“เราทำไม่ได้หรอก” เป็นคำพูดที่คุณครูวิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ยินจากผู้มาดูงานเสมอๆ คุณครูเล่าว่า มีอยู่คราวหนึ่งที่ได้ยินคำนี้จากผู้มาดูงานถึงห้าครั้งในเวลาครึ่งชั่วโมง
เวทีจิตวิวัฒน์เดือนสิงหาคมได้รับเกียรติจากคุณครูวิเชียรมาเล่าเรื่องโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ให้ฟัง โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนทางเลือกที่มีชื่อเสียง มีผู้บริหาร และคุณครูจากเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศไปดูงานมากมาย นำไปสู่คำถามท้าทายว่าจะสามารถทำโรงเรียนแบบลำปลายมาศในพื้นที่อื่นๆ ไม่ได้จริงหรือ
เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ
เป็นโรงเรียนที่ไม่มีเสียงออดเสียงระฆัง
เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง
เป็นโรงเรียนที่ไม่มีแบบเรียนสำเร็จรูป
เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการให้ดาว
เหล่านี้คือประเด็นท้าทายระบบการศึกษา ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาคงเป็นโรงเรียนทางเลือก ที่เก็บค่าเล่าเรียนแพงๆ และนักเรียนมาจากครอบครัวคนชั้นกลางหรือผู้มีอันจะกิน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ นักเรียนส่วนใหญ่ของโรงเรียนนี้จะมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนาในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เข้าได้ด้วยการจับฉลากเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ร้อยละ ๗๐ ยากจน อีกอย่างน้อย ๔๐ ครอบครัว เป็นเด็กกำพร้า มีเด็กสติปัญญาบกพร่องร่วมเรียนด้วย
นักเรียนโรงเรียนนี้ทำอะไรกัน มาตรฐานและคุณภาพเป็นอย่างไร คุณครูวิเชียรเล่าผลการประเมินภายนอกให้ฟังว่า สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) ได้มาประเมินโรงเรียนแล้วพบว่า อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ๑๓ มาตรฐาน และอยู่ในเกณฑ์ดี ๑ มาตรฐาน ผลการสอบเอ็นที(National Test) พบว่าคะแนนเฉลี่ยด้านภาษาไทย คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศ ทั้งที่โรงเรียนไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “วิชาวิทยาศาสตร์”
คุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะใส่ใจในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนเป็นสำคัญ ให้นักเรียนได้เลือกทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ เรียนรู้การวางแผน และลงมือทำจริง จากนั้นจึงนำผลงานมาแสดงและแลกเปลี่ยน ช่วยกันประเมินและเรียนรู้การวางแผนอีก เป็นวงจรเช่นนี้เรื่อยๆ ไป เป็นไปตามปรัชญาที่ว่าการเรียนรู้ที่แท้เกิดจากการลงมือทำจริง
“เมื่อเดือนก่อน ผมกลับไปเยี่ยมบ้าน พบหลานตัวเล็กเรียนอนุบาลที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง” คุณครูวิเชียรเปิดประเด็น “ไหนเอามาดูซิ เรียนอะไร” คุณครูพูดกับหลาน “หลานเขาค้นหนังสือมาให้ดู ๘ เล่มใหญ่ เป็นแบบเรียนสำเร็จรูปที่ทางโรงเรียนจัดให้ ๕ แผ่นแรกเป็นใบความรู้ อีกแผ่นเป็นแบบฝึกหัด แล้วอีกแผ่นเป็นข้อสอบ ทุกวิชาจะเป็นแบบแผนเช่นนี้เหมือนๆ กันหมด”
“พอกลับมาที่โรงเรียน ซึ่งเราจะมีวงพูดคุยกับครู ผมก็ลองแบ่งครูเป็นสองกลุ่ม แจกกระดาษให้ครูแต่ละคน” คุณครูวิเชียรเล่าต่อไป “กลุ่มหนึ่งให้พับกบ พวกเขาฮือฮาเพราะรู้ว่ามีวิธีพับกบอยู่ พวกเขาถกเถียงกัน แล้วมีครูคนหนึ่งบอกว่าหนูจำได้ หนูจะสอนให้ กลุ่มนี้เลยได้กบมาเหมือนๆ กันหมด” คุณครูวิเชียรว่า “อีกกลุ่มให้พับกระต่าย ไม่มีเสียงฮือเหมือนกลุ่มแรก เพราะพวกเขารู้ว่ายังไม่มีใครสอนวิธีพับกระต่าย พวกเขานิ่ง มองหน้ากัน แล้วลองทำดู ปรากฏว่าทุกคนพับได้กระต่าย ๑๐ ตัวที่ไม่เหมือนกันเลย”
เพราะไม่เคยมีใครพับกระต่ายมาก่อน ทุกคนจึงต้องค้นหาวิธีกันเอาเอง ด้วยวิธีนี้ครูแต่ละคนจึงเข้าใจกระบวนการเรียนรู้อย่างที่ควรจะเป็น
ผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่าเป็นไปได้หรือเปล่าที่พอคุณครูของโรงเรียนจัดกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ไปนานๆ เข้า ก็จะเกิดอาการเริ่มรู้ทาง เริ่มรู้ว่าต้องทำอย่างไร เริ่มลัดขั้นตอน แล้วก็ละเลยกระบวนการหาคำตอบด้วยตนเองไปในที่สุด คล้ายๆ กับที่หลายแห่งเผชิญ เปรียบเสมือนรู้วิธีพับกบก็พับแต่กบตามวิธีที่เคยพับกันมา เพราะง่ายกว่า
คุณครูวิเชียรตอบว่า สิ่งที่เราต้องการให้ครูแม่นยำที่สุดคือกระบวนการ ไม่ใช่ความรู้ แล้วในขั้นตอนที่นักเรียนนำผลงานมาแสดงและแลกเปลี่ยนนั้น จะแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ซึ่งกันและกัน ด้วยวิธีนี้การเรียนรู้จึงจะสดและใหม่อยู่เสมอ
นอกเหนือจากครูแล้ว ทางโรงเรียนยังต้องเอาชนะใจผู้ปกครองด้วย มีการร่างหลักสูตรเพื่อจัดการผู้ปกครองโดยเฉพาะ เพราะผู้ปกครองมักคาดหวังให้เด็กอ่านออกเขียนได้คัดไทยตามเส้นประโดยเร็ว
“โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีเส้นประ”
โรงเรียนมีชั่วโมงที่ผู้ปกครองจะเวียนกันมาสอนนักเรียน ที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้เพราะครูใช้เวลาทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่าวันหนึ่งพวกเราต้องตายจากไป ผู้ปกครองก็ต้องตาย ครูก็ตายด้วย ที่เหลืออยู่คือเพื่อนๆ ของลูกเรา การสอนเพื่อนลูกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยวิธีคิดแบบนี้ใครมีความรู้อะไรก็มาสอน ไม่รู้จะสอนอะไรก็มาทำกับข้าว หรือเล่านิทาน พอเวลาผ่านไปหลายปี ผู้ปกครองจะเริ่มเปลี่ยน ไม่คาดหวังลูกในเรื่องการสอบแข่งขัน แต่มั่นใจในสิ่งที่โรงเรียนทำ ว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน เชื่อมั่นว่าเด็กสามารถจะอยู่และเป็นนักจัดการได้ และที่เห็นได้ด้วยตาแน่ๆ คือนักเรียนทุกคนเป็นคนดี ไม่เกเร เมื่อถึงวันไหว้ครู ผู้ปกครองจะเป็นผู้จัดงานให้และมาร่วมงานไหว้ครูกันมากมาย
สำหรับครูที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแล้ว “ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ เราจะไปทำอาชีพอื่น”
ในความเห็นของผู้เขียนบทความ กลับไปที่คำพูดตอนต้นเรื่องว่า “เราทำไม่ได้หรอก” อาจจะฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าหมดทางไป แต่ที่จริงแล้วเราไม่ควรทำได้ หากคำว่าทำได้จะหมายความว่าการลอกแบบโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เพราะไม่มีใครควรลอกใคร
สิ่งที่ผู้ไปดูงานโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาควร ได้มากกว่าเราทำได้หรือทำไม่ได้ น่าจะเป็นประเด็นเรื่องกล้าทำหรืออย่างน้อยก็กล้าที่จะเริ่มทำ ให้ตระหนักรู้ว่าการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ดีต้องการความเป็นอิสระจาก การครอบงำทั้งปวง ไม่ยึดติดในมาตรฐานหรือตัวชี้วัดที่ตายตัว พร้อมจะออกแบบระบบใหม่หรือกระบวนการเรียนรู้อย่างใหม่ๆ ด้วยความร่วมมือของครู ผู้ปกครอง และนักเรียน
เป็นไปได้ว่ายังมีคุณครูอย่างคุณครูวิเชียรหรือคุณครูโรงเรียนแห่งนี้มากมายกระจายในท้องถิ่น ต่างๆ ของประเทศไทย แต่ด้วยการบริหารการศึกษาแบบรวมศูนย์อำนาจทำให้ไม่มีใครกล้าคิดถึงกระบวนการ เรียนรู้แบบอื่นๆ นอกเหนือจากที่ส่วนกลางกำหนด
กรณีโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องจิตวิวัฒน์ แต่ยังเป็นเรื่องการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาด้วย ถ้าผู้รับผิดชอบการศึกษาของชาติมีจิตวิวัฒน์ การกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจะเป็นไปได้ แล้วเราจะมีคุณครูอย่างคุณครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาอีกหลายแห่ง
อ่านเพิ่มเติม: http://topicstock.pantip.com/social/topicstock/2012/01/U11625617/U11625617.html
“อีกกลุ่มให้พับกระต่าย ไม่มีเสียงฮือเหมือนกลุ่มแรก เพราะพวกเขารู้ว่ายังไม่มีใครสอนวิธีพับกระต่าย พวกเขานิ่ง มองหน้ากัน แล้วลองทำดู ปรากฏว่าทุกคนพับได้กระต่าย ๑๐ ตัวที่ไม่เหมือนกันเลย”
These children are truely the future of Thailand. Please take care!
อ่านบันทึกของน้องราชิตคราใด
ทำให้ต่อมความอยากไปดู ไปชื่นชม ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา อย่างมากค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชมและเป็นกำลังใจให้ครับ
ชื่นชมและเป็นกำลังใจ
อยากให้มีโรงเรียนแบบนี้
เยอะๆคะ..