รัฐมะละกา เป็นรัฐทางตอนใต้ในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา รัฐมะละกาเป็นหนึ่งในสองรัฐของมาเลเซียที่ไม่มีเจ้าผู้ครองรัฐเป็นประมุข แต่มีผู้ว่าราชการรัฐแทน
มะละกามีประวัติศาสตร์ที่เกื่ยวกับกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา ทำให้ปัจจุบันมะละกาเป็นรัฐที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน
บ้านเรือน ก็ ผสม จีน โปรตุเกต อินเดีย มาเลย์
เอกลักษณ์ของบ้านแบบชิโนโปรตุกิส ก็เช่น บันไดสูง ๆ ช่องแสงโปร่งตลอด
ลวดลายปูนปั้นแบบจีน เครื่องเรือนไม้ฝังมุข
อาหารก็ เช่นกัน ผสมทั้งตะวันตก และของชาวมะละกาเอง กาแฟอร่อยมาก
เล็กซาก็อร่อย แต่หนูณิชน์ ไม่ชอบ 555
สถานที่สำคัญ....ไปเที่ยวกันไป....
ณ จตุรัสแดง ถนน Laksamana สิ่งก่อสร้างที่รายล้อมแสดงถึงสถาปัตยกรรมของชนชาติตะวันตก ที่นี่เคยเป็นแหล่งชุมชนดัชท์เมื่อราวศตวรรษที่ 16-17 อาคารสถานที่ล้วนเป็นสีแดงอิฐขานรับกับชื่อจตุรัส ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์คริสต์ หอนาฬิกา พิพิธภัณฑ์เยาวชน และอาคารสตัดธิวท์ (Stadthuys) ซึ่งเป็นศาลาว่าการ ประวัติของสถานที่ขานไขอย่างย่นยอบนแผ่นป้าย
โบสถ์คริสต์ ดูจะเป็นจุดสนใจดึงดูดให้เข้าไปเยี่ยมชมเป็นจุดแรก โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1753 โดยนำอิฐสีชมพูจากเนเธอร์แลนด์มาก่อสร้างและเชื่อมด้วยดินสีแดงของที่นี่ อาคารสตัดธิวท์ ที่ อยู่ใกล้ๆ ก่อสร้างขึ้นในปีค.ศ.1650 สำหรับเป็นที่พักของผู้ว่าการ และคณะเจ้าหน้าที่ชาวดัชท์ เชื่อกันว่าอาคารนี้เป็นอาคารของชาวดัชท์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนตะวันออก ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองและผู้คน
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในอาคาร Stadthuys ฯลฯ ใครอยากชมพิพิธภัณฑ์ไหนเชิญเลือกได้ตามสบาย แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ การเดินขึ้นไปชม A Famosa ป้อมปราการเก่า และ St.Paul's Church หากมองลงมาจาก A Famosa จะมองเห็นวิวรอบเมืองมะละกา
ข้ามสะพานแม่น้ำมะละกาไปเป็นถนน Jonker ถนนเส้นวัฒนธรรมจีน ในย่านนี้มีวัดจีน ร้านอาหารที่ขาย Chicken rice Ball (ข้าวมันไก่) ข้าวปั้นเป็นก้อนกลมๆ กินกับไก่
ไก่ ที่สั่ง ก็ ไก่ต้ม ไก่นึ่ง ไก่อบ อย่างละ 1/4 ตัว ข้าวปั้นเป็นก้อน ผัดผักอีกอย่าง
น้ำหวานคนละแก้ว แล้วก็ของหวานถ้วยเดียว กินกันหกคน...เจ้าของร้านใจดีเอาช้อนมาแถมครบคน
Melaka Maritime Museum
เป็นเรือสำเภาจำลอง “Flor De La Mar” ของโปรตุเกสที่ขนสมบัติจากเมืองมะละกาเพื่อเดินทางกลับโปรตุเกส แต่หลังจากเดินทางออกไปได้ไม่นานก็จมลง เนื่องจากบรรทุกสิ่งของเกินพิกัด
แล้วเราก็ ชวนลุงชาวอินโดคนนั้น ร่วมก๊วน (ฮ่า ๆ)
ยามค่ำคืน มะละกาเงียบเร็วนะ เหมือนเมืองสตูล ตอนสามทุ่มที่ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว
เราเลยได้เดินชมเมืองกันแบบเงียบ ๆ ซึมซับความเป็นมะละกา....
ก่อนที่เช้าต่อมาเราจะบอกลาเมืองเก่าน่ารักแห่งนี้ ไปเจอสีสันที่เมืองแห่งการพัฒนาอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง"สิงคโปร์"
เมืองมะละกามีเสน่ห์ค่ะ. มีเรื่องราวมากมายให้ค้นหา ติดตาม..ร้านรวงมีชิ้นงาน art หลายรูปแบบ เป็นลักษณะเมืองท่าใหญ่ในทะเลแถบนี้ที่มากด้วยผู้คนจากหลากหลายชาิติพันธุ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตจึงมีทั้งผสมกลมกลืนและรักษาความเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชน ที่ปรับไปตามการเปลี่ยนผ่านเข้ายึดครองเมืองจากยุคล่าอาณานิคมสมัยโน้น .. หลงรักเมืองนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปเยือนด้วยตนเองแล้วหล่ะค่ะ.. พอเห็นภาพจากบันทึกนี้และบันทึกก่อนหน้า ก็คิดถึงเมืองมะละกาขึ้นมาทันควัน....ขอบคุณค่ะ :-))
บันทึกได้งดงามมาก
ดูภาพเพลินไปเลย สวยทุกภาพค่ะ
ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ
ท่านเก็บความละเอียด....ได้ดีมากคะ....ขอชื่นชมผลงาน...เยี่ยมมากคะ