ผมขอ ดจร. ตั้งชื่อเรื่องแบบประกิดเอาเอง แปลว่า “การชลประทานในตัวเอง” (เพื่อให้มันน่าอ่าน เพราะถ้าไม่มีภาษาอังกฤษแล้วมันมักดูไม่ขลัง) ....พี่น้องอีสานชาวนาผู้ยากจน สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอการช่วยเหลือจากรัฐบาล
วิธีการคือ
-การขุดคูน้ำรอบคันนาด้านใน กว้าง 1 ม. ลึก 1 ม. เอาดินที่ขุดไปถมทำคันนาให้กว้างขึ้นโดยกว้างประมาณ 1 ม. รวมทั้งเอาไปทำคันนาด้านในด้วย ..กลายเป็นมีคันนาสองชั้น
-นาด้านในปลูกข้าวตามปกติ...ถ้าขาดน้ำเมื่อไร ก็สามารถสูบเอาน้ำจากคูน้ำเข้าไปใช้ได้ ...พอข้าวสุกพลับพลึงก็ระบายน้ำออกลงไปในคูน้ำ
-คูน้ำนั้นใช้เลี้ยงปลาได้ โดยเลี้ยงปลากินพืช เช่นปลาจีน (จีนเรียกปลาเฉา) แล้วปลูกสาหร่าย ให้ปลากินสาหร่าย โดยไม่ต้องมีค่าอาหารปลา เลี้ยงแบบแน่นในตอนแรก แล้วสางขายเป็นระยะ
-บนคันนาด้านนอก กว้างประมาณ 1 เมตร สามารถปลูกผัก พริก มะเขือ ได้ เพราะรากมันสามารถดูดน้ำ ความชื้นจากคูน้ำได้ หากน้ำไม่พอ ก็ตักน้ำจากคูน้ำมารดได้โดยง่าย
-เลี้ยงกบเขียดอึ่งให้กินแมลง กบเขียดอึ่งยังขายได้อีกด้วย
-หมดหน้านา เดือนพฤศจิกา น้ำในคูยังมีอยู่ ก็ทำนาปรังได้ หรือ ทำการปลูกผัก (เข้าหน้าหนาวพอดี ผักมักงาม แถมได้น้ำปุ๋ยที่ปนอึปลา จะยิ่งทำให้ผักงาม กบเขียดก็ช่วยกำจัดแมลงที่จะมากินผักได้อีก)
ทำแบบนี้ชาวนาอีสานจะมีรายได้สุทธิไร่ละ 20,000 บาทได้ไม่ยาก แทนที่จะได้ไร่ละ 2,000 บาท จนต้องไปขายเสียง รับจ้างชุมนุมแบบทุกวันนี้
...คนถางทาง (๘-๕-๕๕)
I think one of the King Bhumibol's (guideline) design for sufficiency farm is to have 1/3 of area for water reservoir.
If the water demand can be well estimated for the farm, then the water holding capacity of the reservoir could be use to design a larger or smaller reservoir.
In the climate change era (as we are in now), it would be wise to build "buffer systems" for water (drought & flood), temperature change, 'wildlife' habitat (which we and other lives can live in; and we may harvest them too),...
ได้ใจมากอาจารย์