แทบเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ ครม. เพิ่งมีมติให้เพิ่มจำนวนจาก ๘.๕ แสน เป็น ๑ ล้านเครื่องนั้น กำลังเป็นโจทย์ใหม่สำหรับอะไรอีกบางอย่าง เช่น เนื้อหาสาระ (contents) ที่จะบรรจุลงในเครื่อง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องการศึกษาโดยตรง เรื่องนี้ทำให้ อีบุค กลายเป็นประเด็นอภิปรายของนักการศึกษาและผู้ที่ใช้กระดาษผลิตหนังสือต่างๆ ว่า อีบุค จะเข้ามาแทนที่หนังสือได้มากน้อยเพียงใด และเมื่อใด
อีกเรื่องหนึ่งที่คนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยอยู่ก็คือ แทบเล็ตจะช่วยให้เด็กไทยอ่านหนังสือมากกว่าเดิมหรือไม่ และรู้จักสืบค้นหาความรู้ให้เพียงพอก่อนจะตอบคำถามส่งครูได้จริงหรือไม่ และผู้ปกครองจะมีส่วนช่วยให้เด็กๆ เรียนด้วยการทำงานเองได้มากขึ้นจริงหรือไม่
ที่สำคัญยิ่งไปกว่าสองประเด็นข้างต้นนี้ คือ ครูที่มีอยู่จะสามารถรับมือกับเนื้อหาสาระที่หลากหลายและลูกเล่นใหม่ๆที่มีมากับเทคโนโลยีรุ่นลูกรุ่นหลานได้หรือไม่ และบางกรณีถามตรงๆแบบไม่เกรงใจก็ยังได้ว่า “ครูจะทันเด็กหรือเปล่า” (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก ม.หนึ่ง)
อย่างไรก็ตาม พ่อแม่บางรายยังเหมือนกับจะไม่ค่อยวิตกกับเรื่องอย่างย่อหน้าข้างบนนี้ แต่วิตกกับภาระในการเป็นเจ้าของแทบเล็ตมากกว่า เนื่องจากแทบเล็ตเป็นของที่รัฐบาลมอบให้เป็นสมบัติส่วนตัว ดังนั้น การดูแลรักษา อัพเดท และซ่อมบำรุงจึงอาจจะเป็นเรื่องที่เจ้าของต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด กระบวนการหลังนี้ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหลายทราบดีว่าเป็นอย่างไร ยิ่งเป็นของราคาถูกเพราะมีสมรรถนะจำกัดยิ่งเห็นชัดว่า รายจ่ายจะทยอยมาเล่นงานทีละน้อยแบบไม่ค่อยรู้สึก (ดังอุปมาของชาวเหนือที่ว่าเหมือน ตองกล้วยบาดมือ) แต่ยาวนานทั้งปี
นโยบายประชานิยมที่ทุกพรรคการเมืองใช้หาเสียงในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีส่วนฝึกให้คนไทยจำนวนหนึ่งกลายเป็นผู้ที่คอยแต่จะพึ่งพาผู้อื่นหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากขึ้น ถ้าคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งจบปริญญาตรีมาทำงานใหม่ ไม่ใช่แรงงาน และไม่มีผลผลิตทางเกษตรไปจำนำ เขาจะคิดอย่างไร ถ้าไม่คิดว่า มีคนอาสาจูงมือเขาไปส่ง แต่ส่งไม่สุดทางก็ปล่อยมือ นี่คือข้อวิตกของผู้ปกครองบางรายซึ่งหวั่นว่า วันหนึ่ง แทบเล็ต อาจทำให้เขาน้ำตาแทบเล็ด ก็ได้
ถ้ากระทรวงศึกษาธิการรับเป็นธุระเรื่องการหาซอฟต์แวร์มาให้โหลดฟรีตลอดจนการช่วยออกค่าดูแลรักษาด้วย เชื่อว่าจะได้รับอนุโมทนาสาธุและคำแซ่ซ้องสรรเสริญแน่นอน ข้อกล่าวหาว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้าคงจะเบาลง แต่ที่แน่ๆ ทางฝ่ายผู้ที่จะได้สัมปทานเปิดศูนย์จำหน่ายซอฟต์แวร์ ศูนย์บริการซ่อมบำรุงพร้อมอะไหล่และช่างเพื่อรับมือกับแทบเล็ตที่จะต้องชำรุดอย่างแน่นอนจำนวนมากนั้น เขาได้เตรียมลูกคิดหรือเครื่องคิดเลขไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และกระทรวงศึกษาธิการจะมีส่วนกับเรื่องนี้ในสถานะใด บรรดาพ่อแม่ทั้งหลายคงไม่อยากกระพริบตา
ผมอยู่ในแวดวงเทคโนโลยีกับการศึกษาครับ ผมเห็นว่าแทบเล็ตนี้เป็นอุปกรณ์การศึกษาที่อย่างไรก็ต้องมาถึงประเทศไทยอย่างแน่นอนครับ เป็น paradigm shift เหมือนสมุดมาแทนที่กระดานชนวนครับ
