แม้ว่ากิจกรรมของ workshop ทั้งสองวันจะแตกต่างกันทั้งหมด แต่กิจกรรมสุดท้าย เรายังรักษาคงไว้เหมือนกันทั้งสองกลุ่มคือ "จดหมายถึงเพื่อน"
วัฒนธรรมจดหมายมีความน่าสนใจ ผมเคยอ่านเจอข้อเขียนของอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ว่าการเขียนและตอบจดหมายนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ take seriously ในพวกแองโกล แซกซัน และแสดงถึงความ "มี" อะไรหลายๆประการของผู้เขียน อาทิ จดหมายขอบคุณนั้น จะมีความหมายมากหากเขียนด้วยลายมือจริงๆ ไม่ใช่ด้วย font หรือพิมพ์ การตอบจดหมายในเวลาอันควรก็เป็นหนึ่งในมารยาท และการแสดงความเราให้ความสำคัญกับจดหมายที่เขียนไปหา (ผมว่าก็สมเหตุสมผล รวมไปถึงในการใช้ email ด้วยเช่นกัน) แต่ที่น่าคิดก็คือ สมัยก่อน เรามีวิชาเขียนจดหมายโดยเฉพาะ อยู่รวมๆกับวิชาเรียงความ ย่อความ แต่งความ เพราะอักขรวิธีเหล่านี้เป็นวิชาทำมาหากินตามค่านิยมเดิม ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี เลขคือ "ลิขิต" การเขียน จะเขียนได้ต้องมีการศึกษา ใฝ่รู้ ใช้ภาษาทันยุคทันสมัยและสื่อสารชัดเจน สื่อได้ทั้งความคิดและความรู้สึก มีเรียนเขียนจดหมายถึงพระ ถึงพ่อแม่ ถึงครูบาอาจารย์ ถึงเพื่อน และทำทั้งแบบฝึกหัดและทั้งสอบด้วย คนในที่บัญชาการศึกษาเดี๋ยวนี้คงจะไม่เห็นความสำคัญ เพราะลูกๆผมไม่เคยได้เรียนสิ่งเหล่านี้ไปเสียแล้ว
ผมคิดว่าที่การเขียน "จดหมาย" แยกตัวเองออกจากการเขียนเรียงความ แต่งความ ฯลฯ อื่นๆนั้นเพราะว่าจะเขียนจดหมาย จะต้องเขียน "ถึง" คนใดคนหนึ่ง ซึ่งการมีคนมาคอยอ่านนี่เอง ที่ทำให้เกิด "วัตถุประสงค์" และ "พิธีกรรม" พิเศษในตัวกิจกรรมเขียนจดหมาย เราไม่ได้แค่เล่าไปเรื่อยๆ เขียนบทความ รายงาน แต่พอมี "ตัวตน" ของคนรับจดหมาย มันจะมีอิทธิพลตั้งแต่การเลือกใช้ภาษา ใช้คำ ต่างๆ นาม/สรรพนาม ความเป็นกันเองหรือความเป็นพิธีการ เป็นทางการ
และสิ่งสำคัญที่สุดที่กำหนดคือ "ความสัมพันธ์" ของคนเขียนกับผู้อ่าน ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น จะมีนัยยะแฝงอยู่ด้วยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เพื่อเป็นการไม่บีบบังคับเนื้อหาเกินไป เราให้ผู้เข้าร่วมทำสมาธิ ครุ่นคิดคำนึง จินตนาการถึงคนห้าคนดังต่อไปนี้
ใช้กระบวนการช่วยให้เกิดจินตนาการที่ลึกซึ้ง เรียกหาเอาความทรงจำที่ลึกซึ้งถึงคนเหล่านี้ เหตุการณ์ต่างๆ พฤติกรรมที่ประจักษ์ต่อความหมายที่เราให้ว่า นี่.. ฉันทำเพราะฉันรักที่สุด นี่.. เขาทำกับฉันเพราะรักฉันมาก นี่...ฉันทำเพราะเป็นห่วง ฯลฯ แปลงคุณภาพมาเป็นชีวิตจริงให้ได้มากที่สุด จังหวะนี้การจัดบริบท บริเวณ ให้เป็นสัปปายะ เป็นคุณภาพที่มีความสำคัญมาก
แล้วเราก็ขอให้ทุกๆคน หาที่รโหฐาน (แปลว่า "ที่ส่วนตัว") ของตนเอง และเขียนจดหมายถึงใครก็ได้มาหนึ่งคนเดี๋ยวนี้
การเขียนจดหมายจะนำพาผู้คนลง "ลึก" เข้าไปหาตัวตนเองได้ดีระดับหนึ่ง ดีกว่าการชมภาพยนต์เสียอีก ในแง่ที่ว่าการชมภาพยนต์นั้น สร้าง "safe zone" ได้ดีเพราะเป็นการดูแบบเราเป็นบุคคลที่สาม เราจึงปลอดภัย และวิพากษ์ได้ลึกซึ้งขึ้น และอาจจะทำให้เราเข้าไปประเมินคุณภาพบางอย่างของเรา ที่เราไม่อยากจะวิพากษ์ตัวเราเองตรงๆได้ดียิ่งขึ้น แต่การเขียนจดหมายนั้น เนื่องเพราะความที่เราเป็นโจทย์กำหนด เรื่องของ personal หรือตัวตนจึงชัดกว่า เปราะบางหมิ่นเหม่กว่า แต่ถ้าทำได้ ก็จะนำเราลงลึกไปสำรวจตนเองได้ดีกว่า และได้ทั้งอารมณ์และความคิด ความรู้สึกไปด้วย ในจังหวะและความเร็วที่เรากำหนดเอง
การเขียนจดหมายถึงคนที่เรารัก หรือรักเรา เป็นการท่องเที่ยวเข้าไปชมประวัติตัวตนของเรา นำเอาต้นทุนของชีวิตมาทำให้ชัดอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่างการเดินทางเช่นนี้ เราจะพบว่าบางที เราก็อาจจะได้ทำอะไรที่ทำร้าย ทั้งโดยตั้งใจ/ไม่ตั้งใจ กับต้นทุนของเราเหล่านี้ได้ การทบทวนและค้นเจอสิ่งเหล่านี้ จะทำให้เรากลับไปเยียวยาปมต่างๆที่ซ่อนเร้นอยู่ ค้างคาใจอยู่ ได้เป็นอย่างดี
เราบางคนอาจจะไม่เคยบอกรักกับใคร ไม่เคยอนุญาตให้คนที่เรารักนั้นทราบเลยว่าเรารักเขา และรักเขามากเพียงไร และในทำนองเดียวกันกับคนที่เราคิดว่าเขารักเรามาก เราก็ไม่เคยแสดงให้เขารู้ว่า เรานั้นตระหนักในสิ่งที่เขาทำให้เรา และขอบคุณ ชื่นชม และยินดีเพียงไร การ "ฉุกใจได้คิด" สิ่งเหล่านี้ อาจจะเป็นเชื้อพลังกระตุ้นนำไปสู่พฤติกรรมได้ และเป็นพฤติกรรมที่จะทำได้ทั้งเยียวยา และเสริมต่อยอด สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ให้เพิ่มมากขึ้น มีความหมายที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก
บทสะท้อนการเขียน
ทั้งสองวัน มีคนที่เขียนถึงรายชื่อสุดท้าย คือคนที่เราไม่ชอบ เกลียดขี้หน้า ซึ่งเป็นการเลือกที่น่าสนใจ และยังใจดี สะท้อนให้ความรู้แก่พวกเราอีกด้วย
และสำหรับคนอื่นๆ
สวัสดีครับท่านอาจารย์ หมอ สกล ...เข้าห้องอาจารย์ไม่ได้ เพราะไม่ได้ลงทะเบียน เรื่องการเขียนจดหมาย ปัจจุบันผมก็ยังเขียนจดหมายถึงกัน ด้วยเหตุว่าเวาคุยกันทางโทรศัพท์ เหมือนกับได้พูดไม่หมด ขอนำจดหมายที่พี่ชายนาย อิสระ หอมหวล เขียนถึงผมเมื่อปี 2535 เตือนสติอบ่างดีเยี่ยมว่าดังนี้ครับ
"ดับแสงดาว เมื่อถึงคราวแสงดาวดับ
หายแสงวับตะวันเคลื่อนแสงเดือนหาย
กลายเป็นวันปีเดือนเคลื่อนกลับกลาย
ปีผ่านไปวันเดือนเคลื่อนเป็นปี
ใหม่ชีวิตผันแปรแก้ตัวใหม่
ที่สำคัญกำลังใจให้เต็มที่
ดีคงมีที่หมายคงได้ดี
ฟังวจีพรรณาว่าให้ฟัง
โชคนั้นหรืออย่าซื่อถือแต่โชค
หวังแทงโบกแทงเบอร์อย่าเพ้อหวัง
พังถ้าหวังพึ่งดวงทรวงจะพัง
เองต้องหวังพึ่งซึ่งตนเอง
(ปีนั้นผมค้ำประกันให้เพื่อนคนงานด้วยกัน สองแสน แล้วเขาหนีไป พี่ชายรู้ข่าวจึงเขียนจดหมายนี้มาเตือน)
ตอนเข้าเวิร์คชอบ ผม เขียนจดหมายถึงคนที่รัก .. ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมา .. ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันครับ
คุณ somkob
ร้องไห้เป็นปฏิกิริยาที่ซับซ้อน เชื่อมโยงกับฐานอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ได้ทั้งบวกและลบ และบ่อยครั้งที่ไม่เพียงแค่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ยังเกี่ยวโยงกับการให้ความหมาย ความสำคัญของเราต่อเรื่องราวต่างๆอีกด้วย
การไม่เข้าใจอาจจะเป็นเพราะมันซับซ้อน หลายเรื่องประกอบกัน ทำให้ไมชัดว่าเพราะอะไร แต่คุณ somkob เองจะเป็นคนเดียวที่สามารถค่อยๆถอดรหัสนัยของเรื่องนี้ได้ไปทีละเปลาะ อะไรที่ก็ตามที่กระตุ้นเราได้ถึงเพียงนี้ ผมคิดว่ามันน่าจะคุ้มค่าที่เราติดตาม ทำความเข้าใจครับ
ขอบพระคุณที่เข้ามา share ครับ