดิฉันทำงาน ได้เจอสังคมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ จนกระทั่ง ได้รับใบผ่านงาน และ ดิฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จตามที่หวังไว้

Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?

หนูเคยโดนเพื่อนขโมย กระเป๋าตัง ที่โรงเรียน แล้วรู้สึกโกรธมาก และไม่คุยกับเพื่อนคนนั้นอีกเลย จนมีครั้งหนึ่ง ได้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดเสถียรธรรมสถานเป็นเวลา 3วัน จึงได้มีโอกาสนั่งฟังบรรยาย ของ แม่ชีศันสนีย์ ท่าน ได้สอนให้ปล่อยวาง และเลิกอคติ และคำสั่งสอนของแม่ชี คือ "สิ่งของทุกอย่างเป็นของนอกกาย ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่ใช่ของเรา" แม้แต่คนรัก บ้าน และสิ่งของทุกๆอย่างรอบๆตัวของเราทุกคน คำสอนนี้ ทำให้ดิฉัน รู้สึกสบายใจมากขึ้น และ หายโกรธเกลียดเพื่อนคนนั้น ค่ะ และดิฉันยังนำคำสอนของแม่ชี มาเป็นหลักการในการดำเนินชีวิต ในปัจจุบัน ในการดำเนินชีวิต และการคบเพื่อน

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

ดิฉันได้เคยมาใช้ชีวิตที่ กรุงเทพมหานคร ด้วยตนเอง ได้พบเพื่อนใหม่ๆ ได้เริ่มหัดนั่งรถเมล์สายต่างๆ ไปตามสถานที่ต่างๆ สืบค้นวิธีการเดินทาง จากอินเตอร์เน็ต และโทรถามเส้นทางจาก ขสมก. เบอร์184 และเดินทางภายใน กรุงเทพมหานคร และ มีครั้งหนึ่งที่เพื่อนจากที่ทำงาน ได้พาไปเล่น สงกรานต์ ที่RCA มีการซื้อตั๋วเข้าไปเล่นน้ำ และต้องใส่แว่นตาดำน้ำ ป้องกันการโดนฉีดน้ำ ดิฉันไม่เคยเจอการเล่นน้ำที่ จิงจังขนาดนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้น แปลกใหม่ และประทับใจมาก เพราะมีการเล่นน้ำพร้อมๆไปกับการเที่ยวในผับเป็นความรู้สึกที่ เปิดหูเปิดตาและอยากจะ ต้องมาเล่น ที่RCAในทุกๆปี เท่านั้น ค่ะ :)

Team Learning ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

ตอนที่ดิฉันได้ทำงาน อยู่ที่โรงแรม ในแผนกอาหารและเครื่องดื่ม วันนั้นได้มีงานจัดเลี้ยง งานแต่งงานของลูกค้า ในห้องอาหาร ต้องมีการเคลื่อนย้าย โต้ะเก้าอี้ ทั้งหมด มีการจัดเตรียมอาหาร หลายรายการ ต้องทำความสะอาด จัดดอกไม้ ทั้งหมดของห้องอาหาร งานครั้งนี้ ทำให้ดิฉันได้เห็น ทุกแผนกมาช่วยกันดำเนินงาน แผนกช่าง จะยกโต๊ะเก้าอีก แผนกแม่บ้านจะทำการจัดดอกไม้ตกแต่งตามโต๊ะและ กระจกรอบๆ แผนกครัว จะจัดเตรียมอาหาร และตกแต่งแกะสลักได้สวยสดงดงาม และดิฉันอยู่แผนกอาหารและเครื่องดื่ม ได้จัดเตรียมเครื่องดื่ม จานชาม ที่สะอาด ช้อนส้อม และแก้วน้ำ ให้เพียงพอกับลูกค้า และงานนี้ทำให้ดิฉันได้เห็นถึงการทำงานเป็นทีม ส่งผลให้ งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีค้ะ

System thinking เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี

ตอนที่ดิฉันได้ ทำงานในโรงแรม ดิฉันอยู๋ แผนก อาหารและเครื่องดื่ม และทำงานในช่วงเช้า บุฟเฟต์ ลูกค้า ช่วงเช้าไม่ต่ำกว่า 500 คน ถ้วย จาน ช้อนส้อม ไม่เพียงพอ แต่ทุกคนในแผนกแบ่งหน้าที่กัน เช็ดช้อนส้อม ยกจากออกมาจัดใส่station เติมน้ำผลไม้ อาหาร ให้ทันลูกค้า ทำให้งานราบรื่นไปด้วยดี และทำให้ลูกค้าประทับใจ ที่มีการบริการแบบไม่ขลาดแคลน ทำให้ดิฉันรู้สึกและเข้าใจระบบของงานโรงแรม มีการแบ่งตำแหน่่งงาน ตั้งแต่ ผ฿็ควบคุม ออกคำสั่ง และผู้รับคำสั่ง มาจัดการ แบ่งสัดส่วนในการจัด ของ และคอยให้บริการลูกค้า ได้อย่างประทับใจ อีกทั้งยังมีการฝึกอบรม ในทุกๆวัน หลังเลิกงาน ทำให้ระบบ งานของโรงแรมไม่เคยลดลง และทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงค่ะ

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ Y#14 Sec.11

Personal Mastery - ครั้งใดที่ไปทำอะไรมา รู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ตอนที่ผมเรียนอยู่ ปี 2 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป กทม. คนเดียวหลายๆ ครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปพักโรงแรมแถวสุขุมวิท ซึ่งแถวที่ผมอยู่ เรียกได้ว่าเป็นโซนธุรกิจของประเทศเลยทีเดียว เมื่อผมเดินเข้าไปที่ Lobby ของโรงแรม พนักงาต้อนรับได้ทักทายเป็นภาษาอังกฤษ และสนทนากับผมเป็นภาษาอังกฤษ โดยที่ใบหน้าของผมเองก็ไม่เหมือนฝรั่งซักนิด ซึ่ง เหตุการณ์วันนั้นเองก็ทำให้ผมเข้าใจว่า ภาษาอังกฤษ มีความจำเป็นต่อเราอย่างมากในปัจจุบัน และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ตั้ง เป้าหมายกับตนเองว่า จะตั้งใจเรียนและฝึกฝนภาษาอังกฤษ จนสามารถสนทนาให้ได้มากกว่านี้

Dialogu - ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี เมื่อครั้งผมเรียนอยู่ชั้น ม.6 วันนั้นเป็นวันเปิดเทอม ผมก็ได้พบกับเพื่อนเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ของโรงเรียน แต่สิ่งใหม่ที่ผมได้พบก็คือ อาจารย์ประจำชั้นคนใหม่ อาจารย์ชื่อว่า อ.อุทัยรัศมี สกุลคู ท่านเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนี้มาหลายปีมากแล้ว สมัยที่ผมอยู่มาตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.5 ผมก็ได้พบกับอาจารย์คนนี้บ่อยๆ แต่ไม่เคยเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์เลย เพราะบุคลิกของอาจารย์ท่านนี้ ดูเป็นอาจารย์ที่เจ้าระเบียบและดุ แต่วันนั้นเองทำให้ความคิดต่างๆ ที่ผมเคยคิดเปลี่ยนแปลงไป อาจารย์ท่านนี้ใจดี ถึงขนาดใจดีมาก ท่านเป็นคนธรรมะ ธรรมโม ชอบไปวัด ทำบุญทำทาน และท่านก็จะพาพวกผมที่เป็นเด็กประจำชั้นของท่านไปวัดประจำ

สิ่งที่ทำให้ผมได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้รู้จักกับอาจารย์ท่านนี้คือ ท่านเป็นคนที่ชอบสอนอะไรดีๆ ที่ผมใช้ในการดำรงชีวิตปัจจุบัน ท่านสอนให้รู้จักคิด ไตร่ตรองก่อนทำอะไรต่างๆ การทดแทนคุณ การทำบุญทำทาน การมีเมตตาต่อผู้อื่นและสัตว์ต่างๆ ซึ่งผมและเพื่อนๆ ในห้องจะได้ฟังท่านสอนทุกวันที่ไปโรงเรียน เพราะจะได้เจอกับท่านช่วงเช้าและเวลาเลิกเรียน และจากนั้นเป็นต้นมา นิสัยของผมก็กลายคนเป็นที่ชอบคิดอะไรให้มากๆ ก่อนที่จะทำสิ่งๆ นั้นลงไป

Mental model - ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น ตอนที่เรียน ปี 3 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มีโอกาสไปดูงานกับภาควิชาที่ได้จัดขึ้น และวันนั้นได้มีโอกาสไปดูงานที่ Thomson Reuter องค์กรนี้เป็นองค์กรเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟแวร์ โดยมีความโดดในการพัฒนาซอฟแวร์เกี่ยวกับการเงิน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาตัวเองคือ ผมได้มาสัมผัสกับองค์กรที่มีการพัฒนาซอฟแวร์ในระดับนานาชาติ ได้เห็นระบบการทำงานต่างๆ ที่น่าทึ่ง ในตอนนั้นเองก็แอบมีความหวังเล็กๆ ว่าอยากทำงานในองค์กรลักษณะนี้ แต่สุดท้าย งานในอนาคตของตัวเราเอง ก็ต้องเป็นงานที่เราเอง ต้องมาช่วยครอบครัวดำเนินกิจการต่อไป

Team Learning - ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย

  สมัยที่เรียน รด. ช่วงมัธยมปลาย ในปีสุดท้ายต้องมีการไปเข้าค่ายที่ค่ายทหาร ในการหว่างการเข้าค่าย ทุกวันก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกที่ทำไม เพื่อนๆที่อยู่ในหมู่เดียวกันกับเรา ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับต้องมีการเข้าฐาน ที่ต้องใช้การทำงานเป็นทีม รวมทั้งการกินอยู่ในระหว่างวันก็ต้องมาการเอื้อเฟื้อกัน โดยไม่สนว่ารู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อคิดไปคิดมา ก็คิดขึ้นได้ว่า ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จะมีการฝึกเพียงระยะสั้นๆในแต่ละปี ทุกคนนั้น ฝึกด้วยเนื้อหาวิชาเดียวกัน ท่าทางทักษะเดียวกัน จึงทำให้ทักษะต่างๆที่สั่งสมมา ทำให้หมู่ของเรา สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ในแต่ละฐานไปได้

System thinking - เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

  ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบทานปลาดิบ จึงชอบดูสารคดีเกี่ยวกับการจับปลา ซึ่งสิ่งที่จะเล่านี้ไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่สัมผัสจากการชมสารคดีการจับ Swordfish และ Tuna 

เมื่อเรือประมงออกสู่ทะเล จะมีการหาแหล่ง Swordfish และ Tuna ที่ชุกชุม การจับปลาเหล่านี้จะจับโดยทอดเบ็ดยาวนับสิบกิโลเมตร ซึ่งสิ่งที่น่าทึ่งคือระยะเวลาที่พวกเขาสามารถจับปลานั้นมีไม่มากนัก จึงทำให้ลูกเรือต้องทำงานเป็นระบบอย่างมาก ทั้งจับปลาขึ้นมา ทั้งทอดเบ็ด ทั้งใส่เหยื่อ และอีกมากมายหลายหน้าที่ แต่หน้าที่มากมายเหล่านี้กลับตกอยู่กับคน 3-4 คนบนเรือเท่านั้น ระบบการทำงานแบบนี้แสดงให้เห็นว่าไต้ก๋ง ต้องความสามารถในการจัดสรรค์งานต่างๆ ให้แก่ลูกเรืออย่างมาก

นางสาวสาธิตา วิตตะ รหัส 555740090-5 sec.12

Personal mastery ดิฉันได้มีโอกาสได้ทำงานระหว่างเรียน ซึ่งก็เป็นความลำบากอยู่เช่นกันในการจัดสรรเวลาแต่ดิฉันก็สามารถจัดสรรเวลาได้ดีโดยที่ไม่เสียทั้งสองอย่าง การทำงานทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อย แต่สาเหตุที่ทำงานไปเรียนไปด้วยเพื่อเป็นการลดภาระของทางบ้าน หลังจากทำงานได้2เดือนดิฉันก็มีเงินเก็บออมจำนวนหนึ่งซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในแต่ละเดือน ดิฉันรู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้แล้วในระดับหนึ่ง แต่ฉันยังมีเป้าหมายที่สำคัญกว่านั้นคือ ดิฉันอยากทำงานและมีค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อที่ดิฉันจะมีเงินเหลือพอที่จะส่งน้องเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้จนสำเร็จ ก็จะถือว่าดิฉันได้ทำตามเป้าหมายและความฝันสำเร็จไปอีกหนึ่งเรื่อง Dialogue

ถือเป็นเรื่องดีที่เราได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้พบเพื่อนใหม่สังคมใหม่ แต่หากเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เราอาจหลงระเริงกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆจนอาจกระทบกับการเรียนได้ ดิฉันก็เช่นกันที่หลงไปกับสภาพแวดล้อมใหม่จนการเรียนเกือบเสียไป แต่เป็นเพราะคำพูดของลุงที่สอนไว้ว่า คนเราจะมีคนส่งเสียเลี้ยงดูได้เต็มที่ก็ถึงอายุ25 มากกว่านั้นเราก็จะกลายเป็นภาระที่ใครก็ไม่อยากรับไว้อีกแล้ว ที่ผ่านมาให้ถือเป็นบทเรียนแล้วทำตัวใหม่ซะในวันที่ยังไม่สายเกินไป หลังจากฟังแล้วดิฉันก็พยามทำทุกทางเพื่อที่จะไม่เป็นภาระของทางบ้านและช่วยแบ่งเบาภาระที่มีอยู่ เวลาที่ดิฉันจะหลงไปกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีก็จะคิดถึงคำพูดนั้นเสมอเพื่อเตือนใจตัวเอง ทุกวันนี้ฉันเป็นคนดีได้เพราะความเอาใจใส่ของคนในครอบครัว

Mental model

ในระดับปริญญาตรีดิฉันได้มีโอกาสไปฝึกงานวิชาสหกิจศึกษาที่บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ทำให้ดิฉันเข้าใจวัตถุประสงค์และเหตุผลที่มีบริษัทประกันชีวิตชัดเจนขึ้น เพราเมื่อก่อนดิฉันมองว่าการทำประกันกลายเป็นเรื่องที่เสี่ยงจะสูญเสียเงินไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่า เนื่องจากเคยประสบปัญหาตัวแทนขายประกันที่ขาดจรรยาบรรณในอาชีพรับเงินไปแล้วแต่ไม่ไปดำเนินการให้เรา แต่พอได้ร่วมงานกับบริษัทก็ทำให้รู้ว่าเราจะสังเกตอย่างไร เลือกที่จะทำประกันแบบใดถึงจะไม่ถูกหลอกอย่างที่ผ่านมา ทำให้ทัศนคติไม่ดีและความเข้าใจผิดหายไปหมด เพราะดิฉันได้เข้าไปเรียนรู้ด้วยตนเอง

Team Learning

หลายครั้งที่ฉันมักจะเลือกทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียว เพราะคิดว่าการทำงานร่วมกับคนอื่นบางครั้งงานก็สำเร็จช้ากว่าที่คิดไว้ แต่การทำงานร่วมกับผู้อื่นก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ฉันมีประสบการณ์การทำงานเป็นทีมที่ประทับใจมากอยู่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมแคมป์เทควันโด ที่เขาใหญ่ครั้งหนึ่ง โดยแคมป์จะแบ่งกลุ่มให้กลุ่มละ8คน คละกันทั้งเด็กเล็กเด็กโต ผู้หญิงและผู้ชาย เราร่วมกิจกรรมกันอย่างสนุกและผ่านได้ทุกด่านจนกระทั่งถึงด่านสุดท้ายเป็นด่านที่จะให้กระดาษหนังสือพิมพ์มาหนึ่งแผ่นแล้วให้ทุกคนยืนอยู่บนนั้นห้ามส่วนใดเหยียบพื้น เราต่างก็หาวิธีต่างๆเพื่อที่จะผ่านด่านด้วยความทุลักทุเล เพราะกลุ่มของเรามีคนตัวใหญ่หลายคน เราออกความเห็นว่าให้นั่งหมอบเป็นฐาน2คนแล้วที่เหลือก็พยามต่อตัวขึ้นไปอยู่บนฐานจนครบ พยายามอยู่หลายทีแต่สุดท้ายเราก็ทำได้สำเร็จ เมื่อสิ้นสุดการทำกิจกรรมแล้วเข้าห้องประชุม พี่ๆแต่ละด่านก็มาสรุปการร่วมกิจกรรม โดยกลุ่มของเราเป็นกลุ่มเดียวที่ผ่านด่านกระดาษหนังสือพิมพ์ได้และได้รับรางวัลในฐานะทีมเวิร์คยอดเยี่ยมเราทุกคนมีความสุขและภูมิใจกับรางวัลนี้มาก

System thinking

ตอนดิฉันมีโอกาสได้ไปฝึกงานก็ได้เรียนรู้ระบบการทำงานของบริษัทประกันแห่งนี้มาระดับหนึ่ง วันหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่ปรากฏว่ามีข้อมูลสูญหายไปจากแฟ้มเอกสาร แต่ทุกคนก็ไม่ได้ตกใจหรือตื่นตระหนกทำให้ดิฉันรู้สึกแปลกใจ จึงถามกับพนักงานพี่เลี้ยงว่าแล้วจะทำอย่างไรกับเอกสาร พนักงานพี่เลี้ยงจึงอธิบายระบบให้ฟังว่าบริษัทมีคนคอยดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงเราแจ้งเขาไป เขาก็จะติดตั้งหรือกูเอกสารนั้นให้ใหม่ ซึ่งอยู่ที่ศูนย์ใหญ่ในกรุงเทพฯเพราะเอกสารทุกอย่างมีความสำคัญเราจึงต้องทำระบบขึ้นมาเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินแบบนี้ ดิฉันรู้สึกประทับใจในการวางแผนรองรับและระบบมที่สามารถแก้ไขสถานะการณ์ได้ทันท่วงทีนี้มาก

นาย ศักดิ์ประชา มณฑาวรุณรุ่ง

นาย ศักดิ์ประชา มณฑาวรุณรุ่ง

MBA. Y 14 sec 12 หรัส 555740085-8

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น ช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีการตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยขอนแก่น ขณะที่ผมเรียนปี 4 เทอม 1 คณะเกษตรศาสตร์ มีวิชาบังคับที่จะต้องลง ชื่อวิชา สถิติเพื่อการวิจัย ประมาณคาบเรียนที่ 3 เป็นต้นไปอาจารย์ได้เล่าเรื่องของหนังสือชุดหนึ่งที่ได้เปลี่ยนชีวิตของอาจารย์คนนั้น โดยที่แรกๆ ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะฟังอะไร ในครั้งที่เริ่มสนใจฟังจริงเพราะ อาจารย์คนนั้นได้บอกว่า “ ในขณะที่อาจารย์ไปเรียนต่อปริญญาเอก อาจารย์ได้อ่านหนังสือชุดทำให้อาจารย์ตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อ ” ผมเลยมีความสงสัยเพราะเท่าที่เห็นอาจารย์ในคณะส่วนใหญ่เมื่อได้ทุนเรียนก็จะไปต่อจนสำเร็จหลักสูตร พอฟังไปฟังมาก็จับใจความได้ เกี่ยวกับอิสรภาพทางการเงิน ทำให้เหมือนมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาในหัวใจผม มีสิ่งที่ต้องการ

Dialogue : ใครเห็น ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ให้ช่วงที่ปัจฉิมนิเทศ ปี4 คณะเกษตรศาสตร์ ภาควิชา ประมง ได้เชิญวิทยากรชื่อ พี่มงคล ศรีทองพิมพ์ มาอบรมก่อนที่จะจนออกไปทำงานหรือการเรียนต่อ ในหลักสูตรที่อบรมเกี่ยวกับ พลังของจิตใต้สำนึก ฟังดูก็แปลกๆ ไม่อยากไปกันแต่ก็ต้องเข้าทำกิจกรรมเพราะมีการบังคับเข้าทำกิจกรรม พอทำกิจกรรมก็อบรม ทำให้ได้รู้ว่าการการที่คนคนหนึ่งไม่สามารถทำให้ในสิ่งบ้างสิ่งได้ได้เกิดจากขีดจำกัดที่คนคนนั้นสร้างขึ้นมาเอง และความคิดเป็นสิ่งที่มีพลังสามารถที่จะแปลงเปลี่ยนได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากที่จบการอบรมในครั้งที่นั้นทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวิธีคิด ขึ้นมาจากเดิม

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น เรื่องที่ก่อนขึ้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมาตอน ม.5 การได้ไปทัศนศึกษาดูที่โรงเรียนอัสสัมชัญที่ประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่มีกฎระเบียบเป็นอันดับต้นต้นของโลก เมื่อไปถึงที่สิ่งที่ผมคิดว่าที่เป็นข้อแตกต่างแรกที่เห็นได้ชัดเป็นเรื่องคนสะอาดที่ผิดกับบ้านเมืองที่เราอยู่ ไม่ที่กฎเข้มแข็งแต่กลับเป็นที่การปลูกฝังของคนสิงคโปร์ เพื่อนที่เป็นนักเรียนชาวสิงคโปร์สิ่งที่ไม่ถูกต้องเค้าจะบอกเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรทำ มิได้บอกว่าไม่ถูกตามกฎตามแต่อย่างใด เรื่องตามมาระบบเรียนจะเน้นการให้ออกความคิดเห็นซักส่วนทำให้รู้สึกถึงความแตกต่าง เรื่องต่อไปของความเสรีของวัฒนธรรมจะออกไปทางตะวันออกมากกว่าประเทศของเรา

Team Learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีม มาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย ขณะเป็นช่วงตอนที่เรียนอยู่ปี 3 มหาวิทยาลัยของแก่น ผมมีงานอดิเรกเป็นการเต้น Breakdance ได้เตรียมตัวไปแข่งขันระดับภาค ได้มีการออกแบบชุดทีม มีการตัดสินใจและทำโลโก้โดยมีพี่ๆน้องๆที่อยู่คณะสถาปัตช่วยออกแบบ หลังจากก็ได้เลือกเพลงที่จะใช้ ถึงจะมีการตัดสินใจเลือกเพลงโดยการให้แต่คนมีการเสนอและบอกเหตุผลในการแลกเพลง ก็โครงสร้างในสิ่งที่จะสือในเห็นตัดเพลงแล้ว ออกแบบท่าเต้น โดยส่วนที่ผ่านมาเป็นเวลา 2เดือนกว่าและซ้อมให้จำได้เป็นเลาอีก 2 เดือน ถึงจะไม่ได้รางวัลและปัญหาในการคิดการซ้อมก็มีอยู่แล้ว แต่ทีมของพวกผม ได้ผ่านมาได้โดยที่มีความสุข และสนิทกันมากขึ้น

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสเป็นระบบที่ดี ระบบที่ได้สัมพัสเป็นระที่ความคิดในตัวที่เริ่มและเต้น breakdance ที่ทำให้คิดว่าเราเป็นอย่างไรละจะทำอะไรตามไป ตัวอย่าง ในขณะที่เรื่มตัวโดยที่ไม่มีพื้นฐานในการเต้นที่ถูกต้อง จะทำให้พอเต้นไประยะหนึ่งจะไม่รู้แนวทางในการเต้นของตัวเอง เนื่องจากการเต้นจะทำให้เป็นรูปแบบเฉพาะตัวไม่จำเป็นที่จะต้องดูเหมือนกับคนอื่นแต่ต้องดึงเอาเอกลักษณ์ที่มีออกมา ดังเช่นศิลปินที่กำลังบันเลงบทเพลงบนเวที ระบบความคิดที่ให้ลองทำแล้วค่อยตัดสินว่าทำได้หรือไม่ได้ที่ทำไม่ได้เพราะอะไร จะแก้ไขได้อย่างไร และเข้ากับรูปแบบการเต้นของเราหรือไม่

มนตรี เตียวศิริมงคล

มนตรี เตียวศิริมงคล 555740611-3 Y#14 Sec12

Personal Mastery "ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น"

ตอนปี 1 เข้ามาเป็นนักศึกษาปริญญาตรีใหม่ๆมีเพื่อนชวนไปฟังการทำธุรกิจซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นบริษัทประเภท MLM พอเข้าไปฟังก็ทำให้เหมือนชีวิตมีเป้าหมายมากขึ้นจากที่ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเลยว่าชีวิตต้องการจะเป็นอะไรจะเดินไปทางไหน ทำไมถึงเลือกคณะนี้ตอนเรียนปริญญาตรี แต่พอเข้าไปฟังแม้ว่าตอนแรกจะเคลิ้มตามกับที่ผู้บรรยายเป่าหูถึงสิ่งที่จะได้ แต่ก็ทำให้รู้ว่าชีวิตต้องการจะเดินไปทางไหนกันแน่ เข้าใจเรื่องต่างมากๆขึ้นว่าอยากทำอะไร แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้ไปทำพวกบริษัท MLM แบบที่โดนชวนไปตอนแรก แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนที่พาเข้าไปเปิดหูเปิดตาว่าจริงๆแล้วตัวเองอยากเป็นอะไรกันแน่และก็ได้กำลังเดินไปตามทางที่คิดไว้แล้ว

Dialouge "ครั้งไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี"

จากการที่ได้ดูรายการ The Idol คนบันดาลใจ และได้ฟังถึงประวัติชีวิตของผู้คนต่างๆที่ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะบุคคลที่เริ่มต้นจาก 0 หรือเกือบจะไม่มีอะไรเลยเช่น อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูล หรือ คุณตัน ภาสกรนที สิ่งที่ผู้คนเล่านี้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆซึ่งล้วนมาจากประสบการณ์ขีวิต เริ่มต้นขึ้นมาได้ยังไง เคยล้มมากี่ครั้ง และลุกขึ้นมาใหม่ได้ยังไงเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น การได้แรงบันดาลใจจากผู้ที่ประสบความสำเร็จก็เป็นเหมือนเชื้อเพลงที่ขับเคลื่อนให้เราเดินต่อไปได้แม้ว่า คนที่สำเร็จนั้นจะเป็นเหมือนยอดผู้เขาน้ำแข็งที่ปริ่มขึ้นมาจากทะเลเพราะยังมีอีกมากที่ล้มเหลวฉะนั้น การได้ข้อคิดจากคนเหล่านี้ย่อมเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า

