Km เข้าใจง่ายกว่าที่คิด
ชุติมา เมฆวัน
KM เป็นคำย่อของคำว่า Knowledge Management มีความหมายในภาษาไทยที่หมายถึง “การจัดการความรู้” เดิมทีคำคำนี้เคยทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัย และข้องใจในความหมายที่ชัดเจนของคำคำนี้ ไม่แน่ใจว่าการจัดการความรู้คืออะไร ? และต้องทำอย่างไรถึงเรียนกว่าจัดการความรู้ ? ผู้เขียนได้พยายามศึกษาจากแนวคิดทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ KM หลายฉบับทั้งแนวคิดทฤษฎีที่แปลมาจากต่างประเทศและแนวคิดทฤษฎีที่เป็นของคนไทย แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความกระจ่างชัดในความหมายนี้ได้ จนวันหนึ่งผู้เขียนได้รับความรู้และแนวคิดเรื่อง km จากท่านผู้รู้ผู้หนึ่งซึ่งท่านได้ให้ความรู้ตั้งแต่ ความแตกต่างของคำว่า ข้อมูล(Data) ข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศ(Information) ความรู้ (Knowledge) องค์ความรู้ (body of knowledge ) ว่ามีระดับการรับรู้ที่แตกต่างกัน ข้อมูล คือข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเมื่อข้อมูลเหล่าที่ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว เราจะเรียกว่า สารสนเทศ (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี,ออนไลน์,19 มี.ค. 2553)แต่จะกลายเป็นความรู้ได้ต้องผ่านกลั่นกรองพิจารณาจากสมองจากประสบการณ์ของแต่ละคนจนกลายเป็นความรู้ และเมื่อเรานำความรู้เหล่านั้นมาใช้ มาทดลองซ้ำแล้วซ้ำความรู้เหล่านั้นก็จะกลายเป็นองค์ความรู้เฉพาะของเราไป และในการอธิบายเรื่องการจัดการความรู้หรือ KM ท่านก็อธิบายได้ชัดเจนโดยดึงเอาวิถีที่อยู่ใกล้ตัวมาอธิบายซึ่งทำให้ผู้เขียนซึ่งกำลังงงและสับสนกับการทำความเข้าใจเรื่อง KM ทำความเข้าใจได้ง่ายและชัดเจนขึ้น บทความชิ้นนี้จึงมุ่งที่จะบอกเล่าและแลกเปลี่ยนการทำความเข้าใจในเรื่อง KM ที่หลายๆ คนบอกว่าการทำความเข้าใจเป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อนให้เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายและชัดเจนขึ้น เหมือนอย่างที่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ในการทำความเข้าใจ KM มาก่อน
การจัดการความรู้นั้นจริงๆแล้วผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องของการจัดระบบระเบียบของความรู้ และสร้างให้เกิดพลวัตรของความรู้ เนื่องจากขั้นตอนที่สำคัญของการจัดการความรู้คือการถ่ายทอดความรู้ ซึ่งหลายๆ ต่อหลายครั้งที่ความรู้บางอันสูญหายหรือไม่เกิดการพัฒนาหรือสร้างพลวัตรของความรู้เพราะการมีความรู้และจัดเก็บไว้แต่ไม่ได้มีการใช้หรือการถ่ายทอดความรู้เหล่านั้น สำหรับการจัดการความรู้ที่ผู้เขียนได้รับรู้มาจากท่านผู้รู้ก็เช่นกัน ถ้าผู้รู้ท่านนั้นไม่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เขียนหรือผู้ใดเลยองค์ความรู้ก็จะติดอยู่กับผู้รู้ท่านนั้น และอาจลงลืม หรือสูญหายไปตามกาลเวลาได้ ดังนั้นการที่ผู้เขียนได้บอกเล่าและถ่ายทอดความรู้นี้ต่อไปก็ถือเป็นขั้นตอนของการกระจายหรือการถ่ายทอดความรู้ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของกระบวนการจัดการความรู้ หรือ KM เช่นกัน
การจัดการความรู้หรือ KM ที่ท่านผู้รู้ได้กรุณาอธิบายให้ผู้เขียนฟังนั้นท่านผู้รู้ได้ใช้การอธิบายในสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของผู้เขียนซึ่งทำให้ผู้เขียนมีความเข้าใจและชัดเจนกับคำว่า KM ที่มากขึ้น ดังนี้ เปรียบขั้นตอนของการจัดการความรู้เหมือนกับขั้นตอนของการจัดการปลา คือก่อนที่เราจะได้กินปลาเราต้องจับปลามาก่อน และเราก็ต้องรู้ว่าปลาที่เราจะจับคือปลาอะไร ใช้วิธีการจับแบบไหน เครื่องมือที่จะใช้จับคืออะไร ซึ่งเปรียบเหมือนขั้นตอนของการระบุถึงความรู้ใน KM และเมื่อเราได้ระบุถึงความรู้แล้ว เราก็มาสู่ขั้นตอนของการจัดหาความรู้ ก็เหมือนเราใช้กระบวนการต่างๆ ที่เหมาะสมกับการจับปลาแต่ละชนิดจนเราสามารถจับปลามาได้ จากนั้นเมื่อเราได้ปลามาแล้วเราจะนำปลามาทำอาหาร เราก็ต้องรู้กระบวนการจัดการปลาก่อนที่จะนำมาทำอาหารว่าจะทำอย่างไร การขอดเกล็ด การแล่เนื้อ หรือการจัดการอย่างอื่นเนื่องจากปลาแต่ละชนิดมีวิธีการจัดการที่ต่างกัน ปลาแต่ละชนิดก็อาจนำมาประกอบอาหารได้ต่างกัน และเมื่อเราจัดการปลาเสร็จแล้วเราจะนำมาประกอบอาหารเราก็ต้องทราบว่าเราจะทำอะไรต้องใช้เครื่องปรุงหรือการทำอย่างไรเพื่อให้ปลามีรสชาติอร่อย ถูกปาก ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนี้เราอาจพัฒนาความรู้ได้จากการทดลองทำเองหรือการศึกษาหรือสอบถามเรียนรู้จากผู้อื่นเพื่อเอามาปรับใช้กับตัวเอง ซึ่งก็เหมือนขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ในเรื่องการสร้างและพัฒนาความรู้ ซึ่งหลังจากนั้นเมื่อเมื่อเรามีความรู้แล้วเราก็มีการบอกเล่าหรือกระจายความรู้ให้แก่ผู้อื่นๆ หรือเราจะเลือกการจัดเก็บความรู้ไว้ แต่ถ้าเรามีการบอกเล่าหรือกระจายความรู้ความรู้เหล่านั้นมีการใช้มีการแลกเปลี่ยนพัฒนาก็จะเกิดพลวัตรของความรู้ต่อไป ซึ่งในขั้นตอนการจัดเก็บความรู้นั้นบางทีมีการจัดเก็บไว้ที่ตัวตน ไว้ในสมองของเรา หรืออาจจัดเก็บไว้ในรูปของสื่อ เอกสารต่างๆ ก็ได้แต่ถ้าไม่มีการเผยแพร่ถ่ายทอดสู่คนอื่น กระบวนการจัดการความรู้ก็ไม่สมบูรณ์ และในบางครั้งคนส่วนใหญ่มักจัดเก็บความรู้ไว้ในสมองของตัวเองจนเราพบว่าการจัดเก็บความรู้แบบนี้อาจทำให้ความรู้สูญหายไปตามตัวบุคคลที่มีการจดจำที่เลอะเลือน หรือจากไปตามกาลเวลา ดังนั้นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญของการจัดการความรู้คือการถ่ายทอดหรือกระจายความรู้ ซึ่งอาจถ่ายทอดความรู้โดยการบอกเล่าให้ฟัง ทำให้ดู หรือเผยแพร่ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ ออกไปเพื่อให้คนอื่นรับรู้และเข้าใจ ซึ่งความรู้เหล่านี้ก็จะมีการไหลเวียนคนที่ได้รับรู้ก็จะนำความรู้ไปใช้และพัฒนาสร้างสรรค์จนเกิดพลวัตรของความรู้ต่อไป
จากการอธิบายข้างต้นผู้เขียนเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงคิดเหมือนอย่างผู้เขียน KM ไม่ใช่เรื่องที่เข้าในอยากอย่างที่คิด ชีวิตคนเราเกี่ยวพันธ์อยู่กับความรู้มาตั้งแต่เกิดจนตาย เพียงแต่ว่าเราได้มีการจัดการความรู้ที่เป็นระบบระเบียบแค่ไหนเรามีการสร้างให้เกิดพลวัตรของความรู้หรือไม่หรือเราแค่เพียงรู้แต่ไม่พัฒนาความรู้ หรือไม่เคยใช้ความรู้จนกลายเป็น “มีความรู้ท่วมแต่หัวเอาตัวไม่รอด” เหมือนสุภาษิตไทยโบราณที่ใช้ได้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีความเห็น