เกษตรเวร..เกษตรกำ


นักวิชาการไทยส่วนใหญ่เดินตามก้นฝรั่ง และฝรั่งที่เดินตามกันมากที่สุดก็คือเมกันนี่เอง นอกจากนี้พวกเขายังคิดวางแผนพัฒนาประเทศตามเมกันอีกด้วย โดยคิดกันไปแบบทึ่มๆ ว่าเมกาเป็นประเทศ “อุตสาหกรรม” ที่พัฒนาแล้ว อีกทั้งเป็นมหาอำนาจโลก ดังนั้นเราต้องเอาอย่างเขาสิ จึงจะเจริญและยิ่งใหญ่เหมือนเขา

 

วันนี้ผมจะมา “แฉ” ให้เห็นว่า ท่านนักวิชาการทั้งหลายนั้นคิดผิดแบบหน้ามือเป็นหลังอวัยวะเบื้องต่ำ  ผมจะชี้ด้วยหลักฐานเชิงตัวเลขว่า เมกานั้นแท้จริงแล้วยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจอิงอยู่กับ “การเกษตร” ถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์  (ส่วนไทยเราตอนนี้น้อยกว่านั้นเสียอีก...แสดงว่าเราเจริญกว่าเมกาแล้วสิ...ชายยยย...โย้)

 

วันนี้ (กค. ๒๕๕๔) ผมค้นหากระเบื้องแตกทางเศรษฐศาสตร์ที่กระจายอยู่หลายแห่ง แล้วเอามาต่อกันเป็นภาพรวมที่ดูแล้วน่าตื่นเต้นพอควร

 

เศษกระเบื้องหนึ่งระบุว่ารายได้ประชาชาติ (GDP) ของ USA จัดสัดส่วนได้ดังนี้:

เกษตร 1.2%  

อุตสาหกรรม 22.2%

 บริการ 76.7%  

มองดูเผิน ตื้นๆ แบบนักวิชาการไทยก็คงอุทานกันลั่นห้องประชุมแอร์เย็นฉ่ำว่า โอ้โฮ...ประเทศมหาอำนาจเนี่ย เขามีเกษตกรน้อยจริงๆ ดังนั้นเราต้องลดจำนวนเกษตรกรลงให้เท่าเขา จะได้เจริญอารยะเหมือนเขา

 

ส่วนของไทยเราสัดส่วนรายได้ เกษตร.อุตสาห์.บริการ  คือ  10.4-45.6-44 ตามลำดับ 

 

คำว่า "เกษตร" นั้น ในภาษาของเมกา...เขาหมายรวมถึงการประมง ปศุสัตว์ และการป่าไม้ด้วย

อีกสามชิ้นส่วนกระเบื้องแตก....ข้อมูลจาก  รัฐเวอร์จิเนีย  แคลิฟอร์เนีย และเซาท์ดาโกต้า บอกว่า สองรัฐแรก (รัฐ "พัฒนาแล้ว")  มีแรงงานภาคการเกษตรโดยตรง (direct economy) เพียงประมาณ 1.5 %  แต่เมื่อนับแรงงานโดยอ้อม (indirect) และโดยโอบ (induced) ในภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรด้วยแล้ว จะได้แรงงานมากถึง 12.5%

 

ส่วนที่เซาท์ดาโกต้า (รัฐด้อยพัฒนา ทำเกษตรเป็นใหญ่ ไม่มีการท่องเที่ยว เหมือนสองรัฐก่อน) ตัวเลขนี้พุ่งไปถึง 50%   ผมได้นำตัวเลขเหล่านี้มาเข้าสูตรที่ผมคิดขึ้นมา คะเนได้ว่าตัวเลขเฉลี่ยทั้งประเทศน่าจะประมาณ 16%  เพราะมีรัฐทางตอนกลางและทางตอนใต้จำนวนมากที่ทำเกษตรเป็นหลัก

 

แรงงานโดย”อ้อมโอบ” พวกนี้ก็เช่น อุตสาหกรรมอาหาร โรงงานผลิตรถไถ  ปุ๋ย สารเคมี โรงงานเบียร์ โรงงานกระดาษ บริษัทขายส่ง ร้านขายอาหารสด ร้านอาหารสุก แต่ยังไม่รวมการขนส่ง ธนาคาร ประกันภัย เพราะพวกนี้ถือเป็นภาคบริการ

ลองกลับไปดูตัวเลขของ USA ใหม่ ...ภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรมรวมกัน) ได้ 23.4% ในจำนวนนี้น่าสนใจว่า (ตกใจว่า)  มีต้นตอมาจากการเกษตรถึง 16%  (ตามการคำนวณของผมที่รวมอ้อมโอบด้วย)     ซึ่งจัดเป็นสัดส่วนถึง 68.4%  ของภาคการผลิตทั้งหมด ...... ที่เหลือ 31.6%  ก็เป็นพวก "อุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเกษตร” เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องบิน

 

ส่วนภาคบริการที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็ไม่ได้บริการใครหรอก..นอกจากบริการซึ่งกันและกัน และบริการภาคการผลิตนั่นเอง และภาคบริการจะมีอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภาคการผลิตเป็นฐานรองให้ ดังนั้นรายได้ 68.4% ของภาคบริการนั้นก็มีต้นตอมาจากการเกษตรด้วย

ดังนั้น พอคำนวณในภาพรวม จึงกล่าวได้ว่า ภาคเกษตรสร้างรายได้ดิบเพียง 1.2%  เท่านั้น แต่เป็นต้นตอให้เกิดการสร้างรายได้ถึง  68.4% ให้กับประเทศ นับเป็นตัวคูณเพิ่มทางเศรษฐกิจ (economic multiplier) ถึง 57 เท่า

 

ดังนั้นถ้าคิดกันตื้นๆ แบบนักวิชาการไทย และนักการเมืองไทยว่า ให้เลิกทำเกษตรเสีย (เพราะรายได้แสนน้อย)  เศรษฐกิจสหรัฐจะล้มทันที เพราะอุตสาหกรรมโอบอ้อมและภาคบริการอีก 68.4 % ก็จะหายไปด้วย

 

....ถ้าคนพวกนี้ไม่มีงานทำแล้วจะเอาอะไรกิน ก็ต้องเอาสวัสดิการสังคมจากพวก  31.6 % ที่เหลือ ก็กอดคอกันล้มตายทั้งประเทศแน่นอน

 

หันมามองตัวไทยเราเองบ้าง ตั้งแต่วางแผนพัฒนาประเทศไทยกันมานาน 40 ปีเราคิดกันแต่จะพัฒนาอุตสาหกรรมล้ำสมัยตามก้นฝรั่งเช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์  ทั้งนี้ตามคำชี้นำของพวกนักวิชาการ นักวางแผน และคณะที่ปรึกษานักการเมืองระดับด๊อกที่จบนอกทั้งหลาย ทั้งที่บ้านเราทำเลดีกว่าสหรัฐอเมริกามากหลาย  ถ้าทำให้ดี มีแผนอุตสาหกรรมรองรับ กระจายให้เต็มประเทศ ทุกตำบล แล้วผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่าให้ดี เราจะกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุดในโลกได้โดยง่าย อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องเป็นลูกหาบแบกเสลี่ยงพาฝรั่งและญี่ปุ่นชมวิวโล"ภา"ภิวัฒน์อยู่เหมือนเช่นทุกวันนี้

 

ตัวเลข 10.4-45.6-44 ของเรานั้นต้องไม่ลืมด้วยว่าอุตสาหกรรม 45.6% นั้นส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนต่างชาติ บริการ 44% นั้นส่วนใหญ่น่ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการพักโรงแรม.ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ   จนต่างชาติรับส่วนแบ่ง gdp ของเราไปประมาณ 70% ของทั้งหมด (ผมน่าจะเป็นคนแรกที่ค้นพบตัวเลข 70% ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ในขณะที่รัฐบาลไทยและนักวางแผนเศรษฐกิจชาติยังไม่มีใครรู้ตัวเลขนี้เลย ซึ่งบัดนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงกว่า 70 แล้ว ก็ยังไม่เห็นมีใครตกใจ..จนเผา BOI ให้วอดเหมือนเผาราชประสงค์ )

 

ตอนนี้บริษัทธุรกิจและอุตสาหกรรมการเกษตรต่างชาติ เริ่มบุกตลาดเมืองไทยกันแล้ว เช่น Cargill, National starch, Purac แถมองค์กร BOI (บ๋อย) ยังไปค้อมหัวรับใช้อำนวยความสะดวกให้พวกต่างชาติมาหากินบนหลังเกษตรกรไทยประหลกๆ มันควรเริ่มวิตกและหาทางออกกฎหมายคุ้มครองป้องกันได้แล้ว พร้อมกันนั้นก็ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้ดี ไม่ใช่ส่งมันเส้น ยางพารา และอื่นๆ ออกขายดิบๆ อย่างเช่นทุกวันนี้

 

ต้วเลข 68.4 ที่เป็นสัดส่วนของการเกษตรนั้น ถ้าคิดให้ละเอียดจะมากกว่านี้มากมายนัก กล่าวคือถ้าคิดรายได้จากมูลค่าการส่งออกด้วย ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของรายได้ประชาชาติ usa  (ส่วนไทยเรารายได้ส่งออกประมาณ 60%)   ซึ่งรายได้ส่งออกของเขานี้ส่วนใหญ่ก็มาจากการเกษตรอีกนั่นแหละ  โดยมีสัดส่วนของอุตสาหกรรมนอกเกษตร และการบริการน้อยกว่า

 

ผมได้คำนวณในรายละเอียดดูแล้ว ตกใจมาก ว่า จาก 68.4 มันกลายเป็น 80% ไปโน่น แต่มันมีตัวเลขที่ซับซ้อนยอกย้อนมาก เกรงว่าท่านผู้อ่านจะเบื่อเสียก่อน ก็เลยขอยุติเพียงเท่านี้ แต่ขอท้านักวิชาการเศรษฐศาสตร์ให้ไปลองคำนวณกันดูที

 

รัฐบาลไทยมีปัญญาคิดนโยบายการเกษตรได้เพียงแค่ประกันราคา (และหรือ จำนา) ผลผลิตการเกษตรเท่านั้นเอง (โดยเฉพาะยามหาเสียงเลือกตั้ง) ส่วนแผนระยะยาวเชิงยุทธศาสตร์ไม่เคยคิดกันออกเลยสักที (ยกเว้นแผนให้เลิกทำเกษตรที่รับมาจากการแนะนำของนักวิชาการ “กรรมมารอ” )

 

...คนถางทาง

 

หมายเลขบันทึก: 486679เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2012 01:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 17:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เท่าที่ผมสัมผัสมาคนอเมริกันเขาภาคภูมิใจกับภาคเกษตรของเขามากนะครับ จริงๆ แล้วต้องจับคนไทยไปดู MV เพลง country ของอเมริกัน น่าจะจินตนาการได้เห็นภาพมากกว่าการอ่านบทวิเคราะห์นะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท