นาทีชีวิต


จากการรอดชีวิตครั้งนี้ ฉันตั้งใจว่าฉันจะทำทุก ๆ วัน ด้วยสิ่งที่ตัวเองมีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้ฉันจะทำ “นั้นอาจเป็นถุงเงินที่ไม่ได้มีไว้ใส่เงิน แต่มันคือถุงเงินใส่ความดีที่เราสามารถนำไปใช้หลังจากที่เราตายไปแล้ว”

      

นาทีชีวิต

 

 

มีเหตุการณ์หนึ่งในชีวิต  ที่ทำให้ฉัน ต้องจดจำไปชั่วชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกใบนี้     วันที่  ๒๘  เมษายน  ๒๕๕๔ เป็นวันที่ความโหดร้ายเข้ามาเยือน  ฉันเริ่มมีอาการเวียนศีรษะ  จึงไปพบแพทย์  ได้ให้ยามาทานและให้ลาป่วย ๑  วัน  หลังจากนั้นอีก ๒ วันขณะที่อยู่เวรบ่ายฉันมีอาการปวดท้อง  ก็เลยไปขอยาแก้ปวดท้องจากห้องยามาทาน ๑ เม็ด ๑ ชั่วโมงผ่านไป  อาการปวดท้องไม่ทุเลา  ฉันจึงไปพบแพทย์ที่ตึกอุบัติเหตุ  แพทย์ได้ทำการตรวจรักษาและให้ฉีดยาแก้ปวดท้อง  ๑  เข็ม  หลังจากนั้นอาการปวดท้องของฉันก็ทุเลาฉันจึงกลับมาทำงานต่อ  จนกระทั้งหมดเวลาของเวรบ่าย  ๒๔.๐๐ น.เมื่อกลับเข้าที่พัก  หลังจากอาบน้ำเสร็จกำลังจะเข้านอน  ฉันมีอาการปวดท้องและปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีก  พยายามอดทนเผื่ออาการปวดท้องจะทุเลา  แต่ปรากฏว่ายังคงปวดท้องมากขึ้นฉันฝืนลุกขึ้นแต่งตัวขับมอเตอร์ไซต์จากบ้านพักโรงพยาบาล ไปที่ตึกหาน้องพยาบาลให้ช่วยเหลือ ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องทำบัตร  และส่งมาพบแพทย์ที่ตึกอุบัติเหตุ  เมื่อมาถึงพยาบาลได้ซักประวัติและตรวจร่างกาย  โทรปรึกษาแพทย์และให้เข้านอนพักรักษาในโรงพยาบาลที่ตึกผู้ป่วยหญิงฉันนอนอยู่ห้องพิเศษ ๔  อาการปวดท้องไม่ดีขึ้นเลยเริ่มมีภาวะช็อกร่วมด้วย  แพทย์ได้ให้การดูแลรักษา  ปรากฏว่านอกจากภาวะช็อกแล้วยังตรวจพบ  คลื่นหัวใจผิดปกติ แพทย์จึงได้เขียนใบส่งตัวเพื่อไปรักษาต่อที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี เนื่องจากครอบครัวของฉันอยู่จังหวัดพังงา  ซ้ำอยู่ห่างจากสุราษฏร์ธานีบุคคลที่ให้การช่วยเหลือดูแลฉัน  ทุกสิ่งทุกอย่าง  รวมทั้งไปดูแลที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี  คือ พี่ ๆ น้องพยาบาล  โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ฉันถูกนำขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล  โดยมีน้องร่วมไปส่งที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี  ซึ่งใช้เวลาประมาณ  ๔๕-๕๐ นาที  เมื่อมาถึงพนักงานเปลเข็นฉันเข้าไปในตึกอุบัติเหตุ  โดยมีพี่อรวรรณตามมาดูแลฉันอีกคน  ระหว่างนั้นพยาบาลตึกอุบัติเหตุเข้ามาซักประวัติ  แพทย์ทำการตรวจให้นอนรักษาตัวที่ตึกอายุรกรรมหญิง  โดยให้พนักงานเปลเข็นไปเอ็กซเรย์ ก่อนเข้าตึก  เมื่อมาถึงเตียงนอนก็มีพยาบาลซักประวัติ  ตรวจคลื่นหัวใจหลังดูผลแพทย์ได้โทรประสานอายุแพทย์ทันที่  แพทย์ให้ยากระตุ้นหัวใจทางเส้นเลือด  ปรากฏว่าฉันมีอาการเหงื่อออก  ตัวเย็นใจสั่นและบอกกับพี่พยาบาลว่า  ฉันรู้สึกไม่ไหวแล้วหัวใจของฉันเหมือนว่าออกมาเต้นข้างนอก  ภาพบนจอเครื่องตรวจคลื่นหัวใจ    ยังผิดปกติ  แพทย์สั่งกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ฉันรู้สึกปวดมากที่สุดในชีวิต  เมื่อโดนกระตุ้นด้วยไฟฟ้า  เพราะขณะนั้นฉันยังรู้สึกตัวดีและยาที่ฉีดไปยังไม่ออกฤทธิ์ในครั้งที่  ๒  แพทย์สั่งกระตุ้นไฟฟ้าอีก  ฉันไม่รู้สึกตัวอีกเลย  มันเหมือนวิญญาณได้ออกจากร่างกายของฉัน  โดยมีผู้ชาย  ๒  คน คนแรกใส่ชุดเหมือนกุมารทอง  อีกคนหนึ่งตัวดำไม่ใส่เสื้อ  ใส่เป็นผ้านุ่งโจงกระเบน  พาฉันไปพร้อมกับเค้า  ณ ที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นที่ไหน  ยืนบนลานกว้าง ๆ ฉันมองไปด้านข้างมีแต่ความมืดไม่เห็นอะไรเลย  ขณะยืนอยู่นั้นมีเสียงพูดดังขึ้นจากด้านบน  พูดเสียงกังวาน  “ผิดคน”  ฉันไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่  ไม่รู้วิญญาณมาที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นห้องกว้าง ๆ และได้ยินเสียงแม่มาเรียกฉัน  “ไป”  ฉันรู้สึกตัวทันทีดิ้นไปมา  ฉันได้รับคำบอกเล่าจากพี่และน้องพยาบาล  ที่อยู่ที่นั้น  หัวใจหยุดเต้น  ๓-๔  ครั้ง  ปั๊มหัวใจช่วยชีวิต ๓-๔  ครั้ง  กระตุ้นด้วยไฟฟ้า  ๓๐-๔๐  ครั้งตอนนั้นแพทย์ได้อธิบายญาติและพี่พยาบาลว่า  โอกาสรอดแทบไม่มีให้ญาติและทุกคนทำใจ รอเพียงปาฏิหาริย์ และ.......แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับฉัน  คงเป็นเพราะความดีที่ฉันได้กระทำมา  และความดีจากวิชาชีพพยาบาล  ได้ช่วยเหลือและชุบชีวิตฉันให้รอดพันความตายแบบปาฏิหาริย์

          หลังจากฉันฟื้นแพทย์ทำการรักษาอยู่ที่ห้องพักฟื้นหัวใจ  ย้ายไปอยู่ตึกอายุรกรรมหญิง และย้ายเข้าห้องพิเศษ  แพทย์ทำการรักษาโดยการล้างไตทางหน้าท้อง และฉีดยาฆ่าเชื้อหลังจากไตฟื้น  แพทย์ได้ทำการผ่าตัดเอาสายล้างไตออก  แพทย์บอกว่าฉันเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและช็อกทำให้ไตหยุดทำงาน ฉันต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี    เป็นเวลาทั้งหมด  ๖๗  วัน  ขณะนี้ฉันหายเป็นปกติทุกอย่าง  สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ         ฉันพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่ฉันได้เล่าเรียนมา  ฉันพยายามหาคำตอบแต่ก็หาไม่ได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้  ไม่มีใครรู้  ไม่มีใครเห็น  คนเราทุกคนเมื่อมีชีวิตอยู่ดิ้นรนเพื่อการเอาตัวรอด  ดิ้นรนเพื่อจะทำให้ตัวเองดีขึ้น  เวลาที่เรากำลังจะตายเราจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราไม่มีค่าอะไรเลย  เมื่อเทียบกับชีวิตเรา  เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เงินทอง หน้าที่การงาน  รถ  บ้าน  ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าในชีวิตเรา  แต่เมื่อวันนั้น วันที่เราจะตายทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่มีค่าอะไรเลย

          จากการรอดชีวิตครั้งนี้  ฉันตั้งใจว่าฉันจะทำทุก ๆ วัน  ด้วยสิ่งที่ตัวเองมีความสุข  ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้ฉันจะทำ  “นั้นอาจเป็นถุงเงินที่ไม่ได้มีไว้ใส่เงิน  แต่มันคือถุงเงินใส่ความดีที่เราสามารถนำไปใช้หลังจากที่เราตายไปแล้ว”

หมายเลขบันทึก: 487824เขียนเมื่อ 12 พฤษภาคม 2012 15:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 16:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เห็นด้วยนะคะ ทำทุกวันให้มีความสุข ทำดีไว้เป็นทุนสำหรับการเดินทางในปัจจุบัน และอนาคตค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ฝันร้ายผ่านไปแล้วค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท