รูปข้างล่างนี้เขียนจากข้อมูลในเรื่อง การสันนิษฐานโครงสร้างของความจำ ในการบันทึกครั้งก่อนหน้านี้
จะเห็นว่า คำที่ ๔๐,๓๙,๓๘, .....๓๒, รวมประมาณ ๕ - ๙ คำนั้น เราสันนิษฐานว่า จะอยู่ใน ระบบความจำระบบหนึ่ง และตั้งชื่อว่า STM เมื่อให้ระลึกตอบก็ตอบได้ทันที โดยคำที่ ๔๐ จะออกมาทันที ๑๐๐% คำอื่นๆก็ลดหลั่นลงไป เพราะถูกรบกวนให้ลืม
จากคำที่ ๓๑ ลงไปจนถึงคำที่ ๑ นั้น มันได้เข้าไปในระบบนานมาแล้วจึงน่าจะเป็นอีกระบบหนึ่ง เราจึงตั้งชื่อให้ว่า LTM
เหตุผลก็คือ ถ้ามันมีสองระบบจริง มันจะต้องมีคุณสมบัติต่างกัน เมื่อสำรวจดูก็พบว่า STM มีความจุราว ๕ -๙ หน่วย, และคงอยู่นานราว ๓๐ วินาที ส่วน LTM นั้น ความจุไม่จำกัด และคงอยู่ได้นานเกินกว่า ๓๐ วินาที ดังนั้น จึงต้องมีอย่างน้อย ๒ ระบบ
อย่างไรก็ดี ยังมีนักจิตวิทยาบางท่านสันนิษฐานว่า ยังมีอีกระบบหนึ่ง ที่มีความจุน้อยกว่าสองระบบที่กล่าว และความคงทนของการจำสั้นกว่า และตั้งชื่อว่า ความจำสัมผัส (Sensory Memory : SM )
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ Behaviorists ถูกมองเชิงน่าสงสัยมากขึ้น เพราะเขาเคยปฏิเสธพฤติกรรมภายใน(เหตุการณ์ทางจิต, การจำ, การคิด, ฯลฯ)ว่าไม่อาจจะสังเกตุได้ จึงศึกษาด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์ไม่ได้
ขอให้สังเกตว่า ข้อมูลในตารางจากบันทึกครั้งก่อนเป็นผลจากการสังเกตข้อเท็จจริง(Facts) แล้วแปลงมาสู่เส้นกราฟในรูปข้างบนนี้ ถ้าเราเปลี่ยนตัวเลขคำที่เสนอให้เรียนที่เส้นแกนนอน จากคำที่ ๑ - ๔๐ เป็น "สิ่งที่เสนอให้เรียนเรียงจากสิ่งแรกถึงสิ่งสุดท้าย" แล้ว กราฟข้างบนนี้ก็เป็น "เส้นกราฟเชิงทฤษฎี" ทันที ภาษาอังกฤษจะใช้คำ Theoretical Model หรือ Model ก็ได้ นี่คือ การสร้างทฤษฎีจากข้อเท็จจริง หรือจากข้อมูลเชิงประจักษ์ เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์ ผมอยากให้นักศึกษาระดับปริญญาเอกของเราได้ช่วยกันทำอย่างนี้บ้าง
ตามคุณขจิตมาคะ...
ช่วงนี้กะปุ๋มกำลังทำ self-study เรื่อง cognitive science...และ cognitive theory อย่างหนักคะ...ได้ข้อสรุปบางอย่าง..แล้วจะมาแจม..ลปรร. กับอาจารย์นะคะ
ขอบคุณคะ
กะปุ๋ม