อย่างไรก็ตามผมไม่เห็นด้วยกับการเร่งแจกแทบเล็ตครับ เพราะ paradigm shift นั้นไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ชิ้นเดียว แต่อยู่ที่ "ระบบนิเวศน์" ของเครื่องมือนั้นๆ ครับ ในระบบนิเวศน์ที่เราอาจจะใช้คำเรียกว่า "แทบเล็ต" นั้น อุปกรณ์ที่จะไปอยู่ในมือเด็กเป็นเพียงแค่เครื่องมือปลายน้ำเท่านั้นเองครับ
การเอาอุปกรณ์ไปให้เด็กโดยไม่ได้พัฒนาระบบนิเวศน์ในภาพรวมขึ้นมาพร้อมๆ กันนั้นไม่มีประโยชน์แน่ๆ ครับ
ลาว พม่า เขมร จะก้าวหน้าในอาเซียน เหนือไทย ในอีกไม่เกิน 10 ปี
ก็ตรงที่ไทยคิดและคาดไม่ถึง ว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับเด็ก ป.1 ไม่ใช่
แทบเล็ต แต่เป็น ทีชเชอร์ (ครู)และการเล่นปนเรียน (กิจกรรม)
การพัฒนากล้ามเนื้อมือในชั้นอนุบาล 1 2 3
เพื่อต่อยอดลายมือในชั้น ป.๑ จะหยุดลงทันที เพราะระบบการศึกษาไทย
และนักการเมือง งานนี้คนที่คิดเป็นไม่ได้ทำ แต่คนที่ทำ
ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงจิตวิทยาการศึกษา
เด็ก ป.1 บางคนยังอ่านหนังสือไม่คล่องเลย ถึงมีข้อมูล เนื้อหา ก็คงไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรสักเท่าไร หรอกมั้ง จะเรียนรู้ได้ไว กลับจะยิ่งช้า เพราะว่ามัวเสียเวลากับ คำสั่ง ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ถ้าให้ เด็ก ม. 1 สิ ครูคงต้องถามเจ้าโอ๊ต กับบอลว่า เข้าเมนูไหน แล้วไปไงต่อ...........
ขอขอบคุณท่าน ดร.ธวัชชัย คุณมะเดื่อ คุณชยันต์ และคุณ Nopparat อย่างยิ่งครับสำหรับความเห็นซึ่งทั้งมีประโยชน์ต่อการศึกษาและ(น่าจะ)สะเทือนถึงคนในระดับที่บันดาลเรื่องนี้ได้ในกระทรวง ผมอยากให้คนเหล่านั้นได้อ่านด้วยจัง (หวังว่าเขาคงจะแวะมาที่GotoKnow บ้าง)
แทบเล็ต เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีประโยชน์มากค่ะ
เพียงแต่ "นักการเมือง" บางคน (เน้นว่าบางคน) และ ข้าราชการ บางคน (เช่นกัน) ที่แสดงให้คนเห็นและเข้าใจไปว่าเขามองถึง "ผลประโยชน์"ของตนและพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ที่พึงมีพึงได้กับเด็กนักเรียน
และในฐานะประชาชนผู้จ่ายภาษี...เราจึงควรจับตามอง วิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุและผลอย่างไม่ลดละ...
คงทำได้แค่นั้นเอง...นะคะ
ปัญหาอยู่ที่..
ขาดการเตรียมความพร้อม (ทุกเรื่อง), กลุ่มเป้าหมายไม่เหมาะสม
แค่นี้ก็เกินพอสำหรับ
"แทบเล็ต"
ขอบคุณทั้งสองท่าน(หยั่งรากฝากใบ, kunrapee) ครับ เมื่อวานได้ฟังคำปรารภครูระดับพื้นฐาน ๒ ราย เขาว่าอีกหน่อยเด็กไทยจะเขียนหนังสือไม่เป็นเพราะช่วงที่ควรได้ฝึกใช้มือจับดินสอปากกา กลับได้ใช้แค่ปลายนิ้วเท่านั้น
ที่จริงแล้วการเขียนหนังสือด้วยปากกาไม่เป็นนี่อาจจะไม่ใช่เป็นปัญหาใหญ่อย่างที่เราคิดกันนะครับ ในภาพรวมแล้วเป็นทิศทางที่เกิดขึ้นเหมือนๆ กันทั้งโลกครับ ผมอ่านเจองานวิจัยด้านการศึกษาของต่างประเทศก็ระบุทิศทางไปในด้านนี้เหมือนกันครับ
ที่จริงแล้วตัวผมเองแต่ละวันแทบจะไม่ได้จับปากกาเลยครับ ทั้งๆ ที่แต่ละวันผมเขียนเยอะมาก ทั้งเขียนเอกสาร เขียนอีเมล เขียนโปรแกรม และเขียนอื่นๆ ถ้าคิดเป็นหน้าแล้วผมคิดว่าเกินสิบหน้า A4 ครับ
ผมว่าที่สำคัญคือเราต้องให้เด็กเราอ่านออกเขียนได้เร็วที่สุด แต่การเขียนในที่นี้จะหมายถึงการพิมพ์บนแป้นพิมพ์ก็ได้ครับ แต่ผมก็ไม่เห็นความพร้อมของ "ระบบนิเวศน์ด้านการศึกษา" ของแทบเล็ตของไทย ดังนั้นแทบเล็ตพอเข้ามาก็จะต้องอยู่บนระบบนิเวศน์เดิม ก็จะกลายเป็นเครื่องใช้งานแทนหนังสือไปเท่านั้นครับ