ชีวิตที่พอเพียง : ๑๕๘๑. เดินทางรอบโลก ๓. โดนลองของที่เจนีวา


 

          ปีนี้ผมก็ไปประชุมคณะกรรมการจัดการประชุม PMAC ที่เจนีวาอย่างเคย โดยออกเดินทางคืนวันที่ ๑๖ พ.ค. ๕๕ จากสุวรรณภูมิ ไปเปลี่ยนเครื่องบินที่ แฟรงค์เฟิร์ต   ปีนี้เดินทางโดยสายการบิน ลุฟฮันซ่า เพราะเป็นสายการบินที่มีเที่ยวบินโดยตรงจากยุโรปไปฮุสตัน รัฐเท็กซัส   ผมมีกำหนดเดินทางต่อไปฮุสตันในวันที่ ๑๙ พ.ค.

          ผมจะไปถึงโรงแรมเกือบเที่ยง ตอนบ่ายมีเวลา จึงวางแผนใช้เวลาครึ่งวันไปเที่ยวไว้ล่วงหน้า    ผมถามคุณหมอสมศักดิ์ว่า Museum of Modern and Contemporary Arts ดีไหม   คุณหมอสมศักดิ์แนะนำ CERN กับ Carouge   ผมเลือก CERN เพราะเคยไปเที่ยวเมืองเก่า Carouge กับสาวน้อยเมื่อหลายปีมาแล้ว

          วันที่ ๑๗ พ.ค. ๕๕ ผมเช็คอินเข้าโรงแรม ออตวยล์ หลัง ๑๑ น. เล็กน้อย  ได้ห้อง ๓๐๔   หลังจากอาบน้ำตอบ อีเมล์ และกินอาหารซองยี่ห้อซองเดอร์ ที่คุณฟ้าให้ตอนไปงานมอบรางวัลชูเกียรติ อุทกะพันธุ์   ผมลงไปถามพนักงานต้อนรับของโรงแรมได้คำแนะนำวิธีไปเที่ยวที่ CERN ว่าให้เดินไปขึ้นรถรางสาย ๑๔ ที่ป้ายบอกว่าไป CERN ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที   ได้นั่งรถรางออกไปนอกเมืองวิวสวยมาก   เป็นการใช้บริการฟรี เพราะเดี๋ยวนี้ใครไปพักโรงแรมที่เจนีวา ทางโรงแรมจะมีบัตรให้ใช้บริการขนส่งโดยสารของเจนีวาฟรี   หรือจริงๆ แล้วค่าห้องรวมค่าโดยสารไว้แล้ว จะใช้หรือไม่ใช้เราก็จ่ายไปแล้ว   ระบบนี้สะดวกดีมาก ดีต่อทุกฝ่าย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแก่เมือง   แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะลงทุนอีกนิดให้เป็นบัตรอีเล็กทรอนิกส์ ใส่ข้อมูลของเราจากโรงแรม   ไปขึ้นยานพาหนะที่ไหนเมื่อไรต้องเสียบบัตร   เมืองเจนีวาก็จะได้ข้อมูลของนักท่องเที่ยวเอาไว้ใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองได้อีกมาก

ลงที่สถานี CERN ไม่เห็นอาคารที่ดูโอ่อ่าสมกับเป็นLHC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (แต่อยู่ใต้ดิน)  และที่สถานีก็ไม่มีคน มีเด็กวัยรุ่นนั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียว ผมจึงเข้าไปถามว่า CERN อยู่ที่ไหน   เขาชี้ไปที่ตึกเตี้ยๆ ธรรมดาๆ ข้างป้ายจอดรถราง   ผมเข้าไปที่ประตูด้วยความหวังว่ามันจะเปิดให้ผมเข้าไป   แต่มันก็ไม่เปิด อ่านป้ายกระกาษขาวที่แปะไว้ที่ประตูจึงรู้ว่าวันนี้ปิด   เขาให้เหตุผลว่าปิดเพื่อเตรียม ascension ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร   ถือว่าโชคไม่ดี ผมกะว่าปีหน้าจะหาโอกาสไปเที่ยวใหม่  

