วันเปิดค่ายใหม่...พุทธชยันตี....เข้าค่าย (2/1)


“...ผู้มีความรู้ที่ไม่มีคุณธรรม หรือใช้ความรู้ไปในทางที่ผิด คือ ผู้ที่ทำบาปต่อสังคม..." (มหาตมะ คานธี)

วันที่ 4 มิถุนายน 2555...วันวิสาขบูชาของผม

 

วันนี้นับเป็นพิเศษของผม และหลายๆ ท่านที่เกี่ยวข้องกับบันทึกนี้….

นอกจากจะเป็นวันวิสาขบูชา...เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เหมือนเช่นทุกปี....

แต่ยังเป็นวาระแห่งพุทธชยันตี...ปีเฉลิมฉลองรำลึกในโอกาสครบรอบ 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในวันวิสาขบูชา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช (พุทธปรินิพพาน)

ทีมงานค่ายของพวกเรา ก็เริมเปิดค่ายอีกครั้ง..ในวันนี้...(ทั้งที่ค่ายที่หนึ่ง...ผมก็ยังเขียนไม่เสร็จเลย...)

 

 

ตอนเช้า...พวกเราประชุมทีม...และแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากค่ายที่หนึ่ง...ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่นำมาปรับใช้ในค่ายที่สอง

รุ่นที่สอง..มีน้องๆ อีก 100 ชีวิต ซึ่งมาจากสองตำบล....ปล่อยให้น้องๆ รายงานตัว และชี้แจงว่าจะพบอะไรในแต่ละวัน

เวลาผ่านไปรวดเร็ว...แต่ก็ยังไม่รู้จักกัน...และยังไม่ได้แบ่งกลุ่ม....ก็พักเที่ยงแล้ว

 

 

พอภาคบ่าย...พวกเราทุกคนมากันที่วัดป่าเมตตาธรรม

เป็นวัดป่าแห่งหนึ่งในอำเภอของพวกเรา...ที่น่าอยู่...และสงบร่มรื่นมาก...เหมือนมีอุ่นไอที่กรุ่นพระธรรมรอบๆ ตัวของพวกเรา

 

 

 

 

บันทึกนี้ผมจะเขียนไปตามพระอาจารย์...ที่ท่านให้ธรรมะโอวาทแก่น้องๆ  และทีมงานค่าย...ผมจะเขียนตามสิ่งที่ผมจด....ขาดการวิเคราะห์....เพราะไม่มีอะไรให้วิเคราะห์เลย....ในมุมมองของผม..ผมว่าธรรมะไม่ใช่เป็นการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) เพราะเป็นเรื่องธรรมดา...ในความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา...ในความเป็นธรรมดาที่เป็นธรรมชาติ

 

เมื่อรับฟังธรรมะแล้ว…พวกเราได้เวียนเทียนด้วย...ทำให้ผมรู้สึกว่า...ถึงมาทำงานในวันหยุด...แต่ก็มีโอกาสได้ทำอะไรมากมายที่น่าจดจำให้กับชีวิต

 

พระอาจารย์ให้ธรรมะแก่พวกเราว่า…

 

 

 

 

ให้ทุกคนตั้งใจ...ในการเข้าวัดครั้งนี้...เพราะการเข้าวัด หรือรับฟังธรรมะอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย

บางคนฟังไปฟังมาไปต่างประเทศไกล ๆ ไปอา-หลับ...หรือไปไกลอีก...เลบา-นอน

แล้วก็กลับมาเมืองไทยอีก...ส-กรน-นคร

มีหลักง่ายๆ สำหรับครั้งนี้ คือ 3 ต.....ตั้งใจฟัง....ตั้งใจจำ....ตั้งใจปฏิบัติ

 

 

วันวิสาขบูชามีทุกปี แต่ปีนี้พิเศษ คือ มีวาระแห่งพุทธชยันตี...ปีเฉลิมฉลองชัยชนะของพระพุทธเจ้าในการตรัสรู้ในโอกาสครบรอบ 2600 ปี

100 ปี จะมีครั้งเดียว...ซึ่งครั้งก่อนที่ผ่านมายังไม่เคยมี...และอีก 100 ปี ข้างหน้ายังไม่รู้ว่า...จะมีอีกหรือเปล่า ?

จึงเป็นปีแห่งมหามงคลของพวกเรา...และพวกเราโชคดีมาก

 

 

1. โชคดีได้เฉลิมฉลองการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ...คนและสัตว์เดรัจฉานทั่วไปจะเหมือนกัน 4 ประการ คือ

กินอาหาร-กลัวภัย-เสพ-นอน

แต่สิ่งหนึ่งที่คนแตกต่างจากหมู หมา กา ไก่ คือ คนมีศีล-มีธรรม

การเข้าวัด..และศึกษาธรรมะ ทำให้คนยกระดับจิตใจตนเอง พัฒนาใจตนเองให้สูงขึ้นกว่าสัตว์เดรัจฉาน

 

 

2. โชคดีที่ได้มาพบพระพุทธเจ้า...เพราะบางยุค...บางสมัย...ก็ไม่มีพุทธศาสนาเกิดขึ้น...หรือเรียกว่า กลียุค

ยุคที่คนเราอยากจะฆ่ากัน..แย่งชิงกัน...เสพไม่เลือก...ไม่เมตตากัน

 

 

3. โชคดีที่ได้กัลยาณมิตร...ผู้ใหญ่ ..มาค้ำจุนให้ได้พัฒนาจิตใจเหมือนวันนี้

คนเราต้องพัฒนาจิตใจ..ถึงแม้จะร่ำเรียนมาสูง...แต่ก็เกิดอาการยิ่งเรียนหางยิ่งด้วน...เหมือนท่านพุทธทาสว่า

มีความหมายว่า...ยิ่งมีความรู้สูง...แต่ไร้คุณธรรม

 

 

อยากฝากพวกเราทุกคนว่า...ถึงตนเองจะเก่ง รวย และตำแหน่งสูง จำเป็นต้องมีสองสิ่งนี้

1. ความซื่อสัตย์

ท่านยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่ง...

พ่อให้ลูกชายทั้ง 4 คน เอาเมล็ดผักกาด ไปปลูก...ให้เวลา 2 เดือน…แล้วเอามาให้ดู

ลูกชายทุกคน..นำกระถางที่มีผักกาดกอใหญ่สวยมากมาให้พ่อดู...แต่ลูกชายคนเล็ก....ยืนก้มหน้าร้องไห้

พ่อจึงเฉลยว่า..เมล็ดผักกาดที่ให้มันลีบ ไม่สามารถเพาะเป็นต้นได้...จึงชมเชยลูกชายคนเล็ก

ว่า...เจ้ามีความซื่อสัตย์...ไม่คดในข้อ...งอในกระดูก

 

 

2. ความสามัคคี

พระอาจารย์เกริ่นนำว่า...ท่านมี 2 สี คือ 1. สีแหล่ๆ หรือ สีดำ (ตัวดำ) และ 2. สีมะคา หรือ สามัคคี

ท่านยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่ง...

พระราชาอยู่ในเมืองมีความสุขมาก...จึงปลอมตัวไปบ้านนอก...เพื่อหาปัญหาแก้ไขปากท้องให้ชาวบ้าน

ไปเห็นบ้านเศรษฐี...หลังใหญ่โต...สวยงาม...แต่กลับร้างผู้คนอาศัย

ตามคนขอทานที่ผ่านมาผ่านไปบอกว่า...เพราะมีตัวอุบาทว์มันลงบ้าน...เลยทำให้บ้านแตกสาแหลกขาด

พระราชางง...จึงเปิดประชุม...ถามอำมาตย์..ไม่มีใครรู้...ให้ไปหาคำตอบภายใน 7 วัน

อำมาตย์คนหนึ่ง จึงไปหาฤาษี ...ฤาษีจึงไปเอาปล้องไม่ไผ่มาเจาะรู 1 รู แล้วให้อำมาตย์อุดรูนี้ไว้ห้ามปล่อย

ตัวอุบาทว์อยู่ในช่องนี้...ดูแล้ว

แล้วก็เดินทางมาห้องประชุม

พระราชาอยู่คนแรก..ส่องดู...บอกว่า เหมือนกบ

อำมาตย์คนที่ 2 ..ส่องดู...บอกว่า เหมือนอึ่ง

อำมาตย์คนที่ 3 ..ส่องดู...บอกว่า เหมือนตุ๊กแก

อำมาตย์คนที่ 4 ..ส่องดู...บอกว่า เหมือนจิ้งจก

เมื่อคำตอบไม่เหมือนกัน เพราะราชาจึงผ่าปล้องไม้ไฝ่ออกดู...ว่าตัวอุบาทว์คืออะไรแน่

เมื่อผ่าก็พบ...คายคำหมากของพระฤาษี

สรุปตัวอุบาทว์ คือ ความเห็นที่แตกต่างกัน..ไม่ลงรอยกัน..แบ่งพรรคแบ่งพวก...ไม่สามัคคีกัน

 

 

สุดท้ายอาตมาอยากจะขอว่า...คนเราจะเกิดมายากดีมีจนอย่างไรก็ตาม

ขอให้มีความซื่อสัตย์  ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น

มีสามัคคีกัน...ความเห็นที่แตกต่างกัน... อยากทบทวนตามหลักอริยสัจ 4  หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา 

หาหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์  และลงมือปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน

อย่าโกหกตนเอง...หมั่นศึกษาหาความรู้

ทำให้พ่อและแม่หน้าชื่นตาบาน...ไม่ใช่..หน้าช้ำตาบวม

ทำให้พ่อและแม่หน้ามีแต่รอยยิ้ม...ไม่ใช่..รอยยักษ์

ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด

เวลาก็สมควรแก่ประการฉะนี้....อนุโมทนาบุญทุกท่านเทอญ....

 

หมายเลขบันทึก: 490078เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 00:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 11:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ท่านทิมดาบครับ เคยเห็นบางคนแต่งตัวชุดใหญ่สายสะพายพาดไหล่ซะโก้เชียว 555 เราก็รู้ๆ ว่าไอ้นี่มันสุดแสบของความไม่ซื่อสัตย์ แต่มันคงจะมองมันเองว่ามันซื่อสัตย์ ก็จนใจกับไอ้คนพวกนี้ 555

ดีมากครับที่มีค่าย มีการอบ การรม ให้เป็นคนดี มีแต่ความซื่อสัตย์

ผมเคยเล่าไว้ตรงไหนในโกทูโนนี่แหละ ลืมไปแล้ว ว่าวันหนึ่งชวนน้องชาวต่างประเทศไปทานข้าวมื้อเย็นด้วยกัน เราอาวุโส และก็พอมีที่จะเลี้ยงอาหารสักมื้อได้

กลับไปที่พักคนจัดอบรมบอกว่า ค่าอาหารมื้อเย็นวันนี้ ทุกคนขอเบิกได้ เธอบอกว่า "อีชั้นไม่เบิกแล้ว เพราะอาจารย์ชัด เลี้ยงอีชั้นแล้ว" นี่ครับมันเป็นอย่างนี้ ของคนที่อยู่ในสังคมของความซื่อสัตย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท