ติวเตอร์ (ธุรกิจ)สถานที่เรียนพิเศษเด็กไทยในยุคโลกาภิวัตน์
ชุติมา เมฆวัน
บทความชิ้นนี้มุ่งหวังสะท้อนปรากฏการณ์ทางการศึกษาที่เกิดขึ้นในมุมมองบางมุม และหวังสร้างการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในวงกว้าง เพื่อสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งคงสามารถเปิดบางมุมของสังคมที่ยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจนได้ อีกทั้งผู้เขียนยังหวังด้วยว่าบทความชิ้นนี้น่าจะเข้าถึงส่วนเสี้ยวของความจริงที่อยากจะนำเสนอให้ผู้อ่านได้ร่วมรับรู้ และร่วมไตร่ตรอง และตระหนักกับสถานการณ์ของการศึกษาไทยที่นับวันจะกลายเป็นธุรกิจที่เกิดการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตายมากขึ้น
ธุรกิจ มีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ว่า การงานประจําที่เกี่ยวกับอาชีพค้าขาย หรือกิจการอย่างอื่นที่สําคัญ และที่ไม่ใช่ราชการ; (กฎ) การประกอบกิจการในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม หัตถกรรม พาณิชยกรรมการบริการ หรือกิจการอย่างอื่นเป็นการค้า
ส่วนศึกษา ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 มีความหมายคือการเล่าเรียน ฝึกฝน และอบรม
แต่ปัจจุบันคำสองคำนี้มีความผูกโยงกันจนแทบแยกกันไม่ออก เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย การศึกษาเพื่อความรู้หรือเพื่อความเก่งถึงต้องจ่ายมากมายกว่าจะได้มา
ธุรกิจการศึกษา หรือติวเตอร์สถานที่เรียนพิเศษในปัจจุบันถูกเปิดขึ้นอย่างมากมายทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อตอบสนองค่านิยมส่งลูกหลานเข้าเรียนพิเศษทั้งช่วงปิดเทอม หลังเลิกเรียน หรือเสาร์อาทิตย์ เพื่อความเก่ง (แม้ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายแสนแพงที่เพิ่มขึ้น ) พ่อแม่หรือผู้ปกครองบางคนส่งลูกเรียนพิเศษตั้งแต่อยู่อนุบาล
จริงหรือที่การเรียนในระบบโรงเรียนไม่เพียงพอกับความรู้ หรือแค่ไม่เพียงพอกับการแข่งขันเพื่อความเป็นหนึ่ง ธุรกิจการศึกษาจึงเกิดขึ้นมากมายในยุคปัจจุบันทั้งสถานที่เรียนพิเศษ สถานที่ติวเตอร์ ที่ต้องจ่ายสตางค์เพื่อให้ได้มาแม้เอกสารสักแผ่น ทั้งที่อดีตการศึกษาของไทยจัดแค่ในวัด แหล่งที่สอนให้คนได้ทั้งความรู้ และความดี ซึ่งแทบไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สามารถสร้างคนที่มีความรู้ ความดี และมีภูมิปัญญาให้คนรุ่นหลังให้ระลึกถึงจวบจนปัจจุบัน
นโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับรายการหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่ภาครัฐให้การสนับสนุนจึงสวนทางกับค่านิยมการศึกษาในปัจจุบัน ทั้งที่โรงเรียนในระบบมีการจัดกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกบทิศทางและนโยบายทางการศึกษาของชาติโดยจัดการศึกษาในวันและเวลาราชการและในโรงเรียนบางแห่งยังมีการจัดสอนเสริมให้กับนักเรียนอยู่แล้ว แต่ที่เรียนพิเศษ สถานที่ติวเตอร์ ที่ทำธุรกิจการศึกษาก็ยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
จากข้อมูลในwww.bangkokbiznews.com (ค้นเมื่อ 10 มกราคม 2553) ที่สะท้อนให้เห็นจำนวนของสถานที่เรียนพิเศษหรือสถานที่ติวเตอร์ ที่มีในจังหวัดขอนแก่นนับ 100 แห่ง ซึ่งนับว่ามีเป็นจำนวนมากโดยในช่วงซัมเมอร์ จากยอดคาดการณ์พบว่าน่าจะมีนักเรียนไม่น้อยกว่า 10,000 มาเข้าเรียนพิเศษหรือติวเตอร์ ซึ่งแต่ละคนน่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 บาท/คนซึ่งในช่วงดังกล่าวคาดจะมียอดเงินสะพัดกว่า 100 ล้าน เลยทีเดียว
จากข้อมูลดังกล่าวเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นยอดเงินที่มากมายทีเดียว ปรากฏการณ์เหล่านี้คงเป็นภาพสะท้อนให้เห็นค่านิยมทางการศึกษาของผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี และคำถามบางคำถามที่สะท้อนค่านิยมทางการศึกษาของผู้ปกครอง เช่น ปีนี้สอบได้ที่เท่าใหร่ ? สอบได้คะแนนเกรดไหน? ซึ่งคำถามเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อลูกหลาน ผู้ถูกปลูกฝังให้แก่งแย่ง แข่งขันความรู้เพื่อความเก่งมาตั้งแต่ต้น แม้ว่าทิศทาง หรือนโยบายทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาประเทศไทย ฉบับปัจจุบันจะมีแนวทางการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคน ให้เก่ง ดี มีสุข แต่ค่านิยมทางการศึกษาในปัจจุบันกลับสวนทางเด็กเก่งถึงสอบเรียนต่อในโรงเรียนชื่อดังได้ คนเก่งถึงจะได้สอบทำงานดีๆได้ เด็กเก่งถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต คำเหล่านี้เป็นคำที่ผู้ใหญ่พูดกรอกหูเด็กมาโดยตลอด ทั้งที่สภาพปัญหาในปัจจุบันเรากลับพบว่าเด็กเก่งเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเอาตัวรอดได้ หนำซ้ำบางทีเด็กเก่งกลับสร้างปัญหาและภาระให้สังคมด้วยซ้ำ เด็กเก่งหลายคนไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ไม่สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เขาถูกปลูกฝังให้ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องแข่งขัน ลบลืมการแบ่งปัน เด็กเก่งจึงฆ่าตัวตายเมื่อพ่ายแพ้ ให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งให้เราพบเห็นกันอยู่เนื่องๆ
ค่านิยมการศึกษาของไทยในปัจจุบันมาถูกทางแล้วเหรอ เรามองเป้าหมายของการศึกษาไปในทิศทางใด มองการศึกษาเพื่อพัฒนาคน หรือแค่สร้างคนให้เป็นคนเก่ง แต่เอารัดเอาเปรียบ และแก่งแย่ง แข่งขันเพื่อความเป็นหนึ่ง หรือเรามองการศึกษาเป็นเครื่องชี้นำทางในการสร้างและพัฒนาคน เพื่อมาช่วยกันสร้างชาติ และไม่สร้างภาระให้สังคม
ค่านิยมสังคมที่มุ่งทางวัตถุคงยากที่จะไม่แข่งขันเรื่องวัตถุ จึงต้องหาความร่ำรวยแข่งกัน หากเปลี่ยนค่านิยมนี้ไม่ได้ การศึกษาก็คงเป็นแบบนี้ต่อไป
ออกเป็นกฎหมายบังคับเลย เกี่ยวกับการศึกษา ให้เด็ก/เยาวชน เรียนในพื้นที่ภูมิลำเนา จนกว่าจะจบการศึกษาชั้นสูงสุดในพื้นที่นั้นๆ ค่อยไปเรียนต่อที่อื่นได้ และ เก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา/โรงเรียนเอกชนต่างๆทั้งหมด รวมทั้งผู้สอนพิเศษด้วย อีกทั้งปลูกสร้างค่านิยมให้แก่ลูกหลานเยาวชน ให้เดินทางสู่บั้นปลายชีวิต ด้วยความเป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่สร้างภาพส่งเสริมคุณค่าทางวัตถุมากกว่า จริยธรรมในใจ อย่างน้อย การบังคับใช้กฎหมาย น่าจะช่วยได้มาก
ออกเป็นกฎหมายบังคับเลย เกี่ยวกับการศึกษา ให้เด็ก/เยาวชน เรียนในพื้นที่ภูมิลำเนา จนกว่าจะจบการศึกษาชั้นสูงสุดในพื้นที่นั้นๆ ค่อยไปเรียนต่อที่อื่นได้ และ เก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา/โรงเรียนเอกชนต่างๆทั้งหมด รวมทั้งผู้สอนพิเศษด้วย อีกทั้งปลูกสร้างค่านิยมให้แก่ลูกหลานเยาวชน ให้เดินทางสู่บั้นปลายชีวิต ด้วยความเป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่สร้างภาพส่งเสริมคุณค่าทางวัตถุมากกว่า จริยธรรมในใจ อย่างน้อย การบังคับใช้กฎหมาย น่าจะช่วยได้มาก