          ผมขึ้นรถรางกลับ และเดินจากสถานีรถไฟกลับโรงแรม ระหว่างทางมีคนดำเดินแฉลบมาข้างหลัง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรวาบมาโดนเสื้อนอก   ผมหันไปดูเห็นชายหนุ่มคนดำยืนทำท่ากินอะไรอยู่   ก็ไม่ได้คิดอะไร   เดินต่อไปก็มีชายหนุ่มคนดำอีกคนหนึ่งเดินมาบอกว่ามีคนเอาอะไรทำให้หลังเสื้อเปื้อน   เขาชวนให้ผมถอดเสื้อออกดู   ผมรู้ทันทีว่านี่คือการสร้างสถานการณ์ให้ผมเป็นเหยื่อของการชิงกระเป๋าสะพาย   ผมจึงรีบเดินหนีและบอกว่าไม่เป็นไร   ที่จริงในกระเป๋าสะพายมี iPad อยู่ตัวเดียว    แต่ถ้าโดนชิงไปผมก็แย่ เพราะข้อมูลนัดต่างๆ อยู่ในนั้นทั้งหมด 

          เจนีวาเป็นดินแดนของคนเดินทาง มิจฉาชีพเยอะ ปีที่แล้วทีมไทยที่มา World Health Assembly ก็โดนล้วงกระเป๋าไปหมดตัว   ผมบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้ต้องระวังตัว อย่าคิดว่าท่าทางไม่น่าเป็นที่สนใจของมิจฉาชีพ 

          ตอนเย็นผมเล่าให้หมอสุวิทย์ฟัง ท่านบอกว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้จะเลือกโจมตีคนที่เดินคนเดียว    และจากกลุ่มอีเมล์ของทีมไทยที่มาประชุมสมัชชาอนามัยโลก มีคนบอกว่าตอนเย็นวันที่ ๑๘ กำลังถ่ายรูปวิวด้วย iPhone ก็มีคนขี่จักรยานมาโฉบเอาไป

          คนไทยที่มาเจนีวาบ่อยๆ โดนพิษมิจฉาชีพกันทั่วหน้า   หมอวิโรจน์ผู้จิตใจดีลงรถเมล์ เห็นแม่ลูกแฝดลงรถก็เข้าไปช่วยยกรถเข็นแฝด   โดยวางกระเป๋าไว้บนทางเท้า   ช่วยยกรถเข็นเสร็จหันมาที่กระเป๋าของตนเอง มีคนยกไปแล้ว

          วิธีการต้มตุ๋นที่โลดโผนสมกับความฉลาดของคนโดนต้มคือ นพ. สุวิทย์    ลงจากเครื่องบินเข้าเมืองโดยรถไป และลากกระเป๋าไปโรงแรมกลางเมืองแต่เป็นตอนเช้าไม่มีคน   ก็มีคนมาเรียกแต่พูดกันไม่รู้เรื่อง   ทำท่าถ่ายรูป  ทันใดนั้นก็มี “ตำรวจ” ขี่รถมอเตอร์ไซคล์คันโตปราดมาจอด ถามว่ายูทำอะไรกัน   สงสัยจะกำลังทำธุรกิจผิดกฎหมาย    เขาหันไปทางชายคนแรก ว่าไหนขอดูกระเป๋าเงิน   ชายคนแรกก็ส่งให้ เขาพลิกๆ ดูก็ส่งคืน   หันมาทางหมอสุวิทย์ ขอดูกระเป๋าเงิน หมอสุวิทย์ส่งให้ เขารับไปและชี้ไปที่กระเป๋าเอกสารถามว่าในนั้นมีอะไร   หมอสุวิทย์ละสายตาไปดูกระเป๋าและตอบ    ในที่สุดเขาก็คืนกระเป๋าเงินและแนะนำให้ระวังตัว เพราะเจนีวามีมิจฉาชีพมาก    หมอสุวิทย์มารู้ตัวเมื่อใช้เงิน พบว่ามีเพียง ๓๐๐ ฟรังก์ ทั้งๆ ที่เตรียมมา ๑,๓๐๐ จึงรู้ว่าโดนมิจฉาชีพแบ่งเอาไปใช้ ๑,๐๐๐   คนฟังทุกคนบอกว่า มิจฉาชีพคนนี้มีน้ำใจ ไม่เอาไปทั้งหมด