Mental Mode "ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น"

จากการได้ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ประเทศจีนเป็นเวลา 1 เดือนครั้งทำให้เหมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์เป็นอย่างมาก เพราะเหมือนจากการได้ออกจากถ้ำไปเจออะไรใหม่ๆ ได้เห็นอะไรมากขึ้น เห็นสิ่งที่แปลกไปจากที่เราเห็นอยู่ทุกๆวันเช่นการใช้ชีวิต วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี แม้กระทั่งความขยันสู้ชีวิตของประเทศที่ได้ชื่อว่ามีประชากรเยอะที่สุดในโลกว่าเค้ามีอัตราการแข่งขันระหว่างกันในชีวิตประจำวันมากแค่ไหน ทำให้เรารู้สึกเปิดหูเปิดตามีเป้าหมายในชีวิต มีมุมมมองใหม่ๆ มีความคิดที่จะอยากติดต่อสื่อสารกับคนจีนเพื่อเป็น connection ในอนาคต

Team Learning "ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด"

ตอนที่ไปจีนมาเช่นกันนักศึกษา 9 คนจะต้องทำการแสดงวัฒนธรรมไทยให้แก่นักศึกษาจีนดูแต่ในวันนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ของทางประเทศจีนได้มาเยี่ยมเยียนมหาลัยนั้นพอดี ทำให้เราต้องแสดงให้พวกท่านเหล่านั้นดูด้วย ซึ้งถึงเป็นงานใหญ่และเป็นหน้าเป็นตาของทางมหาลัย แต่ทางมหาลัยให้เวลาเราเตรียมตัวน้อยมากทำให้เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเอาเองโดยที่แต่ละคนจะต้องแยกกันไปเตรียมตัว และใครมีความสามารถด้านไหนจะต้องไปทำด้านนั้นเช่น ผู้หญิงที่มีความสามารถด้านแต่งหน้าทำผมจะต้องช่วยทำให้เพื่อน และผมจะต้องประสานงานกับอาจารย์คนจีนในการขอดีเลย์เวลาและติดต่อเรื่องรถมารับ ซึ่งการที่เรามีเวลาเหลือน้อยจึงต้องวางแผนกันอย่างรอบครอบ แต่สุดท้ายงานก็ผ่านไปได้ด้วยดีได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก

System Thinking "เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี"

จากการได้ไปศึกษาดูงานที่ Bangkok Post ทำให้ได้เข้าไปดูระบบต่างๆของทางบริษัททำให้เราเห็นถึงการจัดการระบบขององค์กรที่ดี อย่างเช่นการดูแลพนักงงานของทางบริษัทที่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับการพักผ่อนและมีรถรับส่งพนักงานไปยังที่สำคัญต่างๆ และยังมีระบบการจัดการสั่งซื้อสินค้าเช่นเยื่อกระดาษที่จะไม่สั่งทั้งหมดจากบริษัทเดียวแต่จะทำการสั่งจากหลายๆบริษัทเพื่อป้องกันการผูกขาดการขายสินค้าและถ้ามีบริษัทไหนสั่งสินค้าให้ไม่ได้ก็ยังมีบริษัทอื่นทดแทน จากการที่บริษัท Bangkok Post มีระบบการจัดการที่เยี่ยมยอดทำให้เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่มีอายุยาวนานที่สุดของไทย

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ 555740044-2 Y#14 Sec.11

Personal Mastery - ครั้งใดที่ไปทำอะไรมา รู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

ตอนที่ผมเรียนอยู่ ปี 2 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป กทม. คนเดียวหลายๆ ครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปพัก

โรงแรมแถวสุขุมวิท ซึ่งแถวที่ผมอยู่ เรียกได้ว่าเป็นโซนธุรกิจของประเทศเลยทีเดียว เมื่อผมเดินเข้าไปที่ Lobby ของโรงแรม

พนักงานต้อนรับได้ทักทายเป็นภาษาอังกฤษ และสนทนากับผมเป็นภาษาอังกฤษ โดยที่ใบหน้าของผมเองก็ไม่เหมือนฝรั่งซักนิด ซึ่ง

เหตุการณ์วันนั้นเองก็ทำให้ผมเข้าใจว่า ภาษาอังกฤษ มีความจำเป็นต่อเราอย่างมากในปัจจุบัน และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ตั้ง

เป้าหมายกับตนเองว่า จะตั้งใจเรียนและฝึกฝนภาษาอังกฤษ จนสามารถสนทนาให้ได้มากกว่านี้

Dialogu - ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

เมื่อครั้งผมเรียนอยู่ชั้น ม.6 วันนั้นเป็นวันเปิดเทอม ผมก็ได้พบกับเพื่อนเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ของโรงเรียน แต่สิ่ง

ใหม่ที่ผมได้พบก็คือ อาจารย์ประจำชั้นคนใหม่ อาจารย์ชื่อว่า อ.อุทัยรัศมี สกุลคู ท่านเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนี้มาหลายปีมากแล้ว

สมัยที่ผมอยู่มาตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.5 ผมก็ได้พบกับอาจารย์คนนี้บ่อยๆ แต่ไม่เคยเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์เลย เพราะบุคลิกของ

อาจารย์ท่านนี้ ดูเป็นอาจารย์ที่เจ้าระเบียบและดุ แต่วันนั้นเองทำให้ความคิดต่างๆ ที่ผมเคยคิดเปลี่ยนแปลงไป อาจารย์ท่านนี้ใจดี

ถึงขนาดใจดีมาก ท่านเป็นคนธรรมะ ธรรมโม ชอบไปวัด ทำบุญทำทาน และท่านก็จะพาพวกผมที่เป็นเด็กประจำชั้นของท่านไป

วัดประจำ

สิ่งที่ทำให้ผมได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้รู้จักกับอาจารย์ท่านนี้คือ ท่านเป็นคนที่ชอบสอนอะไรดีๆ ที่ผมใช้ในการ

ดำรงชีวิตปัจจุบัน ท่านสอนให้รู้จักคิด ไตร่ตรองก่อนทำอะไรต่างๆ การทดแทนคุณ การทำบุญทำทาน การมีเมตตาต่อผู้อื่นและสัตว์

ต่างๆ ซึ่งผมและเพื่อนๆ ในห้องจะได้ฟังท่านสอนทุกวันที่ไปโรงเรียน เพราะจะได้เจอกับท่านช่วงเช้าและเวลาเลิกเรียน และจาก

นั้นเป็นต้นมา นิสัยของผมก็กลายคนเป็นที่ชอบคิดอะไรให้มากๆ ก่อนที่จะทำสิ่งๆ นั้นลงไป

Mental model - ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

ตอนที่เรียน ปี 3 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มีโอกาสไปดูงานกับภาควิชาที่ได้จัดขึ้น และวันนั้นได้มี

โอกาสไปดูงานที่ Thomson Reuter องค์กรนี้เป็นองค์กรเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟแวร์ โดยมีความโดดในการพัฒนาซอฟแวร์

เกี่ยวกับการเงิน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาตัวเองคือ ผมได้มาสัมผัสกับองค์กรที่มีการพัฒนาซอฟแวร์ในระดับนานาชาติ ได้

เห็นระบบการทำงานต่างๆ ที่น่าทึ่ง ในตอนนั้นเองก็แอบมีความหวังเล็กๆ ว่าอยากทำงานในองค์กรลักษณะนี้ แต่สุดท้าย งานใน

อนาคตของตัวเราเอง ก็ต้องเป็นงานที่เราเอง ต้องมาช่วยครอบครัวดำเนินกิจการต่อไป

Team Learning - ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย

สมัยที่เรียน รด. ช่วงมัธยมปลาย ในปีสุดท้ายต้องมีการไปเข้าค่ายที่ค่ายทหาร ในการหว่างการเข้าค่าย ทุกวันก็จะมี

กิจกรรมต่างๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกที่ทำไม เพื่อนๆที่อยู่ในหมู่เดียวกันกับเรา ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับต้องมีการ

เข้าฐาน ที่ต้องใช้การทำงานเป็นทีม รวมทั้งการกินอยู่ในระหว่างวันก็ต้องมาการเอื้อเฟื้อกัน โดยไม่สนว่ารู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อคิด

ไปคิดมา ก็คิดขึ้นได้ว่า ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จะมีการฝึกเพียงระยะสั้นๆในแต่ละปี ทุกคนนั้น ฝึกด้วยเนื้อหาวิชาเดียวกัน ท่าทาง

ทักษะเดียวกัน จึงทำให้ทักษะต่างๆที่สั่งสมมา ทำให้หมู่ของเรา สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ในแต่ละฐานไปได้

System thinking - เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบทานปลาดิบ จึงชอบดูสารคดีเกี่ยวกับการจับปลา ซึ่งสิ่งที่จะเล่านี้ไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่สัมผัส

จากการชมสารคดีการจับ Swordfish และ Tuna

เมื่อเรือประมงออกสู่ทะเล จะมีการหาแหล่ง Swordfish และ Tuna ที่ชุกชุม การจับปลาเหล่านี้จะจับโดยทอดเบ็ดยาวนับสิบกิโลเมตร ซึ่งสิ่งที่น่าทึ่งคือระยะเวลาที่พวกเขาสามารถจับปลานั้นมีไม่มากนัก จึงทำให้ลูกเรือต้องทำงานเป็นระบบอย่างมาก ทั้งจับปลาขึ้นมา ทั้งทอดเบ็ด ทั้งใส่เหยื่อ และอีกมากมายหลายหน้าที่ แต่หน้าที่มากมายเหล่านี้กลับตกอยู่กับคน 3-4 คนบนเรือเท่านั้น ระบบการทำงานแบบนี้แสดงให้เห็นว่าไต้ก๋ง ต้องความสามารถในการจัดสรรค์งานต่างๆ ให้แก่ลูกเรืออย่างมาก

นางสาวมัสลิน ปูนอน MBA Y#14 Sec.12 รหัส 555740008-6

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) : ช่วงที่เรียนอยู่ระดับปริญญาตรี ดิฉันได้ย้ายคณะและสาขาที่เรียนอยู่หลายครั้งทำให้ดิฉันเรียนจบช้าและดิฉันยังไม่ค่อยตั้งใจเรียน ติดเพื่อน ติดเที่ยว เมื่อเวลาล่วงเลยไปโดยที่ดิฉันได้ทำตัวที่ไม่ดีมาตลอดเป็นเวลาเกือบ 2 ปี และวันที่ดิฉันคิดได้นั้นคือวันที่รุ่นน้องโทรมาบอกให้ไปถ่ายรูปด้วยในวันที่รับปริญญา ดิฉันรู้สึกว่าทำไมน้องๆถึงรับริญญาและได้ทำงานก่อนดิฉันและยิ่งได้พูดคุยในช่วงงานเลี้ยงทานข้าว รุ่นน้องพูดถึงชีวิตการทำงานหาเงินใช้เองนั้นลำบากกว่าตอนเรียนเป็นไหนๆ ช่วงเรียนก็แค่ตั้งใจเรียนแบมือขอเงินพ่อแม่ ไม่มีเงินก็ขอ เงินได้มาง่ายมากจากการขอ แตกต่างจากการทำงานที่เงินหายากมาก อุปสรรค์เยอะกว่าจะหาเงินมาได้เจอใครดุด่าบ้าง โดนลดเงิน หักเงินจากการทำผิดพลาดและต่างๆอีกมากมาย เมื่อดิฉันนึกย้อนกลับไปที่ตัวเองว่าแล้วเรามัวทำอะไรอยู่ อายุขนาดนี้ควรจะต้องมีการเงินทำแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงเริ่มตั้งใจเรียนและดิฉันก็ทำสำเร็จในการตั้งใจเรียนมันทำให้ดิฉันจบในเวลาอันสั้นและเกรดก็ไม่ได้ขี้เหร่มากมายแต่ในช่วงที่เรียนนั้นดิฉันพอมีเวลาว่างในการหารายได้อีกด้วยทำให้ดิฉันไม่ค่อยได้รบกวนเงินจากพ่อแม่มากนักและทำให้ดิฉันรู้ว่าดิฉันควรทำอะไรในอนาคตที่จะสามารถมีรายได้ที่ดี

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) : ในวันรวมญาติเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ดิฉันได้ฟังเรื่องของลูกพี่ลูกน้องที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินไทยเงินเดือนค่อนข้างสูงแต่พี่เค้าก็ยังสามารถเอางานอดิเรกและสิ่งที่ตนเองชอบมาพลิกเป็นโอกาสในการหารายได้พอเศษเล็กๆน้อยๆได้นั้นคือ การทำน้ำหอมแห้งที่สามารถนำขึ้นเครื่องไปขายบนเครื่องได้อีกด้วยและที่สำคัญที่สุดคือ พี่เค้าทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่หาวัตถุดิบ ทำแพคเกตจิ้ง และจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า พี่เค้าจะเน้นขายทาง Social Network และผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก จากธุรกิจเล็กๆจึงเริ่มเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆจนเป็นแบรนด์ที่ได้ลงนิตยสารและเป็นแบรนด์ที่โด่งดังเพราะเป็นแบรนด์แรกที่ทำน้ำหอมแห้งขายในประเทศไทย หลังจากที่ดิฉันได้ฟังเรื่องราวของลูกพี่ลูกน้องของดิฉันจึงทำให้เกิดความคิดที่ดิฉันจะต้องหาธุรกิจจากสิ่งรอบๆตัวหรือสิ่งที่ดิฉันชอบบ้างแล้ว ดิฉันชอบบำรุงผิวพรรณ เสียเงินจากการซื้อครีม โลชั่นต่างๆเยอะมากและที่สำคัญคือชอบสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต ดิฉันจึงเริ่มหาช่องทางในการทำธุรกิจนี้ หลังจากนั้นประมานครึ่งปีดิฉันก็ได้เริ่มขายครีมใน Social Network ต่างๆและผ่านไปประมาณ 1 ปีดิฉันก็ได้เริ่มทำแบรนด์ของตนเองและในตอนนี้ดิฉันมีรายได้จากการขายค่อนข้างดีและไม่ได้รบกวนเงินจากทางบ้านตั้งแต่เรียนใน 2 ปีสุดท้ายของปริญญาตรีจนถึงปัจจุบันนี้ดิฉันได้ทำธุรกิจนี้เต็มตัวทั้งมีหน้าร้านและขายผ่านออนไลน์

Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) : ประมาณมัธยมศึกษาปีที่ 4 ดิฉันได้มีโอกาสแอบหนีเที่ยวไปที่งาน Pattaya Music Festival โดยไปกับเพื่อนสนิทผู้หญิงอีก 1 คน ได้เดินทางโดยรถประจำทาง เป็นการเดินทางที่ไม่มีแผนอะไรเลยคิดแค่ว่าอยากไปดูนักร้องร้องเพลงเท่านั้นและเป็นการเดินทางที่ไกลที่สุดในวัยเพียง 15 ปีที่เดินทางโดยไม่มีผู้ปกครอง มีความรู้สึกที่กลัวมากแต่ก็ตื่นเต้น และท้าทาย เมื่อเดินทางไปถึงก็ได้ลองขึ้นรถสองแถว ได้เดินหาโรงแรม ได้เดินชมเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยก็รู้สึกตื่นตา ตื่นใจอย่างมาก เพราะได้ทำ ได้เจอในสิ่งที่ไม่เคยมาก่อนในชีวิต และได้เห็นความมีน้ำใจของคนไทยที่ช่วยเหลือไม่ว่าจะบอกทาง แนะนำร้านอาหาร ตอบทุกคำถามที่ดิฉันถามเป็นอย่างดีและยังเจอคนใจดีไม่เก็บค่ารถด้วยเมื่อรู้ว่าดิฉันยังเด็กและไม่ได้มากะผู้ปกครอง และเป็นความโชคดีที่ดิฉันไม่ได้เจอสังคมในด้านที่แย่ๆและกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย แต่เมื่อถึงบ้านด้วยความที่พ่อแม่เป็นห่วงก็โดนดุเป็นเดือนเลยคะ

Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) : ดิฉันได้มีโอกาสฝึกงานช่วงปริญญาตรี ปี 3 ดิฉันได้ฝึกงานที่สำนักงานไปรษณีย์เขต 4 ในแผนกส่วนการตลาด และในแผนกนี้ส่วนมากจะทำในส่วนของการตลาดทั้งหมด เช่น การจัดงานอีเว้น ออกบูธต่างๆ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นงานที่ต้องทำเป็นทีมทั้งนั้น และในช่วงที่ดิฉันฝึกงานก็ได้มีงานอีเว้นที่ค่อนข้างใหญ่ของทางไปรษณีย์ที่โรงแรมโฆษะ ด้วยที่ดิฉันไปฝึกงานคนเดียวและพี่ๆในแผนกมีกันแค่ 3 คน จึงทำให้มีคนทำน้อยและมีเวลาจัดเตรียมเพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น จึงต้องแบ่งงานหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน แบ่งงานจากความสามารถที่แต่ละคนถนัดที่สุดก่อนและดิฉันได้มองเห็นถึงความมีน้ำใจของพี่ๆที่ช่วยให้คำแนะนำ ปรึกษาในสิ่งที่ดิฉันไม่เข้าใจอย่างใจได้เป็นอย่างดีและไม่เอาเปรียบ ไม่มีอู้งาน งานตัวเองเสร็จก็ไม่กลับก่อนแต่กลับช่วยงานคนที่ยังไม่เสร็จ เพราะความสามัคคีช่วยเหลือและวางแผนกันเป็นอย่างดีจึงทำให้งานเสร็จเร็วและออกดีมาก ได้รับคำชมจากผู้หลักผู้ใหญ่มากมาย งานนนี้ได้ทั้งคำแนะนำ ความรู้เยอะแยะที่สำคัญคือได้เห็นถึงการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิ์ภาพ งานจะออกมาดีได้ทุกคนต้องร่วมมือ ลงแรงอย่างเต็มความสามารถ

System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) : ดิฉันขายของผ่าน Social Network จึงต้องมีการใช้บริการขนส่งต่างๆ ดิฉันเปรียบเทียบการทำงานของบริษัทเอกชนขนส่งและไปรษณีย์ ดิฉันชอบการทำงานของบริษัทขนส่งเอกชนเพราะมีการบริการที่รวดเร็วและสินค้าไม่ค่อยเสียหายหรือไม่เสียหายเลย มีการประกันสินค้าที่สูงกว่า ทำให้เราได้รู้ว่าการกระจายสินค้าของระบบขนส่งของบริษัทเอกชนค่อนข้างเป็นระบบมากกว่ามีการใส่ใจในสินค้าของลูกค้ามากกว่าสามารถบอกลูกค้าได้ว่าสินค้าตอนนี้อยู่ที่ไหนและสำคัญที่สุดคือ ส่วนมาก 1 วันจะได้รับสินค้าเลยทั่วประเทศแต่จะมีบางพื้นที่เท่านั้นที่อาจจะ 2 วันและราคาค่าขนส่งถ้าขนาดเล็ก น้ำหนักไม่เยอะมากก็ราคาใกล้เคียงกับไปรษณีย์ แต่ถ้าน้ำหนักเยอะราคาถูกกว่าทางไปรษณีย์เยอะมากและได้เร็วกว่าของเสียหายน้อยกว่า แต่ที่ยังสู้ไปรษณีย์ไม่ได้คือการบริการยังไปไม่ถึงทุกพื้นที่โดยเฉพาะในอำเภอที่ห่างไกล

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ 555740044-2 Y#14 Sec.11

Personal Mastery - ครั้งใดที่ไปทำอะไรมา รู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

ตอนที่ผมเรียนอยู่ ปี 2 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป กทม. คนเดียวหลายๆ ครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปพักโรงแรมแถวสุขุมวิท ซึ่งแถวที่ผมอยู่ เรียกได้ว่าเป็นโซนธุรกิจของประเทศเลยทีเดียว เมื่อผมเดินเข้าไปที่ Lobby ของโรงแรม พนักงานต้อนรับได้ทักทายเป็นภาษาอังกฤษ และสนทนากับผมเป็นภาษาอังกฤษ โดยที่ใบหน้าของผมเองก็ไม่เหมือนฝรั่งซักนิด ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นเองก็ทำให้ผมเข้าใจว่า ภาษาอังกฤษ มีความจำเป็นต่อเราอย่างมากในปัจจุบัน และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ตั้งเป้าหมายกับตนเองว่า จะตั้งใจเรียนและฝึกฝนภาษาอังกฤษ จนสามารถสนทนาให้ได้มากกว่านี้

Dialogu - ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

เมื่อครั้งผมเรียนอยู่ชั้น ม.6 วันนั้นเป็นวันเปิดเทอม ผมก็ได้พบกับเพื่อนเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ของโรงเรียน แต่สิ่งใหม่ที่ผมได้พบก็คือ อาจารย์ประจำชั้นคนใหม่ อาจารย์ชื่อว่า อ.อุทัยรัศมี สกุลคู ท่านเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนี้มาหลายปีมากแล้ว สมัยที่ผมอยู่มาตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.5 ผมก็ได้พบกับอาจารย์คนนี้บ่อยๆ แต่ไม่เคยเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์เลย เพราะบุคลิกของอาจารย์ท่านนี้ ดูเป็นอาจารย์ที่เจ้าระเบียบและดุ แต่วันนั้นเองทำให้ความคิดต่างๆ ที่ผมเคยคิดเปลี่ยนแปลงไป อาจารย์ท่านนี้ใจดี ถึงขนาดใจดีมาก ท่านเป็นคนธรรมะ ธรรมโม ชอบไปวัด ทำบุญทำทาน และท่านก็จะพาพวกผมที่เป็นเด็กประจำชั้นของท่านไปวัดประจำ
สิ่งที่ทำให้ผมได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้รู้จักกับอาจารย์ท่านนี้คือ ท่านเป็นคนที่ชอบสอนอะไรดีๆ ที่ผมใช้ในการดำรงชีวิตปัจจุบัน ท่านสอนให้รู้จักคิด ไตร่ตรองก่อนทำอะไรต่างๆ การทดแทนคุณ การทำบุญทำทาน การมีเมตตาต่อผู้อื่นและสัตว์ต่างๆ ซึ่งผมและเพื่อนๆ ในห้องจะได้ฟังท่านสอนทุกวันที่ไปโรงเรียน เพราะจะได้เจอกับท่านช่วงเช้าและเวลาเลิกเรียน และจากนั้นเป็นต้นมา นิสัยของผมก็กลายคนเป็นที่ชอบคิดอะไรให้มากๆ ก่อนที่จะทำสิ่งๆ นั้นลงไป

Mental model - ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

ตอนที่เรียน ปี 3 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มีโอกาสไปดูงานกับภาควิชาที่ได้จัดขึ้น และวันนั้นได้มีโอกาสไปดูงานที่ Thomson Reuter องค์กรนี้เป็นองค์กรเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟแวร์ โดยมีความโดดในการพัฒนาซอฟแวร์เกี่ยวกับการเงิน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาตัวเองคือ ผมได้มาสัมผัสกับองค์กรที่มีการพัฒนาซอฟแวร์ในระดับนานาชาติ ได้เห็นระบบการทำงานต่างๆ ที่น่าทึ่ง ในตอนนั้นเองก็แอบมีความหวังเล็กๆ ว่าอยากทำงานในองค์กรลักษณะนี้ แต่สุดท้าย งานในอนาคตของตัวเราเอง ก็ต้องเป็นงานที่เราเอง ต้องมาช่วยครอบครัวดำเนินกิจการต่อไป

Team Learning - ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย

สมัยที่เรียน รด. ช่วงมัธยมปลาย ในปีสุดท้ายต้องมีการไปเข้าค่ายที่ค่ายทหาร ในการหว่างการเข้าค่าย ทุกวันก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกที่ทำไม เพื่อนๆที่อยู่ในหมู่เดียวกันกับเรา ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับต้องมีการเข้าฐาน ที่ต้องใช้การทำงานเป็นทีม รวมทั้งการกินอยู่ในระหว่างวันก็ต้องมาการเอื้อเฟื้อกัน โดยไม่สนว่ารู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อคิดไปคิดมา ก็คิดขึ้นได้ว่า ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จะมีการฝึกเพียงระยะสั้นๆในแต่ละปี ทุกคนนั้น ฝึกด้วยเนื้อหาวิชาเดียวกัน ท่าทางทักษะเดียวกัน จึงทำให้ทักษะต่างๆที่สั่งสมมา ทำให้หมู่ของเรา สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ในแต่ละฐานไปได้

System thinking - เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบทานปลาดิบ จึงชอบดูสารคดีเกี่ยวกับการจับปลา ซึ่งสิ่งที่จะเล่านี้ไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง แต่สัมผัสจากการชมสารคดีการจับ Swordfish และ Tuna 
เมื่อเรือประมงออกสู่ทะเล จะมีการหาแหล่ง Swordfish และ Tuna ที่ชุกชุม การจับปลาเหล่านี้จะจับโดยทอดเบ็ดยาวนับสิบกิโลเมตร ซึ่งสิ่งที่น่าทึ่งคือระยะเวลาที่พวกเขาสามารถจับปลานั้นมีไม่มากนัก จึงทำให้ลูกเรือต้องทำงานเป็นระบบอย่างมาก ทั้งจับปลาขึ้นมา ทั้งทอดเบ็ด ทั้งใส่เหยื่อ และอีกมากมายหลายหน้าที่ แต่หน้าที่มากมายเหล่านี้กลับตกอยู่กับคน 3-4 คนบนเรือเท่านั้น ระบบการทำงานแบบนี้แสดงให้เห็นว่าไต้ก๋ง ต้องความสามารถในการจัดสรรค์งานต่างๆ ให้แก่ลูกเรืออย่างมาก

นายสิทธิพงษ์ พันธุ์กาฬสินธุ์ รหัส 555740091-3

Personal Mastery ช่วงผมอายุระหว่างสิบสามสิบสี่ปีผมไม่เคยคิดเกี่ยวกับเป้าหมายอะไรทั้งนั้นในชีวิตช่วงนั้นมีแต่เล่นกับเล่นซะมากกว่า ผมเล่นมากจนเกรดเฉลี่ยในตอน ม.1 ผมได้1.93 ผมก้ยังไม่สนใจกับเกรดมาก ก็ปล่อยไปตามประสาเด็กๆ จนขึ้นมา ม.2 ผมก้ยังดำเนินชีวิตแบบเก่า คือเล่นกับเล่น แต่เกรดเฉลี่ยผมก็ไม่เครือบคลายไปไหนแต่ก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่นิดเดียวเป็น2.18 จนกระทั้งขึ้นมา ม.3 ได้มีอาจารย์แนะแนวมาแนะแนวเกี่ยวกับการเรียนต่อเพื่อขึ้นชั้น ม.4 ตั้งได้เกรดเฉลี่ยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า2.30 ผมได้ฟังเช่นนั้นแล้วมันยิ่งทำให้ผมถีบตัวเองมากขึ้นตั้งเป้าหมายกับตัวเองเลิกเล่นเลิกเที่ยว หาที่เรียนพิเศษทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะเรียน ผมขยันขึ้นมากกว่าแต่ก่อน จนเกรดเฉลี่ยเทอมแรกออกมาผมได้เพิ่มมากขึ้นเป็น2.91 แต่เกรดเฉลี่ยรวมแล้วผมยังได้แค่2.20 ยังไม่ถึง2.30 เทอมที่สองต่อมาจนก็ขยันให้มากขึ้นเล่นให้น้อยลงเช่นเทอมแรก ตั้งใจสอบตั้งใจอ่านหนังสือ จนกระทั้งผลสอบออกมาเกรดเฉลี่ยผมเพิ่มขึ้นเป็น2.97 เกรดเฉลี่รวมแล้วผมได้2.33ผ่านเกรนพอดี จากนั้นมาทำให้ผมรู้ว่าเราไม่ควรใช้ชีวิตไปวันๆ ควรที่จะตั้งเป้าหมายกำหนดเป้าหมายในชีวิต

Dialogue ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงมีความสับสนใจชีวิตบ้างไม่มากก็น้อย ผมเองก็เช่นกันหลังจากที่ผมเรียนจบปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมก็ได้คุยกับเพื่อนๆหลายๆคนว่าจะไปทำอะไรกันต่อ บ้างก็เรียนต่อ บ้างก็ทำงาน บ้างก็ทำธุรกิจส่วนตัว ผมจึงเลือกตัดสินใจที่จะศึกษาต่อที่เนติบัณฑิตยสภา ผมศึกษาต่อที่นั้นเป็นเวลาปีครึ่งไม่ประสบความสำเร็จตามที่วางแผนไว้ ช่วงนั้นผมกลุ้มใจมาก คิดว่าจะเรียนต่อหรือจะทำงานดี ผมไม่อยากขอเงินแม่ใช้แล้ว ผมจึงเลือกที่จะหางานทำ แต่พอผมกลับมาบ้านแม่ผมก้มาเปลี่ยนความคิดผมให้ผมไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาบริหาร ซึ่งเบนเข้มในสายที่ผมเรียนมาเลยถ้าผมไปเรียนต่อผมก้ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ ช่วงนั้นผมเครียดมาก ผมจึงมาฟังคลิปที่youtube ของท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เรื่อง"คิดบวกชีวิตบวก"ผมฟังแล้วผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยทำให้ผมกล้าที่จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นผมจึงตัดสินใจมาสอบเพื่อศึกษาต่อที่MBAทำให้ผมมีแนวคิดที่ดีๆเปลี่ยนไปมากขึ้นเลย

Mental model สมัยผมยังเด็กๆเรียนประถมอยู่ช่วงนั้นคอมพิวเตอร์จะไม่มีมากมายอย่างเช่นทุกวันนี้ ผมไม่เคยจับคอมพิวเตอร์เลยผมคิดว่ามันเป้นเครื่องอะไรที่ซับซ้อนมากคงเล่นยากน่าดูเลยไม่กล้าที่จะลองเข้าไปเล่นในร้านคอมพิวเตอร์(ด้วยความเป็นเด็กบ้านนอก)จนกระทั่งผมขึ้นม.1ได้เรียนวิชาคอมพิวเตอร์ครั้งแรกในชีวิต จึงได้ไปสัมผัสกับมันตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเปิดปิดเครื่องยังไงด้วยความว่ากลัวมากเวลาเกิดอะไรขึ้นทำอะไรไม่เป็นผมกดปุ่มพาวเวอร์ปิดเครื่องเปิดเครื่องใหม่อย่างเดียว จากนั้นอาจารย์เริ่มมีงานสั่งการบ้านให้ไปทำผมจึงตัดสินใจเข้าร้านคอมพิวเตอร์โดยมีเพื่อนไปด้วยผมกับเพื่อนได้ไปเล่นเกมส์เล่นอินเตอร์เน็ตเข้าเวบไซต์อะไรต่างๆจนเปิดหูเปิดตาตัวเองมากขึ้น จนทำให้ผมไม่กลัวที่จะทำอะไรที่ไม่เคยทำอีกต่อไป

Team Learning ช่วงที่ผมเรียนปริญญาตรีอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตอนนั้นปี3ผมได้มาสมัครเป้นพี่ว๊ากหรือStaff ที่คณะและได้รับคัดเลือกให้เป็น ช่วงก่อนที่จะเปิดเรียนเพื่อต้อนรับน้องใหม่ทางกลุ่มรุ่นพี่Staff ได้มีการมาฝึกซ้อมเทคนิคการว๊าก การฝึกเสียงอยู่ทุกๆวันเพื่อไม่ให้มีการผิดพลาดเวลาลงสนามจริง ได้มีการจัดคิว จัดเรื่องราวที่จะพูด ฝึกซ้อมแต่ละคนเหมาะกับบทบาทอะไร หลังจากการซ้อมเสร็จเราก็จะมานั่งประชุมกันว่าวันนี้ซ้อมเป็นยังไงกันบ้าง แล้วก็แนะนำสิ่งที่ผิดพลาดของแต่ละคนให้ไปแก้ไขในวันหน้า ซึ่งในกลุ่มStaff จะมีกฎที่เข้มงวดมากหากใครฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษ ทำให้ทุกๆคนปฏิบัติงานไปได้ด้วยดี พอเริ่มเปิดเทอมก็มีการลงสนามว๊ากน้องๆจริงๆ จัดระเบียบ อบรมน้องๆ จนถึงดึก พอเสร็จจากการเชียร์ทั้งทางกลุ่มพี่เลี้ยง ผู้นำเชียร์ และStaff ก็เข้ามาเพื่อประชุมงานว่าวันนี้เป้นยังไงบ้างและก็อ่านคอมเม้นของน้องๆทุกๆคนว่ารู้สึกอย่างไรในการเชียร์วันนี้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการทำงานเป็นทีมที่ดีมากเราจะสามารถหาจุดบกพร่องในแต่ละครั้งๆที่เราทำงานได้ และยังแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ด้วย

System thinking จากที่กล่าวข้างต้นจากเรื่องTeam Learning ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มStaff พี่เลี้ยงน้องใหม่ ผู้นำเชียร์ ประธานเชียร์ และนายกสโมสรนักศึกษา เราได้มีการเตรียมการเพื่อที่จะรับน้องใหม่ก่อนเปิดภาคเรียนเป็นเวลาหลายเดือน และยังมีการประชุมคุยกันและวางแผนงานกิจกรรมต่างๆในภาคเรียนการศึกษานั้น และปฎิบัติตามแผนงานทุกขั้นตอน ซึ่งผมเห็นว่าเป้นการวางแผนงานที่เป็นระบบ และเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเราก็จะพูดคุยกันตลอดและยังมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำพูดคุยได้ตลอดอีกด้วย ทำให้กิจกรรมรับน้องในปีการศึกษานั้นเป็นไปได้ด้วยดี

นส.อมรรัตน์ ภิญโญทรัพย์

นส.อมรรัตน์ ถิญโญทรัพย์ รหัส 555740098-9 sec.11 Personal Mastery: มีหลายคนที่ตอนม.6 ทุกคนคงยังไม่รู้จะเรียนต่อสาขาหรือคณะไหนดี ทุกคนต่างหาความเป็นตัวของตัวเองไปพร้อมๆกับการติวเพื่อจะสอบเอนทราน ซึ่งดิฉันได้ไปเรียนติวในสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง ที่เขาจะมีรุ่นพี่จากมหาลัยชื่อดังมาสอน หนึ่งในนั้นเป็นรุ่นพี่จากลาดกระบัง พี่แกเรียนวิศวะไฟฟ้า ลาดกระบัง พี่แกจะสอนเกี่ยวกับคำนวณ คณิตศาสตร์ก็เก่ง ฟิสิกส์ก็ได้ อย่างเก่งเลยคะ เวลาพี่เขามาสอนเขาจะใส่เสื้อช๊อปมาสอน เพราะว่าเขารับจ๊อบหลังเลิกเรียน ซึ่งทำให้ดิฉันประทับใจและคิดว่า เอาละเรียนวิศวะนี้ละ.. Dialogue: ดิฉันเป็นลูกคนโต มีน้องอีกสองคน คนที่สองห่างจากดิฉัน 3 ปี ส่วนคนที่สามห่างจากดิฉัน 8 ปีเป็นธรรมดาของพี่ที่จะค่อยอิจฉาน้องว่าทำไมพ่อแม่ให้แต่น้อง สนใจแต่น้อง มีวันหนึ่งแม่ดิฉันไม่สบายเป็นไข้ ไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้ ดิฉันจึงได้นอนเฝ้าไข้คุณแม่ อยู่แม่ก็พูดว่า”ถ้าแม่ไม่อยู่ดูแลน้องๆด้วยนะ” เท่านั้นแหละ ดิฉันก็ตกใจ แม่แค่ไม่สบายนะเดี๋ยวก็หาย พอหลังจากคำพูดนั้น ทำให้ดิฉันรักน้องมากขึ้น แล้วตั้งในเรียนมากขึ้นกว่าเดิม.. Mantal model: เมื่อจบป.6 ทุกคนต่างก็หาที่เรียนต่อ ม.1 ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่พ่อแม่ขีดเส้นไว้ให้เรียนต่อที่กรุงเทพ ในใจไม่อยากไปเพราะคิดถึงบ้านบางละ กลัวบางละ เพราะดูจากข่าวต่างๆ กรุงเทพเป็นเมืองที่น่ากลัว มีการปล้น จี้ และได้ยินเขาว่าคนกรุงเทพมักไม่จริงใจ อย่าไปไว้ใจมากเดี๋ยวจะโดนหลอกได้ แต่พอได้เข้ามาศึกษาที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เจอเพื่อนๆคุณครู ซึ่งได้พูดคุยและสัมผัสพวกเขา ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย ทุกคนเป็นใจดีและจริงใจ ทำให้ดิฉันเปลี่ยนความคิดจากที่กรุงเทพเป็นเมืองที่น่ากลัวก็หายไป จึงทำให้ดิฉันประทับใจและศึกษาต่อจนถึงปริญญาตรี Team Learning: สมัยปริญญาตรีดิฉันเรียนคณะวิศวะ ก่อนจบจะต้องทำโปรเจค ซึ่งดิฉันได้ทำเกี่ยวกับ การสกัดทองแดงและสังกะสีออกจากขี้เตาทองเหลืองด้วยปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมี ซึ่งอาจารย์ให้แต่หัวข้อ เพื่อไปศึกษา ค้นคว้า และทำการทดลองเอาเอง เจอกันอีกทีก็พรีเซนเลย แต่โชคดีอย่างที่ว่า เป็นโปรเจคที่ทำกันสามคน ยังไงก็รวมหัวช่วยกันคิดได้ หลังจากได้หัวข้อโปรเจค ก็ได้แบ่งหน้าที่กันทำงาน เริ่มตั้งแต่หาข้อมูลจากเปเปอร์เก่าๆจากรุ่นพี่ จัดการหาซื้ออุปกรณ์การทดลอง แต่ดีอย่างที่อาจารย์ยังให้ห้องเพื่อทำการทดลอง เป็นการทำงานที่ทุรักทุเรมาก แต่ก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี จนเสร็จสิ้นการเขียนรูปเล่นและพรีเซนโปรเจค ซึ่งมาจากการสามัคคีของพวกเราสามคนนั้นเอง System thinking: ยังคงกล่าวถึงสมัยป.ตรีเหมือนเดิม จะเล่าถึงการฝึกงานตอนปี 3. ดิฉันได้มีโอกาสไปฝึกงานในโรงงานผลิตกระเบื้องชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งดิฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตกระเบื้องมาก่อน วันแรกที่เข้าไปฝึกงานในโรงงาน พี่เลี้ยงที่คอยดูแลเด็กฝึกงานได้พาเดินชมโรงงาน พร้อมแนะนำแต่ละแผนก ซึ่งสังเกตได้เลยว่าโรงงานนี้จะมีลักษณะเป็นเส้นตรง จะต่อกันเป็นทอดๆส่องผลผลิตแผนกเป็นทอดๆ จาดแผนกหนึ่งไปยังแผนกหนึ่งอย่างเป็นระบบแบบแผน พี่แกพาเดินชมตั้งแต่หน้าโรงงานจนถึงท้ายโรงงาน พอจบการเดินชมโรงงาน พี่เขาก็หันมาพูดว่า”ในฐานะที่เราเป็นวิศวกร ลองคิดสิว่าเราควรประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิดอย่างไรให้ลงต้นทุนได้” เท่านั้นแหละ ถึงกับตรึงกันเป็นแถวๆคะ

นางสาวณปภัทช์ ศรีแสง

Mental model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น)

โดยส่วนตัวดิฉันเป็นคนที่มองประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประชากรในประเทศมีความเห็นแก่ตัว เพราะมองจากในภาพยนตร์ และความคิดอคติส่วนตัว ซึ่งมองแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งดิฉันได้ไปฝึกงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อไปถึงที่ทำงาน ทุกคนต้อนรับดิฉันอย่างดี แนะนำดี  ไม่ได้เห็นแก่ตัวเฉยเมยกันอย่างที่ดิฉันคิด ทุกคนเพียงแค่ทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายโดยตั้งใจเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาที่ดิฉันไปสอบถามงาน ทุกคนก็ตอบด้วยสีหน้าที่จริงใจ ไม่มีใครนินทากัน และเมื่อดิฉันได้มีโอกาสนั่งรถไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ ดิฉันก็มองเห็นถึงความมีวินัยในการใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก เมื่อรถถึงทางแยก ไม่ว่าทางนั้นจะมีรถหรือไม่ คนขับรถก็จะต้องจอดแล้วมองซ้ายมองขวา หรือแม้แต่ทางคนข้าม คนขับรถก็จะชะลอรถ ไม่ได้เป็นแบบนี้เพียงแค่คันเดียว แต่มีวินัยแบบนี้ทุกคัน หรือแม้แต่จักรยานที่ดิฉันใช้เป็นพาหนะ ก็ต้องมีกฎจราจรของจักรยาน ซึ่งตำรวจเป็นคนมาชี้แจงกฏจักรยานให้ดิฉันฟังที่บ้านพัก ซึ่งดิฉันประทับใจมาก บ้านเรือนสภาพแวดล้อมก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีขยะทิ้งเกลื่อน  แล้วดิฉันก็มาคิดว่าตัวดิฉันเคยมองประเทศนี้ในมุมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ดิฉันเห็น ดิฉันก็ตีความไปเองจากความคิดอคติโดยที่ไม่ได้เห็นและเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จริง  การไปฝึกงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาของดิฉันครั้งนี้ ถือว่าได้เป็นการเปิดหูเปิดตา เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เผชิญความจริงในสิ่งที่ดิฉันคิดอคติซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด กลับดีกว่าที่คิดมาก และยังอยากให้ประเทศไทยมีกฎระเบียบสะอาดสะอ้านแบบสหรัฐอเมริกาบ้างค่ะ

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น)

เมื่อครั้งดิฉันอายุ 20 ปี ดิฉันใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นแอร์โอสเตสมาก อยากใส่ชุดสวยๆ อยากแต่งหน้าสวย พบปะผู้คนมากมายบนเครื่องบิน แต่ก็ดันติดอยู่ตรงที่ว่าดิฉันเป็นคนที่มีรูปร่างค่อนข้างอวบ(อ้วน)  ดิฉันเล่าความใฝ่ฝันให้ทุกๆคนฟัง แต่ทุกคนก็กลับหัวเราะเยาะแล้วบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดิฉันรูปร่างแบบนี้มาโดยตลอดจะผอมแล้วเป็นแอร์โฮสเตสได้อย่างไร แต่เสียงหัวเราะของทุกคนกลับเป็นแรงผลักดันให้ดิฉันอยากที่จะพยายามผอมแล้วเป็นอาชีพนี้ให้ได้ ดิฉันเริ่มจริงจังกับการควบคุมน้ำหนักโดยที่เริ่มควบคุมอาหารก่อน โดยทานข้าวกล้อง,ผัก,ผลไม้และเนื้อปลาในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อการควบคุมอาหารเริ่มจะเข้าที่ดิฉันก็เริ่มควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกาย  ดิฉันไปออกกำลังกายโดยการเต้นแอโรบิคทั้งเช้าและเย็น แถมด้วยการเดินรอบบึงพลาญชัย(จ.ร้อยเอ็ด)วันละหนึ่งรอบ เมื่อได้ทำอย่างต่อเนื่องดิฉันสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 16 กิโลกรัมภายในเวลาสองเดือน แต่ทว่าก็ยังไม่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสได้ แต่สิ่งที่ดิฉันได้รับอย่างมากนั่นก็คือสุขภาพของดิฉันแข็งแรงมาก ไม่เหนื่อยง่าย ไม่ป่วยบ่อยทั้งที่เคยเป็นคนที่เจ็บป่วยบ่อย เมื่อหลายคนเห็นดิฉันปฏิบัติแล้วได้ผลก็เริ่มที่จะปฏิบัติตาม  และดิฉันก็ได้เป็นคนเผยแพร่วิธีการควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธีให้คนหลายๆกลุ่มฟัง ดิฉันรู้สึกมีความสุขเมื่อทุกคนปฏิบัติตามวิธีนี้โดยเป็นวิธีที่ดีและถูกต้อง ไม่ไปใช้ยาลดน้ำหนักซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก จนถึงทุกวันนี้เป้าหมายของดิฉันก็ยังอยากที่จะเป็นแอร์โฮส แต่อายุก็คงจะเกินกำหนดแล้วแต่ดิฉันก็ไม่เสียใจ เพราะดิฉันพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่ได้กลับได้มากกว่าการเป็นแอร์โฮสเตส นั่นคือการผอมลง ลบคำสบประมาททุกคนและการมีสุขภาพดี และดิฉันจะพยามลดน้ำหนักให้ได้ 30 กิโลกรัมให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก เพราะจะได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ  มีรูปร่างดี มีสุขภาพดีค่ะ

System thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี)

ดิฉันเคยทำงานที่บริษัทเสื้อผ้ากีฬาส่งออกของแบรนด์ดัง ซึ่งตัวดิฉันอยู่ในห้องแล็ป การทำงานของพนักงานโรงงานเป็นระบบมาก ซึ่งกว่าจะผลิตเสื้อผ้าได้แต่ละตัวนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างมาก แต่ทุกคนสามารถทำได้ตามเวลาที่กำหนด  โดยเสื้อหนึ่งตัวจะเริ่มต้นที่การคัดสีผ้าจากบริษัท สมมุติคืออดิดาส อดิดาสจะเป็นคนเลือกสีผ้าว่าจะเอาสีไหน ลายไหน แล้วให้ทางบริษัทลิเบอร์ตี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้ผสมสีอีกที จากนั้นก็ส่งกลับไปให้อดิดาสดูว่าสีได้หรือไม่ โดยจะมีคนกลางระหว่างอดิดาสและบริษัทลิเบอร์ตี้คือ เมอร์ชานไดเซอร์ หรือสั้นๆว่า เมอร์ จากนั้นเมอร์ก็จะมีใบสั่งของเสื้อตัวนี้ว่ารายละเอียดทั้งหมดมีอะไรบ้าง มีตัวรีดตำแหน่งใด ตัวสกรีนตำแหน่งใด และปักตำแหน่งใด และเมอร์ก็จะเป็นคนส่งผ้าตำแหน่งต่างๆ เช่น อก แขน หลัง ไปยังแผนกต่างๆ ตัวอย่างเช่น ส่งชิ้นส่วนหลังไปทำการสกรีนเป็นต้น เมื่อทุกแผนกทำเสร็จแล้วก็จะส่งชิ้นส่วนของเสื้อไปอบในอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อทดความความยืดหดและความคงทนของเส้นใยผ้า  ถ้าผ้ามีความหดตัวมาก หรือไม่ทนต่อความร้อน หัวหน้างานก็ต้องไปคิดแก้ไขปัญหา เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้วก็จะส่งชิ้นส่วนต่างๆไปยังแผนกเย็บ เมื่อเย็บเสร็จเป็นตัวแล้ว ก็ต้องส่งมาที่แผนกแล็ปซึ่งเป็นแผนกของดิฉันทำการทดสอบหาสารเคมีในผ้าเช่น สารฟอมัลดิไฮน์ ซึ่งส่งผลอันตรายต่อเด็ก ทดสารความคงทนของตัวรีด ตัวพิมพ์ กระดุมต่ออุณหภูมิในการซักและอบ เมื่อผ่านห้องแล็ปแล้วก็สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ การทำงานในบริษัทนี้ทำให้ดิฉันเห็นว่าการที่เราทำงานเป็นระบบ มีระบบที่ดี ก็สามารถทำให้งานเสร็จเร็ว อาจจะมีปัญหาบ้างแต่ก็ช่วยกันแก้ปัญหาจนสำเร็จ ทุกแผนกในบริษัทมีความสำคัญเท่ากัน ถ้าไม่มีแผนกใดแผนกหนึ่งงานก็จะสำเร็จไปไม่ได้

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี)

เมื่อครั้งที่ดิฉันเรียนหนังสืออยู่  ม.2 ช่วงนั้นดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเกเร ติดเพื่อนมากเกินไป หนีเรียน ผลการเรียนแย่ เลยโดนพ่อกับแม่ดุบ่อยครั้ง อีกทั้งญาติผู้ใหญ่ทุกคน แต่ช่วงนั้นดิฉันคิดว่าดิฉันโตแล้วรับผิดชอบตัวเองได้ เรื่องแค่หนีเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำ เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งใครๆเค้าก็เป็นกัน ดิฉันหนีเที่ยวบ้านเพื่อนกลับค่ำมืดจนพ่อของดิฉันไปตามที่สถานีตำรวจเพราะจะไปดูรายชื่อว่าที่เสียชีวิตนั้นใช่ดิฉันหรือเปล่า แต่ดิฉันกลับคิดว่าแค่ไปบ้านเพื่อน ไม่ได้ไปไหนซักหน่อย ดิฉันทำตัวแบบนี้จนกระทั่งปิดเทอม รู้สึกมีความสุขมากที่ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ วันหนึ่งไปเดินตลาดแถวบ้าน เดินๆไปก็ดันได้ยินคนกำลังนินทาตัวดิฉันอยู่ คนนั้นพูดถึงดิฉันว่า พ่อกับแม่ก็เป็นถึงข้าราชการมีหน้ามีตา แม่ก็ยังเป็นครูฝ่ายปกครองอีก จะสอนลูกคนอื่นได้ยังไงเพราะลูกตัวเองก็ยังแย่อยู่แบบนั้น ใครเค้าจะเชื่อ วันนั้นดิฉันไม่ซื้อของ รีบขับรถกลับบ้านทันที ตลอดทางที่กลับบ้านน้ำตาไหลตลอดเพราะมีคนกล่าวถึงตัวเองและแม่ในทางที่ไม่ดี กลับไปถึงบ้านก็เปิดอกคุยกับแม่ว่าแม่รู้สึกยังไงที่ลูกเป็นแบบนี้ แม่บอกดิฉันว่าแม่รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องไปบอกสอนลูกคนอื่นให้ดี แต่ลูกตัวเองกลับทำตัวไม่ดี ทำตัวไม่เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น ไม่กล้าที่จะไปสอนใครเค้ามากหรอก คนมาว่าให้ก็เยอะ ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนมาว่าให้แม่ของดิฉัน ความรู้สึกตอนนั้นเจ็บปวดมาก แล้วก็บอกแม่ว่า ต่อไปนี้จะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจให้ได้ จากนั้นดิฉันก็ตั้งใจเรียน ไม่หนีเรียน ไม่หนีเที่ยว เลิกคบเพื่อนที่จะพาดิฉันไปในทางที่ไม่ดี  นับจากนั้นผลการเรียนของดิฉันดีขึ้นเรื่อยๆ ทำกิจกรรมของโรงเรียนและได้ใบประกาศนียบัตรมาอวดท่านทั้งสองเสมอ ถึงแม่ว่าท่านจะไม่แสดงออกว่าดีใจ แต่ดิฉันเห็นในแววตาของท่าน ถึงแม้ว่าดิฉันจะเป็นคนเรียนไม่เก่ง ผลการเรียนอาจจะไม่สูงนัก แต่พ่อกับแม่ดิฉันไม่เคยว่าและไม่เคยกดดัน เพราะท่านบอกว่าท่านเห็นถึงความพยายามของดิฉัน ดิฉันทำให้ท่านภาคภูมิใจด้วยการจบปริญญาตรีสามปีครึ่ง และดิฉันก็จะเอาปริญญาโทไปฝากท่านทั้งสองอีกหนึ่งใบ  ดิฉันนึกย้อนไปถึงวันที่ดิฉันไปเดินตลาดแล้วก็รู้สึกขอบคุณคนที่ทำให้ดิฉันคิดได้ และเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในชีวิตของดิฉัน ถ้าไม่มีคำพูดในวันนั้นดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตของดิฉันหรือไม่

Team learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย)

ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเป็นนักเรียนอาสาพัฒนาโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลและยากจน ซึ่งไปกันกับเพื่อนในกลุ่มประมาณสิบกว่าคน โดยเราคุยกันว่าจะพัฒนาโรงเรียนนี้ให้ดีที่สุด ตามงบที่เรามี สิ่งที่กลุ่มจะทำนั่นก็คือ ปรับปรุงห้องสมุด ทำสื่อการเรียนการสอนติดตามผนังห้องเรียน และทาสีโรงเรียนในส่วนที่สีได้หลุดลอกไป เมื่อเริ่มลงมือทำเรากลับไม่มีการแบ่งงาน คือใครอยากจะทำที่ไหนก็ทำไป บางทีก็ทำทับรอยเพื่อนที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว หรือไปแก้ไขของเพื่อน จนเกิดปากเสียงกันในที่สุด ก็เลยมานั่งคุยกันใหม่ว่า เราแบ่งงานกันไปทำเลยดีมั้ย จะได้กระจายกันทำ ไม่ต้องรวมกันเป็นกระจุกแบบนี้ งานก็จะเสร็จเร็วขึ้น คนที่จะทาสีก็ทาไป คนที่ทำสื่อการเรียนการสอนก็ทำไป เมื่อแบ่งงานกันแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างมีความสุข เปิดเพลงฟังไปด้วย ชาวบ้านก็นำอาหารมาให้ทานเป็นกำลังใจ ชาวบ้านบางคนก็มาช่วยทาสีบ้าง กวาดพื้นลงแว็กซ์พื้นห้องเรียนบ้าง ใครทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จก่อนก็ไปช่วยเพื่อนที่ยังทำไม่เสร็จ ในที่สุด การพัฒนาโรงเรียนก็สำเร็จไปได้ด้วยดี โรงเรียนสวยงาม ห้องสมุดสวยงาม ห้องเรียนก็น่าเรียน ทุนคนยิ้มอย่างภาคภูมิใจและน้ำตาคลอเมื่อเห็นเด็กๆเข้ามาดูโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น ดิฉันประทับใจในการไปทำงานกลุ่มในครั้งนี้มากที่สุดเท่าที่เคยไปมาและดิฉันคิดว่าสาเหตุที่ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนั้นเป็นเพราะว่ามีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน  ไม่มั่วทำ อาจจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่เมื่อเราคุยกันชัดเจนในหน้าที่มากขึ้นก็ทำให้ความตึงเครียดหายไป ที่ได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือได้เห็นความสามัคคีของเพื่อน และคนในหมู่บ้าน อาจจะมีบ้างที่ทะเลาะกันมาก่อน แต่ทุกคนทำเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความสุขของเด็กๆ เมื่อภารกิจเสร็จทุกคนก็คุยกัน เลิกทะเลาะกันเพราะการได้ร่วมงานกันได้มีโอการคุยกันมากขึ้นนั่นเอง

นางสาวณปภัทช์ ศรีแสง 555740032-9 Sec.12

Mental model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น)

โดยส่วนตัวดิฉันเป็นคนที่มองประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประชากรในประเทศมีความเห็นแก่ตัว เพราะมองจากในภาพยนตร์ และความคิดอคติส่วนตัว ซึ่งมองแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งดิฉันได้ไปฝึกงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อไปถึงที่ทำงาน ทุกคนต้อนรับดิฉันอย่างดี แนะนำดี  ไม่ได้เห็นแก่ตัวเฉยเมยกันอย่างที่ดิฉันคิด ทุกคนเพียงแค่ทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายโดยตั้งใจเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาที่ดิฉันไปสอบถามงาน ทุกคนก็ตอบด้วยสีหน้าที่จริงใจ ไม่มีใครนินทากัน และเมื่อดิฉันได้มีโอกาสนั่งรถไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ ดิฉันก็มองเห็นถึงความมีวินัยในการใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก เมื่อรถถึงทางแยก ไม่ว่าทางนั้นจะมีรถหรือไม่ คนขับรถก็จะต้องจอดแล้วมองซ้ายมองขวา หรือแม้แต่ทางคนข้าม คนขับรถก็จะชะลอรถ ไม่ได้เป็นแบบนี้เพียงแค่คันเดียว แต่มีวินัยแบบนี้ทุกคัน หรือแม้แต่จักรยานที่ดิฉันใช้เป็นพาหนะ ก็ต้องมีกฎจราจรของจักรยาน ซึ่งตำรวจเป็นคนมาชี้แจงกฏจักรยานให้ดิฉันฟังที่บ้านพัก ซึ่งดิฉันประทับใจมาก บ้านเรือนสภาพแวดล้อมก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีขยะทิ้งเกลื่อน  แล้วดิฉันก็มาคิดว่าตัวดิฉันเคยมองประเทศนี้ในมุมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ดิฉันเห็น ดิฉันก็ตีความไปเองจากความคิดอคติโดยที่ไม่ได้เห็นและเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จริง  การไปฝึกงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาของดิฉันครั้งนี้ ถือว่าได้เป็นการเปิดหูเปิดตา เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เผชิญความจริงในสิ่งที่ดิฉันคิดอคติซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด กลับดีกว่าที่คิดมาก และยังอยากให้ประเทศไทยมีกฎระเบียบสะอาดสะอ้านแบบสหรัฐอเมริกาบ้างค่ะ

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น)

เมื่อครั้งดิฉันอายุ 20 ปี ดิฉันใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นแอร์โอสเตสมาก อยากใส่ชุดสวยๆ อยากแต่งหน้าสวย พบปะผู้คนมากมายบนเครื่องบิน แต่ก็ดันติดอยู่ตรงที่ว่าดิฉันเป็นคนที่มีรูปร่างค่อนข้างอวบ(อ้วน)  ดิฉันเล่าความใฝ่ฝันให้ทุกๆคนฟัง แต่ทุกคนก็กลับหัวเราะเยาะแล้วบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดิฉันรูปร่างแบบนี้มาโดยตลอดจะผอมแล้วเป็นแอร์โฮสเตสได้อย่างไร แต่เสียงหัวเราะของทุกคนกลับเป็นแรงผลักดันให้ดิฉันอยากที่จะพยายามผอมแล้วเป็นอาชีพนี้ให้ได้ ดิฉันเริ่มจริงจังกับการควบคุมน้ำหนักโดยที่เริ่มควบคุมอาหารก่อน โดยทานข้าวกล้อง,ผัก,ผลไม้และเนื้อปลาในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อการควบคุมอาหารเริ่มจะเข้าที่ดิฉันก็เริ่มควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกาย  ดิฉันไปออกกำลังกายโดยการเต้นแอโรบิคทั้งเช้าและเย็น แถมด้วยการเดินรอบบึงพลาญชัย(จ.ร้อยเอ็ด)วันละหนึ่งรอบ เมื่อได้ทำอย่างต่อเนื่องดิฉันสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 16 กิโลกรัมภายในเวลาสองเดือน แต่ทว่าก็ยังไม่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสได้ แต่สิ่งที่ดิฉันได้รับอย่างมากนั่นก็คือสุขภาพของดิฉันแข็งแรงมาก ไม่เหนื่อยง่าย ไม่ป่วยบ่อยทั้งที่เคยเป็นคนที่เจ็บป่วยบ่อย เมื่อหลายคนเห็นดิฉันปฏิบัติแล้วได้ผลก็เริ่มที่จะปฏิบัติตาม  และดิฉันก็ได้เป็นคนเผยแพร่วิธีการควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธีให้คนหลายๆกลุ่มฟัง ดิฉันรู้สึกมีความสุขเมื่อทุกคนปฏิบัติตามวิธีนี้โดยเป็นวิธีที่ดีและถูกต้อง ไม่ไปใช้ยาลดน้ำหนักซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก จนถึงทุกวันนี้เป้าหมายของดิฉันก็ยังอยากที่จะเป็นแอร์โฮส แต่อายุก็คงจะเกินกำหนดแล้วแต่ดิฉันก็ไม่เสียใจ เพราะดิฉันพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่ได้กลับได้มากกว่าการเป็นแอร์โฮสเตส นั่นคือการผอมลง ลบคำสบประมาททุกคนและการมีสุขภาพดี และดิฉันจะพยามลดน้ำหนักให้ได้ 30 กิโลกรัมให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก เพราะจะได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ  มีรูปร่างดี มีสุขภาพดีค่ะ

System thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี)

ดิฉันเคยทำงานที่บริษัทเสื้อผ้ากีฬาส่งออกของแบรนด์ดัง ซึ่งตัวดิฉันอยู่ในห้องแล็ป การทำงานของพนักงานโรงงานเป็นระบบมาก ซึ่งกว่าจะผลิตเสื้อผ้าได้แต่ละตัวนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างมาก แต่ทุกคนสามารถทำได้ตามเวลาที่กำหนด  โดยเสื้อหนึ่งตัวจะเริ่มต้นที่การคัดสีผ้าจากบริษัท สมมุติคืออดิดาส อดิดาสจะเป็นคนเลือกสีผ้าว่าจะเอาสีไหน ลายไหน แล้วให้ทางบริษัทลิเบอร์ตี้ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้ผสมสีอีกที จากนั้นก็ส่งกลับไปให้อดิดาสดูว่าสีได้หรือไม่ โดยจะมีคนกลางระหว่างอดิดาสและบริษัทลิเบอร์ตี้คือ เมอร์ชานไดเซอร์ หรือสั้นๆว่า เมอร์ จากนั้นเมอร์ก็จะมีใบสั่งของเสื้อตัวนี้ว่ารายละเอียดทั้งหมดมีอะไรบ้าง มีตัวรีดตำแหน่งใด ตัวสกรีนตำแหน่งใด และปักตำแหน่งใด และเมอร์ก็จะเป็นคนส่งผ้าตำแหน่งต่างๆ เช่น อก แขน หลัง ไปยังแผนกต่างๆ ตัวอย่างเช่น ส่งชิ้นส่วนหลังไปทำการสกรีนเป็นต้น เมื่อทุกแผนกทำเสร็จแล้วก็จะส่งชิ้นส่วนของเสื้อไปอบในอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อทดความความยืดหดและความคงทนของเส้นใยผ้า  ถ้าผ้ามีความหดตัวมาก หรือไม่ทนต่อความร้อน หัวหน้างานก็ต้องไปคิดแก้ไขปัญหา เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้วก็จะส่งชิ้นส่วนต่างๆไปยังแผนกเย็บ เมื่อเย็บเสร็จเป็นตัวแล้ว ก็ต้องส่งมาที่แผนกแล็ปซึ่งเป็นแผนกของดิฉันทำการทดสอบหาสารเคมีในผ้าเช่น สารฟอมัลดิไฮน์ ซึ่งส่งผลอันตรายต่อเด็ก ทดสารความคงทนของตัวรีด ตัวพิมพ์ กระดุมต่ออุณหภูมิในการซักและอบ เมื่อผ่านห้องแล็ปแล้วก็สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ การทำงานในบริษัทนี้ทำให้ดิฉันเห็นว่าการที่เราทำงานเป็นระบบ มีระบบที่ดี ก็สามารถทำให้งานเสร็จเร็ว อาจจะมีปัญหาบ้างแต่ก็ช่วยกันแก้ปัญหาจนสำเร็จ ทุกแผนกในบริษัทมีความสำคัญเท่ากัน ถ้าไม่มีแผนกใดแผนกหนึ่งงานก็จะสำเร็จไปไม่ได้

Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี)

เมื่อครั้งที่ดิฉันเรียนหนังสืออยู่  ม.2 ช่วงนั้นดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเกเร ติดเพื่อนมากเกินไป หนีเรียน ผลการเรียนแย่ เลยโดนพ่อกับแม่ดุบ่อยครั้ง อีกทั้งญาติผู้ใหญ่ทุกคน แต่ช่วงนั้นดิฉันคิดว่าดิฉันโตแล้วรับผิดชอบตัวเองได้ เรื่องแค่หนีเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำ เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งใครๆเค้าก็เป็นกัน ดิฉันหนีเที่ยวบ้านเพื่อนกลับค่ำมืดจนพ่อของดิฉันไปตามที่สถานีตำรวจเพราะจะไปดูรายชื่อว่าที่เสียชีวิตนั้นใช่ดิฉันหรือเปล่า แต่ดิฉันกลับคิดว่าแค่ไปบ้านเพื่อน ไม่ได้ไปไหนซักหน่อย ดิฉันทำตัวแบบนี้จนกระทั่งปิดเทอม รู้สึกมีความสุขมากที่ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ วันหนึ่งไปเดินตลาดแถวบ้าน เดินๆไปก็ดันได้ยินคนกำลังนินทาตัวดิฉันอยู่ คนนั้นพูดถึงดิฉันว่า พ่อกับแม่ก็เป็นถึงข้าราชการมีหน้ามีตา แม่ก็ยังเป็นครูฝ่ายปกครองอีก จะสอนลูกคนอื่นได้ยังไงเพราะลูกตัวเองก็ยังแย่อยู่แบบนั้น ใครเค้าจะเชื่อ วันนั้นดิฉันไม่ซื้อของ รีบขับรถกลับบ้านทันที ตลอดทางที่กลับบ้านน้ำตาไหลตลอดเพราะมีคนกล่าวถึงตัวเองและแม่ในทางที่ไม่ดี กลับไปถึงบ้านก็เปิดอกคุยกับแม่ว่าแม่รู้สึกยังไงที่ลูกเป็นแบบนี้ แม่บอกดิฉันว่าแม่รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องไปบอกสอนลูกคนอื่นให้ดี แต่ลูกตัวเองกลับทำตัวไม่ดี ทำตัวไม่เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น ไม่กล้าที่จะไปสอนใครเค้ามากหรอก คนมาว่าให้ก็เยอะ ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนมาว่าให้แม่ของดิฉัน ความรู้สึกตอนนั้นเจ็บปวดมาก แล้วก็บอกแม่ว่า ต่อไปนี้จะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจให้ได้ จากนั้นดิฉันก็ตั้งใจเรียน ไม่หนีเรียน ไม่หนีเที่ยว เลิกคบเพื่อนที่จะพาดิฉันไปในทางที่ไม่ดี  นับจากนั้นผลการเรียนของดิฉันดีขึ้นเรื่อยๆ ทำกิจกรรมของโรงเรียนและได้ใบประกาศนียบัตรมาอวดท่านทั้งสองเสมอ ถึงแม่ว่าท่านจะไม่แสดงออกว่าดีใจ แต่ดิฉันเห็นในแววตาของท่าน ถึงแม้ว่าดิฉันจะเป็นคนเรียนไม่เก่ง ผลการเรียนอาจจะไม่สูงนัก แต่พ่อกับแม่ดิฉันไม่เคยว่าและไม่เคยกดดัน เพราะท่านบอกว่าท่านเห็นถึงความพยายามของดิฉัน ดิฉันทำให้ท่านภาคภูมิใจด้วยการจบปริญญาตรีสามปีครึ่ง และดิฉันก็จะเอาปริญญาโทไปฝากท่านทั้งสองอีกหนึ่งใบ  ดิฉันนึกย้อนไปถึงวันที่ดิฉันไปเดินตลาดแล้วก็รู้สึกขอบคุณคนที่ทำให้ดิฉันคิดได้ และเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในชีวิตของดิฉัน ถ้าไม่มีคำพูดในวันนั้นดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตของดิฉันหรือไม่

Team learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุปัจจัยด้วย)

ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเป็นนักเรียนอาสาพัฒนาโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลและยากจน ซึ่งไปกันกับเพื่อนในกลุ่มประมาณสิบกว่าคน โดยเราคุยกันว่าจะพัฒนาโรงเรียนนี้ให้ดีที่สุด ตามงบที่เรามี สิ่งที่กลุ่มจะทำนั่นก็คือ ปรับปรุงห้องสมุด ทำสื่อการเรียนการสอนติดตามผนังห้องเรียน และทาสีโรงเรียนในส่วนที่สีได้หลุดลอกไป เมื่อเริ่มลงมือทำเรากลับไม่มีการแบ่งงาน คือใครอยากจะทำที่ไหนก็ทำไป บางทีก็ทำทับรอยเพื่อนที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว หรือไปแก้ไขของเพื่อน จนเกิดปากเสียงกันในที่สุด ก็เลยมานั่งคุยกันใหม่ว่า เราแบ่งงานกันไปทำเลยดีมั้ย จะได้กระจายกันทำ ไม่ต้องรวมกันเป็นกระจุกแบบนี้ งานก็จะเสร็จเร็วขึ้น คนที่จะทาสีก็ทาไป คนที่ทำสื่อการเรียนการสอนก็ทำไป เมื่อแบ่งงานกันแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างมีความสุข เปิดเพลงฟังไปด้วย ชาวบ้านก็นำอาหารมาให้ทานเป็นกำลังใจ ชาวบ้านบางคนก็มาช่วยทาสีบ้าง กวาดพื้นลงแว็กซ์พื้นห้องเรียนบ้าง ใครทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จก่อนก็ไปช่วยเพื่อนที่ยังทำไม่เสร็จ ในที่สุด การพัฒนาโรงเรียนก็สำเร็จไปได้ด้วยดี โรงเรียนสวยงาม ห้องสมุดสวยงาม ห้องเรียนก็น่าเรียน ทุนคนยิ้มอย่างภาคภูมิใจและน้ำตาคลอเมื่อเห็นเด็กๆเข้ามาดูโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น ดิฉันประทับใจในการไปทำงานกลุ่มในครั้งนี้มากที่สุดเท่าที่เคยไปมาและดิฉันคิดว่าสาเหตุที่ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนั้นเป็นเพราะว่ามีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน  ไม่มั่วทำ อาจจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่เมื่อเราคุยกันชัดเจนในหน้าที่มากขึ้นก็ทำให้ความตึงเครียดหายไป ที่ได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือได้เห็นความสามัคคีของเพื่อน และคนในหมู่บ้าน อาจจะมีบ้างที่ทะเลาะกันมาก่อน แต่ทุกคนทำเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความสุขของเด็กๆ เมื่อภารกิจเสร็จทุกคนก็คุยกัน เลิกทะเลาะกันเพราะการได้ร่วมงานกันได้มีโอการคุยกันมากขึ้นนั่นเอง

นายณัฐพงษ์  สุขปัญญา  555740036-1  Sec.11

Personal Mastery: ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

ช่วงนี้เมื่อมีเวลาว่างหรือหยุดยาวๆก็จะกลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำงาน พ่อแม่ของผมก็เริ่มแก่ขึ้นทุกวันๆ ท่านเริ่มเหนื่อยล้ามากแล้ว แต่ผมก็เข้าใจ วันเวลาผ่านไปคนเราก็หมดแรงไปตามกาลเวลา เป้าหมายของผมนั้นง่ายมากๆ เก็บเกี่ยวความรู้ระหว่างที่ได้ทำงานร่วมกับท่าน ศึกษาประสบการณ์ของท่าน เก็บเกี่ยวความรู้ที่ท่านมีให้ได้มากที่สุด แล้วนำมาบวกกับความรู้ใหม่ของเรา ความคิดของเรา แล้วลองนำไปพัฒนาธุรกิจที่ท่านท่านได้สร้างขึ้นมา ดูสิว่าจะเติบโตขึ้นได้ขนาดไหน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน เป้าหมายของผมไม่ได้หวังรวย ไม่ได้หวังมีเงินมหาศาล แต่งานของผมทำแล้วต้องมีความสุข ทำแล้วรู้สึกสนุก ทำแล้วภูมิใจกับมัน แล้วเงินทองก็จะไหลเข้ามาเอง

Dialogue & Conservations: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

แต่ก่อนผมก็ไม่ได้คนดีเท่าไหร่นัก ตื่นเช้าไปเรียน ตกเย็นกินเหล้า ทำเป็นกิจวัต ชีวิตวนเวียนไปกับเรื่องพวกนี้ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความฝัน กลัวการเปลี่ยนแปลง อยู่กับชีวิตให้มันผ่านไปวันๆ พอผมได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง เค้าเล่าเรื่องความฝันของเค้าหลังเรียนจบว่าจะไปทำนู้นทำนี้ ผมคิดในใจ “ไอ้นี่มันเพ้อเจ้อ” แล้วเค้าก็ถามผมกลับว่าอนาคตจะไปทำอะไรหลอ กลับกลายเป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ ทำไมเราไม่มีเป้าหมายเหมือนคนอื่น “เรากำลังทำอะไรอยู่” หลังจากนั้นผมเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนสังคม เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมได้มาเรียนที่ มข. สังคมที่ดีก็ทำให้เราเปลี่ยนจากเดิมได้จริงๆ

Mental model: ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

นานมาแล้ว ผม เพื่อนๆ และครูอาจารย์ ได้เอาของไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กที่นั้นเค้าก็สนุกสนานตามวัย ได้กินขนม ได้เล่นของเล่น ความคิดในใจของผม พ่อแม่ของเด็กทำไมทิ้งลูกได้ลงคอ ไม่สงสารเด็กเลยหลอ เด็กเค้าต้องรู้ศึกโกรธและไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ของตัวเองเลยก็ได้ ผมได้เข้าไปคุยกับเด็กคนหนึ่ง เค้าบอกว่า “เค้าอยากให้พ่อแม่กลับมาหาหนู” ผมถามกลับไปว่า “ไม่โกรธหลอที่พ่อแม่เค้าทิ้งไป” เด็กคนนั้นตอบมาว่า “หนูไม่โกรธเลย หนูแค่อยากให้พ่อแม่กลับมาหาหนู หนูอยากมีพ่อแม่เหมือนคนอื่นๆ” ผมรู้สึกสะเทือนใจ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด เด็กก็แค่ต้องการให้พ่อแม่กลับมาหาและก็พร้อมให้อภัยเสมอ และเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน

Team learning: ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

เมื่อช่วงปีที่ 4 ของการศึกษาปริญญาตรี ผมและเพื่อนๆอีก 4 คน ได้ไปฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ทางบริษัทได้มอบหมายงานและกำหนดขอบเขตงานมาให้ ระบบงานที่ได้เกี่ยวกับระบบประตูเปิดปิดอัติโนมัติ RFID ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เริ่มแรกพวกผมก็ศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และจัดแจงงานให้แต่ละคน พอมาถึงช่วงที่ลงมือปฏิบัติงาน พวกผมเริ่มมีปัญหาเนื่องจากความเห็นไม่ตรงกัน และผนักงานฝ่านเทคนิคลาออก ทำให้พวกผมซึ่งเป็นนักศึกษา ต้องลงมือเองเกือบทั้งหมด ผมก็เลยคิดแก้ปัญญา ผมเลยเสนอความคิดออกมาว่า “พวกเราต้องมีหัวหน้า เรามาโหวตกัน” เพื่อจะได้ตัดสินใจได้เด็ดขาดเรื่องความเห็นต่างๆและการดำเนินงาน หลังจากนั้นพวกผมก็ทำงานกันได้ราบรื่นจนสำเร็จและไม่มีปัญหาเรื่องความเห็นไม่ตรงกัน

System thinking: เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

ระบบที่ดีที่ได้สัมผัสกับตัวเอง ผมนึกถึงระบบของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง สิ่งแรกที่เห็นคือความสะอาด ความสะอาดคือสิ่งแรกในการตัดสินใจเข้าใช้บริการเลยก็ว่าได้ ต่อมาก็คือความสะดวก เค้ามีระบบการส่งเอกสารที่ดี และรวดเร็ว ด้วยระบบอะไรสักอย่าง (ผมเข้าว่าน่าจะเป็นระบบสูญญากาศ) ทำให้เวลาในการรอน้อยลง มีป้ายบอกทางที่ชัดเจนทำให้ไม่สับสนในงานเดินไปในจุดต่างๆ มีพนักงานที่คอยบริการอย่างดี และยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ผมรู้ศึกว่าโรงพยาบาลแห่งนี้มีระบบที่ดี เอาใจใส่ผู้ที่มาใช้บริการ เค้าไม่ได้แค่ขายการรักษา เค้าขายอย่างอื่นด้วย ผมคิดว่าทำไมโรงพยาบาลของรัฐจึงได้แต่งต่างกันเหลือเกิน รัฐบาลทำไมไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น 

น.ส.กรกนก นรมาตย์ รหัส 555740016-7 sec 11

  Personal Mastery

ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสขึ้นไปบนดอย การไปในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ยากลำบากมาก เนื่องจากต้องนั่งรถติดต่อกันถึง 13 ชั่วโมงและต้องล่องเรืออีก 2 วันจึงจะไปถึงหมู่บ้านเป้าหมาย ไปถึงแล้วอากาศที่นี่หนาวเหน็บมากแทบติดลบ และวิถึชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่นยากจนมาก เด็กบางคนไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าใส่ ทำให้เราต้องมองย้อนกลับมามองตัวเองว่าสิ่งที่เรามีอยู่มันเทียบกับคนที่นี่ไม่ได้เลย คนที่นี่เค้าลำบากและขาดโอกาสมากกว่าเราเยอะ จึงทำให้คิดได้ว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสให้กับคนที่นี่ได้บ้าง หลังจากกลับมาจากการเดินทางในครั้งนั้น ทำให้เราเปลี่ยนตนเองใหม่ ทำอะไรด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่น และทำทุกอย่าง อย่างดีที่สุด เด็กที่นั่นขาดแคลนการศึกษามาก จึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะรีบเรียนจนจบปริญญาเอกแล้วไปช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถให้กับคนในถิ่นทุรกันดาร เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆและเปิดโลกกว้างให้เขาได้สัมผัส

  Mental model 

เมื่อครั้งเด็กๆ เป็นคนที่ค่อนข้างจะกลัวความสูงมาก เนื่องจากชอบโดนผู้ใหญ่คอยเตือนและขู่อยู่เสมอๆว่ายิ่งขึ้นไปที่สูงก็จะยิ่งอันตราย ตกลงมาอาจถึงตายได้ และที่สูงๆนั้นมักจะมีสิ่งที่เรามองไม่เห็นรอเราอยู่ข้างบน เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วจึงทำให้เราไม่กล้าที่จะปีนป่ายไปที่สูงๆ จนวันหนึ่งมีโอกาสไปเล่นตีแบตกับเพื่อน แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิด คือลูกแบตค้างบนต้นไม้ใหญ่ ด้วยความที่เราเป็นหัวหน้าแกงค์จึงจำเป็นต้องแสดงความกล้าหาญ จึงต้องอาสาปีนขึ้นไปเก็บเอง ตอนขึ้นไปทั้งกลัวทั้งกล้า แต่ในใจก็คิดว่า ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วต้องทำให้ดีที่สุด แต่แล้วเมื่อกำลังจะเอื้อมมือหยิบ กิ่งไม้มันรับน้ำหนักไม่ไหวจึงตกลงมา ผลก็คือ แขนหักจนต้องเข้าเฝือก แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็สอนให้เรารู้ว่าความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง หากเราเอาชนะความกลัวได้ เราก็จะทำงานต่างๆได้สำเร็จ นับแต่วันนั้นมากีฬาที่ชอบเล่นมากก็คือปีนเขา ยิ่งสูงก็ยิ่งอยากลอง ยิ่งยากก็ยิ่งท้าทาย

   Team Learning

 คนหนึ่งคนมีหนึ่งความคิด แต่คนหลายคนย่อมหลายความคิด ยิ่งมากคนความคิดเห็นยิ่งแตกต่าง แต่ความแตกต่างก็ไม่ได้หมายถึงความขัดแย้ง แต่มันคือความต่างที่สร้างแรงขับเคลื่อนขององค์กร ในครั้งหนึ่งได้มีการจัดค่ายขึ้น เป็นโครงการพี่ช่วยน้อง การทำงานในครั้งนี้ทุกคนต่างได้รับมอบหมายตามแต่ละสิ่งที่ทุกคนถนัด ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ  กีฬา หรือดนตรี ทุกคนต่างหากิจกรรมมาอย่างดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้หมด เพราะมีปัจจัยจำกัดเรื่องเวลา ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้น ต่างฝ่ายต่างอยากให้คนอื่นๆทำในสิ่งที่ตนเตรียมมา หลังจากนั้นเราจึงมานั่งระดมความคิดเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ผลคือให้น้องๆเป็นคนช่วยกันเลือกกิจกรรมที่อยากทำ แล้วคนที่คิดโครงการก็เป็นผู้ชี้แนะ ส่วนพี่ๆที่ไม่ถูกนำเสนอโครงการก็คอยเป็นพี่เลี้ยงและคอยแนะนำน้องๆ อย่างใกล้ชิด ทำให้น้องๆสนุกสนานและมีความสุขมากที่มีทั้งครูคอยสอนและมีเพื่อนต่างวัยที่คอยดูแล  จึงทำให้การไปทำค่ายในครั้งนี้สนุกและประสบความสำเร็จมากที่สุด เพราะเกิดจากความร่วมมือกันของทุกๆฝ่าย

    Dialogue

   คนเราย่อมมีทั้งทุกข์ ทั้งสุขในชีวิต ทุกคนมักปรารถนาแต่ความสุขคงจะได้มีแต่รอยยิ้ม แต่ชีวิตจริงย่อมมีอุปสรรคและขวากหนาม นั่นจึงเป็นที่มาของความทุกข์  ครั้งหนึ่งฉันเคยขับรถไปเรียน  ในระหว่างทางกลับบ้านฝนตกหนักมาก และถนนลื่น ผลคือหน้าเป็นแผลใหญ่มาก และก่อใก้เกิดรอย หลังจากนั้นฉันก็เสียใจมากที่หน้าเสียโฉม ไม่กล้าออกไปพบเจอกับใคร และทุกข์ทรมานใจ จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ดูคลิปวิดีโอของคนพิการไม่มีทั้งขาและแขน แต่เขาสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขเล่นกีฬาได้ ขับรถได้และมีเพื่อนได้ เค้าก็ได้นำเรื่องราวในชีวิตมาถ่ายทอดสู่คนอื่นๆว่าหากเราสิ้นหวังหรือท้อแท้ คนแพ้ก็คือตัวเรา แต่ถ้าหากเราสร้างกำลังใจขึ้นมา กำลังใจจากตัวเรานี่แหละจะสร้างพลังและความสำเร็จ อุปสรรคใดๆก็มิอาจขวางกั้น ดังนั้นเมื่อได้ฟีงแล้วฉันจึงเกิดแรงฮึดสู้ และคิดถึงแต่แง่บวก เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

     System thinking

      การทำงานแบบเป็นระบบ คือการจัดการที่มีการวางแผนที่ดีและมีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างถูกวิธี ฉันเคยไปฝึกงานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ คนทำงานมีจำนวนมาก แต่งานทุกแผนกก็สามารถทำเสร็จพร้อมๆกัน ฉันจึงเริ่มสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรทั้งๆที่คนเยอะขนาดนี้  ปัญหาก็มีมากขนาดนั้น เมื่อเข้าไปทำดูจึงรู็ว่าการทำงานที่นี่ค่อนข้างจะมีการกำหนดเวลาแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด และมีการรายงานถึงปัญหาและความก้าวหน้าแก่คนในทีมตลอด เมื่อขั้นตอนไหนทำงานล่าช้าหรือมีปัญหาก็จะให้คนในทีมมาช่วยแก้ไขกันก่อน  หากไม่สำเร็จจะมีทีมอื่นเข้ามาช่วยเสริมหรือแก้ไข  ทำให้งานไม่สะดุดและเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ดังนั้นการทำงานที่นี่จึงไม่เครียดเพราะทันเวลาและบรรลุเป้าหมาย จึงทำให้มีรายได้มหาศาลพร้อมด้วยความน่าเชื่อถือจากองค์กรอื่นๆ

นางสาวพิมพ์ชนก บัวพรม 555740060-4 Y14# sec11

Personal Mastery :: ครั้งที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกมีเป้าหมายมากขึ้น

พ่อฉันชอบเล่าถึงเรื่องครอบครัวของเราเมื่อสมัยก่อน  พ่อบอกว่าเมื่อก่อนครอบครัวของเราไม่ได้เป็นแบบนี้  ฐานะก็ไม่ได้ว่าจะร่ำรวย  แต่ด้วยปู่และย่าเป็นคนที่ขยัน  และลูกๆของปู่กับย่าก็เป็นลูกที่ดีทุกคน   จึงทำให้ครอบครัวแข็งแรงขึ้นในเรื่องฐานะ  พ่อเล่าว่า  เมื่อก่อนที่ครอบครัวของเราจะมีได้ขนาดนี้  ก็ทุกข์มามากเหมือนกัน   พี่สาวของพ่อเป็นผู้หญิงที่เสียสละมากๆ   เสียสละทุกอย่างให้น้องๆ  ทำนั่นทำนี่  เพื่อส่งให้น้องๆเรียนสูงๆและแบ่งเบาภาระของปู่กับย่า  ฉันจึงกลับมาคิดและย้อนมองถึงตัวเอง  ซึ่งฉันก็เป็นลูกคนโตเหมือนกัน  ฉันจะต้องเข้มแข็ง และทำทุกอย่างเพื่อต่อยอดให้ครอบครัวของเราเจริญรุ่งเรือง  ตั้งใจทำงานเพื่อครอบครัว

Dialogue:: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี?

พ่อและแม่ของฉัน  ท่านรักฉันมาก  ตามใจทุกสิ่งอย่าง   และด้วยเพราะว่าฉันเกิดมาเป็นลูกคนโต  เป็นลูกคนแรก  หลานคนแรกของครอบครัว  ฉันจึงถูกเอาอกเอาใจและตามใจเป็นพิเศษจากคนในครอบครัว  แต่มันก็เป็นข้อเสียที่ทำให้ฉันจะทำอะไรก็ได้ตามใจ   ตั้งแต่เด็ก  ฉันอยากย้ายโรงเรียนเพียงแค่เพราะอยากเปลี่ยนชุดนักเรียนจากแขนสั้นเป็นแขนยาว  ที่บ้านก็ไม่คัดค้าน  ทำเรื่องย้ายให้  พอมาในระดับมหาวิทยาลัย  ที่บ้านก็ไม่เคยกำหนดหรือบังคับว่าจะต้องเรียนคณะนั้นคณะนี้    ท่านให้ฉันเป็นคนตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตเอง  ฉันจึงเลือกเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์   แต่ที่เลือกก็เลือกเพราะแค่ไม่รู้จะเรียนอะไรดี  ไม่ได้เลือกเพราะความชอบ   พอได้เรียนเข้าจริงๆฉันรู้สึกว่ามันยาก   ฉันท้อและร้องไห้บ่อยครั้ง  กับการเรียนในสาขานี้    เวลาที่เกรดออกเป็นช่วงเวลาที่หดหู่มากๆ   จนเมื่อขึ้นปี 2  ฉันจึงพูดกับแม่ตรงๆว่า  ขอซิ่วไปเรียนสาขาอื่นได้ไหม   เรียนต่อไปคงจะแย่    แม่เลยพูดว่า  ตั้งแต่แม่เลี้ยงลูกมา  ซักครั้งไม่เคยบังคับ  อยากเรียนอะไรก็ให้เรียน  แล้วสาขานี้ลูกเลือกที่จะเรียนเองตั้งแต่แรก  ทำไมไม่ตั้งใจทำให้มันดีขึ้น  ลองพยายามแบบสุดๆหรือยัง   แต่ถ้าพยายามแล้ว  จะไปสอบเรียนสาขาอื่นปีหน้าก็ไม่ว่าอะไร  แต่อยากให้ลองไปทบทวนดูใหม่ว่าเราเต็มที่กับมันหรือยัง   คำพูดนี้ทำให้ฉันได้กลับไปคิดใหม่  และตั้งใจเรียนขึ้นกว่าเดิม  และเป็นแรงบรรดาลใจให้สามารถเรียนจบภายใน 4 ปี  อย่างแฮปปี้

Mental model ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น มีอยู่ช่วงนึงที่ฉันรู้สึกว่าจิตใจว่าวุ่น รู้สึกปลงไม่ตกกับปัญหาหลายๆเรื่อง ฉันจึงลองเปิดฟังเทศน์จากยูทูป ของท่านว.วชรเมธี ในหัวข้อที่ว่า คิดบวก..ชีวิตบวก ซึ่งจริงๆแล้ว โดยปกติตัวของฉันก็ขอบอกตามตรงว่าไม่ใช่คนธรรมะธรรมโมอะไร เรื่องฟังพระเทศน์ยิ่งลืมไปได้เลย เพราะปกติแล้วไม่ฟัง แต่พอชีวิตต้องการความสงบสุขจึงต้องหาที่พึ่งหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ฉันจึงคิดว่า ลองๆเปิดฟังดู เผื่อจิตใจจะสงบขึ้น พอได้ฟัง ฉันรู้สึกว่า ยังมีอะไรๆอีกหลายอย่างที่เราควรที่จะมองในแง่มุมใหม่ๆ การคิดในแง่บวก คิดอย่างไรให้ดีให้มีความสุข และจริงๆแล้วการฟังธรรมะไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดไว้เลย ฟังแล้วกลับทำให้ยิ้มให้หัวเราะได้และยังได้ประโยชน์ ได้ข้อคิดดีๆไว้ให้เราได้นำไปเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตได้อีกด้วย

Team Learning:: ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ประทับใจที่สุด

ครั้งที่ทำงานเป็นทีมที่ดีและประทับใจที่สุด  คือเมื่อครั้งที่แสดงนิทานห้องของแต่ละห้องประกวดกันเมื่อตอนม.ต้น   เป็นอะไรที่ประทับใจที่สุด  เพราะต้องอาศัยทั้งความเสียสละความสามัคคีกัน   เพราะอาจารย์บอกว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแสดง  และในห้องนึงมีเพื่อนร่วมชั้นประมาณห้าสิบกว่าคน  ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะ  ทุกคนต้องเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อมาซ้อมนิทาน   ทุกคนต้องทำการบ้านของตัวเองคือต้องซ้อมบทที่ตัวเองได้รับมอบหมาย  ต้องจัดหาเครื่องแต่งกายเองให้เหมาะสม  โดยที่เพื่อนๆทุกคนไม่เกี่ยงกันเลยทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองสุดความสามารถ   จนงานที่ออกมาเพอร์เฟคมากๆอาจารย์ก็ชมว่าเกินคาดที่เด็กม.3 จะทำมันออกมาได้   ทำให้ฉันและเพื่อนๆปลื้มมากๆเลย  ไม่เสียแรงที่ขยันและตั้งใจทุ่มเทซ้อมการแสดง

System thinking:: เรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้สัมผัสระบบที่ดี

ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่เจ้าของธุรกิจนำเข้าสินค้า  ฉันรู้สึกว่าการทำงานของทีมงานพวกพี่เขาเป็นไปอย่างมีระบบ  ทุกขั้นตอนในการทำงานจะระบุระยะเวลาอย่างชัดเจน  การทำงานของแต่ละฝ่าย  ไม่ว่าจะเป็นการคัดแยกสินค้า  การจัดออเดอร์  การดูแลรักษาสินค้า  การตรวจนับ  ทุกอย่างทุกขั้นตอนมีระบบระเบียบ  และดูแลสินค้าเป็นอย่างดี   ฉันมองดูและได้สัมผัสมาแล้ว  เพราะเป็นลูกค้าของบริษัทพี่เขาด้วย  จึงทราบว่าการทำงานของเขามีระบบมาก   จึงทำให้ฉันไว้ใจที่จะจ้างเขาให้ดูแลสินค้าของฉัน

นายณัฐชัย มหธรรม รหัส 555740034-5 Y#14 Sec.12 Personal Mastery : ความฝันของนักศึกษาส่วนใหญ่คือการได้รับเกียรตินิยม ไปฝากพ่อแม่ เพื่อเชิดหน้าชูตาแก่วงตระกูล ผมเองก็มีความฝันเช่นนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่เทอมแรกของการศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่นแห่งนี้ เกรดที่ผมได้รับพอที่จะเพิ่มและรักษาระดับไว้ความฝันคงไม่ไกลเกินไป แต่ความฝันก็ดับวูบเมื่ออยู่ปี 2 ปรากฏว่าได้ เอฟ ตัวแรกมา ในตอนนั้นความฝันที่จะทำให้พ่อแม่ภูมิใจก็ดับหายไป ตอนนั้นไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง ไม่กล้าบอกพ่อแม่ และก็ได้มีเพื่อนชวนไปกินเหล้า เที่ยวกลางคืน ในนั้นตอนรู้สึกว่าสิ่งๆนั้นเหมือนการผ่อนคลาย ทำให้เราลืมปัญหาต่างๆไปได้ ไม่มากก็น้อย จากเป็นคนที่ไม่เคยเที่ยวกลับเที่ยวทุกคืน จนเป็นนิสัย แต่มีอยู่มาวันหนึ่งหลังกลับจากเที่ยวกับเพื่อนๆเสร็จ ซึ่งเวลาประมานตี 2 กว่าๆ เห็นมีข้าวไข่เจียวว่างอยู่บนโต๊ะ ในตอนนั้นผมหิวมากเลยกินข้าวก่อนเลยไม่ได้สำรวจรอบๆว่ามีใครอยู่บาง แต่หลังจากที่กินเสร็จ และล้างจานเรียบร้อย ก็ได้สังเกตเห็นแม่นอนรออยู่บนเก้าอี้รับแขก ก็เลยเข้าไปปลุกแม่ และถามแม่ว่าทำไมถึงมานอนตรงนี้ แม่ก็ตอบว่ารอลูกนั้นล่ะ ผมเลยถามต่อว่ารอทำไม แม่ก็ตอบว่า รอลูกคนเดิมของแม่กลับมา แม่รู้ว่าเราคงจะไม่ได้เกียรตินิยมแล้ว แต่สิ่งนั้นมันไม่สำคัญแต่แม่เลย สิ่งที่แม่ให้ความสำคัญมากที่สุดคือการที่ให้ลูกเป็นคนดี ต่อตัวเองสังคม และให้ลูกมีความสุขกับสิ่งที่เรามี แล้วแม่ก็เดินไปที่ห้องนอน ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว หลังจากที่เรียบเรียงคำพูดของแม่ใหม่และคิดอยู่หลายๆรอบ ทำให้ผมต้อง ปณิธานว่าจะเลิกเหล้าเลิกเที่ยวเพื่อแม่ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้กินเหล้าและเที่ยวอีกเลย

Dialogue: ความรวยเป็นสิ่งที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน ยิ่งเด็กนักศึกษาที่กำลังจะจบ และเพิ่งจบ ยอมมีความฝันนี้อย่างที่สุดเช่นว่า จะเก็บเงินซื้อของไหม้แม่บาง จะหาเลี้ยงตัวเองบาง จะเอาเงินเดือนแรกให้กลับพ่อแม่บาง ซึ่งวิธีการเพื่อให้ได้เงินมานั้นยอมไม่อาจเลือกวิธีการได้ เพราะอำนาจเงินนั้นบังตา ซึ่งผมก็มีความฝันของผมเองเช่นกัน การที่จะได้เงินมารวดเร็วสุดมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเปิดร้านค้าเป็นของตัวเองซึ่งสิ่งนี้ผมไม่ได้เลือก และอีกวิธีคือทำธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะขายยาเสพย์ติดนะครับ ทำแค่หวยกับร้านพนันออนไลน์ และได้ร่วมมือกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคน และดำเนินการเรื่อยมาจนกระทั้งทุกอย่างใกล้เสร็จสมบูรณ์ แต่วันนั้นพี่รหัสผมก็โทรศัพท์มา ซึ่งโดยปกติก็จะโทรถามไถ่สาระทุกข์สุขกันเป็นประจำอยู่แล้วหลังจากที่พี่เขาจบไป และผมก็ได้คุยเรื่องกิจการใหม่ที่ได้ทำกับเพื่อนๆให้พี่ฟัง พี่ เลยถามว่าแน่ใจรึเปล่าว่าจะทำ สิ่งๆนั้นแม้เราจะได้เงินมา เราอาจมีความสุขทุกครั้งที่เราได้เงินหรือปิดบัญชีได้ แต่รู้รึเปล่าว่า ถ้าคนนั้นรวยคงจะไม่มีปัญหาด้านการเงิน แต่ถ้าไม่ละ เขาอาจจะทะเลาะกับแฟน ของยืมเงินเพื่อน ติดหนี้ตามแหล่งเงินกู้ต่างๆ อาจจะมีปัญหาสังคมตามมา พูดอย่างนี้น้องคงจะยังไม่เข้าใจ พี่จะยกตัวอย่างให้ฟัง ดูจากครอบครัวพี่ แต่ก็ครอบครัวพี่ก็อยู่ดีมีสุขมาโดยตลอด แต่อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนเก่าของพ่อพี่ได้ชวนเล่นบอลที่แรกก็เล่นแบบขำขำ เล่นไม่กี่บาท แม่พี่เองก็ไม่ได้ว่าเพราะคิดว่าคงเล่นกับเพื่อน แต่ต่อมาเรื่องๆพ่อพี่เริ่มเล่นหนักขึ้นเรื่องๆ เงินทองเริ่มขัดสน จากที่มีบ้านเริ่มต้องขายบ้านเพราะมีเจ้าหนี้มาทวง เพราสิ่งๆนี้ทำให้บ้านพี่แตกออกจากกัน แม่พี่กลับไปอยู่ที่บ้านเก่าก่อนที่จะมาแต่งงานกับพ่อ ผมเองก็ได้แต่ครับ ครับ ตลอดจนคุยกับพี่เสร็จ และผมก็คิดว่า การที่เราจะรวยจำเป็นต้องรวยที่ตัวเงินจริงๆรึเปล่า เงินทำให้เรามีความสุขได้ตามที่เราต้องการจริงหรือ แล้วก็ได้คำตอบว่า ความรวยไม่ใช่เหตุที่เรามีความสุข แต่ความพอเพียงต่างหากล่ะที่ทำให้ความสุขของครอบครัวชัดเจนขึ้น ตามที่พ่อหลวงเคยย่ำเสมอให้คนไทยรู้จักคำว่าพอ

Mental Model: ตามพจนานุกรม คำว่าปัญหา หมายความว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคและต้องพิจารณาแก้ไข และหลายๆคนมีวิธีแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งในหลายๆครั้งผมก็ได้เลือกที่จะพุ่งชนกับปัญหา บางครั้งอาจมีเจ็บตัวบางนิดหน่อย แต่เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ในตอนนั้นปัญหาหลายๆด้านเริ่มจะพุ่งเข้ามา โดยเริ่มที่มีปัญหากับนายจ้าง การเงิน ครอบครัว ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ยังพอแก้ได้ แต่มีอีก 1 ปัญหาที่ตามมาอย่างหนักคือความรัก ความรักอาจจะทำให้เราฝ่ากับอุปสรรคได้ถ้าได้กำลังใจจากคนที่เรารัก เมื่อทั้งหมดมารวมกัน ทำให้ผมรู้จักคำคำหนึ่งคือ มืดแปดด้านเป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนั้นเลยก็ได้ ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรสติสะตังก็ไม่ค่อยอยู่กับตัว ได้เก็บของใช้2-3วันใส่กระเป๋าเดิมทีที่แรกจะกลับบ้านไปพักผ่อนสักหน่อย แต่ไปรู้เดินไปท่าไหนเดินไปหน้ารถตู้ไปชลบุรีเลยตัดสินใจว่าไปก็ไปล่ะ อย่างน้อยก็ได้พักผ่อนเหมือนกัน และได้ลงเรื่อไปเที่ยวเกาะสีชัง ที่เกาะนั้นเป็นเกาะเก่าแกมีประวัติมากมาย และที่สำคัญคนไม่เยอะดูเป็นส่วนตัวดี ซึ่งเป็นที่แปลกสำหรับคนไทยเหมือนกันที่จะไม่ค่อยมีคนไทยเดินทางมาเที่ยวคนเดียวต่างกับชาวต่างชาติ และการที่ได้มาเที่ยวคนเดียวนี้ล่ะทำให้เราได้เห็นสิ่งต่างที่อยู่รอบตัวเราได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านต่างๆหรือได้รับส่วนลดจากเจ้าของรีสอร์นที่ไปพักเพราะเข้าก็แปลกใจว่าทำไมถึงมาคนเดียว หลังจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านต่างๆ คนในท้องถิ่นทำให้เราลืมปัญหาของเราไปเลย บางเรื่องเราคิดว่าเรื่องของเราใหญ่โตแล้วแต่เล็กนิดเดียวสำหรับคนอื่นไปเลย และได้ข้อคิดที่ใช้อยู่มาจนปัจจุบันว่า ในบางเรื่องเราไม่อาจที่จะหนีหรือแก้ปัญหาได้โดยง่ายให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน แล้วจะทำให้เรามีความสุขกับปัญหา

Team Learning: กิจกรรมรับน้องใหม่ เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่รุ่นพี่ทุกๆชั้นปีและทุกๆคนต้องรวมแรงรวมใจในการทำกิจกรรมครั้งนี้ให้สำเร็จไปได้ด้วยดี เพื่อที่จะได้สร้างความสามัคคีให้แก่รุ่นน้อง แต่เรื่องของผมมีอยู่ว่า ตอนที่ผมอยู่ปี2นั้น ได้เป็นพี่หม่อกีฬาแบดมินตันและผมอยู่รุ่นแรกๆจริงยังไม่มีรุ่นพี่ที่สุงกว่าค่อยดูแรก และการเป็นพี่หม่อตอนนั้นก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ก็ได้แต่เรียกรวมน้องสอนน้อง ซ้อมกีฬาให้น้อง ซ้อมเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ ทำให้ยิ่งผ่านไปรุ่นพี่กับรุ่นน้องยังไม่สนิทกันไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร รุ่นพี่จึ่งเริ่มมาปรึกษากันว่า วันนี้ควรจะสอนน้องอย่างไร แล้วหลังซ้อมน้องเสร็จก็มาคุยกันว่าที่ทำวันนี้มันมีตรงไหนที่ไม่ได้บาง ควรจะปรับปรุงตรงไหน ช่วยกันคิดกันทำ และสิ่งๆนี้ไม่ใช่แต่รุ่นพี่กับรุ่นน้องสนิทกันนั้น ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่สนิทกันด้วย ได้มีโอกาสศึกษาเพื่อนๆของเรา แต่หลังจากจบกิจกรรมแข่งกีฬาน้องใหม่เสร็จก็ยังไม่ทำให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องสนิทกันตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้เลย รุ่นพี่จึงมาปรึกษากันอีกครั้ง ว่าควรจะทำอย่างไรให้น้องๆกับพี่ๆมาร่วมกันสร้างครอบครัวกีฬาแบดมินตันขึ้นมา จึงได้เสนอว่าทำไมเราไม่ลองนำกีฬานับเลขมาใช้ล่ะ แต่ก็มีอีกหลายคนก็คัดค้านว่ามันคงจะไม่ดีแต่ผมก็เสนอไปว่าก็การนับเลขไม่ใช่รึเปล่าที่ทำให้รุ่นเราได้สนิทกัน หลังจากที่ประชุมเสร็จก็ได้ ในวันรุ่งขึ้นก็ได้นัดน้องมานับเลขกันหลังจากทำกิจกรรมนับเลขเสร็จก็ทำให้รุ่นพี่กับรุ่นนี้องสนิทกันตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้

System Thinking : ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยไปกับสายการบินเอมิเรตส์ เริ่มด้วยการเช็คอินตั๋ว และผ่านด่านศุลกากร ยังไม่เท่าไร แต่พอมาที่รับรองของสายการบินก่อนขึ้นเครื่องได้มีการเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้แยกว่าตั๋วเป็นประเภทไหนเพื่อที่จะให้การรับรองได้ถูก พอขึ้นเครื่องก็จะเห็นกับตันและลูกเรื่อค่อยยื่นไหว้ตอนรับบนเครื่องซึ่งพวกเขาไม่ใช่คนไทยเลยทำให้รู้สึกว่าแปลกและประทับใจ พอไปถึงที่นั่งก็จะเห็นหน้าจอมอนิเตอร์ติดกับเบาะและมีวิธีการแสดงภาพจุดที่เราอยู่ จุดประตูฉุกเฉิน การป้องกันเมือมีอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน แสดงเป็นภาพอย่างละเอียดถึงแม้จะไม่มีภาษาไทยก็ตามแต่แค่เราดูรูปก็สามารถทำให้เราเข้าใจได้ และเที่ยวบินของผมเป็นเที่ยวดึกมีคนต้องเดินทางยาวกว่าที่ผมจะไปมีคนเริ่มหลับบาง ก็มีพนักงานบนเครื่องมาเสริฟอาหารให้เขาก่อนเพื่อที่เข้าจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอสำหรับการเดินทางระยะยาว และการเที่ยวบินที่ผมไปมีคนไทยไปมาซึ่งคนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไรนักแต่พนักงานก็พยายามที่จะพูดกับคนไทยให้รู้เรื่องและอย่างใจเย็น ทำให้ผมได้เห็นว่าการทำงานอย่างเป็นระบบและเข้าใจวัฒนธรรมของเชื้อชาติก็ทำให้สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้อย่างมาก

นายธนวัฒน์ ทาแก้ว MBA Y.14 sec11 รหัสนักศึกษา 555740608-2

Personal Mastery : ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น โดยปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่จะดำรงชีวิตอยู่เลย ใช้ชีวิตไปตายคำสั่งการของคุณพ่อ คุณแม่ มันเลยทำให้ผมดูเหมือนหุ่นยนต์ แต่แค่สันดาปพลังงานโดยการรับประทานอาหารเท่านั้น ชีวิตผมดำเนินมาเรื่อยๆ จนมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเลยว่าเราควรที่จะมีเป้าหมายสักที คือเหตุการณ์ที่ผมได้ไปออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชนที่ จังหวัดศีรษะเกษ ที่นั่นกันดารมาก ผมได้รู้ว่า การอยู่แบบชาวบ้านมันเป็นยังไง เราเกิดมาดีมากแค่ไหนแล้วที่มีกินมีใช้ในทุกๆวันที่เป็นอยู่นี้ ผมได้ไปเจอความลำบาก ได้ไปสร้างห้องน้ำ และโรงอาหาร สิ่งที่ได้ตอบแทนจากชาวบ้าน ไม่ใช่เงินทองหรือของมีค่า มันคือรอยยิ้มและเสียงปรบมือ พร้อมอาหารข้าวแกง จานหนึ่งธรรมดาๆ แต่ผมรู้สึกว่ากับข้าวมื้อนั้นผมกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก เพราะความเหนื่อยล้า มันสอนให้ผมรู้ว่า การใช้ชีวิตไม่ได้ง่ายเลย การที่จะได้สิ่งใดมา ต้องตั้งใจแนวแน่ และมีเป้าหมาย มันถึงจะดำเนินและสำเร็จได้

Dialogue : ครั้งไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มันเป็นเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย ประสบการณ์ครั้งนี้มันเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมได้แน่ๆ ประสบการณ์นั้นคือประสบการณ์ "อกหัก" ในช่วงปี 3 เทอมปลาย ผมน้ำหนักลดลง ประมาณ 10 กิโลกรัม หน้าตาทรุดโทรม ไม่เข้าเรียน อารมณ์เสียหงุดหงิดชอบโวยวาย วีน เหวี่ยงไปซะทุกเรื่อง จนอยู่มาวันหนึ่ง แม่รู้ว่าผมอกหัก คุณแม่รีบโทรมาหา แต่ผมก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงบอกไปว่าไม่เป็นไร พร้อมทั้งพูดจาด้วยถ้อยคำที่ ไม่ค่อยดีนัก ออกแนวจะค้อนๆ ซะด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่แม่จะวาง คุณแม่บอกว่า "ง่ายๆ นะแบงค์ แม่ ไม่ได้รักพ่อเป็นคนแรก แม่เคยอกหักมาแบบแบงค์ แต่แม่ จะไม่จมปลักเสียใจอยู่กะเรื่องที่มัน ทำให้เสียใจ ต้องทำใจ และเงยหน้ามองหาสิ่งใหม่ๆ ถ้าแบงคืไม่เปิดใจ ก็จะไม่เจอหรอกว่ารอบตัวมีอะไรที่หน้าค้นหา แม้กระทักความรักครั้งใหม่ " ผมได้ฟังแค่นั้นแหล่ะ ผมสะดุ้ง และคิดได้ทันทีเลยว่าผมควรที่จะทำตามคำที่แม่บอก และอีกไม่นานผมก็ มีสาวใหม่ ฮ่า ๆ ๆ

Mental model : ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตามากขึ้น ผมเป็นคนคนหนึ่งที่ชอบส้รางกำแพงให้ตัวเอง ชอบคิดไปเองว่า คนอื่นต้องว่าเราแน่ คนอื่นต้องไม่ชอบในสิ่งที่เราทำอยู่แน่ๆ ผมก็คิดว่าทุกๆคน คงจะเคยคิดแบบผม ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสได้รับเชิญจากรุ่นพี่คณะศิลปกรรมศาสาตร์ให้ไปร่วมแสดงดนตรี จุดประสงค์ของการแสดงครั้งนี้เพื่อ รวบรวมเงินรวมทั้งสิ่งของจำเป็น และเครื่องยังชีพไปบริจาคให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดกรุงเทพมหานครฯ ผมได้ร่วมแสดงกับคนที่มาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกะในการเล่น ผมได้เจอและรู้จักผู้คนมากมาย ได้รู้จักมุมมอง รูปแบบในการเล่น ukulele ที่แปลกใหม่ ได้ฝึกการกล้าที่จะแสดงออก ผมมีความสุขมาก และผมรู้สึกว่า ตัวผมเล็กลงแต่มีดวงตาและขอบข่ายการมองเห็นที่กว้างมากขึ้น ผมมีความสุขมาก

Team learning : ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด ในวัยเด็กของผม ผมจำได้ว่าผมเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวเก็บตัว ไม่ค่อยร่วมมือ หรือเป็นคนที่ให้ความร่วมมือไม่ค่อยดีนัก แต่มีอยู่วันนึงในช่วงชีวิตวัยประถมศึกษาของผม ผมได้มีโอกาสได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนร่วมห้อง ให้ไปเตะฟุตบอลแข่งขันชิงแชมป์ รร.มูลนิธิวัดศรีอุบลรัตนาราม (สมัยเด็กผมอ้วนมาก และเตะฟุตบอลไม่เป็น) ผมคิดอยู่นานมาก รุ่งขึ้นผมให้คำตอบเพื่อน "ต้นเราเตะด้วยนะ" ในทุกๆ เย็น หลังเลิกเรียน พวกเราจะซ้อมกันเป็นทีม ในช่วงแรกทุกอย่างมั่วมาก ไม่มีระบบ แต่ โชคดีที่มีอาจารย์ประจำชั้นค่อยออกคำสั่ง และให้คำแนะนำ จนพวกผมสามารถเล่นเป็นทีมได้ และได้เข้าแข่ง แต่ผลออกมา พวกเราได้ที่ 3 ของโรงเรียน ถึงจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศเหมือนที่หวังไว้ แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้จักการเล่นเป็นทีม และกล้าที่จะเตะบอลในที่สุด : )

System thinking : เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ผมเป็นคนคนนึงที่ทำงานไม่เป็นระบบเลย เป็นคนที่ออกจะมักง่ายซะด้วยซ้ำ แต่มีอยู่จังหวะหนึ่งของชีวิต คือช่วง ปิดเทอม Summer ในช่วงปีสาม ทางมหาลัย จะให้นักศึกษาออกไปฝึกงานตามบริษัท หน่วยงาน หรือ โรงงาน ตามที่ตนได้ยื่นความประสงค์ที่จะไปฝึกงาน ผมได้ไปฝึก ที่บริษัท PCS.Precision work อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา งานที่บริษัทนี้ทำจะเป็นงานประเภทปลายน้ำคือจะเป็นการ machine ให้ขนาด ของผลิตภัณฑ์ มีขนาดตรงตามแบบของงาน ผมได้มีโอกาส ไปคลุกคลีกะ สายงานการผลิตนี้ และทำให้รู้ได้ว่า ทุกๆ อย่างไหลไปตามระบบมาก และมีพี่เลี้ยงที่คอยให้คำปรึกษาพร้อมทั้งอธิบาย การคิด การทำงานของ process นี้ ทุกๆ ขั้นตอนมันสอดคล้องกันเป็นระบบ ซึ่งผมก็ลองมองดูตัวเองและคิดตาม ก็เลยทำให้รู้สึกว่า ถ้าเปรียบผมเป็น raw materail ผมจะต้องผ่าน Process ก็คือการปฏิบัติตนอย่างเป็นระบบ ถ้าผม ดำรงอยู่ใน process ที่ดีได้ แน่นอนผมจะออกมาเป็น product ที่ดีได้

พรพิพัฒน์ เพชรพรไพศาล

นาย พรพิพัฒน์ เพชรพรไพศาล 555740056-5 s.11 Y 14

Personal Mastery ครั้งใดทำอะไรแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น ตอนที่ผมเรียนอยู่สมัยตอน ม.6 เรียนสาย วิทย์-คณิต อยู่โดยที่เรียนไปไม่มีจุดหมายว่าโตแล้วอยากจะเรียนไรต่อ ทำงานอะไร แต่แล้ว มีอยู่มีวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งเล่นคอมอยู่ พอดีวันนั้นพี่สาวได้กลับมาบ้านในช่วงปีใหม่ (พี่สาวผมเรียน ปี 2 คณะเกษตรศาสตร์ มข.) ได้เข้ามาหาถามผมว่า “อยากเรียนต่ออะไร” ผมตอบกลับว่า “ไม่รู้” พี่ก็โมโหและบอกว่า ”โตแล้ว ทำไมไม่รู้จักคิดว่าจะต่อเรียนอะไร” แล้วพี่สาวก็บอกต่อว่า “ทำไมไม่เรียน การจัดการละ จะได้เอามาช่วยงานที่บ้านได้ด้วย” ทำให้ในช่วงนั้นผม เลยตั้งเป้าไว้ว่า เรียนการจัดการ จะได้ช่วยที่บ้าน พอจบ ม.6 ผมได้เรียนต่อ สาขาการจัดการทั่วไป

Dialogue ใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี เมื่อสมัยผมอยู่ ม.ปลาย ในตอนนั้นผมติดเกมส์ออนไลน์เป็นอย่างมาก (เล่นแบบข้ามวันเลย ก็มี) ถ้ายิ่งเป็นช่วงวันศุกร์ ผมจะเล่นเกมส์ จาก 6 โมงเย็น ไปจนถึง 8 โมงเช้าของอีกวัน โดยที่ไม่ไปไหนเลย ตื่นมาผมก็นั่งเล่นต่อ แล้วก็เคยเอาเงินไปเติมกับเกมส์ออนไลน์ (เติมเกมส์เพื่อจะทำให้ตัวในเกมส์ เก่งขึ้น) หมดไปแยะมาก บางครั้งเอาเงินไปเติมเกมส์ออนไลน์หมดเป็น พันกว่าบาท แล้วทุกครั้งก่อนสอบผมก็ ไม่ยอกอ่านหนังสือสอบ เคยโดน แม่ว่าให้เลิกเล่นเกมส์ออนไลน์แต่ก็ไม่เลิกเล่นสักที่ ทำให้การเรียนในช่วงนั้น เกรดตก จาก 3 ลงมา เหลือ แค่ 2.5 ทำให้แม่ ไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการเรียนที่ทำให้เกรดตก แล้วในช่วงนั้นโดนจับได้ว่าเอาเงินไปเติมเกส์ออนไลน์ (พอดีลืมเก็บ บัตรเติมเกมส์ที่วางไว้อยู่หน้าคอม) ซึ่งยิ่งทำให้แม่โกรธมาก จึงเรียกเข้าไปคุกด้วย แม่ก็บอก “เราเล่นไม่พอ เรายังจะเอาเงินไปเติมเกมส์อีก ซึ่งมันไม่ได้ทำให้มีประโยชน์ ซื้ออะไรก็ไม่ได้ แล้วทำให้การเรียนเสียด้วย ทำไมเราไม่ เลิกเล่นแล้วตั้งใจเรียนละ ดีกว่าที่จะมานั่งเล่นเกมส์ไปวันๆโดยที่ไม่ทำอะไรให้มีสาระ” ตั้งแต่นั้นมาผมเก็บมาคิด แล้วผมก็เลิกเล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่เติมเงินเกมส์อีกเลย และกลับมาตั้งใจเรียนกว่าเดิม เกรดผมจึงดีขึ้น

Mental model ทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น ตอนนั้นเป็นช่วง ม.ต้น ครอบครัวผมได้พากันไป เที่ยวทะเล (มีพ่อ แม่ พี่สาว กับน้องสาว) ที่เกาะช้าง แล้วผมก็ได้ไปดำน้ำดูปะการัง (ดูปะการังต้องนั่งเรือไปต่อที่เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง) นั่งเรือประมาณ 11 โมงเช้า โดยเรือมี ไกด์นำเที่ยวประจำเรือ สอนให้ รู้วิธี ดำน้ำ ใช้อุปกรณ์ บอกให้เราไปส่วนไปได้ หรือไม่ควรไป (แถวที่ดำน้ำมีเม้นทะเลสีดำอยู่แถวน้ำตื่น) เป็นวันที่ผมสนุกมาก (ดำน้ำจนตัวดำ) แล้วตอนประมาณ 5 โมงเย็นก็กลับ ขณะที่นั่งอยู่บนเรือพี่ไกด์ก็พูดถึงเดียวนี้ ธรรมชาติแถวนี้โดนทำลายไปเยอะ จนทำให้ปะการังบางส่วนตาย ไม่ค่อยดูแลรักษากัน มีนักท่องเที่ยวมาดูเยอะมากในแต่ละวัน สมอเรือ ยังทำให้ที่แถวนี้เสีย (สมอเรือไปเกี่ยวกับปะการังที่ อยู่ลึกลงไป) นักท่องเที่ยวบางคนยังทิ้งขยะโดยไม่คิดถึงธรรมขาติ ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ธรรมชาติยังต้องมีการรักษาอีกเยอะ ต้องช่วยกันดูแล พี่เขาพูดเสร็จก็ ถึงฝั่งพอดี

Team Learning ครั้งไหนที่ทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย ในตอนที่ผม เรียนอยู่ ปี3 คณะการจัดการ มีโครงงานของวิชา การผลิต ที่ต้องทำงานเป็นกลุ่ม เป็นชิ้นงานที่ใหญ่ ชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะจบภาคเรียน ซึ่งพวกผมได้แบ่งหน้าที่ การทำงาน ให้กลับไปทำแต่ละคน แล้วให้เอางานกลับมารวมกัน แต่งานที่เอามาให้ให้ อาจารย์ช่วยดูเนื้อหาให้ ก็บอก งานกลับ ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ เท่าไร จึงได้นัดกันมาทำที่หน้า หอเพื่อน ที่อยู่ใกล้ มหาลัย จะได้ช่วยกันคิดให้งานออกมาดียิ่งขึ้น ผมได้ทำเกี่ยวกับ PowerPoint เพื่อแต่ละคนก็ช่วยกันบอก หน้านี้ น่าจะตัดเนื้อหาออกอีกนะ หน้านี้น่าจะใส่รูปให้เยอะกว่านี้ งานจึงออกมาดูดี หลังจากนั้นก็ ช่วยกันทำรูปเล่มใหม่ ออกแบบปก โดยใช้ความคิดของแต่ละคน มาใส่ในงานเล่มนี้ พองานเสร็จ พวกผมก็ได้ทำกับข้าวกัน เป็นงานที่สนุก พอนำงานไปนำเสนอ ก็ได้คะแนนดีด้วย

System thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี ในช่วงนั้นตอนที่ผม ได้ฝึกงานอยู่แผนกจัดซื้อ ที่บริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรม จำกัด ผมได้เข้าไปวันแรกโดยที่ไม่รู้จักใครสักคน เพื่อนที่มาฝึกด้วยก็ไม่มี (พอดีบริษัทรับฝึกแค่คนเดียว) ผมกลัวว่า จะทำไม่ได้ ช่วงที่ฝึกงานแรกๆ ผมไม่ค่อยได้พูดกับใครเลย นอกจากพี่เลี้ยงที่ฝึกงาน ทำแต่งานที่เลี้ยงเอามาให้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่เลี้ยงให้ลองไปช่วยงานกับแผนกอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ผมได้เรียนรู้การทำงาน อย่างเป็นระบบของ แผนกจัดซื้อยิ่งขึ้น ลงไปช่วย แผนกบัญชี บ้างไป แผนกการตลาด และ ฝ่ายบุคลากร บ้าง ทำให้ผมเข้าใจในการทำงานของระบบ จัดซื้อ เมื่อลูกค้ามาวางบิล เราต้องลงบันทึกแล้วให้แผนกบัญชีต่อ ซึ่งผมก็ได้ ไปส่งเอกสาร กับฝ่ายบัญชี ได้คุยกับหลายๆคนใน แผนกนั้นๆ ทำผมเข้าใจการทำงานต่างๆดีขึ้น

น.ส.ลัลตรา กิจพิทยาฤทธิ์ 555740071-9 Y#14 Sec.12

น.ส.ลัลตรา กิจพิทยาฤทธิ์ 555740071-9 Y#14 Sec.12

Personal Mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น :: ภาควิชาเคมีที่เรียนตอนป.ตรี ช่วงปีที่ 2 มีวิชาที่ทุกคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายากมาก เรียนครั้งเดียว ไม่ดรอป ไม่ F ถือว่าเก่งใช้ได้ วิชาที่กล่าวมาคือ เคมีอนินทรีย์ พอถึงเวลาที่ต้องลงทะเบียนเรียนทำให้กังวลและกลัวมาก พอเริ่มเรียนในห้องเรียนจะตั้งใจ อาจารย์สอนดีและสนุกสนาน กลับมาทำความเข้าใจและตอนสอบก็ตั้งใจอ่านหนังสือและทำข้อสอบเช่นกัน แต่ปรากฎว่าคะแนนที่ออกมาคือ 2 เต็ม 30 เป็นคะแนนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการเรียน ในตอนนั้นเครียด เสียใจ ไม่เข้าใจ นั่งร้องไห้และถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมสุดท้ายตัดสินใจดรอปค่ะ มาสู้ใหม่คะแนนออกมาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่แต่ปีนี้กลับมาพร้อมสติและเป้าหมายที่บอกกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ดรอปและต้องไม่มี F ไปโผล่ในทรานสคริป พยายามอ่าน ทำความเข้าใจและฝึกทำโจทย์มากมายจนสุดม้ายก็ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จค่ะ ^^

Dialogue ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี :: ช่วงชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กอยุ่ที่บ้านกับอาป๊าและแม่มาตลอดชีวิตสบายค่ะ จนถึงช่วง ม.ต้น ได้ไปอยู่กับอาโกว 3 ปี ซึ่งบ้านอาโกวทำร้านอาหารขายข้าวต้ม ไปอยู่ก็ต้องช่วยงานในร้าน จดรายการอาหาร เสริฟ เก็บโต๊ะ ล้างจานด้วย รู้สึกว่าลำบากจังเลยทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ทำไปบ่นไปตลอด พอปิดเทอมกลับมาบ้านก็บ่นให้อาป๊าฟังและอาป๊าก็บอกว่ารู้ไหม เรื่องแค่นี้เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ลำบากเลย กว่าที่อาป๊ากับแม่จะมีให้ลูกทุกวันนี้ได้ผ่านอะไรมามากมายลำบากกว่าที่ลูกไปช่วยอาโกวตั้งเยอะ ทำให้มองกลับไปในที่เจอมาเทียบกับเรื่องที่อาป๊าเล่า รู้เลยค่ะว่าเรื่องของเราเป็นเรื่องที่ถือว่าไม่ลำบากสักนิด พอเปิดเทอมกลับไปคราวนี้ช่วยอาโกวทำงานโดยไม่มีคำบ่นสักคำ

Mental Modal ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น :: เมื่อช่วงต้นปีได้ที่โอกาสเดินทางไปเที่ยวประเทศฮ่องกงกับเพื่อนร่มทริปอีก 3 คนเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศแบบ backpack ครั้งแรก ทำให้รู้สึกตื่นเต้นกว่าการเดินทางครั้งที่ผ่านๆมามากเพราะในทริปนี้ต้องวางแผนกันเอง เริ่มตั้งแต่จองที่พัก แพลนการเที่ยว การเดินทาง ค่าใช้จ่าย เมื่อเดินทางไปถึงฮ่องกงอย่างแรกที่ตื่นตาตื่นใจมากคือห้องน้ำที่แสนจะเล็กเข้าใจเลยค่ะว่าปีนชักโครกอาบน้ำเป็นยังไงและการเดินทางในทริปนี้ส่วนใหญ่เน้นรถไฟใต้ดินเพราะสะดวกสุดแต่มีวันหนึ่งตัดสินใจนั่งรถเมล์และสุดม้ายคือหลงทางต้องไปถามทาง และหาทางกลับกันวุ่นวายแต่ก็สนุกสนานมาก ทำให้การไปเที่ยวในครั้งนี้ได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นมากกว่าไปกับทัวร์ เพราะอย่างน้อยไปกับทัวร์คงไม่หลงทาง

Team Learning ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด :: เรียนจบป.ตรีมาจากสาขาเคมีสิ่งแวดล้อมค่ะและช่วงปีสุดท้ายต้องทำโปรเจคจบร่มกับเพื่อน หัวข้อที่เลือกทำคือ การผลิตแก๊สชีวภาพจากรำหบายโดยเชื้อรา Trichoderma sp. ซึ่งต้องใช้เชื้อราเป็นพระเอกหลักในการทำโปรเจคครั้งนี้แต่พวกเราทุกคนไม่มีใครมีความรู้เรื่องเชื้อราและความรู้ด้านชีววิทยาที่มีเท่าหางอึ่งของพวกเราทำให้งานในช่วงแรกเดินไปช้ามาก แต่พวกเราร่วมมือกัน ทุ่มเทหาข้อมูล ลองผิดซึ่งมีมากกว่าลองถูกในช่วงแรกจนสามารถเพาะและเลี้ยงเชื้อรานำมาใช้เป็นตัวย่อยรำหยาบได้สำเร็จ การร่วมมือทำงาน หาข้อมูลของพวกเราทำให้อุปสรรคที่ยากมากๆสำหรับพวกเราในกลุ่มผ่านพ้นมาได้ด้วยดี

System Thinking เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผ้สมีระบบที่ดี :: หลังจากเรียนจบป.ตรี ได้มีโอกาสทำงานเป็นเซลล์ค่ะ ในช่วงแรกคิดว่าอาชีพนี้คงไม่มีอะไรมาก ออกไปหาลูกค้าทำยอดให้เป็นไปตามที่บริษัทตั้งไว้แค่นั้นก็พอ แต่เมื่อได้สัมผัสกับการทำงานจริงๆทำให้รู้ว่ามีระบบของการทำงานมากมายแฝงอยู่ ต้องมีการวางแผนให้ดี เช่น จะหาลูกค้าใหม่และดึงลูกค้ามาซื้อของกับบริษัทของเรายังไง ความต้องการของลูกค้าเป็นแบบไหน ราคาที่ยอมรับได้ทั้งบริษัทและลูกค้า วางแผนในการออกไปหาลูกค้า วันไหน เส้นทางไหนที่ออกไปแล้วคุ้มค้ากับเวลาและค่าใช้จ่ายมากที่สุด และในทุกๆสัปดาห์ต้องทำรายงานสรุปการทำงานเข้าประชุม ทำให้รู้และเข้าใจถึงความเป็นระบบในการทำงานเพิ่มมากขึ้นค่ะ

นายณัฐวรวุฒิ กลุ่มเหรียญทอง

นายณัฐวรวุฒิ กลุ่มเหรียญทอง y14 sec12 555740037-9

Personal Mastey ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น..... เมื่อตอนกระผมได้เข้ามาเรียนมหาวิยาลัยตอนปี1 ซึ้งเพื่อนของผมมีแต่คนเรียนเก่ง แล้วผมเป็นคนเรียนไม่เก่งทำให้ เรียนไม่ทันเพื่อน ซึ้งตอนนั้นผมทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าจะเก่งให้เท่าเพื่อน ต้องขยันเพิ่มเป็นสองเท่า ผมจึงเริ่ม ตั้งใจจดตามอาจารย์ บางวิชาต้องอัดเสียงแล้วมาฟังทีหลัง กลับมาแล้วทบทวนสิ่งที่เรียนมา ตั้งใจทำงานส่งอาจารย์ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ และติวกับเพื่อนๆซึ้งโชคดีที่ว่าเพื่อนผมเรียนเก่ง เมื่อไม่เข้าใจเพื่อนก็จะช่วยอธิบายให้ ซึ้งความตั้งของผมคือเรียนให้จบสี่ปีพร้อมเพื่อน และทำให้ผมจบมาปริญญาตรีมาได้

dialogue สมัยประถมผมได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนประจำ ซึ้งอยู่ไกลจากบ้านผม ต้องกินนอนที่หอของโรงเรียน ซึ้งเป็นครั้งแรกที่ผมอยู่ไกลบ้าน บางอาทิตก็ได้กลับบ้านเสาร์อาทิต บางอาทิตก็ไม่ได้กลับ ทำให้ผมคิดถึงบ้านและคิดถึงพ่อแม่มาก โทรไปร้องให้กับแม่แทบทุกวัน จนมาวันนึง ผมคิดว่าไม่ไหวแล้วจะกลับไปอยู่บ้าน จนแม่ได้เอาโทรศัพท์คุยกับพ่อ พ่อผมได้บอกว่า"ที่ส่งลูกไปเรียนที่นั้นเพราะ อยากให้ลูกมีโอกาสได้เรียนโรงเรียนที่ดีกว่า มีการศึกษาที่ดีกว่าคนอื่น มีอนาคตที่ดี แล้วลูกมาทำอย่างนี้กับพ่อหรอ"ทำให้ผมคิดได้ และหยุดร้องให้ บอกพ่อว่าจะตั้งใจเรียน และอยู่จนจบมาได้

Mental model ช่วงปึ2ผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ที่สนามบินเชียงใหม่ ซึ้งผมมีความใฝฝันอยากทำงานเกี่ยวกับการบิน ไปฝีกงานตอนแรกหัวหน้าให้ไปทำเกี่ยวกับขนส่งสินค้าเพราะเห็นว่าเป็นผู้ชายเลยให้ทำงานที่ใช้กำลัง ซึ้งมีงานแค่ ไปรับสินค้าจากสายพานกระเป๋า นับจำนวนสินค้า รอนำจ่ายสินค้า และรับสืนค้าเข้า ซึ้งงานมันทำอยู่แค่ในห้อง จนมาถึงเดือนถัดไป หัวหน้าได้สับเปลี่ยนหน้าที่ ซึ่งได้ไปทำหน้าที่บริการภาคพื้นดิน เป็นงานที่ผมตั้งใจอยากฝึก เมื่อได้มาทำหน้าที่ตรงนี้ก็ได้พบปะกับลูกค้า คอยบอกทาง ตอบปัญหา พาไปยังที่ต่างๆ ได้เรียนรู้หน้าที่ของแต่ละหน่อยมากขึ้น ทำให้ผมมีความสุขกับการฝึกงานในครั้งนี้

Team Learning ช่วงปี4 อาจารย์ได้ได้สั่งงานกลุ่มซึ้งเป็นโปรเจคใหญ่สำหรับจบ ซึ้งงานนั้นก็คือทำแผนงานจำลองงานแต่งงานให้อาจารย์คู่นึงที่กำลังจะแต่งงานจริงๆ ซึ้งงานนี้ต้องอ้างอิงราคาสถานที่ตามความจริง ในงบประมาณที่มีจำกัด และมีกสรแข่งขันกันหลายกลุ่ม ซึ้งกลุ่มกระผมได้แบ่งหน้าที่กันชัดเจน ได้ร่วมกันตั้งใจทำงาน ช่วยเหลือกันอย่างที่ไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นดูงานสถานที่จัดงานจริง ช่างแต่งหน้าจริง เลือกชุด และลำดับเวลา เหมือนได้จำลองงานแต่งงานเล็กๆมาไว้ในห้อง เมื่อถึงวันพรีเซน ปรากฏว่ากลุ่มผมชนะ ซึ้งได้รับคำชมมากมายจากอาจารย์และคนที่กำลังจะแต่งงาน ซึ้งทำให้เหตุการครั้งนี้รู้สึกว่าเป็นการทำงานเป็นทีมที่ดีที่สุด

System thinking เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจของญาติ ร้านไก่ย่างพระรามเกล้า ซึ้งเรื่มมาจากร้านไก่ย่างเล็กๆหน้าปากซอย มีลูกค้าไม่กี่ราย มีการใช้หน้าม้าเข้ามาทำให้ดูว่าขายดี จนมีลูกค้าประมาณนึง จึงได้ขยายร้านขึ้น ละเริ่มขายไก่ไม่ทัน จึงได้ตัดสินใจสั่งเครื่องย่างไก่ ซึ้งมีราคาแพงมา และชูจุดขายตรงนี้ จนทำให้มีลูกค้ามากขึ้น และได้ขยายร้านจนใหญ่โต ซึ้งปัญหาก็คือ บริการลูกค้าไม่ทัน มีความช้าในการสั่งอาหาร จึงได้แก้ไขปัญหาโดยการ นำเครื่องปาล์มต่อเข้ากับเครือข่ายร้าน และสั่งอาหารได้ในเครื่องปาล์ม ทำให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น

นางสาวดารุณี ดุษฎีกุล

Personal Mastery :
ตอนเริ่มเรียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปีแรก ฉันตั้งใจเรียนมาก และฉันยังไม่ค่อยมีเพื่อนเวลาว่าจึงอ่านหนังสือเยอะ ทำให้เกรดของปี 1 เทอมแรกออกมาดีมากจนน่าตกใจ ฉันดีใจมาก พอเริ่มเรียนเทอม 2 เริ่มมีเพื่อนเยอะมากขึ้นๆ ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนเป็นส่วนมาก ไปเที่ยวบ้างบางครั้ง ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าที่ควรทำให้เกรดในเทอมสอง แย่มาก ฉันรับไม่ได้และกลัวว่าพ่อกับแม่จะเสียใจ ที่ท่านอุตส่าส่งเงิน ส่งกำลังใจ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรามา เพียงเพื่ออยากให้เราตั้งใจเรียน เรียนให้ได้ดี พอฉันคิดได้ ฉันจึงบอกกับตัวเองว่า ฉันจะต้องขยันให้มากกว่านี้ ตั้งใจเรียนให้มากกว่า อ่านให้มาก พยายาม และอดทน แต่ไม่ได้ห่างหายไปจากเพื่อนๆ ยังไปเที่ยวกัน แต่ทุกครั้งฉันจะต้องแบ่งเวลาให้ถูก รู้ว่าเวลาไหนต้องเรียน เวลาไหนเที่ยว จึงทำให้เกรดตอนจบ ออกมาได้อย่างที่ทุกคนในบ้านและตัวฉันภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต เพราะฉันเรียนดีจนได้เกรียตินิยมอันดับ 2 มาครอง ฉันรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันประสบความสำเร็จ ที่ได้ทำสิ่งดีๆเพื่อตัวเองและครอบครัว Dialogue : เป็นช่วงแห่งการเปิดรับนักศึกษาปริญญาโทที่ ม ขอนแก่น ฉันลังเลอยู่ว่าจะเรียนต่อดีหรือไม่ เพราะเพิ่งได้งานที่บริษัทแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของประเทศ ทุกอย่างดีหมด ทั้งงาน เงินเดือน สวัสดิการ ความก้าวหน้าในด้านอาชีพ แต่คุณแม่อยากให้ฉันเรียนต่อ ฉันลังแลอยู่นานว่าจะเลือกอะไรดี ระหว่างงาน กับเรียน ถ้าเลือกงานก็ไม่ได้เรียนเพราะที่บริษัทเค้าทำงานกันอาทิตย์ละ 6 วัน วันหนึ่งฉันจึงได้มาคุยกับแม่อย่างจริงจัง แม่พูดว่า ไม่ได้ห้าม ถ้าอยากทำงานก็จะให้ทำ แต่มีประโยคหนึ่งที่แม่พูดไว้ว่า “ ถ้าคุณเลือกที่จะทำงานคุณก็จะไม่อยากที่จะมาเรียนหนังสือ เพราะการทำงานมันได้เงิน ยิ่งทำไปนานเงินก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ถึงตอนนั้นคุนอยากจะทิ้งเงินเดือนมากๆมาเรียนหนังสือหรือเปล่า คงไม่หรอก ตอนนี้แม่อยากจะให้เรียน ความรู้แค่นี้ก็คงได้เป็นแค่ลูกจ้างเค้าไปตลอดชีวิต ถ้าเรียนจบสูง มีความรู้ที่มากขึ้น ถึงตอนนั้นคุนอยากจะไปทำอะไรแม่ไม่ห้าม “ ตอนนั้นทำให้ฉันรู้ได้ว่า การศึกษามันมีความสำคัญมากจริงๆเลยตัดสินใจทิ้งงาน และได้มาเรียนที่นี้ แล้วก็คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจเลือกเรียน เพราะ การเรียนมันทำให้ฉันได้แง่คิดมุมมองใหม่ๆ ได้นำเอาความรู้ที่เรียนไปใช้พิจารณางานต่างๆ ได้เพื่อนๆมากมายที่คอยแนะนำในหลายๆเรื่อง มันช่วยเปิดมุมมองโลกทัศน์ ของฉันให้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้ด้วยว่าเราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เราตั้งใจจะทำนั้นประสบความสำเร็จ Mental model : ช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ ฉันได้ไปสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งใน ม ขอนแก่น เริ่มเรียนวันแรก ได้เข้าไปเจอทุกคนในคลาสเรียน ทั้งหมดในคลาสเรียนเป็นผู้ชายหมด มีฉันที่เป็นผู้หญิงคนเดียว อ ให้ทุกคนแนะนำตัว ในห้องนั้นมีรุ่นพี่หนึ่งคน และก็อายุเท่าๆฉัน แต่ฉันตกใจที่ว่า มีเด็กมัธยมต้น มานั่งเรียนคอร์สเรียนภาษาคลาสฉันด้วย ไม่ใช่ฉันที่แปลกใจแต่อาจารย์ที่สอนก็แปลกใจด้วยว่าเด็กแค่นี้ทำไมมาลงเรียนคอรสภาษาในระดับสูงขนาดนี้ จะเข้าใจหรอ แต่เมื่อได้เรียนไปเด็กคนนั้นตั้งใจเรียนอย่างมาก อ ถามอะไรก็ตอบได้ ฉันจึงนึกสงสัยเลยได้เข้าไปคุยกับน้องเค้าแล้วถามว่าทำไมถึงมาเรียนยากขนาดนี้ น้องเค้าบอกว่าผมตั้งใจจะเรียนต่ออินเตอร์ครับ ยังไงผมก็ต้องได้เรียนพวกนี้ เรียนก่อนก็รู้ก่อน ได้เปรียบ ผมไม่ได้เรียนแค่ภาษอังกฤษนะครับ ผมยังเรียนภาษจีนด้วย ทำให้ฉันเข้าใจว่าภาษามีความสำคัญกับเรามากในชีวิตประจำวัน การเรียน ขนาดเด็กแค่นี้เปิดใจที่จะเรียนรู้ แล้วเราละ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ฉันยิ่งต้องขยันมากยิ่งขึ้นเป็นหลายเท่า ต้องพยายาม ต้องเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆให้ตัวเองอยู่เสมอ จะได้ทันเด็กสมัยนี้ Team Learning : เทอมสุดท้าของการเรียน ฉันได้ทำงานวิจัยวิชาหนึ่ง โดยที่มีเพื่อนร่วมทำวิจัยกัน 10 คน ซึ่งเมื่อมีคนเยอะขึ้น ปัญหาต่างๆก็ต้องเยอะตามมา โดยเฉพาะเรื่องการนัดเวลามาทำงาน ยิ่งคนเยอะยิ่งนัดยาก บางคนไม่ว่าง บางคนมาสาย ทำให้การทำงานของกลุ่มช้าลง แล้ววันนั้นพวกเราจึงมาคุยกันถึงปัญหาตรงนี้ แล้วมาแชร์ความเห็นกันว่า เอาอย่างนี้ กลุ่มเรามี 10 คน แต่จะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยอีก 3 กลุ่ม เพราะจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งให้แต่ละกลุ่มย่อยนั้นนัดกันไปรับผิดชอบในส่วนของงานที่ได้แบ่งไป เมื่องานของทุกกลุ่มย่อยแล้วเสร็จ จึงนำข้อมูลงานของงานมารวบรวมกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา สะดวก ทำให้การทำงานง่ายขึ้น และเสร็จเร็วกว่าที่เราคาดไว้ อีกทั้งงานยังออกมาดีมากอีกด้วย Systjem thinking : เมื่อปีก่อน ได้ไปเที่ยวประเทศมาเลเซียกับคุณแม่ ซึ่งเราเดินทางโดยเรือ สตาร์ครูส ระดับ 5 ดาว เรือลำนี้มีระบบการจัดการที่ดีมาก ทั้งในการด้านการบริการด้วยบุคคล และสถานที่ เรืยกได้ว่า มีทุกอย่างในรวมไว้ในเรือลำนี้ แต่สิ่งที่ประทับใจในระบบการจัดการที่ดีของเรือลำนี้ที่สุด ก็คือ เมื่อคุณขึ้นเรือ คุณจะได้รับการ์ดคนละ 1 ใบ เป็นการ์ดใช้แทนเงินสด โดยมีวงเงินไม่จำกัด ซึ่งสามารใช้ในการซื้อของ ใช้จ่ายทุกอย่างอย่างบนเรือ แม้กระทั่งการจ่ายเงินค่าชมการแสดง อาหารเครื่องดื่ม โดยที่ไม่ต้องพกเงินสดในการใช้จ่าย ทำให้เกิดความสะดวกสบายอย่างมาก เราไม่ต้องแลกเงิน แลกเหรียญ พกเงินสด ทอนเงิน รับเงิน แม้กระทั่งพกกระเป๋าสตางค์ เพียงแค่พกการ์ดใบเดียวคุณต้องการอะไร ก็แค่ยื่นบัตรให้พนักงานรูด คุณจะพักอยู่นานแค่ไหนกี่วัน กี่สัปดาห์ก็ใช้เพียงแค่ใบเดียว แล้วเมื่อคุณจะลงเรือเมื่อไหร่ ถึงยื่นบัตรหรือการ์ดนั้นให้พนักงานสรุปยอด คิดเงินทีเดียว ทำให้นักท่องเที่ยวสะดวก เกิดความรวดเร็วในการใช้จ่าย เป็นความประทับใจของระบบการจัดการอย่างหนึ่งที่ได้เคยเจอมา

นางสาวดารุณี ดุษฎีกุล

นางสาวดารุณี ดุษฎีกุล รหัส 555740005-2 sec 11 ( ระบบเน็ตที่หอล่มค่ะ เลยส่งช้า )

นายชวพล อินทร์ดี รหัส 555740028-0 sec.12

Personal Mastery :

     เมื่อตอนผมเรียนปริญญาตรี ตัวผมเองนั้นเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมซึ่งเป็นกิจกรรมภายในคณะที่ผมเรียน โดยผมทำกิจกรรมจนทำให้มีผลกระทบต่อเรื่องเรียนเป็นอย่างมากจนการเรียนตกต่ำถึงขั้นที่จะโดนรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย ณ ตอนนั้นผมจึงปรึกษาทางบ้านว่าควรทำอย่างไรดีทางบ้านผมเองก็อยากให้ลาออกจากมหาวิทยาลัยนี้และหาที่เรียนในมหาวิทยาลัยใหม่ที่จะสามารถเทียบโอนเกรดได้ ผมจึงเห็นสมควรตามที่ทางบ้านเสนอความคิดให้ หลังจากผมออกมหาวิทยาลัยเดิมแล้ว ผมไำด้ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ เมื่อเรียนที่กรุงเทพชีวิตก็เปลี่ยนไปมาก เริ่มตั้งแต่สังคมเพื่อนๆก็ไม่มี การเดินทางไปเรียนก็ลำบากกว่าที่เคยและรูปแบบการเรียนก็เปลี่ยนไปมากจากมหาวิทยาลัยเดิม ซึ่งจุดนี้เองทำให้เกิดจุดเปลี่ยนแปลงในตัวผมเองมาก ผมเองต้องมีความผิดชอบมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าและต้องปรับตัวให้เข้าสิ่งแวดล้อมใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปผมรู้สึกว่าผมจะต้องเรียนให้จบให้ไวๆได้แล้ว เพราะไม่มีใครช่วยผมได้ นอกจากตัวผมเอง ผมจึงตัดสินใจที่จะวางแผนให้เรียนให้จบภายในสองปีและผมใช้วิธีเขียนกระดาษติดข้างผนังว่าจะต้องเรียนให้จบภายในสองปีเพื่อเตือนสติตนเองให้เป็นคนที่เป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนแน่นอน ไม่เลื่อนลอยและหลังจากนั้นผมก็สามารถที่จะจบภายในสองปีตามเป้าหมายที่ผมตั้งใจไว้ 

Dialogue :

      มีครั้งหนึ่งผมได้พูดคุยกับพี่ชายในเรื่องปัญหาชีวิต ซึ่งตอนนั้นผมมีปัญหาชีวิตในหลายๆเรื่อง ผมก็คุยมาจนกระทั่งถึงเรื่องที่ผมถามพี่ชายว่า พี่ถ้าเราอยากทำธรุกิจเป็นของตัวเองจะทำยังไง พี่ผมก็บอกว่าการทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ต้องเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง โดยตัวผมเองนั้นความรับผิดขอบไม่สูงเท่าไร ผมจึงกังวลว่าจะสามารถทำได้ไหม พี่ผมจึงบอกว่าไม่ต้องกังวัล คนเราจะทำอะไรสักอย่างถ้ามีความตั้งใจจริงและมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรหรอกที่ทำไม่ได้ ผมได้ฟังพี่แบบนี้ตัวเองรู้สึกมีกำลังใจที่อยากทำในสิ่งที่ผมตั้งใจที่จะทำขึ้นมาทันที่และประโยคนั้นที่พี่ผมบอกมันทำให้ผมทำธุรกิจของตัวเองในปจจุบัน

Mental model :

      ตอนนั้นสมัยผมเรียนมัธยมเป็นคนชอบอยู่แต่บ้านเล่นเกมส์เล่นอินเตอร์เน็ตมากและสามารถเล่นได้ทั้งวันทั้งคืนไม่ออกไปไหนเลยยังไง มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนผมได้โทรมาผมชวนผมไปเดินงานงิ้วประจำจังหวัด ซึ่งผมเองไม่อยากแต่เพื่อนผมเองก็ตื้อให้ไปด้วย จนกระทั่งผมยอมไปด้วยและเมื่อผมไปที่งานงิ้ว ผมรู้สึกว่าทำไมผมถึงอยู่แต่บ้านอย่างเดียวได้โดยไม่เคยรู้เลยว่างานงิ้วมีอะไรน่าสนใจเยอะแยะ และยังของกินน่าอร่อยๆมากมาย จนตอนนั้นทำให้รู้ได้เลยว่าการไม่ได้ออกมาเจอโลกภายนอกสักเท่าไรแล้วมันเป็นยังไง 

Team Learning :

      สมัยผมเรียนปริญญาตรี ผมได้มีโอกาสทำกิจกรรมเกี่ยวกับเชียร์ประจำคณะตอนนั้นตัวผมเองเป็นสต๊าฟปกครอง ผมได้เข้ามาสัมผัสกับการทำงานเป็นทีมแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน มีการจัดการวางแผนที่เป็นระบบมากและมีระเบียบวินัยแต่ละคนที่งานด้วยกันทุกคนมีความเป็นทีมเวริ์คมากในทุกเรื่องตั้งแต่การซ้อมจนกระทั่งลงปฎิบัติงานจริง ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ ทำให้เข้าใจได้เลยว่าการทำงานเป็นทีมเป็นอย่างไร และในระหว่างที่ทำงานจริงจะมีการปรึกษาและประชุมอยู่เสมอเพื่อค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน ในส่วนของความสัมพันธ์กันระหว่างเพื่อนๆที่ทำงานร่วมกันก็ดีมากด้วยนับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน

System thinking :

     ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมงานพืชสวนโลกที่ จ.เชียงใหม่ งานนี้ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ภายในงานโดยงานนี้มีการแบ่งโซนออกเป็นแต่ละประเภทที่ต่างกันออกไป ตัวผมเองรู้สึกว่างานนนี่มีการบริหารจัดการที่ดี ตั้งแต่การแบ่งแยกประเภทจนกระทั้งเรื่องอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เยี่ยมชมที่มาชมงานนี้ ทุกอย่างที่อยู่ในงานล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจทั้งสิ้นซึ่งทำให้ผู้เยี่ยมชมรู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอด ตัวผมเองคิดว่าผู้จัดงานเองจะต้องคัดสรรและจัดวางระบบไว้เป็นอย่างดีมาก เนื่องจากงานนี้เองก็เป็นงานระดับประเทศ

ณัฐรดา โมฆะรัตน์ 555740087-4 y#14 sec 12

Personal Mastery (ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น?) : การมีเป้าหมายชีวิตคือมีฝันที่จะทำ การมีเป้าหมายชีวิตมากที่สุดที่การได้เข้ามาศึกษา ในรั้วมหาลัยขอนแก่น คณะ MBA เป้าหมายสูงสุดของดิฉันคือการเรียนจบ ป.โท ให้ได้ พ่อไม่เคยมั่นใจว่าลูกคนนี้จะทำได้สอบติด แต่ดิฉันสามารถสอบติด MBA อย่างที่ฉันต้องการ และเป้าหมายสูงสุดในเวลานี้คือ การเรียนจบ MBA เพื่อที่จะได้บอกพ่อบนฟ้าว่าลูกคนนี้ทำได้แล้ว ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้มาชื่นชมในวันที่ลูกเรียนจบ แต่ดิฉันคิดว่าพ่อสามารถรับรู้ได้เพราะว่าเลือดของท่านอยู่ในสายเลือดของหนู หนูต้องทำหน้าที่ลูกที่ดี และรับใช้ บ้านเมือง รับใช้แผ่นดิน ดั่งที่พ่อได้ทำมาตลอดจนท่านได้เสียชีวิตลง คือการ รับราชการครู ครูผู้เป็นคนให้ความรู้แก่เด็กๆอนาคตของชาติ ดิฉันจึงต้องเรียนจบ ป.โท และต้องสอบ เป็นอาจารย์หรือครู เพื่อที่จะได้เป็น ข้ารับใช้แผ่นดิน อย่างที่ ครอบครัว1ครอบครัวจะพึงกระทำ ต่อในหลวง Dialogue (ใครไหน ได้ฟังใครพูด แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี) : "คนทุกคนไม่ค่อยเห็นคุณค่าในของที่มี จะรู้ค่าในของสิ่งนั้นก็ต่อเมื่อได้สูญเสียของสิ่งนั้นไป" ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งตอนที่มีของที่รักที่สุดในชีวิตไม่รักษา เป็นลูกที่ดื้อ ไม่ฟังพ่อแม่ คอยเถียงท่าน คอยเอาแต่ใจกับท่านอยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากไปไหนก็ไปถึงแม้ท่านจะห่วงแค่ไหนก็ตาม ดิฉันมีพ่อมา25ปี ได้กอดได้พูดได้คุย มา25 ปี แต่วันนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่ได้กอด ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า มีหน้าที่ได้ดีที่สุดคือ ทำบุญ ทำทาน บวชชี ทดแทนพระคุณท่านและก็หวังแค่ว่าบุญใดๆ ที่ลูกหนึ่งคนพึ่งกระทำให้พ่อบุญเหล่านั้นจะส่งถึงพ่อก็เท่านั้น ดิฉันจึงอยากให้ลูกทุกคนที่ตอนนี้มี พ่อ แม่ พี่ น้อง และมีครอบครัวที่สมบูณ์ ให้ใช้ระยะเวลาที่มีท่านทุกนาทีทุกวินาทีให้มีความหมาย รัก กตัญญูต่อท่านให้มากๆ พ่อ แม่ ทุกคนรักและเป็นห่วงลูกทุกคน  จงรู้ค่าในของที่มี จงรักในสิ่งที่มีอยู่ อย่ารู้ค่าเมื่อสายไป ต่อให้ทำอะไรต่อมิอะไรก็ไม่มีความหมาย " วันนี้คุณ รักพ่อ แม่ มากแค่ไหน ??" Mental Model (ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตามากขึ้น) :การได้เปิดหูเปิดตาของดิฉัน หลังจากได้สูญเสียพ่อไป ไม่มีเกาะคุ้มครองอีกต่อไป ดิฉันต้องแข็มแข็ง มาดูแลแม่ซึ่งเป็นหัวใจของพ่อต่อจากแม่ให้ดีที่สุด และดูแลสิ่งต่างๆต่อจากพ่อให้ดีที่สุด การได้เรียนรู้โลกใหม่หลังจาก เรียน MBA และ ทำงาน ดูแลกิจการทางบ้าน การมาเรียนในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้มาเรียนรู้โลกใหม่ซึ่งดิฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะทำความรู้จักกับใครมากนัก แต่การมาเรียนในครั้งนี้ทำให้รู้จัก น้องๆ พี่ๆ ได้เรียนรู้ และรู้จักผู้คนอีกมากมาย ได้เรียนรู้ธุระกิจจาก พี่ๆที่ประสบความสำเร็จจากธุระกิจของเขา ได้มีลู่ทางใหม่ๆและ ต้องทำธุระกิจของดิฉันให้มีความก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ และต้องขยายสาขา หรือ ทำกิจการให้ใหญ่กว่านี้ให้จงได้ Team Learning (ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด เล่าสาเหตุ ปัจจัยด้วย) : ครั้งที่ดิฉันคิดว่าทำงานเป็นทีมแล้วดีที่สุดคือ การได้ทำนา หลังจากได้สูญเสียพ่อ แม่ก็ตั้งใจที่จะทำนา 10 กว่าไร่ ด้วยตัวของตัวเอง แต่บางขั้นตอนก็ต้องจ้างคนงานเพราะการทำนาเป็นการทำที่ลำบาก แต่อาศัยใจรัก ซึ่งกรรมวิธีที่ยากที่สุดคือการดูแลข้าวจากช่วงที่เป็นเมล็ด จนข้าวสุข หรือข้าวเหลืองพร้อมเกี่ยว ดิฉันและแม่ ร่วมมือกันอย่างแข็งขัน เช้าไปนาเย็นไปนา ดูแลน้ำ ปุ๋ย ให้ข้าวงาม ซึ่งจากผู้หญิงที่คอยตามผู้ชายตลอดไม่ค่อยทำงานหนักเท่าไร แต่ต้องมาดูแลทุกอย่าง ที่ให้ข้าวทุกเมล็ด สวยที่สุด ได้ผลผลิตอย่างมากที่สุด และแล้วข้าวแม่ ก็สวยและงามกว่า ข้าวที่ชาวนาปลูก ดิฉันภูมิใจมาก เพราะแม่ดิฉันทำงานราชการเช้าก็ไปนา ถึงเวลาไปทำงานท่านก็ทำงานของท่านอย่างเต็มความสามารถ เย็นก็ต้องกลับมาเป็นชาวนา ทำแบบนี้เป็นเวลา3 เดิอน ข้าวงามและได้ผลผลิต ดีมาก ขายข้าวให้แม่ได้เงินกว่า 7หมื่นบาท ดิฉันดีใจมาก ที่การทำงานเป็นทีมของดิฉันกับแม่ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม System Thinking (เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี) : การทำงานเป็นระบบคือการแก้ไขปัญหา ต่างๆ จากร้านมินิมาทของดิฉัน และกิจการห้องเช่า สวน ไร่ นา ซึ่งต้องดูแลแทนพ่อ การจัดการอย่างเป็นระบบ คือการแบ่งเวลา และคาดคะเนว่า ช่วงเวลาไหนต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง ต้องมีการวางแผนอย่างดี เช่น เช้าต้องเช็คสต๊อคของร้านมินิมาท เย็นต้องไปนาดูและไร่ ปลา และอื่นๆ กิจการต่างๆ ถ้าขาดการวางแผนเป็นอย่างดี ไม่ใช้จะเสียแค่เวลา แต่ถ้าไม่จัดการทุกอย่างให้เป็นระบบและไม่วางแผนทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี อาจจะล้มทั้งยืนได้เพราะดิฉันเป็นแค่เด็กอายุยังน้อยด้อยประสบการ จึงต้องการการเรียนรู้ จากการเรียน MBA และเอาความรู้จากพี่ๆ ที่ประสบความสำเร็จของธุระกิจมากปรับใช้ในธุระกิจของดิฉัน   นางสาว ณัฐรดา โมฆะรัตน์ 555740087-4 y#14 sec 12 ( เนื่องด้วยดิฉันต้องการส่งงาน แต่ระบบได้ล้ม จากการที่มีนักศึกษาส่งงานเยอะหรือด้วยเหตุประการใดที่ดิฉันไม่ทราบได้ ดิฉันได้ทำการส่งงานตั้งแต่เวลา 23.10 จนถึงเวลาที่อาจารย์ได้กำหนดดิฉันก็ไม่สามารถส่งงานได้ ดิฉันจึงส่งงานนี้มาเพื่อยืนยันการส่งงานของดิฉัน ของให้อาจาย์ได้โปรดเห็นใจรับงานของดิฉันด้วยน่ะค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง)

นันทพล จันทเดช 555740047-6 sec.12 (Young#14)

systematic thinking: เมื่อ พ.ศ.2549 ผมได้เข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นในระดับปริญญาตรีครับ แต่ด้วยเป็นคนที่ติดเพื่อน และเล่นเกมส์ด้วย ทำให้ยังปรับตัวไม่ได้ เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะใช้ไปกับการเล่นเกมส์ จนทำให้เทอมแรกได้เกรดเพียง 1.20 ซึ่งตอนนั้นกลัวรีไทล์มากเพราะไม่อยากเรียนปี1ใหม่ จึงได้เริ่มต้นคิดใหม่ โดยการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเรียนให้จบ พยายามเรียบเรียงขั้นตอนที่จะทำให้เรียนจบ คือเริ่มคิดจากเป้าหมายที่ต้องการ เป็นลำดับความสันพันธ์จนกลับมาถึงตอนที่กำลังคิดอยู่ครับ แล้วเริ่มทำตาม

7.เรียนจบ 6.อ่านหนังสือแบบจริงจัง5.เข้าเรียนไม่เคยขาด 4.ลงทะเบียนเรียนช้ากว่าเพื่อนๆไป1เทอม 3.เข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา 2.เลิกเล่นเกมส์ 1.ปัจจุบันทำอะไรอยู่

จนทำให้สามารถเรียนจบได้จริง(แต่ช้ากว่าเพื่อนๆไปสามเทอม) ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.22

Team Learning: เมื่อเดือน พฤษภาคม 2555 ได้มีแนวคิดกับเพื่อนๆว่าจะไปเที่ยวในหลายๆสถานที่ภายในเวลาที่มีจำกัด เนื่องจากเพื่อนบางคนก็ทำงานจึงมีเวลาเพียง3วันกับการท่องเที่ยวถึงห้าจังหวัด ดังนั้นจึงต้องมีการประชุมกันเพื่อวางแผน การเดินทางในแต่ละวัน ระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละสถานที่และการเดินทางรวมถึงการวางแผนเส้นทางโดยไม่มีการย้อนกลับ ซึ่งใช้เวลาในการประชุมถึง6ชั่วโมงเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดี ที่สุด และเมื่อ เริ่มเดินทาง ก็สามารถทำตามที่วางแผนกันไว้ได้ทุกขั้นตอน โดยไม่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากทุกๆคนต่างทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และทำตามข้อตกลงทุกอย่าง อย่างเคร่งครัด

Personal Mastery: หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เพื่อนๆที่จบไปก่อนหน้าส่วนใหญ่จะทำงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งผันตัวมาสนใจกับการเล่นหุ้นอย่างจริงจัง ผมจึงถามเขาว่าทำไมต้องเป็นหุ้น ทำไมไม่ไปทำงานเก็บเงิน เขาตอบผมว่า เป้าหมายชีวิตเขาคือการ ที่ไม่ต้องทำงานแต่ก้มีเงินไหลเข้าบัญชีทีละมากๆ เมื่อได้ฟัง ผมก็เริ่มคิดหาเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง นั่นคือ อยากรับราชการเพื่อประกันได้ว่าจะไม่ต้องตกงาน และจะต้องประกอบธุรกิจส่วนตัวไปด้วย ดังนั้นผมจึงเริ่มทำธุรกิจก่อนเพื่อรอที่จะเข้าทำงานราชการครับ

Dialogue: หลังจากเริ่มทำธุรกิจร้านอินเตอร์เน็ต ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก จะพบปัญหาเรื่องเงินและความสะอาดของสถานที่อยู่เสมอๆ เพราะไม่ได้อยู่ที่ร้านเอง จึงได้ปรึกษาแม่ แม่ก็บอกว่า ถ้าเจ้าของร้านหละหลวม พนักงานก็จะหละหลวมกว่าอีกหลายเท่า หลังจากฟังคำนั้น ผมจึงไปร้านบ่อยมากขึ้น หากไม่ได้ไปก็จะโทรไป ไม่ต่ำกว่าวันละสองครั้งเพื่อรับฟังปัญหา เล็กๆน้อยๆ และเตือนสติพนักงานว่าให้ใส่ใจกับงานที่ทำด้วย ปัญหาต่างๆจึงเริ่มลดลง

Mental model: เมื่อได้ทำตามที่กล่าวข้างก่อนหน้า ทำให้ตระหนักว่า การปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์ และคำคมต่างๆซึ่งเราไม่เคยได้ยินและนึกไม่ถึงนั้นยังมีอีกมาก ซึ่งเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้จริง ผมจึงเริ่มหาหนังสือที่ให้แง่คิดดีๆอ่าน และพูดคุยซักถามคนอื่นๆให้มาก เพื่อรับฟังแนวคิดที่แตกต่าง แล้วนำเลือกใช้

ยืมไอดีของเพื่อนส่งครับ

นายแทนไท  ไชยสาร  555740042-6  Sec.11 (ยืนยันสมาชิกทาง E-mail ไม่ได้ เว็บไม่ส่งลิ้งยืนยันเข้าเมลล์ครับ ยืมไอดีของเพื่อนส่งครับ)

Personal Mastery: ครั้งใดที่ไปทำอะไรมารู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น

ในสมัยที่ผมกำลังศึกอยู่ชั้นปีที่ 3 ในระดับปริญญาตรี ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานที่กับทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการเดินทางครั้งได้ไปดูงานทั้งหมด 5 วัน ใน 5 วันนั้นได้ทั้งดูงานและท่องเที่ยวพักผ่อนไปในตัว ทางมหาลัย’ได้จัดให้ไปดูบริษัทอยู่หลายบริษัท เช่น ธนาคารไทยพานิชณ์ สาขาใหญ่ Big C สาขาใหญ่ และบริษัทSpan การดูงานครั้งนั้นทำให้ให้ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น อยากทำงานมากขึ้นจากที่มีความคิดที่ว่าการทำงานคงจะน่าเบื่อหน่ายดีหน่อยก็มีเงินใช้ ใหนจะเจอผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่กว่าตำหนิ และเพื่อนร่วมงานที่ห่วย แต่ความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปหลังจากที่พี่ที่เป็นวิทยากรของบริษัทพูดจบ สิ่งที่พี่วิทยากรพูดก็ประวัติความเป็นมาของบริษัทแต่ที่จำได้หลักก็คือความเป็นอยู่และสวัสดิการของบริษัท อาทิ แต่งตัวไปทำงานยังไงก็ได้,เงินเดือนขึ้นเร็ว,บริษัทนี้มีบ้านพักต่างอากาศชั้นยอดตามเกาะต่างๆของประเทศไทย ไม่ว่าจะไปเป็นคู่หรือกลุ่มใหญ่ๆ หลังจากดูงานครั้งนั้นผมมีความรู้สึกว่าตัวเองอยากทำงานมากขึ้น อยากเรียนจบเร็วๆ และเข้าทำงาน

Dialogue & Conservations: ใครไหน ได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี

ช่วงที่ผมอายุได้ 17 ปี ขณะนั้นกำลังเรียนจบ ม.6 ด้วยวัยขณะนั้นผมก็ไม่ต่างจากวัยรุ่นชายไทยส่วนใหญ่ที่มีความคึกคะนอง เพื่อนฝูงในขณะนั้นยอมรับเลยว่าไม่ว่าเรื่องอะไรจะดีหรือไม่ดี คนแรกที่ผมนึกถึงกับไม่ใช่พ่อแม่ แต่เป็นเพื่อนฝูง ผมเป็นคนที่ติดเพื่อนมาก ถึงขั้นว่าเพื่อนเรียนไหนเราเรียนด้วย เหตุการณ์ครั้งนั้นเพื่อนผมเลือกที่จะทำงานและเรียนไปด้วย ผมก็มีความคิดโดยไม่ลังเลที่จะตอบว่า “เอาก็เอา ไปด้วยกัน” แต่แล้วคนที่เปลี่ยนใจผมในครั้งนั้นคือ เพื่อนหญิงที่สนิทที่สุด เธอบอกว่าจะตามเพื่อนไปถึงไหน ชีวิตจะต้องตามคนอื่นไปตลอดเลยใช่ไหม ชีวิตจะไม่มีสังคมใหม่เลยหลอ ทำไมไม่ลองไปอยู่ในที่ๆมีสังคมดีๆดูบ้างล่ะ สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะมาสมัครเข้าเรียนที่ มข. ถึงทุกวันนี้ยังรู้สึกขอบคุณเพื่อนหญิงคนนั้นและขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจมาอยู่ที่นี้ ได้เจออะไรๆที่ดีขึ้น

Mental model: ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้นเปิดหูเปิดตาเรามากขึ้น

ในช่วงที่ศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี ผมได้มีโอกาสเปิดร้านขายรองเท้าแฟชั่น(ผู้หญิง)เปิดขายอยู่ปีกว่าๆ ในปัจจุบันได้ปิดตัวลงแล้วเนื่องจากขาดทุน จากประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเปิดหูเปิดตาในหลายๆเรื่อง จากเดิมที่คิดแค่ว่า หาทำเลเหมาะๆ สินค้าสวยๆตามความต้องการใครมีเงินก็เปิดได้ แต่ในความเป็นจริงผมได้เจอทั้งปัญหาและอุปสรรค์มากมายกว่าร้านจะเปิดสำเร็จ หลังจากเปิดร้านก็ยังมีปัญหาตามมาอีกด้วย มีหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้ว่าผมยังอ่อนหัดในเรื่องของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การสั่งสินค้าของผมจะร่วมกันสั่งกับพี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ซึ้งพี่ของผมเปิดร้านอีกร้านอยู่ในเมือง ผมเปิดอยู่แถว ม.

                มีอยู่วันหนึ่งผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า”ทำไมสินค้าของเราไม่ตรงตามที่สั่ง ของที่มาไม่ครบเหมือนเมื่อก่อน มีตำหนิเยอะจัง” ผมได้เข้าไปเช็คกับทางร้านขายส่งก็ได้คำตอบว่าส่งครบตามที่สั่ง จนมารู้ความจริงว่า ก่อนที่สินหาจะมาถึงผมพี่ที่สั่งของร่วมกับผมได้ทำการคัดสินค้าดีๆก่อนที่ของจะมาร้านผม นี่เป็นเพียงหนึ่งปัญหาเล็กๆน้อยๆยังมีปัญหาอีกมากที่ไม่ได้กล่าวถึง เหตุการณ์ครั้งนั้นได้สอนผมว่า มิตรแท้นั้นหายาก

Team learning: ครั้งไหนที่ไปทำงานเป็นทีมมาแล้วดีที่สุด

ในครั้งที่ผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมได้รับมอบหมายให้ทำโปรเจคจบให้สอดคล้องกับสาขาที่เรียน นั้นคือ ICT ผมและเพื่อนอีก 1 คนได้ร่วมกันทำโปรเจคเกี่ยวกับเกมส์ที่พัฒนาด้วยภาษา HTML5 เมื่อถึงเวลาลงมือทำก็ได้เจอกับปัญหามากมายเนื่องจากภาษา HTML5 ยังเป็นภาษาที่ใหม่ ผมและเพื่อนไม่สามารถแก้ปัญหาในบางขั้นตอนได้ จึงต้องมีการสอบถามจากผู้รู้มาช่วยแก้ปัญหาจากหลายๆท่าน เพราะฉะนั้นโปรเจคที่ผมทำจึงไม่ได้มีแค่ 2 สอง กลายเป็นว่ามีหลายๆคนมาช่วยกันทำ ทำให้ตัวโปรเจคเองมีการพัฒนามากขึ้นจากแผนเดิมที่ได้วางเอาไว้มาก ทำให้ผมได้รู้ว่าการทำงานไม่จำเป็นต้องมานั่งจมอยู่กันแค่ 2 คน เพียงไปหาคนที่เค้ามีความรู้มาช่วยชี้แนะก็ทำให้งานของเราสำเร็จลุล้วงโดยการสร้างทีมขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

System thinking: เรารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบที่ดี

ในประเด็นนี้ผมขอพูดเรื่องระบบของตึกศูนย์วิชาการที่ดีขึ้น ถ้าเป็นสมัยก่อนจะมีปัญหาเรื่องเอกสารมาก การจัดลำดับของผู้มาใช้บริการ เอกสารหายบ้าง ใช้เวลานานกว่าจะทำเรื่องอะไรสักอย่างสำเร็จ เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวมาก แต่พอระบบมีการพัฒนาขึ้น มีระบบ IT เข้ามาช่วย ทำให้การดำเนินการต่างๆทำได้สะดวกขั้น เช่น การขึ้นทะเบียนออนไลล์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต การเข้าคิวโดยการกดบัตรคิว การบ่งบอกวิธีการดำเนินการต่างๆ ช่องทางในการดำเนินการต่างๆ ทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีระบบการจัดการเอกสารที่ดีลดปัญหาเรื่องการทำเอกสารหาย (ซึ่งสมัยก่อนเจอประจำเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก) ซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกที่ดีขึ้นเมื่อต้องเข้าไปใช้บริการที่นี้ 

นาย PHAN NGUYEN MINH HUY _ ยศ 555740600-8 Sec 12 Personal Mastery ตอนม.6ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสอบเข้ามหาลัยของรัฐคณะวิทยาการจัดการสาขาการเงินให้ได้ ต้องสอบ3วิชา ตัวละ10คาแนน รวมแล้ว30 คาแนน ปรากฏว่าทำตัวเกเรไปหน่อยเลยสอบได่แค่ 16 คาแนน ปีนั้นเขาประกาศรับนักศึกษาที่มีคาแนน18ขึ้นไป เลยไม่ติดแล้วพอเห็นเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันที่สอบผ่านผมก็รู้สึกอายขึ้นมา ช่วงนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะว่าสมองคิดแต่เรื่องโทษตัวเองว่าทำไมสอบไม่ได้ ไม่ตั้งใจสอบให้ดีๆ หลังจากนั้นผมก็คิดออกได้ว่าตอนนี้โทษอะไรก็ไม่ทันแล้ว สิ่งที่ดีตอนนี้คือจะเอาอย่างไรต่อไปกับชีวิต พอดีคุณพ่อเป็นอาจารย์อยู่มหาลัยเลยได้รู้ว่ามีการสอบคัดเลือกนักศึกษาไปเรียนที่ประเทศไทย พ่อก็มาบอกว่าลองสอบดู ผมก็ตั้งใจมากครั้งนี้บอกกับตัวเองว่าต้องผ่านให้ได้ หลังจากการสอบผมก็ได้ไปเรียนที่ประเทศไทย ณ เวลานั้นผมตั้งเป้าหมายว่าต้องเรียนให้จบมหาลัยในเวลาที่เร็วที่สุดเพราะถ้าเปรียบเทียบกับเพื่อนผมต้องจบช้ากว่าเขาหนึ่งปี Dialogue การที่ผมคิดออกว่าต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำไปและต้องทำอะไรถึงจะดีขึ้นก็ต้องขอขอบคุณคนๆหนึ่งชึ้งเป็นคุณพ่อของผมนั้นเองคือตอนที่รู้ว่าผมไม่ติดมหาลัยคุณพ่อไม่ว่าอะไรเลยแต่จะใช้วิธีพูดในแง่ดีว่าการสอบไม่คิดไม่ใช่ปัณหาที่แย่มาก มีอีกหลายๆทางที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จได้และมีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมากคือ คนเราใครๆก็ล้มเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่เขาจะลุกขึ้นแบบไหน หลังจากได้ฟังคำพูดแล้วผมก็เลิกที่จะคิดโทษต้วเองเปลี่ยนมาคิดจะเอาอย่างไรต่อไป Mental model การได้ไปเรียนที่ประเทศไทยทำให้ผมมี่โอกาสที่จะได้เจอสิ่งใหม่ๆอีกมากมาย เช่นสังคม วัฒนธรรม วิธีชีวิตของคนไทย คือ ผมเห็นว่าคนไทยเป็นคนที่มีนิสัยดีสามารถเข้ามาคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนๆในห้องเรียนก็ให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เขาก็จะยินกีให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีแก้ไขปัญหามาโดยตลอด ส่วนวัฒนธรรมผมก็ไดรู้จักประเพณีลอยกระทง เทศกาลสงกรานต์หรึอสิ่งที่ผมประทับใจมากคือการรับน้องใหม่ ชึ่งอยู่เวียดนามจะไม่มี Team Learning ช่วงปี 3 ที่มหาลัย ผมกับเพื่อนๆก็ได้รับผิดชอบในการดำเนินงารการจัดการของกิจกรรมระหว่างภาคการศึกษา ตอนนั้นก็จะเป็นเทศกาลลอยกระทง เพื่อนๆก็เลยว่าจะขายกระทงในงาน ชึ่งได้แบ่งหน้าทีกันว่าใครจะไปซื้อวัถุดิบ ใครจะเป็นคนทำกระทงแล้วใครจะเป็นคนขาย คือทุกคนมีส่วนรวมและมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบกันอย่างชัดเจนและที่สำคัญคือทุกคนเต็มใจมาช่วยกันทำเลยสุดท้ายทุกอย่างก็ไปกันได้ดี System thinking ช่วงฝึกงานตอนปี3ผมก็ได้มาฝึกงานที่ธนาคารทหารไทย สาขาอุดรธานี สัมผัสชีวิตการทำงานอย่างเป็นระบบคือก็จะมีผู้จัดการสาขา ผู้ช่วยผู้จัดการ พนักงานธนาคารรวมทั้งแม่บ้านและตำตรวจ สห ต่างคนต่างมีหน่ที่และความรักผิดชอบที่แตกต่างกันแต่พอมาร่วมตัวทำงานๆก็เดินไปโดยดี

นางสาวมัสลิน ปูนอน MBA Y#14 Sec.12 รหัส 555740008-6

ยืนยันสมาชิกทาง E-mail ไม่ได้ เว็บไม่ส่งลิ้งยืนยันเข้าเมลล์คะ ยืมไอดีของเพื่อนส่งคะ

นางสาว นฤมล มิตรเจริญพันธุ์ sec.12 รหัส 555740045-0

1.personal mastery ครั้งใดที่ไปทำอะไรมาแล้วรู้สึกว่ามีเป้าหมายมากขึ้น จากการที่ ตัวเองชอบแต่งตัว เสริมสวย ชอบซื้อเสื้อผ้า แล้วพอใส่มา คนที่ชมสไตล์ที่เราแต่ง จากที่ชอบซื้อมาแต่งตัวเราเองเฉยๆก็ลองซื้อมามากขึ้น ลองซื้อมาขาย ก็ขายได้ เลยเปิดเปงร้าน ขายเสื้อผ้า ใน facebook และร้าน ขายเสื้อผ้ามือ 2 ใน intragram ซึ่งเราสามารถ หาเงินจาก งานนี้ได้ และเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ทำให้เรามีเป้าหมายมากขึ้น ว่าถ้าโตแล้วเรียนจบ จะเปิดร้านเสื้อผ้า น่ารัก น่ารัก ขายทั้ง มือ1และมือ2 แบบที่เราชอบและถนัดในอนาคต

2.dialogue ใครไหนได้ฟังใครพูดแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี เพื่อน ชอบดูดวงมาก เชื่อ หมอดูมากกกก แล้วพอไปดูดวง มีหมอดูทักว่าจะตาย จะถูกรถเก๋งสีแดงชน ภายในปีนี้ เพื่อนกลัวมาก จิตตก แล้วก็ซึม เพื่อนมาเล่าให้ฟัง พอเราฟังก็ให้กำลังใจว่า ดีแล้ว มีคนมาทัก เราจะได้ระมัดระวังตัว มากขึ้น พอเลยปี นั้นไปแล้วก็ไม่มีอารายเกิดขึ้น คงเปงเพราะหมาดูทักแล้วเพื่อนเชื่อ แล้วก็ระมัดระวังตัวเองและก็ได้กำลังใจและคำปรึกษาที่ดีจากเพื่อนและครอบครัว

3.mental model ไปทำอะไรมารู้สึกว่าครั้งนั้น เปิดหูเปิดตาเรามากที่สุด เหตุการณ์ คือ เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดแต่ กับครอบครัว ไปแบบ สบายๆ มีรถขับ มีทัว พาไป หาหารการกินพร้อม แต่มีอาทิตนึงขอพ่อไป เที่ยวเชียงใหม่กะเพือน เราไปแบบนั่งรถทัวไป นานมากกว่าจะถึงเหนื่อยมาก ไปถึงเชียงใหม่ เพื่อนขับรถเก่าๆไม่มีแอร์มารับ ไม่ได้สบายเหมือนไปกะครอบครัวเลย แต่เพื่อน ก็พาเราไปเที่ยว ทุกวัน ทั้ง สวนสัตว์ ถนน คนเดิน ไปกินอาหาร ไล่กินทุกร้าน ร้านล่ะนิด ไปร้านอาหารสวยๆ ร้านกาแฟเก๋ๆ เปงอะไรที่เปิดหูเปิดตามาก เพราะถ้าไปกับครอบครัวก็ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรแบบนี้ ลุยๆแบบนี้

4.team learning ครั้งไหนทีไปทำงานเป็นทีม แล้ว ดีที่สุด เรื่องคือ งานวันไหวครู จะมีกิจกรรมประกวดพานแต่ละห้อง ทางเราก็ประชุมกัน แล้วก็แบ่งว่าใครเอา อุปกรณ์ไรมากานบ้าน พรุ่งนี้ให้เอามา แล้วช่วยกันทำพาน เช่น ดอกรัก ดาวเรือง เข็ม พาน แล้ว พอถึงพรุ่งนี้ทุกคนก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง นำดอกไม้อุปกรณมา จน ทำเสร็จ ถึงตอนประกวด ถึงเราจะได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัลก็ตามแต่เราก็ได้รวามกัน ทำงานเป็นทีมจนงานนั้นเสร็จออกมา

 5.system thinking เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราสัมผัสมีระบบ ดี ที่บ้าน ทำกิจการอู่ซ่อมรถ จากแต่ก่อน เขียนลงแต่ในกระดาษ ทำเป็นแฟ้มเอกสาร บันทึกรถ ประวัติ แล้วก็ชื่อลูกค้า ต่างๆ แล้วมันเยอะ รถเข้ามาหลายคัน แล้วพอลูกค้ามาถามหารถ กว่าเราจะหาประวัติเจอนานเพราะ มัน หลายคัน เลยใช้ คอมพิวเตอร์มาช่วย สะดวกขึ้นมาก เราก็พิมใส่คอม เวลาจะหาใครก็แค่ ค้าหา ชื่อ หรือ ทะเบียน ทำให้ระบบการทำงาน ดีขึ้น และเร็วขึ้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท