การจัดการศึกษาของชาติ เรามี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 เป็นหลักและทิศทางในการจัดการ กรุงเทพมหานคร เป็นองค์กรปกครองพิเศษ ที่ผู้ว่ามาจากการเลือกตั้ง การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุงเทพมหานครจัดการบริหารเอง จำนวน 435 โรงเรียนกระจายอยู่ใน 50 สำนักงานเขต สิทธิ์และหน้าที่ของครู กทม. เท่าเทียมกับ สพท. ทุกอย่าง และหน้าจะดีกว่า ในเรื่องโบนัสที่มีให้ครู 1 เดือน ทุกปี , และทุนสนับสนุนข้าเล่าเรียนบุตร ที่กำล้งเรียนระดับปฐม คนละ 3000 บาท ระดับมัธยมต้น 3500 บาท ระดับมัธยมปลาย 4000 บาท และระดับอุดมศึกษา 4500 บาท
ปัจจุบันนักเรียนที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มาตัวเปล่าก็ได้ เพราะทางโรงเรียนมีของฟรี บริการ 5 อย่าง ได้แก่ ชุดนักเรียนคนละ 2 ชุด, อุปกรณ์เครื่องเขียน, แบบเรียนหนังสือ,อาหารเสริม(นม), และอาหารกลางวันทุกมื้อ........ดังนั้นปัจจุบันนี้มีนักเรียนจากต่างจังหวัด ทะลักเข้ามาเรียนใน กทม. กันมาก ขึ้นทุกปี และมาตรฐานการจัดการเรียนรู้ของครู จากผลการประเมินของ สมศ. ครั้งที่ 1 ที่ผ่านมา ค่อนข้างอยู่ในระดับดี อาจเป็นเพราะครู กทม. อยู่ใกล้สื่อความเจริญ , มีการประเมินตรวจสอบจากต้นสังกัด , มีสำนักการศึกษาดูแลอย่างใกล้ชิด โดยส่งนิเทศก์ เข้ามาช่วยเหลือแนะนำตลอด , และที่สำคัญชุมชน ประชาชน ให้การสนับสนุนการจัดการศึกษาของโรงเรียนเป็นอย่างดียิ่ง.....ผู้บริหารที่จะขึ้นมาเป็น ผอ. ต้องผ่านการอบรมหลักสูตร ผบ.ศ. และ ผบ.ศส. ผ่านการดูงานจากต่างประเทศ ผ่านการแสดงวิสัยทัศน์ ต่อคณะกรรมการท้งภายในและภายนอก.........ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ มาตรฐานการจัดการเรียนการสอน จะครอบคลุม เก่ง ดี มีสุข (เน้นทั้งสามส่วนเท่ากัน) เพียงแต่โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ไม่สามารถเลือกผู้เรียนได้ เพราะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ ทุกประการ และที่สำคัญ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ไม่ได้จัดการเรื่องการศึกษาเพียงอย่างเดียว ผู้บริหารโรงเรียนและครูจะทำงานหนักเป็นสองเท่า เพราะโครงสร้างการบริหารงานของกรุงเทพมหานครนั้น โรงเรียนเป็นองค์กรที่อยู่ท้ายสุด ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขต , สำนักทั้ง 18 สำนัก (อำนาจแฝง) , รองปลัด , ปลัดฯ ,รองผู้ว่าฯ, และผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ดังนั้นงานการเมือง ตามนโยบาย โรงเรียนก็ต้องร่วมดำเนินการ...นี่ล่ะคือสาเหตุที่ โรงเรียนที่สังกัด สป.กทม. ไม่ยอมโอนเข้ามาอยู่ในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพราะ มีนายเยอะนั่นเอง........
ปีที่แล้ว ยึดสโลแกน Smile School เรียนรู้คู่รอยยิ้ม หมายความว่า เด็กต้องมีความสุข ก่อน ถึงจะรับรู้ และในปีนี้ ยึดสโลแกนที่ว่า Smart School หมายความว่า ปีที่แล้วมีความสุข ปีนี้ ต้องเก่ง ต้องมีมาตรฐานทั้งผู้บริหาร , ครู และนักเรียน จึงต้องมีการประเมิน Smart School กันอีกรอบ เพื่อกำกับมาตรฐาน ตอกตะปูปิดฝาโลง ว่า " โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร" นั้นการันตีได้ ว่ามีคุณภาพมาตรฐาน และในปีหน้า คงมีสโลแกนว่า Spirit School (ผมคิดขึ้นเอง) คือ ความดี ครับ
หลังจากที่ผู้บริหาร ครู นักเรียน คณะกรรมการศึกษา และคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง เหน็ดเหนื่อยกันมาตั้งแต่ต้นปี ผลของความเหน็ดเหนื่อยนั้น พวกเราก็ได้ป้ายมาตรฐานการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เอามาติดโชว์หน้าโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจ และมั่นใจ ในการจัดการศึกษาของ กทม.
สมศ. จะออกมาแฉ ว่าการจัดการศึกษาล้มเหลว แต่ผมยังมองว่า กทม. ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด........ สมศ. ใช้มาตรฐานที่ค่อนข้างสูงเกินความเป็นจริง และนำไปวัดทุกโรงเรียน โดยไม่คำนึงถึงบริบทแต่ละ ชุมชน สถานที่ ก็เป็นสิ่งที่ต้องนำมาทบทวน...
วันพรุ่งนี้ วันที่ 5 กันยายน 2549 กทม.โดยผู้ว่าฯอภิรักษ์ โกษะโยธิน เชิญโรงเรียนที่ผ่านการประเมินฯ Smart School ไปรับป้ายโรงเรียนคุณภาพมาตรฐาน ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ เป็นการประกาศก้องให้รู้ว่า.....ยุทธศาสตร์ของการจัดการศึกษา ต้องเริ่มจากคนที่เสริมด้วยแรงจูงใจอย่างเต็มเปี่ยม , ภาพลักษณ์ , เพราะการศึกษา ค่อนข้างละเอียดอ่อน เป็นนามธรรม ไม่สามารถนำไม้บรรทัด มาวัด และก็กำหนดค่า ตามเครื่องมือที่คิดว่าดีที่สุด........
ขอเป็นกำลังใจให้ครูมืออาชีพทุกคนครับ..........
ไม่มีความเห็น