          ทั้งหมอวิโรจน์และหมอสุวิทย์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ   เขามีรูปวายร้ายให้ดู และสองคนของหมอสุวิทย์ก็อยู่ในนั้น   ตำรวจบอกว่าในคุกมีคนเต็ม ไม่สามารถจับยัดเข้าไปได้อีก    ผู้เดินทางหรือนักท่องเที่ยวต้องรู้จักระมัดระวังตัวเอง    และต้องศึกษาเล่ห์กลของมิจฉาชีพ

          ทีมไทยสิบกว่าคน (หมอสุวิทย์, คณบดี นพ. ภิเศก , คณบดี นสพ.พรเทพ รัตนากร, คณบดี นพ. ประตาป สิงหศิวานนท์, ดร. ชื่นฤทัย กาญจนจิตรา, นพ. วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร, นพ. พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข,ดร. วลัยพร พัชรนฤมล, นพ. คำนวณ อึ้งชูศักดิ์, ศ. พญ. มณี รัตนไชยานนท์, นพ. โสภณ เอี่ยมศิริถาวร) นัดกันเดินไปกินอาหารที่ร้านจีนชื่อ โบกี้ (Boky) อยู่บนถนนแอลปส์ ใกล้สถานีรถไฟนิดเดียว   เดินมาจากโรงแรมออตวยล์ไม่ถึง ๑๐ นาที   เรากิน ฟองดู ชินัว  ซึ่งก็คือสุกี้บ้านเรานั่นเอง    รสชาติดี

          ก่อนนอนผมกิน Lorazepam 0.5 mg ที่สาวน้อยให้มาหนึ่งเม็ด นอนหลับสบายตั้งแต่สี่ทุ่ม ไปจนตื่นเอง เวลาตีห้าครึ่ง

          เช้าวันที่ ๑๘ พ.ค. ผมออกไปวิ่งที่ริมทะเลสาบ ได้ดื่มด่ำธรรมชาติยามเช้ามืด ที่บริเวณที่พักผ่อนที่ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ   จำได้ว่าหลายปีมาแล้วผมไปช่วงเที่ยงๆ ในวันหยุด คนแน่นมาก    เช้านี้ผมครองครองคนเดียว ร่วมกับหงส์ เป็ด และนกน้ำ   ได้รูปวิวและธรรมชาติสวยๆ มากมาย

          ทีมไทยนัดขึ้นรถเมล์ไปพร้อมกันเวลา ๘.๑๕ น.   ปรากฎว่าฝนตก หลายคนยืมร่มโรงแรมโดยมีเงื่อนไขว่าถ้าไม่เอาไปคืนต้องจ่าย ๕๐ ฟรังก์    การประชุมเดินไปราบรื่นมาก   ผมต้องเป็นประธานเอง เพราะประธานร่วมไม่ยอมทำหน้าที่อย่างปีที่แล้ว   ทุกอย่างดำเนินไปตามเวลาที่กำหนด   และได้รับข้อคิดเห็นจากกรรมการอย่างดียิ่ง    คุณภาพของการประชุมรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลขึ้นกับคนจำนวนมากมาย จากหลากหลายองค์กรเจ้าภาพร่วม

           ตอนเย็นผมเดินไป Jardin Botanique หรือ Botanical Gardens บนถนนโลซาน ตรงข้ามกับ WTO   บริเวณกว้างขวางมาก มีการจัดแสดงต้นไม้มากมาย    ส่วนที่ผมโผล่เข้าไปเป็นการจัดแสดงไม้ดอกจากทั่วโลก จัดเป็นกลุ่มๆ   ผมระวังตัวแจ เพราะมีคนดำจูงจักรยานเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ   แถมยังพยักเพยิดให้ผมไปดูทางที่เปลี่ยวอีกด้วย   ผมต้องพยายามไม่เดินห่างกลุ่มคน โดยที่ตอนนั้นเย็นถึง ๘ โมงเย็นแล้ว จึงมีคนมาชมน้อย และบู๊ธให้บริการข้อมูลก็ปิดแล้ว   ผมเดาว่าคงจะเดินชมและถ่ายรูปได้เพียงบริเวณนิดเดียวของสวนพฤกษศาสตร์นี้   ได้รูปสวยๆ มากมาย และดื่มด่ำธรรมชาติจนเมื่อย ก็นั่งรถรางสาย ๑ กลับโรงแรม  

          ผมบอกทีมไทยไว้ว่าผมไม่ไปกินอาหารเย็นกับคณะ จะใช้เวลาเตรียมจัดกระเป๋าและเตรียมตัวเดินทางตอนเช้ามืด   และเข้านอนเวลา ๒๑.๓๐ น. โดยกินลอราซีแพม ๑ เม็ด   บอกโรงแรมให้ปลุก ๔.๒๐ น.   และตั้ง iPhone ปลุก ๔.๒๐ น.   แต่ผมตื่นเองเวลา ๔.๐๐ น.

          พนักงานโรงแรมบอกว่ารถไฟไปสนามบินเที่ยวแรก ๕.๑๗ น.   ใช้เวลา ๘ นาที    แต่เวลาเครื่องบินออก ๗ น. ผมไปแท้กซี่ดีกว่า    ผมก็เชื่อตามนั้น   และเช้าวันที่ ๑๙ แท้กซี่มารอก่อนเวลานัด (๔.๔๕ น.) ๑๕ นาที  ผมจึงเดินทางไปสนามบินตั้งแต่เช้ามาก   เวลา ๕.๑๐ น. ผมก็ผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัย ไปนั่งรอที่เก้าอี้นั่งและพิมพ์บันทึกอยู่นี่แหละ    ยังไม่รู้ว่าเครื่องออกประตูไหน เขาจะบอกเวลา ๕.๓๐ น.   พอเวลา ๕.๓๐ น. ก็รู้ว่าเครื่องออกที่ประตู A5   เป็นเที่ยวบินของสายการบินหลายสายร่วมกัน   แต่หมายเลขเที่ยวบินไม่ตรงกับในบัตรขึ้นเครื่องของผม  ขณะที่กำลังพิมพ์บันทึกอยู่นี้ เป็นเวลา ๖.๑๐ น.  ผมเป็นคนเดียวที่บริเวณ Gate A5 เรื่องหมายเลขเที่ยวบินนี้เจ้าหน้าที่เขาไม่สนใจ   เครื่องบินออกตรงเวลา

 

วิจารณ์ พานิช

๑๙ พ.ค. ๕๕

Gate A5, สนามบินเจนีวา

 

 นั่งรถไฟไป CERN


 

 

 CERN


 

ที่ภัตตาคารจีน Boky


 

ลู่วิ่งยามเช้าที่สถานตากอากาศยื่นเข้าไปในทะเลสาบเจนีวา

โปรดสังเกตหงส์กำลังกกไข่


 

 

ท่วงท่าสง่างามของหงส์ซึ่งเป็นสัตว์สงวน


 

ความสะอาดของน้ำในทะเลสาบ


 

 นิทรรศการภาพวาดสะท้อนการไม่เป็นประชาธิปไตย


 

 ทางขวามือคือทางเข้าสวนพฤกษศาสตร์


 

ดอก Paeonia


 

 

Polyganum


 

 Hippuris vulgaris


บริเวณปลูกต้นไม้จากแถบหิมาลัย ทิเบต


ปาล์มเคราฤาษีต้นนี้สมบูรณ์มาก


 Cotoneaster horizontalis


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 491134เขียนเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 09:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 02:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เดี๋ยวนี้ที่ยุโรปน่ากลัวมาก เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วผมก็โดนเช่นกัน ระหว่างที่ผมเดินจากโรงแรมไปสถานที่ประชุม คล้ายๆกับเดินจากประตูสวนสัตว์เขาดิน (ตรงข้ามรัฐสภา) ไปที่พระบรมรูบทรงม้า รัชกาลที่ ๕ มีตัวเป็นนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาสอบถามเส้นทางกับผม ผมไม่ตอบและพยายามเดินห่างไม่ให้เขาเข้ามาประชิดตัว เขาก็เดินขนานกับผมไปห่างๆ สักครู่ ก็มีคนรูปร่างใหญ่ ๒ คนวิ่งเข้ามาจับคุมคนที่แกล้งเป็นนักท่องเที่ยวที่มาถามผม และหันมาพูดกับผมแจ้งว่าได้ติดตามมิจฉาชีพคนนี้มาตั้งแต่เข้ามาสอบถามเส้นทางผม ขอให้ผมตรวจดูว่ามีอะไรหายบ้าง และยื่นเอกสารแสดงตัวว่าเขาเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ และยื่นมือไปขอรับเอกสารมาพิจารณาใกล้ๆ แต่เขาไม่ยอมให้ผมดู และพยายามให้ผมเปิดดูกระเป๋าเงินและเอกสารหนังสือเดินทางของผม แต่ผมไม่ยอมปลดกระดุมเสื้อหนาวเพื่อตรวจดูเอกสารของผมว่าอยู่ครบหรือไม่ โดยแจ้งว่า ผมกำลังจะไปประชุมจึงขอให้ตามผมมาเมื่อถึงที่ประชุม ผมจึงจะตรวจสอบเอกสารและเงินของผม ในที่สุดคนที่แสดงตัวว่าเป็นตำรวจจึงพาคนที่แสดงตัวว่าเป็นนักท่องเที่ยวกลับไปทางที่เขามา

ตอนแรกผมนึกชมเชยว่าตำรวจเขาเก่ง ติดตามพฤตติกรรมมิจฉาชีพและคอยดูแลป้องกันนักท่องเที่ยว แต่โชคดีที่ผมเกิดสะดุดใจจึงไม่ยอมทำตามที่เขาแจ้ง และเชื่อว่าเป็นพวกมิจฉาชีพทั้ง ๓ คน ทั้งๆที่กลัวเพราะมคนเดียวแต่มิจฉาชีพมีถึง ๓ คน โดยเฉพาะ คนที่อ้างตัวเป็นตำรวจตัวใหญ่มาก แต่ก็ต้องตั้งสติและทำใจดีสู้เสือ ไม่แสดงให้รู้ว่ากลัวและระวังตัว คิดหาลู่ทางว่าจะทำอย่างไร ถ้าเขาจู่โจมเข้ามา อย่างไรก็ตามก็ยังดีใจว่าที่ผมอยู่เป็นถนนไม่ใช่ตรอกซอย เชื่อว่าจะต้องมีรถและคนเดินผ่านมา สักพักก็มีคนเดินผ่านมาจริงๆและดูท่าทางไม่ใช่พวกมิจฉาชีพที่เข้ามาสมทบ

เนื่องจากผมเดินทางบ่อยและทราบถึงวิธีการทำงานของมิจฉาชีพพวกนี้ เวลาผมเดินทางไปไหน ผมจึงป้องกันกระเป๋าเงินและกระเป๋าเอกสารอย่างดี จะเก็บเอกสารไว้ชั้นในสุด แถมมีเชือกค้องหอด้วย เสื้อนอกปิดกระดุมทุกตัว แถมเสื้อกันหนาวจะเลือกตัวยาวที่ปิดถึงกางเกง และปิดมิดชิดไม่ให้มีช่องที่จะใช้มือล้วงเข้าไปได้

ตำรวจเขารู้วิธีการขอโจรพวกนี้ทุกอย่าง แต่เขาเห็นว่าเป็นเรื่องการฉกชิงวิ่งลาวนักท่องเที่ยวซึ่งถือว่าสถานที่ท่องเที่ยวดังๆมีมิจฉาชีพเหล่านี้กันทุกแห่งและเป็นเรื่องธรรมดาที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องรู้จักระวังและป้องกันตัวเอง เมื่อถูกจับได้ มีโทษเบามาก แต่ถ้ามีการทำร้ายจะเป็นโทษหนักทันที ดังนั้นสังเกตได้ว่าพวกนี้จะไม่ยอมแตะเนื้อต้องตัวเรา เพราะกลัวว่าถ้าเราแจ้งความว่าถูกทำลาย ก็จะเป็นเรื่องใหญ่และตำรวจเอาจริง โทษรุ่นแรง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท